โลกแห่งความว่างเปล่า
0
ตอน
755
เข้าชม
10
ถูกใจ
1
ความคิดเห็น
3
เพิ่มลงคลัง

โลกแห่งความว่างเปล่า

1.

“...และปีนี้ นักเรียนที่สอบได้ที่หนึ่งของชั้นประถมศึกษาปีที่สาม ด้วยระดับคะแนนร้อยเปอร์เซ็นต์ ติดต่อกันเป็นปีที่สามนับตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่หนึ่ง ได้แก่ เด็กชายวิวัฒน์”

หลังเสียงประกาศ เด็กชายตัวน้อยผอมแห้งเคลื่อนตัวโดดเด่นออกมาจากแถวท่ามกลางเสียงฮือฮาของเหล่านักเรียนทั้งโรงเรียน ครูบาอาจารย์ต่างแสดงสีหน้าพอใจและยินดีไปกับเด็กชายวิวัฒน์ เด็กอัจฉริยะเท่าที่เคยมีมาในโรงเรียนแห่งนี้

“ดีใจด้วยนะจ๊ะ รับไปสิ รางวัลสำหรับความมุมานะของเธอ เอ้า นักเรียน ปรบมือแสดงความยินดีกับเพื่อนของเราอีกครั้งนะคะ”

ครูใหญ่มอบของขวัญให้เด็กชาย เขารับกล่องนั้นไว้ในมือ เสียงปรบมือดังกระหึ่มไม่ขาดสาย เด็กชายมองบรรยากาศอันน่าปลาบปลื้มด้วยสีหน้าเรียบเฉย ตาหรี่เล็กภายใต้กรอบแว่นหนาไร้อารมณ์ใดๆ ตอบสนอง

“ขอให้พวกเธอทุกคนดูไว้เป็นตัวอย่าง หากตั้งใจเรียนและมุมานะอย่างวิวัฒน์ สักวันพวกเธอก็จะประสบความสำเร็จได้”

ถ้อยคำอบรมและแสดงความยินดียังคงถูกขับออกมาจากเครื่องขยายเสียงอีกครู่ใหญ่ก่อนที่บรรยากาศเดิมๆ ในโรงเรียนประถมแห่งนี้จะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ

ตั้งแต่สามปีที่แล้วที่เด็กชายวิวัฒน์เข้าศึกษายังสถานศึกษาแห่งนี้ ห้องเรียนของเด็กชายก็กลายเป็นที่จับตาดูจากบรรดานักเรียนและครูห้องอื่นๆ เนื่องจากความเป็นอัจฉริยะเกินวัยที่ฉายแววออกมาอย่างชัดเจน

และจากเรื่องนั้นเองก็ทำให้ครูประจำชั้นและบรรดาเพื่อนร่วมห้องของเด็กชายกลายเป็นที่จับตามองและชื่นชมจากห้องอื่นๆ อย่างช่วยไม่ได้เช่นกัน

ห้องเรียนที่เป็นที่เชิดหน้าชูตาของโรงเรียน ครูประจำชั้นของเด็กอัจฉริยะ เพื่อนร่วมห้องของผู้มีสมองปราดเปรื่อง ความคิดเหล่านี้ทำให้ผู้คนรอบข้างเริ่มเข้าห้อมล้อมเด็กชาย เขากลายเป็นที่รักของคนอื่นโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย

แต่หากจะว่าไปแล้ว ไม่ใช่เพราะเด็กชายไม่ทำอะไร แต่เขาไม่สนใจจะทำอะไรเลยต่างหากนอกจากเรื่องเรียนเพียงเรื่องเดียว เขาไม่เคยแสดงความสามารถอื่นใดนอกเหนือจากนี้ให้ใครเห็นเลยแม้สักครั้ง

“เฮ้ย วัฒน์ เย็นนี้เจอกันที่สนามบอลนะโว้ย”

“อือ”

เด็กชายทำเสียงในลำคอเป็นการตอบรับสั้นๆ สายตาไม่ละออกจากตัวหนังสือบนกระดานดำ ทั้งๆ ที่ใครต่อใครต่างก็ยินดีและให้การสนับสนุนเด็กอัจฉริยะอย่างเต็มที่ แต่ดูเหมือนเขาเองจะขาดอะไรบางอย่างไปในชีวิตประจำวัน

ใบหน้าเรียบเฉย ไม่เคยยิ้มแย้ม ไม่เคยร้องไห้ การแสดงออกอื่นๆ แทบจะเป็นศูนย์โดยสิ้นเชิง

“เมื่อวานเราดูวิดีโอมา ท่าจักรยานอากาศโคตรเจ๋งเลย เย็นนี้ข้าจะใช้ท่านี้แหละยิงประตู”

“นี่ นายป๋อง”

เสียงตวาดจากหน้าชั้นทำเอานักเรียนทั้งห้องสะดุ้ง โดยเฉพาะเจ้าของชื่อที่กำลังเจี้อยแจ้วอยู่เมื่อสักครู่ เขาเงียบเสียงลงฉับพลันเหมือนมีใครกดปุ่มหยุดเล่น ใบหน้าทะเล้นเมื่อสักครู่ก้มงุดลงกับพื้นโต๊ะในทันที

“ถ้าได้ยินเสียงเธออีกครั้ง ออกไปยืนนอกห้องได้เลยนะ”

 

.......................................

 

“กรี๊ง...งงง”

“เฮ้ เลิกเรียนแล้ว พวกเราไปสนามบอลกันเลย วันนี้ข้าทีทีเด็ดมาอวด”

เป็นเรื่องปกติที่ความโกลาหลเล็กๆ ของเหล่าเด็กนักเรียนจะเกิดขึ้นหลังเสียงกริ่งเลิกเรียน เด็กชายเดินเอื่อยเฉื่อยตามเพื่อนๆ ออกไปยังสนามทรายโล่งๆ หน้าอาคารเรียน แสงจากดวงอาทิตย์เจิดจ้าจนต้องหรี่ตา

“เอ็งห้าคนอยู่ด้วยกัน ส่วนที่เหลืออยู่ข้างข้า”

เกมการแข่งขันเริ่มขึ้นหลังแบ่งข้างเสร็จ เสียงหัวเราะ เสียงตะโกนโหวกเหวกของสมาชิกทั้งหมดในสนามดังไม่ขาดสาย บางคนสีหน้าจริงจังในขณะที่บางคนหัวเราะไม่หยุด

แต่วิวัฒน์ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง เขาหายใจหอบถี่ วิ่งไปทางนั้นทีทางนี้ที มีเพียงสายตาของเขาเท่านั้นที่ตามลูกฟุตบอลทัน พรสวรรค์ด้านกีฬาของเด็กชายเป็นศูนย์ ความสามารถด้านร่างกายก็เช่นกัน ใครๆ ในโรงเรียนต่างก็รู้ แต่เพราะความหัวดีทำให้พวกเขาอยากเข้าใกล้อยากเล่นด้วย

เด็กชายหยุดวิ่ง หน้าอกกระเพื่อมเข้าออกหนักหน่วง เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า แสงสีส้มสุดท้ายเริ่มเข้าปกคลุม จิตใจล่องลอยออกนอกสนามไปสู่ห้องสมุดและกองหนังสือที่บ้าน

“เห้ย ไอ้วัฒน์ ระวัง”

ไม่ทันที่จะมีการตอบสนองใดๆ วิวัฒน์รู้สึกเพียงถูกอะไรบางอย่างกระทบเข้ากับศีรษะอย่างจังก่อนที่การรับรู้ทุกอย่างจะหมดไปองเด็กชายก็กลายเป็นที่จับตาดูจากบรรดานักเรียนและครูห้องอื

 

..................................................

 

ในห้องทดลองสีขาวสะอาดที่พรั่งพร้อมไปด้วยอุปกรณ์เครื่องมือแปลกตา ชายชราและชายหนุ่มในเสื้อกาวน์ยืนอยู่หน้าเตียงที่ร่างไม่ได้สติของเด็กชายวิวัฒน์นอนอยู่ ผู้ปฏิบัติงานอีกจำนวนหนึ่งยืนอยู่ประจำตำแหน่งที่ตนเองรับผิดชอบ

“วิวัฒน์เป็นอย่างไรบ้างครับ ด๊อกเตอร์”

ชายหนุ่มถามอาการของเด็กชายด้วยน้ำเสียงที่แสดงความห่วงใยอย่างที่สุด ชายชราละสายตาจากร่างเล็กบนเตียงหันกลับมาตามเสียง สีหน้าไม่ฉายความกังวลใดๆ ออกมา

“ไม่ต้องห่วง ลูกของคุณไม่ได้เป็นอะไร เพียงแค่แรงกระทบกระเทือนจากลูกฟุตบอลทำให้ชิพความทรงจำตรงตำแหน่งท้ายทอยขัดข้องนิดหน่อย ก็เลยทำให้การทำงานในส่วนอื่นๆ พลอยสะดุดไปด้วยเท่านั้น”

ชายชราอธิบายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ มองไปยังชายหนุ่มอย่างคาดคะเน ถอนหายใจนิดหนึ่งก่อนจะพูดต่อ

“ผมเข้าใจดีว่าคุณเป็นห่วงแก คนที่เลี้ยงดูเด็กคนนี้มานานอย่างคุณยังไงซะก็คงจะเกิดความผูกพันมากกว่าที่ผมคิดล่ะนะ”

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากร่างเล็ก มองชายชราที่กำลังสื่อสารกับเขา

“เด็กคนนี้ควรจะไม่ได้มีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้แล้วตั้งแต่อุบัติเหตุครั้งนั้น แต่ด้วยเทคโนโลยีของเรา เราสร้างสมองกลให้กับแก พร้อมทั้งติดตั้งหน่วยความจำและดาวน์โหลดความรู้ต่างๆ ผ่านอุปกรณ์ระดับพิโคเทคโนโลยีให้”

ชายชราเดินเข้ามาใกล้ ตบเบาๆ บนบ่าชายหนุ่มเพื่อแสดงความเห็นใจและสร้างความมั่นใจไปพร้อมๆ กัน

“ไม่มีอะไรต้องกังวลหรอก หากโครงการนี้ของเราราบรื่นอย่างที่กำลังเป็นอยู่ ชื่อเสียงเงินทองก็อยู่แค่เอื้อมเท่านั้น ความสำเร็จนี้จะเป็นสิ่งที่ไม่ว่าใคร ไม่ว่าความสำเร็จไหนก็ไม่อาจเทียบเท่าได้ และ...”

ชายชราหยุดเว้นวรรคหน่อยหนึ่งเพื่อกระตุ้นผู้ร่วมสนทนา

“โครงการนี้จะพามวลมนุษยชาติไปสู่การต่อยอดทางความรู้อย่างแท้จริง ชนรุ่นหลังไม่จำเป็นต้องเรียนรู้จากศูนย์อีกต่อไป เราเพียงดาวน์โหลดข้อมูลลงไปในชิพและให้สมองดึงออกมาใช้เท่านั้น”

“และต่อจากนี้ ความรู้ใหม่ๆ ก็จะเกิดขึ้นทุกวัน ความสามารถของสมองทั้งหมดจะถูกนำมาใช้เพื่อพัฒนาความรู้ใหม่ๆ เท่านั้น โลกจะเข้าสู่ยุคใหม่ที่ทุกอย่างจะดำเนินไปอย่างก้าวกระโดดกว่าที่ผ่านมา”

รอยยิ้มปรากฏที่มุมปากเหี่ยวย่น ชายชรายื่นมือลูบหัวเด็กชายวิวัฒน์ที่เปรียบเสมือนสมบัติล้ำค่าในสายตาของเขา

“เพื่อมวลมนุษยชาตินะครับ ขอให้คุณคิดถึงเรื่องนี้ไว้ เอาล่ะ ผมขอตัวไปเตรียมการรักษาลูกของคุณและดาวน์โหลดข้อมูลชุดใหม่ให้เขาก่อนนะ”

ชายชราเดินจากไป ชายหนุ่มมองร่างกายผอมแห้งของเด็กชายที่เรียกตัวเขาว่าพ่อ เดิมทีโครงการนี้ถูกคิดค้นขึ้นเพื่อเอาไว้ช่วยชีวิตคนที่สมองได้รับความเสียหายเท่านั้น แต่นึกไม่ถึงเลยว่ามันจะเลยเถิดมาจนถึงขนาดนี้

เด็กชายที่ใครๆ ต่างก็เรียกว่าเด็กอัจฉริยะ เด็กผู้รู้เรื่องราวทุกอย่าง

สายตาเลื่อนมองไปทั่วร่างกาย ใบหน้าซีดตอบ ลำตัวผ่ายผอม แขนขาเล็กไร้กล้ามเนื้ออันเนื่องจากการขาดการออกกำลังกาย

ชายหนุ่มหลับตา จิตใจล่องลอยไปไกลถึงโลกในวันข้างหน้า โลกที่คนทุกคนล้วนเป็นอัจฉริยะ โลกที่เด็กเกิดมาพร้อมๆ กับความรู้ทุกสิ่งของเหล่ามวลมนุษย์

โลกที่ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ไม่จำเป็นต้องค้นหาแบบนี้จะสามารถพัฒนาสิ่งต่างๆ ได้จริงหรือ โลกที่ไร้ปฏิสัมพันธ์ ไร้อารมณ์ มันดีจริงๆ หรือ

วันที่เด็กอัจฉริยะผู้บกพร่องทางพัฒนาการด้านอารมณ์ถือกำเนิดขึ้นมา อาจจะดีกว่านี้ก็ได้หากวันนั้นเขาปล่อยให้ทุกสิ่งเป็นไปอย่างที่มันควรเป็น ชายหนุ่มนึกไปถึงมนุษย์โลกในวันข้างหน้า วันที่มนุษย์จะกลายเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคย วันที่มนุษย์อาจจะไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป

หากวันนั้นมาถึง ความผิดบาปทั้งหมดคงจะตราตรึงอยู่ในใจของเขาตราบจนวันสุดท้ายของชีวิตอย่างแน่นอน

โลกในอุดมคติอันวิปริตผิดเพี้ยนนั้น

 

2.

“ใจเย็นๆ เย็นไว้ เย็นไว้ มีอะไรคุยกันได้ ทางเจ้าหน้าที่พร้อมที่จะเจรจาด้วยเสมอ ปล่อยตัวประกันและวางอาวุธลงซะ”

เจ้าหน้าที่ตำรวจเจรจาผ่านเครื่องขยายเสียงกำลังสูงอยู่ห่างๆ ในขณะที่กำลังอีกชุดหนึ่งที่คุมเชิงอยู่หลังรถยนต์พลังงานน้ำกำลังเล็งปืนอิเล็กตรอนไปยังเป้าหมาย

“ไม่มีประโยชน์หรอก คุณดูสิ สีหน้าของเจ้านั่นไม่แสดงอาการรับรู้เลยว่ามีพวกเราอยู่ที่นี่”

มีดเลเซอร์ยังคงพร้อมจะเฉือนหลอดลมของเหยื่อสาวโชคร้ายที่ถูกจับเป็นตัวประกัน นอกจากอาการหวาดระแวงต่อทุกสิ่งรอบกายแล้วชายที่ตอนนี้กลายเป็นผู้ร้ายไม่รู้สึกรู้สาใดๆ ทั้งสิ้น

“ท่านครับ ข้อมูลของคนร้ายและตัวประกันมาแล้วครับ”

ผู้บังคับการรับกระดาษอิเล็กโทรนิกมาไว้ในมือก่อนจะใช้นิ้วสัมผัสเลื่อนดูข้อมูลต่างๆ ของคนร้ายและตัวประกันในนั้นอย่างรวดเร็ว

“ไม่มีประวัติการอัพเดตข้อมูลในสมองของคนร้าย คาดว่าน่าจะเป็นบุคคลจรจัดหรือไม่ก็พวกหลบหนีเข้าเมือง สุขภาพทางสมองของตัวประกันแข็งแรงดี สุขภาพร่างกายแข็งแรงในระดับปกติ ไม่มีประวัติการผ่าตัดใดๆ มาก่อนหลังการผ่าตัดเพื่อฝังพิโคชีพเชื่อมกับสมองในวัยทารก”

ผู้บังคับการทบทวนข้อมูลตรงหน้าเพื่อความแน่ใจก่อนจะมองไปยังเป้าหมายเพื่อสั่งการ

“เป็นข้อมูลที่เอื้อกับการทำงานของเรามาก เอาล่ะ ปรับปืนอิเล็กตรอนไปที่ระดับต่ำสุด พร้อมยิง”

สิ้นคำสั่งยิง แสงเลเซอร์จากปืนทุกกระบอกก็ฝ่าอากาศตรงไปยังหน้าผากของชายคนร้ายเป็นจุดเดียว เสี้ยววินาทีต่อมาทั้งคนร้ายและตัวประกันก็ล้มลงตรงจุดนั้นนั่นเอง

“นำตัวผู้ประสบเหตุไปเปลี่ยนชิพตัวใหม่ที่โรงพยาบาลโดยด่วน ส่วนคนร้ายให้นำตัวไปตรวจสอบร่องรอยหรือสาเหตุของอาการคลุ้มคลั่งในครั้งนี้อย่างละเอียด”

ตำรวจและหน่วยพยาบาลพร้อมอุปกรณ์ช่วยชีวิตเคลื่อนตัวไปที่ร่างของคนร้ายและตัวประกันอย่างรู้หน้าที่ เพียงไม่นานเหตุการณ์ไม่ปกติก็จบลงท่ามกลางความโล่งใจของผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์

และแน่นอนว่าสำหรับชายที่ชื่อเกียรติภูมิ ผู้ที่เพิ่งออกคำสั่งปฏิบัติการต่อเหตุการณ์เมื่อสักครู่เองก็เช่นกัน เขารู้สึกโล่งใจที่เรื่องตรงหน้าจบลงด้วยดี

การจัดการกับอาชญากรรมในครั้งนี้อาจไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร เพราะข้อมูลทุกอย่างดูเหมือนจะลงตัวไปเสียหมด

จากข้อมูลคนร้ายที่ไม่ได้อัพเดตข้อมูลทางสมองมานาน ทำให้เข้าข่ายกฎหมายของประชาคมโลกว่าเขาได้กลายเป็นผู้สาบสูญ ซึ่งไม่มีกฎหมายใดๆ รองรับเขาในฐานะมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตอีกต่อไป

นั่นหมายความว่าจะจัดการกับบุคคลผู้นี้อย่างไรก็ได้ตามแต่สถานการณ์ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาร้ายแรงใดๆ ตามมาทีหลัง กฎหมายข้อนี้แม้จะดูรุนแรงเกินเหตุ แต่นี่เป็นสิ่งจำเป็นและเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับโลกในยุคสมัยนี้

ส่วนข้อมูลของตัวประกันเองก็เช่นกัน การที่ไม่เคยได้รับการผ่าตัดใดๆ หลังจากฝังพิโคชิพ ประกอบกับร่างกายและสมองที่แข็งแรงดี ทำให้ความเสี่ยงที่จะได้รับอันตรายจากปืนอิเล็กตรอนความเข้มต่ำนั้นน้อยมากๆ

ผลของมันเพียงแค่ทำให้ชิพเสียหายและระบบสั่งการที่เชื่อมต่อกับสมองรวนเท่านั้น ซึ่งในข้อนี้สำหรับผู้มีสุขภาพร่างกายสมบูรณ์ไม่ยากอะไรเลยที่จะแก้ไข

เกียรติภูมิกดตัวเลขจากโทรศัพท์มือถือเพื่อติดต่อไปยังสำนักงานความมั่นคงของโลกใหม่แห่งชาติอันเป็นต้นสังกัดของเขา

ในยุคนี้โทรศัพท์มือถือรวมถึงสัญญาณไร้สายทั้งหมดกลายเป็นสิ่งที่ต้องถูกควบคุมโดยสำนักงานความมั่นคงของโลกใหม่แห่งชาติ ซึ่งบริษัทเอกชนไม่มีสิทธิได้รับสัมปทานใดๆ อีกต่อไป

ในหนึ่งชั่วชีวิตของคนๆ หนึ่ง จะมีเบอร์โทรศัพท์เป็นของตัวเองได้เพียงหนึ่งเบอร์เท่านั้น ซึ่งก็คือหมายเลขตามบัตรประชาชนของตนเอง รวมถึงการใช้โทรศัพท์มือถือก็ยังต้องมีกฎระเบียบเคร่งครัด

ห้ามนำโทรศัพท์ออกนอกเขตเมืองโดยไม่ได้รับอนุญาต และห้ามใช้โทรศัพท์นอกเขตเมืองโดยเด็ดขาด หากฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดีทางกฎหมายขั้นสูงสุด

ในเขตเมืองทุกเมืองทั่วโลกจะติดตั้งบาเรียครอบตัวเมืองไว้เพื่อป้องกันสัญญาณไร้สายทุกชนิด ดังนั้นเมื่อมีการเชื่อมสัญญาณโทรศัพท์ ตัวโทรศัพท์มือถือเองจะทำการส่งคลื่นเพื่อทำการตัดการทำงานของบาเรียในช่องสัญญาณนั้นๆ ออก ซึ่งนั่นเป็นการเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะได้รับอันตรายจากการใช้โทรศัพท์มือถือนอกเมืองที่ระบบบาเรียอาจจะไม่สมบูรณ์

“สถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติแล้วครับ”

เกียรติภูมิกรอกเสียงรายงานต้นสังกัด

“ดีมาก กลับมาที่นี่โดยด่วนเลย ข้อมูลคนร้ายมาถึงแล้ว”

เขากดปิดสัญญาณก่อนจะเดินทางไปยังสถานีตำรวจที่ใกล้ที่สุด ผ่านระบบรักษาความปลอดภัยชั้นแล้วชั้นเล่าเพื่อลงไปยังห้องใต้ดินในชั้นที่ลึกที่สุดของสถานี

ในห้องสีขาวที่ชั้นล่างสุด พื้นที่เกือบทั้งหมดของห้องมีเครื่องมือที่มีโครงสร้างสลับซับซ้อนเพียงเครื่องเดียวติดตั้งอยู่

เกียรติภูมิถอดเครื่องแต่งกายทั้งหมดออก เดินผ่านประตูหลายชั้นเพื่อทำความสะอาดร่างกายอย่างประณีตที่สุดก่อนจะเข้าไปถึงส่วนหลักของตัวเครื่อง

ผู้ควบคุมประจำเครื่องในห้องควบคุมปรับตั้งค่าต่างๆ อย่างชำนาญ เพียงไม่นานที่แสงสีขาวปรากฏขึ้นหลังจากที่เกียรติภูมิเข้าประจำตำแหน่ง ร่างทั้งร่างของเขาก็ค่อยๆ โปร่งแสงและหายวับไปจากที่ๆ เคยอยู่ และเพียงไม่กี่วินาทีต่อจากนั้นเกียรติภูมิก็ไปปรากฏตัวอยู่ที่สำนักงานความมั่นคงของโลกใหม่แห่งชาติเป็นที่เรียบร้อย

การเดินทางด้วยเครื่องย้ายมวลสารไม่ได้มีแต่เพียงในนิยายวิทยาศาสตร์อีกต่อไป มันไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้หรือยากเย็นจนเกินไปสำหรับโลกยุคนี้ พิโคชิพที่ถูกติดตั้งมาตั้งแต่ทารกจะทำการเก็บข้อมูลพัฒนาการและรายละเอียดทุกอย่างของร่างกายได้อย่างครบถ้วน

ด้วยข้อมูลมากมายมหาศาลเหล่านี้ จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะแยกร่างกายออกเป็นอะตอมที่เครื่องต้นทางก่อนจะเคลื่อนย้ายอะตอมเหล่านั้นไปตามช่องสัญญาณพิเศษและประกอบมันกลับเป็นร่างกายอีกครั้งที่เครื่องปลายทาง

แต่ก็มีกฎอยู่ว่าผู้ที่สามารถใช้เครื่องย้ายมวลสารต้องเป็นผู้ที่มีอายุมากกว่ายี่สิบปีเท่านั้น เนื่องจากเป็นช่วงที่การเจริญเติบโตทางร่างกายเริ่มหยุดนิ่งแล้ว ซึ่งจะทำให้ข้อมูลทางร่างกายเที่ยงตรงมากที่สุด

กฎข้อห้ามร้ายแรงอีกข้อหนึ่งก็คือห้ามใช้การเดินทางด้วยวิธีนี้ในการเดินทางระหว่างเมืองที่มีระบบบาเรียไม่สมบูรณ์ นั่นเพราะหากมีข้อมูลแปลกปลอมเพียงเล็กน้อยเล็ดรอดเข้ามาในระหว่างทางจะก่อให้เกิดปัญหาในการประกอบร่างกายที่ปลายทางได้

ด้วยกฎข้อห้ามเหล่านี้ ประกอบกับค่าใช้จ่ายที่ยังค่อนข้างสูงสำหรับคนทั่วไปในการเดินทางด้วยวิธีนี้ ดังนั้น รถยนต์พลังงานน้ำหรือเครื่องบินพลังงานนิวเคลียร์จึงยังคงจำเป็นต้องมีอยู่ต่อไป

ประตูห้องบังคับการเปิดออก เกียรติภูมิเดินเข้าไปหยุดอยู่หน้าโต๊ะทำงานของผู้บังคับบัญชา

“เกียรติภูมิรายงานตัวครับท่าน”

“ผมมีข้อมูลสำคัญจะให้คุณดู เปิดสัญญาณเอฟจีที่พิโคชิพของคุณซะ ผมจะดาวน์โหลดข้อมูลลงไปในพิโคชิพของคุณ”

“ครับท่าน”

ระบบรับส่งสัญญาณไร้สายในปัจจุบันสามารถเชื่อมต่อและรับส่งข้อมูลได้ระหว่างเครื่องมืออิเล็กโทรนิกด้วยกัน หรือแม้แต่เครื่องมืออิเล็กโทรนิกกับมนุษย์

สัญญาณเอฟจีเป็นสัญญาณที่เหล่ามนุษยชาติเชื่อว่าเป็นขั้นสุดของการพัฒนาระบบการรับส่งข้อมูลไร้สายแล้ว ดังนั้นมันจึงถูกตั้งชื่อว่าสัญญาณเอฟจี ซึ่งย่อมาจากไฟนอล เจเนอเรชั่น หรือสัญญาณไร้สายในยุคสุดท้ายนั่นเอง

และชื่อไฟนอล เจเนอเรชั่น ก็ยังเป็นชื่อที่นักวิทยาศาสตร์ขนานนามให้แก่เผ่าพันธุ์มนุษย์ในยุคนี้ เพราะพวกเขาก็เชื่อเช่นเดียวกันว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้เดินทางมาถึงขั้นสุดท้ายของพัฒนาการแล้ว

ข้อมูลที่ได้รับผ่านทางประสาทสัมผัสอาจคลาดเคลื่อนตกหล่นระหว่างการส่งผ่านและวิเคราะห์ข้อมูลในแต่ขั้นตอนของร่างกาย แต่ข้อมูลที่ถูกดาวน์โหลดไปเก็บไว้ในชิพจะถูกสมองดึงออกมาได้โดยตรง

การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีนี้ถูกเรียกตามกันมาด้วยศัพท์ในยุคเก่าที่เรียกว่า “การวิเคราะห์ทางมโนภาพ”

เป็นที่รับรู้กันมานานแล้วจากผลงานวิจัยนับชิ้นไม่ถ้วนว่าการวิเคราะห์ข้อมูลโดยตรงจากสมองหรือการวิเคราะห์ทางมโนภาพใช้เวลาน้อยกว่าและมีประสิทธิภาพมากกว่าการรับรู้ข้อมูลผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า นั่นก็เพราะขั้นตอนการส่งผ่านที่น้อยกว่าและความครบถ้วนของข้อมูลที่สมองได้รับแตกต่างกันมากนั่นเอง

กฎหมายห้ามใช้สัญญาณเอฟจีในครัวเรือน เนื่องจากความรวดเร็วของการส่งสัญญาณที่สูงมากเกินไปจนทำให้แก้ไขอะไรไม่ทันหากมีข้อมูลแปลกปลอมหลุดรอดเข้ามา

แม้แต่สถานที่ราชการก็มีเพียงที่ๆ มีระบบรักษาความปลอดภัยดีเยี่ยมเท่านั้นที่ได้รับการอนุญาตให้ใช้ได้

“ไวรัสคอมพิวเตอร์ชนิดใหม่...”

“ถูกต้องแล้ว เป็นไวรัสคอมพิวเตอร์ที่มีความสลับซับซ้อนทางโครงสร้างมากทีเดียว คาดว่าผู้ที่ถูกดาวน์โหลดไวรัสชนิดนี้เข้าไปจะทำให้เกิดอาการคลุ้มคลั่งอย่างที่คุณเห็นนั่นล่ะ”

ความหวั่นวิตกฉายออกมาจากดวงตากร้าวของเกียรติภูมิอย่างไม่ปิดบัง ผู้บังคับบัญชาถอนหายใจ

“อีกเดี๋ยวผมจะส่งข้อมูลทั้งหมดไปให้นักพัฒนาโปรแกรมเพื่อคิดค้นแอนตี้ไวรัส ที่ผมเรียกคุณกลับมาก็ด้วยสาเหตุนี้ล่ะ ในฐานะตำรวจและโปรแกรมเมอร์มือดีของหน่วยเรา ผมขอให้คุณช่วยพวกโปรแกรมเมอร์อีกแรงก็แล้วกัน”

“ครับท่าน ผมจะพยายามสุดความสามารถครับ”

“ดีมาก ยิ่งคนเยอะก็ยิ่งเร็ว เสร็จเร็วขึ้นหนึ่งวันผู้รับเคราะห์ก็น้อยลงหนึ่งวัน”

“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวไปเตรียมตัวก่อนนะครับท่าน”

เกียรติภูมิเดินออกจากตัวอาคาร ฟ้าในเวลานี้ดูหม่น เมฆฝนก่อเค้าราวบอกเป็นนัยว่าอีกไม่นานความหายนะจะมาเยือน เขาหยุดมองรูปสลักขนาดเท่าตัวจริงของบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นต้นแบบและเป็นผู้ก่อตั้งสำนักงานความมั่นคงของโลกใหม่แห่งชาติ

“วิวัฒน์” ชื่อของผู้ที่เป็นต้นแบบของรูปสลักถูกจารึกอยู่บนฐาน

เกียรติภูมิถอนหายใจหนักพลางนึกไปถึงวันเก่าก่อนช่วงที่เขายังเป็นเด็ก แบบเรียนเกือบทั้งหมดกล่าวถึงชายหนุ่มอัจฉริยะที่เป็นต้นแบบของมนุษย์โลกในปัจจุบันที่ถือกำเนิดมาเมื่อกว่าร้อยปีก่อน

วิวัฒน์และผู้เป็นบิดารวมถึงทีมงานได้พัฒนาความรู้ความสามารถของโปรแกรมรวมถึงตัวของวิวัฒน์เองให้ใกล้เคียงกับมนุษย์ในยุคนั้นมากที่สุด

วิวัฒน์รับรู้ว่าคนเราต้องออกกำลังกาย ต้องมีการคบค้าสมาคม ต้องดีใจเมื่อประสบความสำเร็จ ต้องเศร้าเมื่อมีเรื่องให้เสียใจ คำสั่งหรือข้อมูลเหล่านี้ค่อยๆ ถูกเพิ่มและเติมเต็มสิ่งที่วิวัฒน์ยังขาดอยู่ทีละน้อยจนเกือบจะเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ

และนั่นเองที่ทำให้เหล่านักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกออกมายอมรับและต่างแสดงความยินดีกับยุคใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นท่ามกลางเสียงคัดค้านจากบุคคลหลายฝ่าย

แต่หลังจากนั้นไม่นานเทคโนโลยีอันก้าวกระโดดและทันสมัยมากมายที่ออกมาจากวิวัฒน์ก็ค่อยๆ ทำให้เสียงคัดค้านนั้นเบาลงและเงียบหายไปในที่สุด

ไฟนอลเจเนอเรชั่น ยุคใหม่หรือยุคสุดท้ายของพัฒนาการของเหล่ามนุษยชาติเริ่มต้นจากตรงนั้น นั่นรวมถึงเทคโนโลยีที่อำนวยความสะดวกสบายต่างๆ ถูกคิดค้นขึ้นมาด้วยระยะเวลาเพียงไม่กี่สิบปี

รถยนต์พลังงานน้ำ เครื่องบินพลังงานนิวเคลียร์ สัญญาณไร้สายขั้นสูงสุด เครื่องเคลื่อนย้ายมวลสาร กฎหมายใหม่ๆ ก็ถูกคิดค้นและบังคับใช้เพื่อให้ทันท่วงทีกับวิวัฒนาการด้วยเช่นกัน

ทารกต้องถูกติดตั้งพิโคชิพตั้งแต่เมื่ออายุได้หนึ่งปี และจะเริ่มดาวน์โหลดข้อมูลชุดแรกเมื่ออายุครบสี่ปี และเมื่ออายุครบสิบห้าปีบริบูรณ์เด็กชายต้องไปรายงานตัวเพื่อทำบัตรเป็นพลเมืองและรับเครื่องโทรศัพท์มือถือกับทางการ

เทคโนโลยีต่างๆ ถูกใช้กันอย่างกว้างขวางและรวดเร็วจนกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของโลกใหม่ ผู้คนมีความสะดวกสบายกันมากกว่ายุคใดๆ ในประวัติศาสตร์

หากอยากเก็บภาพต่างๆ ที่ได้ไปเที่ยวมาหรืออยากส่งให้เพื่อนๆ ได้เห็น ก็เพียงแค่พิมพ์มันออกมาโดยเชื่อมต่อพิโคชิพเข้ากับเครือข่ายเอฟจี

แต่เทคโนโลยีที่ไร้การควบคุมนั่นเองทำให้ในที่สุดปัญหาใหญ่ก็เกิดขึ้น ถึงแม้มนุษย์จะสร้างความรู้ความสามารถได้มากมายขนาดไหนก็ตาม แต่นามธรรมที่เรียกว่าจิตใจและความรู้สึกนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจสร้างให้กันได้

ในที่สุดไวรัสคอมพิวเตอร์ไม่ทราบที่มาก็เริ่มแพร่กระจายและฝังตัวอยู่ในพิโคชิพของผู้คนราวโรคระบาด และนั่นก็ทำให้ทุกเมืองของโลกต้องคลุมพื้นที่ด้วยระบบบาเรียเพื่อตัดสัญญาณไร้สายทั้งหมด มาตรการควบคุมและกฎหมายต่างๆ เกี่ยวกับโครงข่ายไร้สายเริ่มถูกบัญญัติและบังคับใช้ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

แรกๆ ไวรัสคอมพิวเตอร์มันก็เพียงทำให้ชิพเกิดอาการรวนนิดหน่อยเท่านั้น แต่บัดนี้มันพัฒนาจนสามารถทำให้ผู้คนคลุ้มคลั่งได้แล้ว

เกียรติภูมินึกไปถึงความยุ่งยากในวันข้างหน้า ยุคของการก่อการร้ายด้วยอาวุธสงครามคงจะหมดไป หากแต่ยุคก่อการร้ายด้วยไวรัสคอมพิวเตอร์คงจะเข้ามาแทนที่ในไม่ช้า

ไฟนอล เจเนอเรชั่น บางทีมันอาจจะเป็นยุคสุดท้ายของเหล่ามวลมนุษยชาติอย่างแท้จริงก็เป็นได้

 

3.

ชายชรามองดูโลกเบื้องล่างจากระเบียงห้องพักชั้นห้าของคอนโดมิเนียมสูงเสียดฟ้า สิ่งต่างๆ ยังคงขวักไขว่ เสียงยังคงจอแจไม่ต่างจากวันเก่าก่อน แต่ทุกสิ่งกลับไม่เหมือนเก่า ท่ามกลางความขวักไขว่กลับพบแต่ความเปล่าเปลี่ยว ท่ามกลางความจอแจกลับมีแต่ความเงียบเชียบ

มันไม่เหมือนเก่า และคงจะไม่มีวันเป็นอย่างนั้นอีกแล้ว

หลายสิบปีก่อนเมื่อครั้งยังเป็นหนุ่มกำยำ ชายชราเป็นนายตำรวจมือดีลำดับต้นๆ ของสำนักงานความมั่นคงของโลกใหม่แห่งชาติ เวลานั้นเป็นช่วงเวลาแห่งการก้าวกระโดดของเทคโนโลยี และเช่นนั้นเอง การจัดการที่ตามไม่ทันเทคโนโลยีที่ผุดขึ้นมาราวดอกเห็ดก็ส่งผลให้เกิดปัญหาแบบก้าวกระโดดเช่นกัน

ชายชราจำไม่ได้ว่ามีวันไหนบ้างที่เขาไม่ต้องเล็งปีนเลเซอร์อิเล็กตรอนไปยังบุคคลที่กฎหมายไม่รองรับว่าเป็นมนุษย์ เขาจำไม่ได้ว่ามีคืนไหนบ้างที่ไม่ต้องหลังขดหลังแข็งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อคิดค้นแอนตี้ไวรัสเพื่อใช้ต่อกรกับไวรัสชนิดใหม่ที่ปรากฏขึ้นมาไม่เว้นแต่ละวัน

ครั้งนั้นไม่เคยมีวันไหนที่เขาออกตรวจเมืองได้อย่างสบายใจ และไม่เคยมีคืนไหนที่เคยนอนหลับเต็มตื่น แต่นั่นก็ยังดีกว่าตอนนี้มากมายนัก

ในตอนนั้นไวรัสคอมพิวเตอร์ชนิดใหม่ที่ถูกส่งออกมาจากแหล่งที่ไม่ทราบที่มาส่งผลกระทบกับผู้รับรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เดิมทีใครๆ ก็คิดว่าไวรัสที่จ้องทำลายระบบประมวลผลและระบบการเชื่อมต่อของพิโคชิพกับสมองนั้นอันตรายที่สุดแล้ว

แต่นั่นเป็นความคิดที่ผิด

ไวรัสที่อันตรายกว่านั้นยังคงถูกปล่อยออกมา มันล่องลอยอยู่ในทุกที่ๆ สัญญาณเอฟจีไปถึง และแทนที่มันจะทำลายระบบประมวลผลเช่นเดียวกับไวรัสตัวก่อนๆ แต่มันกลับปล่อยให้ระบบทำงานต่อไปพร้อมๆ กับที่มันจะค่อยๆ สร้างความทรงจำปลอมเข้าไปแทนที่เพื่อให้ผู้ที่รับมาเข้าไปคิดเป็นตนเองเป็นอย่างนั้น

อาชญากรรมเพิ่มขึ้นเท่าทวี คนคลุ้มคลั่งมีให้เห็นไม่เว้นแต่ละวัน

เมื่อทุกสิ่งดูเหมือนจะเกินควบคุม รัฐบาลแห่งโลกใหม่มีแนวคิดที่จะยุติอุปกรณ์อิเล็กโทรนิคที่สามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายทุกชนิดเพื่อหยุดยั้งปัญหาดังกล่าว

เพียงแต่ว่าคนที่เสพติดเทคโนโลยีมานานแสนนานแล้วนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่หลงเคลิบเคลิ้มไปกับฤทธิ์ของยาเสพติด การถอดพิโคชิพออกจากร่างกายก็เหมือนกับเผากองความรู้ที่ได้รับมาตั้งแต่เกิด

เด็กทุกคนที่เกิดใหม่ต้องกลับไปเรียนหลักสูตรโบราณ ต้องนั่งเรียนหนังสือตั้งแต่หัดเขียนอักษรตัวแรกเหมือนกับเมื่อกว่าร้อยปีก่อน

การยกเลิกสัญญาณเอฟจีจะทำให้การติดต่อกันระหว่างหน่วยงานของรัฐบาลแห่งโลกใหม่ล่าช้ากว่าเดิม

และการประเมินสถานการณ์จากประสาทสัมผัสทั้งห้าแทนที่จะเป็นการส่งข้อมูลไปที่สมองโดยตรงด้วยสัญญาณเอฟจีจะช้าลงและเกิดความผิดพลาดมากขึ้น

มนุษย์ได้ทิ้งหลายสิ่งหลายอย่างไปมากมายเหลือเกินท่ามกลางเทคโนโลยีในยุคนั้น และแค่คิดถึงเรื่องเหล่านี้ แค่คิดถึงความล้าหลัง ความยากลำบากเมื่อขาดสิ่งเหล่านี้ไป ผู้คนก็เริ่มแสดงความไม่เห็นด้วย จากคนไม่เห็นด้วยไม่กี่คนก็กลายเป็นจลาจลในเวลาไม่นาน จนในที่สุดรัฐบาลแห่งโลกใหม่ก็ล้มเลิกแนวคิดการยุติเทคโนโลยีนั้นไป

โลกยังคงหมุนไปพร้อมๆ กับวิถีชีวิตอันบิดเบี้ยว หลายคนเริ่มคิดถึงจุบจบของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ ความสิ้นหวังท้อแท้ย่างกรายเข้ามาทีละน้อย เทคโนโลยีต่างๆ เชื่องช้าลงจนแทบจะหยุดอยู่กับที่

แต่ในที่สุดหนึ่งในหลายร้อยหลายพันทีมงานวิจัยซึ่งมีเขาเป็นหัวหน้าโครงการก็ค้นพบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่

แอนตี้ไวรัสที่พัฒนาตัวเองได้

ราวแสงที่ปลายอุโมงค์ เพียงไม่นานหลังจากที่แอนตี้ไวรัสอัจฉริยะถูกปล่อยออกไปตามสัญญาณเอฟจี โลกทั้งใบก็สามารถปลดบาเรียออกได้ เพียงปล่อยให้แอนตี้ไวรัสอัจฉริยะทำหน้าที่ ไม่นานไวรัสคอมพิวเตอร์ก็หมดไป

โลกกลับเข้าสู่ภาวะปกติอีกครั้ง ชาวโลกต่างโห่ร้องยินดี เนื่องจากที่ผ่านมาไวรัสคอมพิวเตอร์เป็นปัญหาใหญ่หลวงที่ขัดขวางการพัฒนาในด้านต่างๆ รัฐบาลแห่งโลกใหม่ประกาศชัยชนะและเรียกยุคต่อจากนี้ว่าเป็นยุคไฟนอลเจเนอเรชั่นอย่างแท้จริง

สัญญาณเอฟจี เครื่องเคลื่อนย้ายมวลสาร และเทคโนโลยีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบเครือข่ายความเร็วสูงสมบูรณ์แบบถูกปล่อยแบบเสรีอีกครั้ง ธุรกิจเครือข่ายกลับมาได้รับความนิยมและได้รับการพัฒนาต่อ

และหุ่นยนต์เครือข่ายตัวแรกก็ถือกำเนิดขึ้น แรกเริ่มมันถูกโปรแกรมให้ทำงานง่ายๆ แทนผู้ใช้ เช่น การจ่ายตลาด การซื้อของ โดยมันจะทำการตรวจสอบเรื่องต่างๆ ผ่านเครือข่าย

และต่อมามันก็ถูกพัฒนาให้ผู้ใช้สามารถควบคุมผ่านเครือข่ายได้ หรือแม้กระทั่งสามารถโปรแกรมให้มันสามารถทำอะไรๆ แทนผู้ใช้ได้สลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้นด้วยตัวของผู้ใช้เอง

ด้วยความสะดวกสบายนั้น เพียงไม่นานหุ่นยนต์เครือข่ายได้ก็รับความนิยมอย่างกว้างขวาง และเช่นนั้นเอง ผู้คนก็เริ่มออกจากบ้านน้อยลง เริ่มพบปะกันน้อยลง เริ่มพูดคุยกันน้อยลง

และราวกับเพื่อจะชดเชยสิ่งเหล่านั้น โลกดิจิตอลเล็กๆ ก็ได้ถูกสร้างขึ้น หลายคนที่ไม่ค่อยได้ออกจากบ้านก็เริ่มเข้าไปใช้บริการในโลกใบเล็กแห่งนั้น จากเมืองเล็กๆ ในโลกดิจิตอลก็กลายเป็นประเทศ จากเมืองเปล่าๆ ก็ค่อยๆ ถูกแต่งเติมจนกลายเป็นมีทุกสิ่ง และในที่สุดโลกดิจิตอลก็กลายเป็นโลกทั้งใบ

การท่องเที่ยวไปในโลกดิจิตอลนั้นง่ายแสนง่าย จากโลกก็กลายเป็นระบบสุริยะ และก็กลายเป็นจักรวาลในที่สุด คนทุกคนสามารถท่องเที่ยวไปไหนก็ได้ในจักรวาลดิจิตอลด้วยระยะเวลาเพียงเสี้ยววินาที

การเดินทางโดยมีขีดจำกัดของเวลาและค่าใช้จ่ายถูกกำจัดออกไปในโลกแห่งนี้ ผู้คนยิ่งออกจากบ้านน้อยลง ต่างคนต่างใช้ชีวิตในห้วงจักรวาลจำลองนั้น เวลาที่ใช้อยู่ในนั้นก็มากขึ้น นานขึ้น โลกที่สามารถทำอะไรก็ได้

แม้แต่คนในครอบครัวเดียวกันก็เริ่มพูดคุยด้วยเสียงของตนเองน้อยลง ต่างคนต่างเห็นหน้าจริงๆ ของกันน้อยลง จนในที่สุดโลกทั้งใบก็เงียบเชียบ และการพัฒนาทุกอย่างก็เริ่มหยุดลงอีกครั้ง

ชายชรานั่งนิ่งอยู่บนระเบียงชั้นห้าของคอนโดมิเนียมสูงเสียดฟ้า สายตาเฝ้ามองสิ่งที่ขวักไขว่อยู่เบื้องล่าง มันเหล่านั้นล้วนเป็นกลไกประดิษฐ์จากฝีมือมนุษย์

ถึงแม้จะเคลื่อนไหวแต่ก็หาได้มีชีวิต มันไม่ได้มีสิ่งที่เรียกว่าความเป็นธรรมชาติอยู่เลย ราวกับทั้งโลกมีเพียงเขานั่งอยู่บนระเบียงแห่งนี้ นั่นล่ะคือความเปล่าเปลี่ยวในความรู้สึกของชายชรา

เสียงอึกทึก เสียงจอแจ เสียงเครื่องยนต์ หรือแม้แต่เสียงพูด ก็ล้วนเป็นเสียงประดิษฐ์ มันไม่ได้มีความหมายอะไรเลยจากเสียงที่ถูกเปล่งออกมา ไม่มีแม้แต่ความมีชีวิตชีวา และนั่นก็คือความเงียบเชียบตามความหมายที่ชายชราคิด

“ครืด...ดดด”

ประตูห้องเปิดออก หุ่นยนต์รับใช้ถือถาดเข้ามาใกล้ชายชรา เสียงแปร่งดังมาจากลำโพงตรงส่วนที่เป็นปาก

“ได้เวลารับยาแล้วครับท่าน”

“วางไว้บนโต๊ะแล้วไปจัดการงานอื่นซะ”

ชายชราพูดพร้อมโบกมือโบกไม้โดยไม่เห็นไปมอง หุ่นยนต์รับใช้รับคำสั่งพร้อมเคลื่อนตัวออกไป นี่เป็นครั้งแรกของวันที่ชายชราได้พูด แต่สิ่งที่พูดด้วยกลับเป็นเครื่องจักรไร้ชีวิต

เขาหันกลับมามองถาดใส่ยาก่อนจากไล่สายตามองไปยังผนังห้อง เหรียญตราและใบประกาศเกียรติคุณถูกแขวนอยู่บนนั้นนับไม่ถ้วน ทุกใบล้วนสลักชื่อ “เกียรติภูมิ” ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของรางวัลแห่งเกียรติยศเหล่านั้น ชื่อของเขาที่ไม่เคยมีคนเรียกมานานแล้ว

เมื่อครั้งยังหนุ่มเขาเคยคิดว่ายุคของมนุษย์จะสิ้นสุดลงโดยไวรัสคอมพิวเตอร์ แต่เขาเพิ่งตระหนักเดี๋ยวนี้เองว่าในเวลานั้นเขาคิดผิด ไวรัสคอมพิวเตอร์ย่อมถูกกำจัดได้ด้วยแอนตี้ไวรัสที่เหมาะสม เช่นเดียวกับที่มนุษย์ยุคโบราณที่สามารถคิดค้นยารักษาโรคใหม่ๆ เพื่อต่อกรกับเชื้อโรคที่พัฒนาสายพันธุ์

ในเวลานั้นไวรัสคอมพิวเตอร์เป็นเหมือนตัวคอยควบคุมเทคโนโลยีต่างๆ ให้อยู่ในกรอบที่เหมาะสม ไม่ล้ำหน้ามากเกินไปจนไร้การควบคุม ไม่สะดวกสบายเกินไปจนละเลยทุกสิ่ง

แอนตี้ไวรัสที่พัฒนาตัวเองได้ไม่สมควรถูกสร้างขึ้นมาเลย ชายชราถอนหายใจ สายตาเหม่อมอง รู้สึกโทษตัวเองทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ เขาไม่ควรเริ่มต้นและเป็นหัวหน้าโครงการจนประสบความสำเร็จเลย

เขาน่าจะคิดได้มาตั้งนานแล้ว น่าจะคาดเดาเหตุการณ์ในอนาคตได้อยู่แล้ว

ถึงแม้เมื่อกว่าร้อยปีที่แล้ว ยุคที่มนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับคำว่าอัจฉริยะ แต่สิ่งที่เรียกว่าจิตใจนั้นกลับไม่เคยได้รับการพัฒนาเลย มนุษย์ยังคงยึดติดกับตัวเอง เราทั้งหลายยังคงลุ่มหลงกับเทคโนโลยี เป็นทาสความสะดวกสบาย และพร้อมจะละทิ้งความจริงทุกสิ่งตรงหน้า

นับต่อจากนี้โลกก็จะยิ่งเงียบลง ว่างเปล่าลง จนในที่สุดโลกทั้งโลกก็จะว่างเปล่า ไม่หลงเหลืออะไร และโลกยุคสุดท้ายของมวลมนุษยชาติก็คงจะมาถึงในไม่ช้าอย่างแน่นอน

เราเคยหวาดกลัวกับอะไรต่างๆ นานา แต่สุดท้ายแล้วจิตใจของมนุษย์ต่างหากที่ผลักดันให้ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปสู่จุดสิ้นสุดนั้น

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว