ฝันที่เป็นจริง
เด็กหญิงยืนอยู่ต่อหน้าหญิงชราแปลกหน้าในสถานที่ๆ เต็มไปด้วยม่านหมอกอึมครึมจนไม่รู้ว่านี่คือที่ใด นางกำลังเอ่ยคำพูดคล้ายการเชิญชวนหรือการเจรจาอะไรสักอย่างกับเด็กหญิง ปากเหี่ยวย่นขยับขึ้นลง แววตาและรอยยิ้มที่ดูเหมือนเป็นมิตรนั้นชวนให้ขนลุกอย่างน่าประหลาด
“หนูอยากทำให้ฝันเป็นจริงมั้ยล่ะ อยากให้สิ่งที่พูดเป็นจริงมั้ย หนูไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอเวลาที่โดนเพื่อนๆ หัวเราะเยาะน่ะ”
เพียงได้ยินคำพูดนั้นของหญิงชรา อารมณ์ของเด็กหญิงก็เดือดดาลขึ้นราวกับมีใครเอากองไฟมาสุมไว้
...........................................
“สวัสดีค่ะ คุณลูกหมู เอ๊ย คุณลูกหนู วันนี้คุณหญิงแม่ก็ผูกปิ่นโตมาให้จากบ้านเหมือนเดิมเลยนะคะ”
“ไหนดูซิพวกเราว่ามีอะไรมารับประทานบ้าง ว๊าย ตายแล้ว ข้าวไข่เจียวเชียวนะพวกเธอ น่ากินมาก”
“นี่ๆ พวกเธออย่าพูดอย่างนั้นสิ คุณลูกหนูเค้าคงกินอาหารดีๆ แพงๆ ที่บ้านจนเบื่อแล้วน่ะ เลยให้คุณหญิงแม่ทำข้าวไข่เจียวมาให้กินที่โรงเรียนแทบทุกวันอย่างนี้ไง”
“ปัง”
ลูกหนูกระแทกปิดฝากล่องอาหาร ยัดมันใส่ย่ามอย่างลวกๆ ก่อนจะเดินฝ่าวงล้อมของเพื่อนนักเรียนที่กำลังยืนล้อมหน้าล้อมหลังรอบโต๊ะอาหารที่เธอนั่งอยู่อย่างหัวเสีย
เสียงพูดจาล้อเลียนและหัวเราะเฮฮาดังขึ้นไม่ขาดสายตลอดเส้นทางที่เดินผ่านจนเธอแทบอยากจะหายตัวไปเสียเดี๋ยวนั้นเลย
“นี่ๆ พวกเราไม่ทำกันเกินไปหน่อยเหรอ นี่มันกลางโรงอาหารเลยนะ”
“เชอะ ไปสงสารทำไม สมควรแล้วล่ะ หน้าตาก็ขี้เหร่ อ้วนเป็นหมู บ้านก็จน ยังจะเที่ยวบอกใครต่อใครอีกว่าที่จริงบ้านตัวเองรวย แม่ตัวเองแท้ๆ ยังจะบอกว่าเป็นแค่แม่เลี้ยงใจร้ายที่เอาแต่รังแกตัวเอง คนขี้โกหกแบบนี้ไม่ต้องไปสงสารหรอก ต้องสั่งสอนให้เข็ดสิไม่ว่า”
“ใช่ๆ ถ้าทำตัวดีกว่านี้หน่อยก็คงไม่มีใครทำอะไรแบบนี้หรอก คงมีแต่คนเห็นใจคอยช่วยเหลือแล้วล่ะ”
ตลอดช่วงบ่าย แม้การเรียนการสอนจะดูเป็นปกติดังเช่นทุกวัน แต่จิตใจของลูกหนูกลับไม่ปกติอย่างเคย เธอเฝ้าแต่คิดเคียดแค้นเหล่าบรรดาคนที่กลั่นแกล้งให้ต้องอับอายกลางโรงอาหาร
“ลูกหนู ไหนลองตอบโจทย์เมื่อกี้ที่ครูถามซิ”
เด็กหญิงยังคงนั่งนิ่งความคิดวกวนอยู่แต่กับเรื่องของตัวเองจนสิ่งที่ครูพูดไม่ได้เข้าหูเลยแม้แต่คำเดียว
“นี่ ยัยลูกหนู ครูบอกให้ตอบโจทย์ที่ครูถาม ได้ยินมั้ย”
ครูตวาดเสียงดัง เธอสะดุ้งยืนตัวตรงพร้อมด้วยเสียงฮาครืนจากบรรดาเพื่อนร่วมห้อง
“เอ่อ”
เธอทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างก่อนที่จะเงียบไปอีกครั้ง เพื่อนๆ แอบหัวเราะกันเป็นที่สนุกสนาน ครูที่ยืนอยู่หน้าชั้นส่ายหัวด้วยความผิดหวัง
“นี่ครูเพิ่งสอนไปเมื่อกี้เอง เธอไม่ได้ฟังเลยใช่มั้ย ไปยืนสงบสติอารมณ์หน้าห้องจนกว่าจะหมดชั่วโมงนี้ก็แล้วกัน”
...........................................
ทำไม ทำไมใครๆ ก็เอาแต่คอยกลั่นแกล้งเรา ไม่ว่าจะพวกเพื่อนร่วมห้องจอมปลอมหรือแม้แต่ครูต่างก็ร้ายกาจกับเรา
เด็กหญิงคิดอย่างเคียดแค้นจนไม่สามารถปิดบังความรู้สึกที่ออกมาทางใบหน้าได้ หญิงชราลอบสังเกตอาการแล้วแอบแสดงอาการพึงพอใจออกมา
“อะ แฮ่ม”
นางกระแอมหนึ่งครั้งเพื่อดึงความสนใจของเด็กหญิงกลับคืนมา หญิงชราเดินวนไปรอบๆ ตัวเด็กหญิง วาดมือเหี่ยวย่นไปในอากาศพร้อมๆ กับเปล่งเสียงเล็กแหลมน่าเกลียดขึ้นมาอีกครั้ง
“ไม่อยากใช้ชีวิตสุขสบายในคฤหาสน์หลังใหญ่ๆ เหรอ มันยอดเยี่ยมกว่ากระต๊อบหลังเล็กๆ มากนะ คฤหาสน์ที่เต็มไปด้วยเหล่าข้าทาสบริวารและสิ่ง้อำนวยความสะดวกมากมาย”
...........................................
“อ๊อด...ดดด”
เสียงออดเลิกเรียนลากเสียงดังยาวจนปวดแก้วหู ลูกหนูนั่งซุกตัวอยู่ในห้องน้ำ วันนี้เธอได้ฟังเสียงหัวเราะเยาะ ได้เห็นสีหน้าเย้ยหยันมามากพอแล้ว เธอรอจนเด็กคนอื่นกลับไปจนเกือบหมดถึงเดินออกมา
“อ้าว ว่าไงคุณลูกหนู วันนี้คุณหญิงแม่ไม่ให้คนใช้ขับรถมารับเหรอครับ อ๋อ สงสัยอยากจะเดินกลับบ้านออกกำลังกายสินะครับ”
“เห้ย ไปล้อน้องเค้าอย่างนั้นไม่ดีนะ ฮ่ะๆ”
ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่วายที่จะยังโดนล้อเลียนจากนักเรียนบางกลุ่มที่ยังนั่งคุยนั่งเล่นกันอยู่จนเกือบค่ำ ลูกหนูกำหมัดแน่น ก้มหน้าเดินซอยเท้าถี่ยิบออกจากโรงเรียน
ในเขตปริมณฑลที่ความเจริญเพิ่งย่างกรายเข้ามาได้ไม่นาน แม้ทางดินจะถูกแทนที่ด้วยถนนลาดยางเรียบร้อยแล้ว แต่สองข้างทางยังคงมีทุ่งหญ้า นาข้าว สลับกับบ้านคนให้เห็นเป็นระยะๆ
บ้านของเด็กหญิงตั้งอยู่ในส่วนที่ทางลาดยางยังไปไม่ถึง ด้วยระยะทางขนาดนี้หากเป็นคนทั่วไปคงเลือกที่จะนั่งรถโดยสาร แต่ลูกหนูไม่ใช่ เธอเลือกที่จะเดินอ้อยอิ่งไปตามทางเพราะรู้ดีว่าไม่มีอะไรพิเศษรออยู่ที่บ้าน
ที่ทางแยกกึ่งกลางพอดิบพอดีระหว่างทางไปกลับบ้านและโรงเรียน เดินเข้าไปไม่ไกลมีคฤหาสน์หลังใหญ่ปลูกอยู่ รั้วสูงที่ล้อมรอบและประตูรั้วโลหะเงาวับขนาดใหญ่ยิ่งขับให้ตัวคฤหาสน์ดูทรงพลังน่าเกรงขามมากยิ่งขึ้น
เด็กหญิงมักจะหยุดแวะมองเข้าไปยังตัวคฤหาสน์เกือบทุกเช้าเย็น สำหรับเธอแล้วมันดูมีเสน่ห์และน่าหลงใหลเหมือนกับเป็นคฤหาสน์ในโลกแห่งจินตนาการก็ไม่ปาน
รถยนต์หรูแล่นเอื่อยสง่างามมาหยุดอยู่หน้าประตูรั้ว มันค่อยๆ เลื่อนเปิดออกเผยให้เห็นทางยาวจากด้านหน้าเข้าไปยังตัวคฤหาสน์ ไม่ดอกไม้พุ่มที่ถูกตัดแต่งอย่างสวยงามเรียงรายไปตามสองข้างทาง
พ่อบ้านสองคนยืนโค้งคำนับเมื่อรถยนต์เคลื่อนตัวผ่านไป พ่อบ้านอีกสองคนรอต้อนรับและยกสำพาระที่ปากประตูคฤหาสน์
ประตูรั้วเคลื่อนตัวปิดสนิทลง เด็กหญิงกลับมาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงที่เธอทำได้เพียงแค่ยืนมอง
...........................................
เราจะรู้สึกยังไงนะถ้าได้ใช้ชีวิตภายในคฤหาสน์หลังนั้น วันๆ คงสุขสบายจะหยิบจับอะไรก็มีคนนั้นคนนี้คอยช่วย จะเดินไปไหนก็มีแต่คนคอยพินอบพิเทา จะไปเที่ยวจับจ่ายที่ไหนก็ย่อมได้ ไปโรงเรียนก็มีรถหรูไปรับไปส่ง
เด็กหญิงเคลิบเคลิ้มไปกับวิมานในอากาศ ยิ่งภาพในหัวสมองเด่นชัดสมจริงมากขึ้นเท่าไหร่ คนเราก็จะยิ่งยอมรับสภาพความเป็นจริงที่เป็นอยู่ไม่ได้มากขึ้นเท่านั้น การใช้ชีวิตมาแสนยาวนานทำให้หญิงชรารู้เรื่องเหล่านี้ดี
ยายเฒ่าไม่รอให้จินตนาการของเด็กหญิงขาดช่วง นางยื่นหน้าเข้าไปใกล้จากทางด้านหลัง กระซิบข้างหูช้าๆ ทีละคำ ทีละคำ เพื่อตอกย้ำส่งเสริมสิ่งที่เด็กหญิงกำลังมโนภาพอยู่
“จะดีมั้ยล่ะ ที่มีแม่ใจดีแสนสวยขนาดที่ใครเห็นก็ต้องชื่นชม ไปไหนมาไหนด้วยกันก็ไม่ต้องอายใคร พาไปวันประชุมผู้ปกครองเพื่อนๆ ในห้องทุกคนต่างก็อิจฉา เป็นแม่แบบที่ใครๆ ก็อยากมีไงล่ะ”
...........................................
ดวงดาวลอยเกลื่อนหลังจากที่ดวงตะวันลาลับขอบฟ้าไปพักหนึ่งแล้ว เด็กหญิงเปิดประตูบ้านเข้าไป แม่ของเธอที่กำลังรออย่างกระวนกระวายใจที่โต๊ะอาหาร เมื่อเห็นลูกสาวกลับมาก็รีบโผเข้าหาทันที
“ลูกหนู นี่หนูไปไหนมาถึงได้กลับดึกดื่นขนาดนี้ เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า หรือบาดเจ็บอะไรตรงไหนมั้ย มาให้แม่ดูหน่อยซิ”
เธอจับลูกสาวหมุนไปหมุนมา ดูตรงนั้นทีตรงนี้ทีด้วยความเป็นห่วงกลัวว่าลูกสุดที่รักจะได้รับอันตรายอะไรมา
“ไม่มีอะไรหรอก แค่เดินเล่นไปเรื่อยๆ เอง”
เด็กหญิงตอบ สะบัดแขนให้แม่ปล่อยอย่างรำคาญใจ จัดแจงเหวี่ยงกระเป๋าหนังสือทิ้งแล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะอาหาร แม่เดินตามมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับลูกสาว
“มาๆ กลับมาก็ดีแล้ว มากินข้าวกันดีกว่า นี่ดูสิกับข้าวเยอะแยะเลยนะ มีน้ำพริกปลาทู แกงจืดหมูสับ ไข่เจียว ของชอบของหนูทั้งนั้น”
นางพูดพร้อมตักเนื้อปลาทูที่บรรจงแกะเอาก้างออกแล้วทั้งชิ้นให้ลูกสาว ก่อนจะตักน้ำพริกกะปิราดลงไปบนตัวปลาทูหน่อยหนึ่ง เด็กหญิงแบะปากถอนหายใจยาวทำท่าเขี่ยอาหารในจานตรงหน้าไปมา แม่ยังคงพูดนั่นพูดนี่ไปเรื่อยไม่หยุดตั้งแต่เธอกลับมา
“เออ แล้วเรื่องประชุมผู้ปกครองวันศุกร์นี้น่ะ แม่ต้องไปกี่โมง มีเรื่องอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า”
เด็กหญิงกำช้อนส้อมแน่นจนมือสั่น เธอกระแทกมันลงไปกับจานสังกะสีจนข้าวกระเด็นหกเกลื่อนโต๊ะ
“แม่ไม่ต้องทำเป็นรู้ดีไปทุกเรื่องเลย หนูจะบอกอะไรให้นะ กับข้าวพวกนี้น่ะ หนูไม่ได้ชอบ ก็มีแต่แม่เท่านั้นล่ะที่คิดไปเองว่าหนูชอบนั่นชอบนี่”
แม่ของเด็กหญิงตกใจกับเหตุการณ์สุดคาดคิดตรงหน้า เธอตาค้างเหงื่อตกไม่คิดว่าลูกสาวจะทำอะไรแบบนี้ออกมาได้
“แล้วหนูอยากกินอะไรล่ะจ๊ะ แม่จะได้หามาให้”
“ไม่ต้องหรอกแม่ หนูอยากกินอาหารดีๆ สเต็ก หนูฉลาม น่ะ แม่หามาได้มั้ย บ้านเรามันจน ถ้าทำไม่ได้แม่ก็ไม่ต้องพูดหรอก แล้วอีกอย่างนะ วันศุกร์นี้แม่ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น หนูไม่อยากให้แม่ไปโรงเรียนด้วย หนูอายเพื่อนๆ เข้าใจมั้ยแม่”
พูดจบเด็กหญิงก็วิ่งออกจากบ้านไปปล่อยให้แม่ของเธอได้แต่นั่งตาค้างอยู่ที่โต๊ะอาหารที่เดิม
เชอะ ถามมาได้ว่าอยากได้อยากกินอะไร ทำไม่ได้อยู่แล้วยังจะมาพูด แม่นั่นล่ะทำให้หนูกลายเป็นตัวตลก ใครๆ ก็ล้อเลียนหนูที่มีแม่พูดจาไม่รู้เรื่อง ใครพูดอะไรก็เอาแต่จะตื่นเต้นตกใจเกินเหตุ แล้วที่หนูเกิดมามีรูปร่างหน้าตาแบบนี้ก็เพราะแม่อีกนั่นล่ะ
เด็กหญิงคิดเรื่องราวต่างๆ วนไปวนมา ความคิดทั้งหมดล้วนโทษแม่ของตัวเอง เธอเดินไปเรื่อยๆ ตามทางเท้า ไฟแสงจันทร์ที่ติดอยู่ห่างๆ ทำให้ดูไม่วังเวงจนเกินไปนัก
แม่น่ะก็แค่แม่เลี้ยงใจร้ายที่คอยแต่จะกลั่นแกล้งให้เราได้อายต่อหน้าคนอื่นเท่านั้นเอง พ่อแม่ที่แท้จริงของเราต้องเป็นคนรวยอยู่ที่ไหนสักแห่งในโลกนี้แน่ๆ เมื่อไหร่จะกลับมาแล้วพาเราไปจากสภาพแย่ๆ อย่างนี้ซะที
จู่ๆ แสงไฟจากเสาไฟฟ้าค่อยๆ ดับลงทีละดวง ดวงจันทร์และดวงดาวที่ทอแสงเต็มฟ้ากลับดับมืดไป ม่านหมอกไม่ทราบที่มาแผ่ขยายปกคลุมบดบังวิสัยทัศน์ทนไม่อาจมองเห็นอะไรได้อีก
เด็กหญิงตกใจกับทิวทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างฉับพลันจนไม่อาจก้าวเดินต่อ เธอหันมองบรรยากาศรอบกายอย่างตื่นตระหนก หวังว่าจะได้เห็นถนน บ้านคน ต้นไม้ หรือแสงไฟที่คุ้นตา แต่รอบกายกลับเหลือเพียงความมืดมิดและม่านหมอกอันคลุมเครือ
“ต๊อก ต๊อก ต๊อก”
เสียงย้ำเท้าดังกังวานขึ้นในความว่างเปล่า แสงสีส้มจากตะเกียงฉายตัดหมอก เด็กหญิงตื่นเต้นกับสิ่งที่จะได้พบตรงหน้าจนแทบทรุด
และผู้ที่เดินออกมาจากความว่างเปล่านั้นก็คือหญิงชราคนหนึ่ง
...........................................
“เพียงแค่ทำสัญญาเท่านั้น ทุกอย่างก็จะสมปรารถนา ง่ายๆ แค่นั้นเอง ว่ายังไงล่ะแม่หนูน้อย”
“การทำสัญญาที่ยายพูดถึงน่ะ ใช่การขายวิญญาณหรืออะไรทำนองนี้รึเปล่า หนูรู้นะ”
เด็กหญิงถามด้วยความหวาดระแวง เธอเคยอ่านเจอมานักต่อนักเรื่องการทำสัญญากับปีศาจโดยการแลกเปลี่ยนทางวิญญาณ ถึงในตอนแรกจะสมปรารถนาแต่สุดท้ายวิญญาณก็จะถูกกลืนกิน ไม่ได้ผุดได้เกิด ทรมานตลอดไป
“เฮี้ย ฮ่าๆๆ หนูน้อยเอ๋ย เรื่องแบบนั้นน่ะ ไม่มีหรอก ยายจะอยากได้วิญญาณของเด็กๆ ไปทำไม รู้รึเปล่า วิญญาณน่ะเป็นของบริสุทธิ์ ไม่มีรูปร่าง จับต้องไม่ได้ ปรุงแต่งก็ไม่ได้ ถึงเอาไปได้ก็ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้หรอก”
“เอ้า ตกลงว่ายังไง อยากมีชีวิตที่เปลี่ยนไป หรือจะกลับไปเป็นแบบเดิมที่พอกลับบ้านไปจากนี้ต้องเจอแม่คนเดิม พรุ่งนี้ไปโรงเรียนก็ต้องเป็นตัวตลกแบบเดิม แล้วก็เฝ้าอิจฉาใครต่อใครเหมือนเดิม”
หญิงชราหัวเราะน่าเกลียด อธิบายยืดยาวก่อนจะสำทับด้วยประโยคที่แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน เด็กหญิงครุ่นคิดถึงใบหน้าอ้วนฉุของแม่ในบ้านโทรมๆ หลังเก่า คิดถึงคฤหาสน์หลังใหญ่ และคิดถึงใบหน้าเหล่าเพื่อนๆ ที่หัวเราะเยาะกลั่นแกล้งเธอ
“ขอแค่ให้ทุกคนเชื่อหนู เชื่อในสิ่งที่หนูพูด หากไม่ใช่การแลกวิญญาณหรืออะไรประเภทนั้น หนูตกลง”
“เฮี้ย ฮ่าๆๆๆ ดีมาก ดีมาก หนูน้อย นี่ถือว่าข้อตกลงของเราลุล่วงเรียบร้อย”
ร่างยายแก่ถือตะเกียงค่อยๆ เคลื่อนถอยห่างจนกลืนไปกับฉากหลัง ม่านหมอกที่บดบังสายตาพลันจางลงอย่างรวดเร็ว ฉับพลันท้องฟ้ามืดมิดเริ่มมีแสงดาวมาแตะแต้ม แสงสีส้มจากหลอดแสงจันทร์ติดไล่เรียงจากปลายถนนมาทีละดวง
“เจ้าจะได้ในสิ่งที่ปรารถนา มีความสุขกับฝันเข้าเจ้าให้เต็มที่นะ เฮี้ย ฮ่าๆๆ”
เสียงหญิงชราดังกังวานมาจากที่ไหนสักแห่ง และเมื่อเด็กหญิงรู้สึกตัวอีกทีเธอก็พบว่าตนเองได้มายืนอยู่หน้าประตูรั้วของคฤหาสน์หลังงามที่เธอได้แต่เฝ้ามองมันทุกเช้าเย็น
“โอ คุณหนู คุณหนูอยู่นี่เอง มายืนทำอะไรตรงนี้ครับ ผมไปรับที่โรงเรียนก็ไม่เจอ แล้วนี่กลับมาได้ยังไงครับเนี่ย มาๆ รีบเข้ามาข้างในเร็วครับ คุณพ่อกับคุณแม่เป็นห่วงแย่แล้วนะครับ”
ชายชราซึ่งเด็กหญิงจำได้ว่าคือพ่อบ้านของคฤหาสน์หลังนี้เดินมาหา เขาจูงมือเธอพาเดินเข้าไปในตัวคฤหาสน์ราวกับคนคุ้นเคย
“นี่ ลูกหนู หนูไปอยู่ที่ไหนมาจ๊ะ คนที่บ้านร้อนใจกันไปหมดแล้วนะลูก คิดว่าถ้าหาอีกซักพักไม่เจอก็จะไปแจ้งตำรวจแล้วนะ”
หญิงท่าทางภูมิฐานที่เหล่าพ่อบ้านแม่บ้านเรียกว่าคุณนายเข้ามาโอบกอดถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง เด็กหญิงรู้สึกงวยงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนถึงกับไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร
“นี่ทำไมนิ่งไปล่ะลูก ไม่สบายรึเปล่า ถ้าอย่างนั้นรีบพักผ่อนดีกว่านะ เดี๋ยวคุณป้าช่วยพาลูกหนูไปอาบน้ำอาบท่าแล้วรีบพาเข้านอนซะนะ”
“ค่ะ คุณนาย”
แม่บ้านรับคำก่อนจะนำทางเด็กหญิงขึ้นไปยังชั้นสอง ภายในคฤหาสน์ทั้งหลังตกแต่งโดยเน้นสีขาวเพื่อความโอ่โถงสะอาดตา พื้นปูด้วยหินอ่อน หลายจุดมีรูปปั้นวางประดับอยู่ ผนังก็ประดับด้วยกรอบรูปราคาแพง และที่เพดานก็เป็นโคมไฟระย้าสวยวิจิตร เธอมองไปทั่วบริเวณอย่างหลงใหล
นี่มันเร็วขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย
คืนนั้นบนเตียงนุ่มขนาดใหญ่ เด็กหญิงนอนหลับด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างเป็นสุขภายใต้ผ้าห่มอุ่นในห้องนอนที่ถูกปรับอากาศจนเย็นสบาย ในความฝันเธอเห็นตัวเองแต่งชุดสวย ได้ไปไหนต่อไหนที่ไม่เคยได้ไป และได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตลอดไป
...........................................
เช้าที่อากาศแจ่มใส เมฆขาวลอยค้างเติ่งอยู่กลางท้องฟ้าสีสด โรงเรียนที่ปราศจากสีสันและเรื่องตื่นเต้นใดๆ ก็คงเป็นเช่นเคยหากไม่เพียงว่าในวันนี้มีรถยนต์หรูคันใหญ่แล่นมาจอดที่ประตูรั้วโรงเรียน และคนที่ก้าวลงมาจากรถคันนั้นเป็นเด็กผู้หญิงที่ชื่อลูกหนู
“นั่นยายลูกหนูไปทำอะไรบนรถคนอื่นล่ะนั่น”
“เจ้าของเค้าคงใจดี ให้อาศัยมาล่ะมั้ง”
ในทีแรกเสียงซุบซิบที่พูดถึงจะเป็นในเชิงนั้น จนกระทั่งเหตุการณ์เดิมเกิดขึ้นในตอนเย็นหลังเลิกเรียน และในเช้าวันถัดๆ ไป เมื่อถึงวันประชุมผู้ปกครอง ผู้ที่พาเด็กหญิงมากลับไม่ใช่แม่อ้วนฉุท่าทางลุกลี้ลุกลนคนเดิม หากแต่เป็นหญิงแสนสวยท่าทางภูมิฐานคนหนึ่งที่ใครได้เห็นต่างก็ชื่นชม
ทุกคนที่รู้จักเด็กหญิงต่างแปลกใจต่อสิ่งที่ได้เห็นมาตลอดสัปดาห์โดยเฉพาะวันนี้ จนในที่สุดก็มีคนเอ่ยปากถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น
“อ๋อ นั่นแม่เราเองแหละ ก็ที่เราเคยบอกพวกเธอไปแล้วไงแต่พวกเธอไม่เชื่อกันเอง ว่าเราน่ะเป็นลูกบ้านอื่น แต่มีเหตุให้ต้องอยู่กับแม่เลี้ยงใจร้ายที่พวกเธอเห็นกันนั่นน่ะ”
แม้จะเป็นคำพูดประโยคเดิม แต่ด้วยหลักฐานในคราวนี้กลับทำให้สิ่งที่ฟังดูเหมือนนิทานมีน้ำหนักขึ้นมาในทันที
“ถ้ายังไงเย็นนี้พวกเธอมาเที่ยวบ้านเราสิ มากินข้าวเย็นแล้วก็นั่งคุยนั่งเล่นกัน บ้านเราอยู่ไม่ไกลหรอกพวกเธอต้องเคยเห็นกันบ้างแหละ”
เพื่อนหลายคนตกปากรับคำ ทั้งคนที่เชื่อและคนที่ยังลังเลว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่ ในเย็นวันนั้นคฤหาสน์ได้ต้อนรับเด็กตัวน้อยหลายคน โต๊ะอาหารตัวยาวเต็มไปด้วยอาหารคาวหวานสุดหรูหลากหลายรายการ เพื่อนๆ ทุกคนได้แต่ทำตาโตอ้าปากค้าง ต่างเอ่ยปากชมความงดงามและหรูหราไม่ขาดปาก
“ขอบใจนะที่ให้พวกเรามาเที่ยวบ้าน แถมยังเลี้ยงอาหารดีๆ เราตั้งเยอะแน่ะ”
“พวกเราขอโทษนะที่ไม่เชื่อเธอตั้งแต่แรก ก็ใครจะไปรู้ล่ะว่าเรื่องอย่างกับนิทานที่เธอบอกจะเป็นเรื่องจริง”
“อ๋อ ไม่เป็นไรหรอก เราเข้าใจ เราไม่โกรธหรอก เราก็ว่าเรื่องอย่างนั้นมันเชื่อยากอยู่ แต่ตอนนี้พวกเธอก็เห็นแล้วว่าเราไม่ได้โกหก”
“จ้า แหม ต่อไปนี้ต้องเป็นพวกเราที่อิจฉาเธอแล้วสิเนี่ย”
“ไม่หรอกน่าพวกเธอ เราก็ยังเป็นลูกหนูคนเดิม เป็นเพื่อนพวกเธอเหมือนเดิมแหละ”
ลึกๆ แล้วเหล่าเพื่อนๆ ต่างก็อิจฉาที่จู่ๆ เด็กหญิงขี้เหร่ชอบโกหกก็ได้กลายเป็นซินเดอเรลล่าในชั่วข้ามคืน ส่วนเด็กหญิงที่ถึงแม้จะดูถ่อมตนแต่ในน้ำคำกลับแฝงไว้ด้วยความเย่อหยิ่งจองหอง
ดังนั้น น้ำเสียงและบทสนทนาของทั้งผู้มาเยือนและเจ้าบ้านจึงเต็มไปด้วยความนอบน้อมถ้อยทีถ้อยอาศัยจนผิดธรรมชาติ แต่ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะทุกคนต่างเชื่ออย่างสนิทใจแล้วว่าเรื่องทั้งหมดคือเรื่องจริง
“ลูกหนู เธอไม่ต้องส่งเราไกลหรอก นี่ก็มืดแล้ว ต้องเดินกลับอีก เดี๋ยวแม่เธอจะเป็นห่วงเอานะ”
“ถ้าอย่างนั้นเราส่งพวกเธอแค่นี้ก็แล้วกันนะ ไว้ว่างๆ ก็มาเที่ยวบ้านเราใหม่”
“จ้า บ๊ายบาย”
เมื่อร่ำลากับเป็นที่เรียบร้อย เด็กหญิงเดินอ้อยอิ่งกลับบ้าน ฟ้าในค่ำคืนนี้ใสจนเหล่าดวงดาวนับไม่ถ้วนพร้อมหน้ากันมากระพริบวิบวับให้ได้เห็น สายลมเย็นพัดเอื่อยๆ กำลังเย็นสบาย เธอเดินยิ้มอยู่คนเดียวอย่างสุขใจด้วยความรู้สึกของผู้มีชัย
ความรู้สึกของผู้ที่อยู่เหนือกว่ามันยอดเยี่ยมอย่างนี้นี่เอง ความรู้สึกของการที่เป็นที่ยอมรับมันเป็นอย่างนี้นี่เอง
เด็กหญิงเดินผ่านประตูรั้วคฤหาสน์ที่เปิดทิ้งไว้ ทอดน่องชมสวนในเวลากลางคืนที่ประดับไปด้วยแสงไฟ
“คุณพ่อ คุณแม่ขา หนูกลับมาแล้วค่ะ”
เธอทักทายเสียงหวานเมื่อเปิดประตูบ้านเข้าไป ทุกคนหยุดมือกับกิจกรรมตรงหน้าหันมามองต้นเสียงเป็นตาเดียวกัน
“ต๊าย นังเด็กเหลือขอกะโปโลนี่ใครกัน แล้วเข้ามาที่นี่ได้ยังไง”
คุณนายของบ้านเหมือนจะตั้งสติได้ก่อน เธอร้องเสียงสูงด้วยความแปลกใจ เด็กหญิงเองก็แปลกใจไม่แพ้กันเมื่อได้ยินคำพูดนั้น
“แม่คะ นี่หนูเอง ลูกหนูไง”
“นี่ กล้าดียังไงมาเรียกชั้นว่าแม่ ใครเป็นแม่เธอกัน พวกแกลากนังเด็กเหลือขอนี่ออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ”
เด็กหญิงยิ้มตาค้าง ไม่ทันได้คิดอะไรต่อก็ถูกพ่อบ้านสองคนลากแขนออกมาปล่อยนอกรั้วคฤหาสน์
“จะเล่นจะทำอะไรก็ให้มีขอบเขตบ้างนะหนู เข้ามาบ้านคนอื่นยามวิกาลอย่างนี้มันผิดกฎหมายรู้มั้ย”
“คุณลุงขา นี่หนูเอง ลูกหนูไง”
เด็กหญิงทรุดตัวเกาะซี่รั้วเย็นเฉียบ พยายามร้องเรียกเพื่ออธิบายกับทุกคน แต่ไม่มีใครสนใจ พ่อบ้านทั้งคู่หันหลังเดินกลับเข้าไปในคฤหาสน์
อะไร เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมเป็นอย่างนี้ ไม่จริง ไม่จริงใช่มั้ย ก็ชั้นเป็นลูกสาวของบ้านนี้นี่
เด็กหญิงสับสน น้ำตานองหน้า พยายามคิดจนหัวแทบระเบิดก็ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นที่จู่ๆ ทุกคนในบ้านก็เห็นเธอเป็นคนแปลกหน้าทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่กี่นาทีทุกอย่างยังดูปกติดี
“เฮี้ย ฮ่าๆๆๆ”
เสียงหัวเราะน่าสยดสยองดังขึ้น เด็กหญิงจำได้ดีว่ามันคือเสียงหัวเราะของหญิงชราที่เธอเคยพบและได้ทำสัญญากันในสถานที่แปลกๆ เธอหันไปมองรอบๆ แต่ไม่พบเจ้าของเสียง
“ยาย ยายใช่มั้ย นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมทุกคนในบ้านจำไม่ได้ว่าหนูเป็นลูกสาวเค้า ทำไมใครๆ ก็ทำเป็นไม่รู้จักหนู”
เธอหมุนตัวไปรอบพูดกับอากาศที่ว่างเปล่า ทั้งๆ ที่ไม่เห็นใครแต่เด็กหญิงรู้ว่าหญิงชราต้องอยู่แถวนี้แน่นอน
“ตอนนี้ทุกคนก็เชื่อแล้วไงล่ะ ว่าแกเป็นลูกเศรษฐี อยู่คฤหาสน์หลังใหญ่ มีชีวิตสุขสบาย ไม่มีข้อไหนที่ไม่ตรงตามข้อสัญญาเลยนะ ดังนั้น สัญญาข้อนี้ถือว่าได้บรรลุเสร็จสิ้นแล้ว”
เสียงเล็กแหลมดังก้องอยู่ในหัวเด็กหญิง คำอธิบายของหญิงชราที่ฟังแล้วยิ่งทำให้เธอถึงกับประสาทเสีย
“ไม่จริง แบบนี้ไม่ยุติธรรมเลย ยายแก่ แก แกหลอกชั้น”
ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ทุกอย่างเงียบสงัดนอกจากเสียงของเธอเอง เธอกรีดร้อง ด่าทอราวคนบ้า น้ำตาไหลพราก เมื่อสักครู่เธอยังนั่งหัวเราะกับเพื่อนๆ กินอาหารหรูในคฤหาสน์อยู่เลย แต่ตอนนี้กลับต้องมายืนอยู่คนเดียวบนถนนมืดๆ เพียงชั่วพริบตาเดียวที่เทพธิดาอย่างเธอตกสวรรค์ลงมา
“ไม่ ไม่จริง ชั้นไม่ยอม”
เธอทรุดลง สะอื้นไห้ พูดคำซ้ำๆ จิตใจกำลังจมดิ่งกลืนไปกับความมืดมิดรอบกาย และในช่วงที่จิตใจกำลังย่ำแย่ถึงที่สุด ภาพใครคนหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวสมอง เธอตัวอ้วน เตี้ย ผมสั้นดัดจนหยิก แต่งตัวด้วยเสื้อผ้ามอซอ ชอบทำอะไรเปิ่นๆ ต่อหน้าคนอื่น
แม่
หญิงคนเดียวที่เป็นแสงสว่างเล็กๆ คนเดียวที่เด็กหญิงนึกถึงยามท้อแท้สุดกำลัง เด็กหญิงเช็ดคราบน้ำตา ลุกขึ้นยืนก่อนจะวิ่งฝ่าความมืดเพื่อตรงกลับบ้านหลังเดิมของเธอ บ้านที่ถึงจะเล็กแต่ก็อบอุ่น แม่ที่ถึงจะไม่ได้ดีที่สุดแต่ก็รักเธอที่สุด
ใช่แล้ว เรายังมีแม่อยู่ แม่ที่รักเราเสมอไม่เคยเปลี่ยน แม่ที่เอาใจใส่เรากว่าคนไหนๆ นี่ก็หลายวันแล้วที่เราไม่ได้กลับบ้าน ป่านนี้แม่คงเป็นห่วงเราจนกินไม่ได้นอนไม่หลับแล้ว
ที่สุดถนนลาดยาง เด็กหญิงยืนหอบอยู่หน้าบ้านของตนเองจากการวิ่งมาระยะหนึ่ง เธอยิ้มที่ได้กลับมาเห็นภาพเดิมๆ ที่เธอเคยรังเกียจ เธอดีใจที่จะได้กลับมาสู่อ้อมกอดของแม่คนเดิม
“แม่ แม่จ๋า หนูกลับมาแล้ว”
เด็กหญิงตะโกนร้องเรียก แต่ความเงียบคือคำตอบที่ได้รับ เธอนึกแปลกใจเพราะในยามปกติหากได้ยินเสียงแม่ของเธอจะต้องรีบออกมารับแล้ว
ที่นี่เงียบจริงๆ ไม่มีแม้แต่เสียงแมลงร้องหรือเสียงลมพัด มันดูสงบจนน่ากลัว ภายในบ้านก็ไร้แสงสว่างใดๆ เล็ดรอดออกมา เด็กหญิงใจเต้นรัวเมื่อสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นทั้งหมด
“แอ๊ด...ดดด”
เธอเอื้อมมือผลักบานประตู เดินช้าๆ ทีละก้าวเข้าไป ทั้งบ้านมืดสนิท มีเพียงแสงที่สาดเข้ามาทางประตูหน้าต่างบ้านเท่านั้นที่ทำให้พอมองเห็นอะไรได้บ้าง สายตาเธอมองหาแม่ แต่ไม่มีใครอยู่
“แม่ แม่อยู่ไหน หนูกลับมาแล้ว”
“ปัง”
ประตูปิดดังปัง เด็กหญิงสะดุ้งหมุนกลับไปมอง หญิงวัยกลางคนรูปร่างอ้วนเตี้ย ผมดัดหยิก ในมือถือตะเกียง ยืนขวางประตูบ้านอยู่
“แม่ แม่ แม่ใช่มั้ย แม่จ๋า”
“ใช่แล้ว ชั้นแม่แกไง กลับมาก็ดีแล้ว”
น้ำเสียงไม่เหมือนปกติ มันฟังดุดันและเกรี้ยวกราดกว่าเคย ใบหน้าที่สะท้อนแสงสีส้มจากตะเกียงดูราวอสูรกายร้าย เธอพาร่างอุ้ยอ้ายเข้ามาใกล้เข้าทีละน้อย เสียงลากโซ่ตามพื้นดังเสียดไปถึงสมอง
“นังลูกไม่รักดี แกต้องโดนลงโทษ ต่อจากนี้ไปอย่าหวังว่าจะได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกเลย”
ขอแค่ให้ทุกคนเชื่อหนู เชื่อในสิ่งที่หนูพูด
แม่ของเราเป็นคนรวยอยู่ที่ไหนซักแห่ง ส่วนนี่ก็แค่แม่เลี้ยงใจร้ายที่คอยแต่จะกลั่นแกล้งเราเท่านั้น
เด็กหญิงตกตะลึง ภาพเหตุการณ์และคำพูดทั้งหมดของเธอเองหลั่งไหลออกมาจากสมองที่แทบจะกลายเป็นว่างเปล่า เสียงเล็กแหลมดังขึ้นในโสตประสาท
“นี่ก็เป็นสัญญาอีกข้อหนึ่ง เพื่อนพวกนั้นยังไม่เชื่อเลยว่าแกอยู่กับแม่เลี้ยงใจร้าย รู้มั้ยว่าหากคนเราเคยขึ้นไปถึงจุดสูงสุดแล้วต้องถูกทำให้ตกลงมายังจุดต่ำสุด สิ่งที่หลงเหลืออยู่ก็คือความสิ้นหวังและหวาดกลัว”
เสียงแหลมน่าเกลียดฟังดูเย้ยหยันและยินดีอย่างเหลือกำลัง เด็กหญิงน้ำตาไหลพราก ตัวสั่นเทา เมื่อจินตนาการถึงภาพตัวเองต่อจากนี้
“สิ่งที่ข้าต้องการก็คือความสิ้นหวังถึงที่สุดของเด็กที่ไม่เคยพอใจกับอะไรซักอย่างแบบแกยังไงล่ะ ไม่คิดว่ามันสมควรแล้วเหรอกับสิ่งที่แกได้รับน่ะ”
“และต่อจากนี้ ขอเชิญลิ้มรสชาติสิ่งที่แกเลือกเองให้มีความสุขเถอะนะ เฮี้ย ฮ่าๆๆ”