ความเป็นแม่
“เอ้า พวกลื้อแต่งตัวกันเสร็จรึยัง รีบๆ เข้าแล้วมากินข้าวต้มเร็วๆ ซี่ เดี๋ยวก็ไปโรงเรียนสายกันพอดี ต้องให้อั๊วบ่นอีกกี่รอบเนี่ย นี่ต้องให้บอกกันทุกเรื่องเลยเหรอ ไม่เบื่อกันบ้างรึยังไง เอ้า เร็วๆๆ พูดแล้วยังจะอืดอาดกันอีก”
“เร็วๆ เข้า กินเสร็จแล้วก็รีบออกไปรอรถโรงเรียนที่ปากซอยได้แล้ว มัวแต่นั่งเล่นนั่งแกล้งกันอยู่ได้ ไปๆๆๆ เดินดีๆ เอ้า อย่าวิ่งซี่ เดี๋ยวก็หกล้มเจ็บตัวกันพอดี”
“อาม้า เฮียบูรณ์มันแกล้งคิดอ่ะ”
“เอ๊ะ พวกลื้อนี่ เลิกเล่นเลิกแกล้งกันได้แล้ว อยู่นิ่งๆ กันมั่งเป็นมั้ย ถ้าร้องอั๊วตีซ้ำทั้งคู่นะ”
เป็นเรื่องปกติของเพื่อนบ้านที่เห็นกันจนชินตาสำหรับเช้าที่ไม่ใช้วันหยุดดังเช่นวันนี้ ภาพหญิงวัยกลางคนเจ้าเนื้อท่าทางทะมัดทะแมงคอยต้อนลูกๆ ทั้งห้าคนเพื่อให้ทันรอรถโรงเรียนที่ปากซอยอย่างทุลักทุเล เสียงบ่นเสียงดุและความซนของลูกๆ เรียกรอยยิ้มให้กับผู้พบเห็นได้ทุกเช้า
“อาซ้อ วันนี้เอาน้ำเต้าหู้มั้ย”
“เอาๆ ตักให้สองถุง เดี๋ยวขากลับมาเอา”
“วันนี้ออกสายนะอาอึ้ม”
“วันนี้เจ้าพวกนี้มันเอาแต่เล่นกันน่ะสิ”
“นี่ เจ้าพวกลูกลิง อย่าซนกันให้มากนักสิ เดี๋ยวอาม้าพวกลื้อก็เหนื่อยแย่หรอก”
เสียงทักทายตามประสาคนรู้จักมักคุ้นดังตลอดทาง นางหยุดพูดคุยเป็นระยะด้วยไมตรีจิต เด็กน้อยทั้งห้าวิ่งวนล้อมรอบตัวแม่ตลอดเวลาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยจนนางต้องคอยทำเสียงเอ็ดเป็นระยะๆ
เหตุการณ์เหล่านี้จะยุติเมื่อเด็กทั้งห้าก้าวเท้าขึ้นรถโรงเรียนไปเมื่อเวลาเจ็ดโมงเช้า ทุกอย่างจะสงบลงชั่วคราวเพื่อให้นางได้เตรียมพร้อมรับมือกับเด็กๆ อีกครั้งเมื่อเวลาห้าโมงเย็นหลังเลิกเรียน
นางเป็นชาวไทยเชื้อสายจีนที่เกิดจากพ่อซึ่งอพยพมาจากจีนแผ่นดินใหญ่เพื่อหวังหลีกหนีจากความทุกข์ยาก จนกระทั่งได้มาพบรักและอยู่กินกับแม่ของนางที่อพยพมาอยู่ในไทยก่อนหน้านี้แล้ว
และหลังจากนั้น พยานรักเพียงหนึ่งเดียวของบุคคลทั้งสองก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกใบนี้
“ยิ่ม”
ชื่อสั้นๆ เพียงพยางค์เดียวที่บุพการีทั้งสองตั้งให้ดั่งต้องการจะบอกกับสมาชิกใหม่ของโลกใบนี้ว่าชีวิตต่อจากนี้นั้นไม่ง่าย ยังมีเรื่องราวอีกมากมายให้พบเจอให้ฝ่าฟันไปจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต
“อายิ่ม ชื่อของลื้อมีความหมายว่าอดทน ในโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ โดยเฉพาะครอบครัวฐานะแบบเรา ลื้อเองก็ต้องอดทนให้ได้ไม่ว่าเรื่องอะไร ให้สมกับชื่อที่ป๊ากับม้าตั้งให้ นั่นเพราะป๊ากับม้าเชื่อว่าถ้าเราอดทนพอ มุมานะพอ สักวันเราก็จะได้หัวเราะกับสิ่งที่เรียกว่าความสำเร็จ”
นี่เป็นคำสอนที่พ่อของนางพูดให้ฟังอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันตั้งแต่พอจะจำความและรับรู้เรื่องราวได้ ครอบครัวของนางมีฐานะยากจน ทั้งพ่อและแม่ต่างก็ทำงานหนักเพียงเพื่อให้มีเศษสตางค์พออยู่กินให้พ้นวัน
ถึงกระนั้นบุพการีทั้งสองก็ไม่เคยทำให้แก้วตาดวงใจเพียงหนึ่งเดียวอย่างนางต้องอดมื้อกินมื้อเลยแม้เพียงสักครั้ง ถึงแม้จะน้อยนิด แต่ข้าวไหม้ติดก้นหม้อและกับข้าวที่เหลือจากหลายมื้อก่อนจะถูกเก็บไว้ให้นางได้อิ่มท้องก่อนเสมอยามที่ภาวะทางการเงินตึงมือจนไม่เหลืออะไรติดก้นครัว
บางคืนที่นางสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก หลายครั้งหลายคราเหลือเกินที่นางได้พบเห็นผู้เป็นแม่นั่งร้องไห้ในอ้อมกอดของพ่อ ไม่มีแม้เพียงคำพูดสักคำหลุดออกจากปากคนทั้งสองแต่นางก็รับรู้ได้ว่าทั้งคู่กำลังปลอบโยนและให้กำลังใจกันอย่างสุดกำลัง
วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า ที่เรื่องราวเหล่านี้ผ่านเข้ามาในชีวิต มันกลับกลายเป็นสิ่งกระตุ้นและปลูกฝังลงไปในจิตใต้สำนึก นางยิ่มค่อยๆ เติบใหญ่เป็นคนพากเพียร ไม่ย่อท้อต่อความยากลำบากได้สมกับที่บุพการีทั้งสองหวัง
สักวันทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องดีขึ้นกว่าเดิม อาป๊ากับอาม้าจะต้องอยู่อย่างสุขสบาย พวกเราจะต้องได้หัวเราะกับสิ่งที่เรียกว่าความสำเร็จด้วยกัน
นั่นเป็นความคิดเพียงหนึ่งเดียวที่ทำให้หัวใจไม่เคยสั่นคลอน นางไม่เคยลังเลที่จะก้าวออกไปอย่างมั่นใจด้วยสายตาที่มองเห็นจุดหมายอย่างเด่นชัด
วันเวลาผ่านไป จากเด็กหญิงตัวเล็กๆ นางยิ่มก็กลับกลายเป็นสาวสะพรั่งเต็มตัว ด้วยหน้าตาที่ถึงแม้จะไม่ได้จัดว่าเป็นนางงามแต่ก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ ประกอบกับความขยันขันแข็งที่มีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว นางจึงเป็นที่รักใคร่และหมายตาของบรรดาหนุ่มๆ ที่แวะเวียนมาเชื่อมสัมพันธ์ด้วย
หนึ่งในนั้นเป็นชายหนุ่มเชื้อสายจีนที่ขยันขันแข็งและพากเพียรเช่นเดียวกัน เขาเป็นคนเงียบ ไม่ค่อยพูดจา วันๆ เอาแต่ก้มหน้าทำงาน จะมีเพียงบางเวลาเท่านั้นที่เมื่อนางได้บังเอิญมองไปจะพบว่าเขารีบก้มหน้าหลบตาโดยพลัน
ดอกรักผลิบานในใจคนทั้งสองอย่างค่อยเป็นค่อยไป เมื่อทุกอย่างสุกงอมทั้งคู่ก็ตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน นางยิ่มและสามีตัดสินใจนำเงินที่ได้จากการเก็บหอมรอมริบเมื่อครั้งเป็นลูกจ้างร้านตัดเย็บรองเท้ามาลงทุนเปิดกิจการเล็กๆ ในครอบครัวเป็นของตนเอง
ทั้งสองช่วยกันทำมาหากินประคับประคองกิจการของครอบครัวอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ด้วยความรู้ที่ได้ติดตัวมาตอนอยู่ที่ร้านเดิมประกอบกับฝีมือเย็บอันประณีต เพียงไม่นานจากกิจการเล็กๆ ที่มีเพียงนางและสามีเป็นทั้งนายจ้างและลูกจ้างก็เริ่มมีคนรู้จักและเริ่มนำงานมาจ้างอย่างต่อเนื่อง
เมื่อทุกอย่างกำลังจะไปได้ด้วยดี เมื่อต้นแห่งความอดทนบากบั่นกำลังออกดอกออกผล พ่อและแม่ของนางกลับไม่อาจอยู่ลิ้มรสชาติของผลแห่งความสำเร็จนั้นได้ ท่านทั้งสองจากไปก่อนวัยอันควรจากการกรำงานหนักมาตลอดชีวิตจนร่างกายและสุขภาพทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็ว
หากแต่ผู้ที่รับรู้ถึงความสำเร็จของคนทั้งคู่นั้นคือลูกๆ ของนางที่เกิดไล่เรียงกันมาด้วยกันถึงห้าคนนั่นเอง
“รู้มั้ยว่าทำไมอาม้ากับอาป๊าถึงตั้งชื่อพวกลื้อว่า สมใจ สมบูรณ์ สมคิด สมรัก สมปรารถนา”
เด็กน้อยทั้งห้านอนเรียงรายโดยมีผู้เป็นแม่นอนอยู่ตรงกลาง ห้องทั้งห้องถูกทาทับไปด้วยสีส้มนวลจากหลอดแสงเทียน
“ชื่อสมใจ เพราะลื้อจะได้คิดอะไร ทำอะไรได้สมอย่างที่ใจคิด ชื่อสมบูรณ์ เพราะลื้อจะได้เกิดมาสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ชื่อสมคิด เพราะลื้อจะได้เป็นคนฉลาดคิด ทำอะไรได้สำเร็จอย่างที่ใจคิด ชื่อสมรัก เพราะลื้อจะได้ไปที่ไหนมีแต่คนรักคนชื่นชม และชื่อสมปรารถนา เพราะลื้อจะได้ทำอะไรได้สำเร็จอย่างที่ปรารถนาทุกประการ”
เด็กน้อยทั้งห้าตาแป๋วตั้งอกตั้งใจฟังสิ่งที่แม่เล่าไม่ต่างจากกำลังฟังนิทานก่อนนอน มืออันแสนอบอุ่นลูบไล้หัวเจ้าของชื่อในขณะที่อธิบายถึงชื่อนั้น
“ชื่อของพวกลื้อเป็นทุกอย่างที่อาม้า อาป๊า อาม่า อากง เฝ้าใฝ่หามาตลอดชีวิต ตั้งแต่พวกลื้อเกิดมาทีละคนครอบครัวของเราก็ดีขึ้นเรื่อยๆ กิจการงานของอาม้ากับอาป๊าก็เจริญรุ่งเรืองขึ้น ที่อาม้ากับอาป๊าตั้งชื่อเหล่านี้ให้ เพราะตอนนี้พวกลื้อทุกคนก็เป็นทุกอย่างของอาม้ากับอาป๊าเหมือนกัน”
บัดนี้นางยิ่มเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้วว่าเหตุใดพ่อและแม่ของนางจึงยอมอดทนทำงานหนักมาตลอดชีวิต เหตุใดคนที่อาบเหงื่อต่างน้ำจึงยิ้มออกมาได้ทุกครั้งเมื่อกลับถึงบ้าน เหตุใดคนที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องกลับมีเรี่ยวแรงสู้ชีวิตในวันต่อไป และเหตุใดเมื่อครั้งยังเยาว์วัยนางกลับไม่เคยต้องอดเลยแม้แต่มื้อเดียว
นั่นเพราะคำว่าลูกเพียงคำเดียว และคำเดียวนั้นก็หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อแม่คน
นางบอกกับตัวเองวันแล้ววันเล่าว่าจะไม่ยอมให้ลูกๆ ทั้งห้าของตัวเองต้องลำบากเหมือนอย่างนางในอดีต นางส่งเสียลูกๆ ให้ได้เล่าเรียนในโรงเรียนที่ดีที่สุดเท่าที่กำลังทรัพย์ที่มีจะหาให้ได้
“เฮ้ พวกเราไปเล่นซ่อนหากันดีกว่า”
“เอาๆ โอน้อย...ออก”
“เย้ ไอ้รักเป็นคนหา นับหนึ่งถึงยี่สิบนะ”
“หนึ่ง สอง สาม...”
“นี่ๆ พวกลื้อทั้งห้าคน กลับมาถึงไม่ยอมเปลี่ยนเสื้อผ้าก็วิ่งเล่นกันเลยนะ แล้วการบ้านมีมั้ย ทำกันรึยัง เดี๋ยวทำกันจนดึกแล้วก็มางอแงไม่ยอมตื่นตอนเช้าอีก”
“เอาน่าๆ อายิ่ม ให้พวกอีเล่นกันไปก่อน เดี๋ยวค่ำๆ กินข้าวอาบน้ำแล้วค่อยทำการบ้านก็ได้ เด็กๆ ก็ต้องวิ่งเล่นล่ะน่า จะได้แข็งแรง”
“ลื้อก็เป็นอย่างนี้ซะเรื่อย ตามใจพวกอีอยู่ได้”
เมื่ออาบน้ำจนสดชื่นหลังจากการวิ่งเล่นจนเหนื่อยอ่อนแล้ว สมาชิกครอบครัวทั้งเจ็ดก็จะล้อมวงพร้อมหน้าพร้อมตากันที่โต๊ะกลม ข้าวและกับข้าวร้อนๆ หลายอย่างวางพร้อมอยู่ตรงหน้ารอให้ทุกคนเติมพลังหลังการใช้ชีวิตที่กำลังจะผ่านพ้นไปอีกหนึ่งวัน
“กับข้าวของอาม้าอร่อยที่สุดในโลกเลย”
“นี่ อาคิด ตอนกินอย่าพูด เดี๋ยวก็ติดคอกันพอดี เดี๋ยวพอกินข้าวเสร็จแล้วพวกลื้อก็รีบทำการบ้านแล้วก็รีบนอนซะ พรุ่งนี้จะได้ตื่นไหว”
สมคิดลูกคนที่สามเป็นเด็กหน้าตาน่ารัก พูดจาฉะฉานช่างพูดช่างตอบที่สุดในบรรดาพี่น้องทั้งห้า ไม่ว่าแขกคนไหนที่มาเยี่ยมบ้าน หรือผู้ใหญ่คนไหนที่ได้พูดคุยด้วยต่างก็ชื่นชมเป็นเสียงเดียวกันว่าเด็กคนนี้มีแววเฉลียวฉลาด พ่อแม่สามารถฝากผีฝากไข้ได้ยามแก่ชรา
ถึงแม้ว่านางยิ่มจะรักลูกทุกคน แต่ด้วยความช่างพูดและขี้อ้อนช่างเอาอกเอาใจ นางจึงรักและเอ็นดูสมคิดมากกว่าลูกคนอื่นๆ โดยที่นางเองก็อาจจะไม่รู้ตัว นางหวังว่าลูกคนนี้จะเป็นเสาหลักของครอบครัวต่อไปในอนาคต
“อาคิด ถ้าลื้อโตขึ้น เมียกับอาม้า ลื้อจะรักใครมากกว่ากัน”
“ก็ต้องอาม้าอยู่แล้ว อั๊วรักอาม้าที่สุดในโลก”
เด็กชายสมคิดพูดเจื้อยแจ้วเสียงใส ตอบคำตอบที่แม่อยากได้ยินเสียงดังฟังชัดพร้อมโผเข้ากอด นางโอบลูกด้วยความอิ่มเอิบใจ
“คิดจะอยู่กะอาม้าตลอดไป ถ้าใครทำให้อาม้าร้องไห้ คิดจะชกหน้ามัน คิดจะดูแลอาม้าเอง”
ลูกชายคนโปรดชูกำปั้นขึ้นตรงหน้าแสดงความเก่งกาจให้แม่เห็น นางลูบหัวเด็กชายด้วยความรักใคร่ยิ่ง ใบหน้าเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้มที่แสดงให้เห็นถึงความสุขใจอย่างเหลือล้น
ผ่านมาหลายปี กิจการของครอบครัวเจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับ ยอดการสั่งจองและสั่งทำรองเท้าเพิ่มขึ้นจนคู่สามีภรรยาและลูกจ้างอีกสองสามคนที่มีอยู่ไม่เพียงพออีกต่อไป ทั้งสองจึงตัดสินใจขยายกิจการที่มีอยู่ด้วยเงินเก็บทั้งหมด
ผลจากการตัดสินใจครั้งนี้ไม่ทำให้ทั้งคู่ผิดหวัง กิจการที่ขยายขนาดส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของสินค้า ความน่าเชื่อถือของสินค้าส่งผลให้มียอดสั่งซื้อเพิ่มขึ้น เมื่อยอดสั่งซื้อเพิ่มขึ้นความมั่นคงทางการเงินก็ตามมา และความมั่นคงทางการเงินก็ยิ่งส่งผลกลับไปยังความน่าเชื่อถือของกิจการและสินค้าเป็นวัฏจักรแห่งความเจริญรุ่งเรืองต่อเนื่องกันไปไม่รู้จบ
ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกับว่ากำลังจะดำเนินไปในเส้นทางที่ถูกที่ควร สิ่งดีๆ กำลังจะเข้ามาในชีวิตของทั้งครอบครัว หากทว่าเคยมีใครบางคนกล่าวไว้ว่าสิ่งดีๆ มักจะอยู่กับเราได้ไม่นาน เมื่อใดที่เราหลงใหลเคลิบเคลิ้มไปกับมัน เพียงชั่ววูบเดียวกว่าที่เราจะรู้ตัวมันก็ผ่านพ้นไปเสียแล้ว
โดยไม่มีสิ่งบอกเหตุหรือเค้าลางใดๆ ในคืนที่สายฝนโปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย สามีของนางยิ่มนอนหลับไปและไม่เคยตื่นขึ้นมาอีกเลย
“อายิ่ม อย่าเสียใจไปเลย เฮียเค้าไปดีแล้ว ถือว่าหมดเคราะห์หมดโศกแล้วล่ะ”
“อาซ้อ เสียใจด้วยนะครับ ชีวิตคนเรามันก็อย่างนี้ล่ะครับ เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ วันนี้ดีๆ พรุ่งนี้จะเป็นยังไงก็ไม่รู้”
“คนไปแล้วก็ต้องปล่อยไป ส่วนพวกเราที่ยังอยู่นี่สิต้องอดทนสู้กันต่อไป”
กี่คำพูดปลอบใจไม่อาจทำให้ใจของนางสงบลงได้ การเปลี่ยนแปลงในชีวิตครั้งนี้ช่างรวดเร็วจนไม่ทันตั้งตัว เส้นทางข้างหน้ามืดมนสับสนไปในบัดดล
“อาม้า อย่าร้องไห้ พวกเราเศร้าที่เห็นอาม้าร้องไห้ มากอดกัน อาม้าจะได้ไม่เหงาแล้วก็ไม่ต้องร้องไห้อีก”
คำว่า “ยิ่ม” ประกอบขึ้นจากตัวอักษร “ตอ” ที่แปลว่ามีด และ “ซิม” ที่แปลว่าหัวใจ ดังนั้นในความหมายที่แท้จริงของคำว่ายิ่มจึงลึกซึ้งมากกว่าคำว่าอดทน
“จงอดทนแม้สิ่งนั้นจะทำให้เจ็บปวดดั่งมีดปักลงกลางใจ”
บางทีพ่อและแม่ผู้ล่วงลับอาจต้องการให้ความหมายในชื่อนี้คอยเตือนสตินางว่าชีวิตยังต้องพบกับเรื่องราวอีกมากมาย ยังมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันและทำให้เราเจ็บปวดอีกนับไม่ถ้วน
แก้วตาดวงใจทั้งห้าส่องแสงสว่างเล็กๆ ที่แสนจะอบอุ่นฉุดสติของนางกลับคืนมา นางเช็ดคราบน้ำตาและไม่เคยแสดงความอ่อนแอเศร้าโศกให้ลูกๆ ได้เห็นอีกเลยนับจากนั้น
นางยิ่มกลับยิ่งเข้มแข็งขึ้นเช่นเดียวกับที่นางเลี้ยงลูกๆ ด้วยความรักความเอาใจใส่มากขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว ราวกับนางต้องการจะทดแทนส่วนที่ขาดหายไปของครอบครัว
หากทว่าในบางคืนที่ลูกๆ ของนางสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก พวกเขาจะเห็นนางแอบนั่งร้องไห้อยู่คนเดียว
ชีวิตหลังการเปลี่ยนแปลงผ่านพ้นไปปีแล้วปีแล้ว จากเด็กตัวเล็กๆ ที่คอยแต่จะวิ่งวุ่นวายไปมารอบกาย จากลูกน้อยที่เอาแต่ร้องกระจองอแงแย่งกันอ้อนให้นางอุ้มทั้งวัน บัดนี้พวกเขาเติบใหญ่กลายเป็นหนุ่มสาวที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอะไรนางมากมายอย่างเมื่อก่อนอีกแล้วะจองอแงแย่งกันอ้อนให้นางอุ้มทั้งวันีกหลายเท่าตัว ราวกับนางต้องการจะทดแทนส่วนที่ขาดหายไปของครอบค
ในขณะเดียวกันนางยิ่มเองก็แก่ชราขึ้น จากที่เคยมองเห็นอะไรชัดเจนสายตาก็กลับฝ้าฟางลง จากที่เคยเดินตัวตรงคล่องแคล่วรวดเร็วหลังก็กลับงองุ้ม การเดินเหินเคลื่อนไหวก็เชื่องช้าลงกว่าแต่ก่อน
มือทั้งคู่ของนางในขณะนี้ไม่เหลือกำลังพอที่จะอุ้มหรือโอบประคองเหล่าลูกๆ ของนางได้อีกต่อไป
“อาม้า คืนนี้บุญไปค้างทำรายงานที่บ้านเพื่อนนะ”
“อาม้าขา วันนี้หนูไปกินเลี้ยงวันเกิดเพื่อน คงจะกลับดึกหน่อย ไม่ต้องรอกินข้าวเย็นนะ อาม้ากินก่อนได้เลย อ้อ ไม่ต้องทำเผื่อก็ได้ หนูคงกินไม่ไหว”
ลูกๆ แต่ละคนเริ่มมีชีวิตเป็นของตนเอง สังคมของแต่ละคนเริ่มขยายใหญ่ขึ้น แต่ทุกคนกลับหลงลืมไปว่าสังคมของแม่ของพวกเขานั้นมีเท่าเดิม และนับวันมันก็จะยิ่งค่อยๆ เล็กลง
บ้านที่เคยเต็มไปด้วยเสียงเจี๊ยวจ๊าวค่อยๆ เงียบลง ในเวลานี้มีเพียงสายตาแห่งความรักความอารีคู่เดิมของนางเท่านั้นที่คอยเฝ้ามองและป้องกันภยันตรายยามเมื่อเหล่าลูกๆ พลาดพลั้งอยู่ห่างๆ
ตามประเพณีของชาวจีนแล้ว ลูกสะใภ้ให้แต่งเข้าบ้าน ลูกสาวให้แต่งออก เมื่อเวลาอันสมควรมาถึง เหล่าลูกๆ ของนางต่างก็เริ่มปลูกต้นรักและเริ่มสร้างครอบครัวของตนเองกันไปทีละคน
ภายในบ้านเงียบเชียบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนตลอดชีวิตของนางยิ่ม ลูกสาวทั้งสองแต่งงานและย้ายออกจากบ้านไปยังครอบครัวใหม่ของสามี ลูกชายทั้งสามคนก็เช่นกันที่ต่างสร้างครอบครัวของตัวเอง
และเช่นนั้นเอง แม้ว่าลูกชายจะแต่งสะใภ้เข้าบ้านแต่ลูกๆ ของนางต่างก็ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับครอบครัวของพวกเขา ทุกครอบครัวต่างก็มีกิจกรรมเป็นของตนเอง บ้างไปกินข้าวกันนอกบ้าน บ้างไปเที่ยวกันในวันหยุด
ลูกๆ ต่างมีเวลาให้กับคนในครอบครัวของพวกเขาเองอย่างเต็มที่ แต่กลับแทบจะไม่มีเวลาเหลือให้กับแม่ผู้แก่ชรา
เกือบทั้งวันที่นางยิ่มจะนั่งนิ่งด้วยสายตาเหม่อลอยอยู่ในบ้านที่เปิดเพียงแสงไฟสลัวๆ โดยไม่ได้ปริปากพูดกับใครเลยแม้เพียงคำเดียว
กับข้าวที่เคยอร่อยที่สุดในโลกและจะหมดทุกครั้งไม่ว่าจะทำมากขนาดไหนก็ตาม บัดนี้ไม่มีแม้เพียงคนเดียวที่อยู่ชิมสิ่งที่นางบรรจงปรุงด้วยหัวใจอย่างสุดฝีมือเช่นเดียวกับวันเก่าก่อน
เมื่อคนต่างวัยที่ไม่ได้รู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดีเข้ามาอยู่ใต้ชายคาเดียวกันในครอบครัวแบบขยาย และเมื่อคนๆ หนึ่งไม่อาจทนต่อสิ่งที่เธอคนนั้นบอกว่ามันคือความจู้จี้ของคนชราได้ ความระหองระแหงจึงเริ่มก่อเค้าขึ้น
ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่คนชราจะทำอะไรได้เชื่องช้าลงกว่าเดิม นางยิ่มที่พยายามช่วยหยิบจับการงานทุกอย่างในบ้านเท่าที่นางยังคิดว่าทำไหว แต่กลับถูกหนึ่งในลูกสะใภ้มองว่านางจู้จี้และเงอะงะงุ่มง่ามจนน่ารำคาญ
นั่นทำให้นางและภรรยาของลูกชายคนโปรดมีปากเสียงกันบ่อยครั้ง และจุดสิ้นสุดของการมีปากเสียงก็มักจะเป็นน้ำตาของนางยิ่มเองโดยที่ลูกชายทำได้เพียงเงียบเฉยเท่านั้น
เหตุการณ์เหล่านี้เกิดบ่อยขึ้นพร้อมๆ กับความเครียดที่สะสมเพิ่มมากขึ้น และในวันที่ความอดทนของทั้งคู่พังทลายลงความแตกหักก็มาถึง นางยิ่มและภรรยาของลูกชายคนโปรดมีปากเสียงกันอย่างรุนแรงจนสุดท้ายก็ถึงขั้นลงไม้ลงมือกัน
เรี่ยวแรงของหญิงชราย่อมมิอาจต้านทางเรี่ยวแรงของวัยหนุ่มสาว นางยิ่มถูกผลักล้มลง
“อาคิด เมียลื้อกับอาม้า ลื้อรักใครมากกว่ากัน”
นางเปล่งคำพูดในอดีตออกมาด้วยแรงแห่งโทสะ หวังลึกๆ ในใจว่าลูกชายสุดที่รักจะยังคงยืนยันคำตอบเดิมเหมือนครั้งอดีต แต่ทว่าในครั้งนี้ความเงียบกลับกลายเป็นคำตอบที่นางได้รับ
สมคิดเบือนหน้าไม่ยอมสบตากับผู้เป็นแม่ ไม่แม้แต่จะพูดไกล่เกลี่ยหรือพยายามยุติเรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้น
“ไปเลย พวกลื้อทั้งคู่ออกไปให้พ้นจากบ้านอั๊วเดี๋ยวนี้”
สติขาดสะบั้น นางตะโกนขับไล่สะอื้นไห้ไม่อายใคร น้ำตาที่ไหลออกจากดวงตาหม่นทั้งสองข้างบ่งบอกถึงความเสียใจได้เป็นอย่างดี
ในบ้านที่เงียบเชียบ บัดนี้กลับยิ่งเงียบเชียบเกาะกินไปถึงหัวใจ นางยิ่มยิ่งเก็บตัวไม่ยอมพูดยอมจากับใคร ถึงแม้ลูกๆ ที่เหลือจะสังเกตเห็นและคอยแวะเวียนพูดคุยทำให้คลายเหงาอยู่บ้าง
หากแต่เมื่อใดที่นางต้องกลับมาอยู่เพียงลำพังคนเดียว เมื่อความเงียบกลับมาเยือนรอบกายอีกครั้ง นางก็จะเอาแต่นั่งสะอื้นไห้และนึกย้อนกลับไปในวันที่ลูกชายของนางเดินออกจากบ้านไป
“เป็นเพราะอั๊วเอง เพราะอั๊วไม่เอาไหน อั๊วไม่อดทนพอ”
ไม่เคยมีวันใดที่นางไม่นึกโทษตัวเอง ไม่เคยมีวันใดที่นางจะไม่นึกเสียใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไป สุขภาพทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็ว ร่างกายที่แต่เดิมไม่สู้แข็งแรงอยู่แล้วก็ยิ่งอ่อนแอลง จนในที่สุดโรคร้ายก็รุมเร้าเข้าหานาง
ร่างของหญิงชราตัวเล็กที่เหลือเพียงหนังหุ้มกระดูกนอนหลับตานิ่งอยู่บนเตียงของโรงพยาบาล ค่ำคืนที่ทุกคนหลับสนิทนางยังคงฝันว่าลูกชายที่นางขับไล่ไปให้อภัยและกลับมาเยี่ยมนาง
“อารัก เมื่อคืนอาคิดมาหาอั๊วใช่มั้ย”
“ใช่แล้ว อาม้า เมื่อคืนอาคิดมาเยี่ยมน่ะ”
“แล้วอีไปไหนแล้ว อาม้าอยากคุยด้วย”
“กลับไปแล้วล่ะ อาม้าพักผ่อนก่อนเถอะ เดี๋ยวอาคิดก็มาเยี่ยมอีก ไม่ต้องห่วง”
แม้ลูกๆ จะรู้ว่าสิ่งที่นางเข้าใจนั้นไม่ใช่ความจริง แต่ทุกคนก็ยังคงพูดเพื่อให้นางได้คลายใจและพักผ่อนได้
วันแล้ววันเล่าบนเตียงนอนในโรงพยาบาล นางเฝ้ารอทุกลมหายใจว่าเมื่อไหร่ที่สมคิดจะกลับมาเยี่ยมอีกครั้ง นางอยากเห็นหน้า อยากฟังเสียง อยากโอบกอด อยากพูดคำบางคำกับลูกชายสุดที่รักอีกครั้ง
นางเฝ้ารอมานาน นานจนรับรู้ได้เองว่าสิ่งที่นางเคยเห็นนั้นไม่ใช่ความจริง และนานพอจะรับรู้ได้ว่าสิ่งที่นางเฝ้ารอจะไม่มีทางเกิดขึ้น
“อั๊วรักพวกลื้อทุกคนนะ มาให้อาม้ากอดหน่อย ต่อไปพวกลื้อต้องดูแลตัวเองดีๆ ด้วยนะ”
“ไม่เอา อาม้าอย่าพูดแบบนั้นสิ พักผ่อนก่อนเถอะ เดี๋ยวตื่นมาแล้วค่อยคุยกันนะ”
ในช่วงสุดท้ายของชีวิต นางยังคงใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดยื่นมือเหี่ยวแห้งโอบกอดลูบหัวลูกๆ ของนางด้วยความรักใคร่ห่วงใย
“อาม้าขอโทษพวกลื้อทุกคนด้วยที่อยู่ดูแลพวกลื้อไม่ไหวอีกแล้ว แล้วอาม้าฝากพวกลื้อไปบอกอาคิดด้วยนะ...”
ลูกๆ ห้อมล้อมกุมมืออันสั่นเทาของหญิงชราไว้แน่น นางหายใจรวยรินพยายามฝืนพูดคำพูดสุดท้ายออกมา
“...อาม้าขอโทษ”
คำพูดสุดท้ายที่แผ่วเบาราวเสียงกระซิบนั้นไม่อาจส่งผ่านไปถึงจิตใจของผู้ที่เดินจากไป
ร่างกายหนักอึ้งจนแทบจะขยับไม่ได้เบาลงดุจไร้น้ำหนัก จิตใจของนางล่องลอยกลับไปสู่วันคืนที่เหล่าบรรดาลูกๆ ของนางยังเป็นเด็ก วันที่รอบกายของนางยังเต็มไปด้วยเสียงเจี๊ยวจ๊าว ลูกๆ คอยแต่จะร้องกระจองอแงแย่งกันให้นางอุ้ม โดยมีคู่ทุกข์คู่ยากของนางยืนยิ้มอยู่ไม่ห่าง
หยาดน้ำรินไหลออกจากดวงตาที่ปิดสนิท รอยยิ้มจางผุดขึ้นก่อนลมหายใจสุดท้าย
หญิงสาวคนหนึ่งที่เกิดมาพร้อมๆ กับชีวิตที่ต้องต่อสู้มาตั้งแต่เด็ก นางอดทนทำทุกอย่างเพื่อครอบครัวและทุกคนที่นางรัก ไม่เคยมีคำบ่นออกจากปาก ไม่เคยมีความคิดย่อท้อออกจากใจ
กับลูกๆ ที่เป็นเสมือนแก้วตาดวงใจ ตั้งแต่ลมหายใจแรกของพวกเขาจนถึงวินาทีสุดท้ายของลมหายใจของนาง ไม่เคยมีวันใดเลยที่นางจะไม่รักไม่ห่วง นางไม่เคยนึกโกรธหรือโทษพวกเขาแม้ว่าสิ่งที่เหล่าลูกๆ ได้กระทำจะทำให้นางเจ็บช้ำหรือทุกข์ทรมานสักเพียงใด
และไม่ว่าลูกๆ จะผิดต่อนางมากขนาดไหนก็ตาม นางก็ยังคงให้อภัยและพร้อมจะยื่นมือเข้าโอบกอด ด้วยรอยยิ้ม ด้วยแววตาแห่งความอารี และด้วยความรักเสมอมาไม่เคยเปลี่ยนแปลง
นี่กระมัง ความเป็นแม่