เนื้อคู่ในกระจกเงา
ใกล้เที่ยงคืนแล้ว
ฉันนั่งประจันหน้ากับภาพสะท้อนของตัวเองในกระจกโต๊ะเครื่องแป้งในห้องนอน มือซ้ายถือผลแอ๊ปเปิ้ลขนาดเหมาะมือ อีกมือกำด้ามมีดปอกไม้อันคมกริบไว้แน่น
แสงสว่างจากหลอดไฟถูกดับหมด เปลวเทียนไขสีเหลืองนวลที่ตั้งอยู่ตรงหน้าเป็นเพียงแหล่งเดียวที่ทำให้ห้องนี้ไม่ถูกความมืดมิดกลืนกิน
ฉันมองแววตาไม่แน่ใจของตัวเองในกระจกเงา มันฉายแววลังเลอย่างไม่ปิดบังเลยแม้แต่น้อย ความมัวซัวประกอบกับบรรยากาศรอบข้างที่ช่างเงียบเชียบเสียเหลือเกิน มันทำให้ฉันขนลุกอย่างไม่มีสาเหตุ
หลายครั้งฉันตกใจเงาที่พลิ้วไหวเนื่องจากการไหวเอนของเปลวเทียน ห้องนอนที่แสนคุ้นเคยในเวลาปกติ แต่ในเวลานี้ฉันกลับไม่รู้สึกอย่างนั้นเลย มันเหมือนกับมีบางสิ่งบางอย่างแฝงเร้นในเงามืดและคอยจับตาดูการกระทำของฉันอยู่
แม้แต่กับภาพสะท้อนใบหน้าของตัวเองในกระจกเงา มันถูกแรเงาเข้มจนคล้ายกับเป็นคนอื่น ดูลึกลับ ไม่คุ้นตา และสร้างความประหวั่นพรั่นพรึงได้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
เลิกล้มความตั้งใจตอนนี้ได้ไหมนะ
ถ้าไม่เพียงเพราะความอยากรู้อยากเห็นของฉันเอง คืนนี้ฉันก็คงนอนหลับสบายอยู่บนเตียงนอนนุ่มๆ ไปแล้วแท้ๆ
หลายวันก่อนฉันและกลุ่มเพื่อนๆ ในสำนักงานอีกหลายคนจับกลุ่มคุยกันตามประสาสาวโสด และหนึ่งในเรื่องยอดนิยมของพวกเราก็คือเรื่องของฉันเอง ฉันแอบชอบเพื่อนร่วมงานต่างแผนกคนหนึ่งอยู่และบรรดาเพื่อนสนิทในกลุ่มต่างก็รู้กันหมด แม้พวกเธอจะคอยเชียร์ทุกครั้งที่มีโอกาสแต่ความสัมพันธ์ของฉันกับเขาก็ไม่ได้คืบหน้าไปเลยสักนิด
ก็เขาทั้งสุภาพและดูดีมาก มากเสียใจทำให้ฉันเองเลิกล้มความตั้งใจกลางคันเสียทุกครั้งที่คิดจะเข้าไปคุยเพื่อเพิ่มความสนิทสนมกับเขา
หลังจากคุยกันไปคุยกันมา ต่างคนก็ต่างเสนอแผนพิชิตใจหนุ่มในฝันให้แก่ฉันซึ่งโดยส่วนตัวฉันคิดว่าคงหวังสร้างบรรยากาศครึกครื้นในวงสนทนามากกว่า คนใดคนหนึ่งในกลุ่มก็เกิดความคิดแผลงๆ ขึ้นมา
“วิธีดูเนื้อคู่”
คำซึ่งใช้เป็นหัวข้อในการค้นหาถูกพิมพ์ลงไปในเวบไซต์ชื่อดัง เพียงไม่ถึงเสี้ยววินาทีชื่อเวบไซต์จำนวนมากก็เรียงรายขึ้นมาบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ เราเลือกคลิ๊กรายชื่อจากหนึ่งในนั้น
วิธีดูเนื้อคู่ที่เป็นที่นิยมและแม่นจริง
ก่อนเริ่มพิธีให้ดับไฟให้หมดทุกดวง จุดเทียนไขที่หน้ากระจกเงาเพื่อให้ความสว่างแทน แสงสว่างนวลอันน้อยนิดในยามค่ำคืนนั่นล่ะคือบ่อเกิดของพลังงาน มันช่วยดึงสมาธิและจิตใจแน่วแน่ของผู้ทำพิธีให้กล้าแข็งขึ้น
นำแอ๊ปเปิ้ลและมีดปอกผลไม้มา นั่งอยู่หน้ากระจก ตาจ้องมองเปลวเทียนไขตรงหน้า ตั้งจิตอธิษฐานถึงสิ่งที่ปรารถนา
เนื้อคู่ของเรา
เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนให้เริ่มปอกเปลือกแอ๊ปเปิ้ลโดยหันคมมีดเข้าหาตัว ปอกช้าๆ อย่าให้เปลือกแอ๊ปเปิ้ลขาด จิตใจอธิษฐานไปทุกขณะจิตที่เลื่อนคมมีดไปตามผิวผลไม้
ขอให้เห็นเนื้อคู่ ขอให้เห็นเนื้อคู่
อย่าละสายตาจากกระจกเงาเป็นอันขาด ถ้าจิตใจแน่วแน่พอ ถ้าอธิษฐานด้วยความจริงใจพอ ภาพของเราในกระจกจะค่อยๆ เลือนลงทีละน้อย และภาพเนื้อคู่ของเราก็จะปรากฏขึ้นแทนที่
อย่าตกใจ ปอกเปลือกแอ๊ปเปิ้ลต่อไปเรื่อยๆ อย่าหยุดจนกระทั่งหมดผล แล้วทุกสิ่งจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติเอง
คำเตือน
วิธีนี้เป็นวิธีที่ได้ผลมาก แต่ค่อนข้างน่ากลัวไม่เหมาะสำหรับคนขวัญอ่อน และห้ามให้เปลือกแอ๊ปเปิ้ลขาดในขณะทำพิธีเป็นอันขาด
“เฮ้ย น่าสนุกดีนะ แกลองดูสิ ดูว่าเขาใช่เนื้อคู่แกรึเปล่า ถ้าใช่แกจะได้มั่นใจลุยต่อ ถ้าไม่ใช่จะได้รีบตัดใจไง”
เพื่อนคนหนึ่งแสดงความเห็นหลังจากที่ปล่อยให้กลุ่มเงียบกริบกันพักหนึ่งเพราะทุกคนมัวแต่อ่านข้อความบนหน้าจอ
“บ้า แกเนี่ย นี่มันเรื่องหลอกเด็กชัดๆ แกเชื่อเข้าไปได้ยังไง ไป เที่ยงแล้ว ไปหาอะไรกินกันดีกว่า”
ฉันเปลี่ยนเรื่องคุยแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจ ในขณะที่หัวสมองของฉันจดจำวิธีการอย่างละเอียดยิบไว้เรียบร้อยแล้ว
ก็ฉันเป็นคนบอกพวกนั้นเองแท้ๆ ว่ามันก็แค่เรื่องหลอกเด็ก แต่ทำไมตอนนี้ฉันกลับมานั่งอยู่หน้ากระจกเอาตอนใกล้เที่ยงคืนแบบนี้ ก่อนหน้านี้ก็อุตส่าห์เสียเงินไปซื้อแอ๊ปเปิ้ลมาหัดปอกตั้งไม่รู้เท่าไหร่
นี่ฉันบ้ารึเปล่าเนี่ย
สายตาเหลือบมองนาฬิกาปลุกที่ตั้งเอาไว้อยู่ข้างเทียนไข เข็มวินาทีเดินเป็นจังหวะเชื่องช้าสม่ำเสมอ ใกล้เที่ยงคืนแล้ว
ตึ่กตัก ตึ่กตัก
เสียงหัวใจตัวเองเต้นโครมครามอยู่ในอก จะเปลี่ยนใจตอนนี้ยังทันนะ ฉันบอกตัวเอง ตามองภาพสะท้อนในกระจกเพื่อถามความตั้งใจกับตัวเองอีกครั้งหนึ่ง
“แกร๊ก”
เข็มยาวและเข็มสั้นซ้อนทับกับที่เลขสิบสอง ฉันกดคมมีดลงบนผิวแอ๊ปเปิ้ลโดยอัตโนมัติลืมความลังเลเมื่อวินาทีก่อนหน้านี้ไปจนหมด ลูกแอ๊ปเปิ้ลถูกหมุนให้สอดคล้องกับจังหวะกดคมมีดอย่างชำนาญ ตาจ้องภาพตนเองในกระจกเงาไม่กระพริบ ใจนึกถึงเขาคนนั้น
คนที่ฉันแอบรัก คนที่อาจจะเป็นเนื้อคู่ของฉัน
ทั้งๆ ที่ประตูหน้าต่างถูกปิดจนหมด แต่ลมเย็นไม่รู้ที่มากลับพัดผ่านผิวกายของฉัน เปลวเทียนไหวเกิดเงาสั่นประสาทน่าหวาดหวั่น มือเผลอกดคมมีดลงลึกกว่าปกติอย่างไม่รู้ตัว
จังหวะแกว่งไปเล็กน้อย คมมีดถูกประคับประคองให้กลับมาอยู่ในระดับและจังหวะการปอกตามเดิม เปลือกสีขุ่นอันเกิดจากการบิดเบือนของแสงเทียนค่อยๆ คลายและทิ้งตัวเป็นเส้นยาวๆ ลงสู่พื้นเบื้องล่าง
แผ่นหลังเต็มไปด้วยเหงื่อ รู้สึกเหมือนมีใครมายืนหายใจรดต้นคอ บรรยากาศช่างเต็มไปด้วยความน่าหวาดระแวง
ในกระจกเงา ภาพของของฉันเริ่มเลือนราง และเมื่อเพ่งมองดีๆ ก็ดูเหมือนจะเห็นเค้าโครงหน้าของใครบางคนแทรกขึ้นมา
ตึ่กตัก ตึ่กตัก
ทั้งๆ ที่อยากรู้ใจจะขาด แต่ทำไมในเวลานี้ฉันกลับรู้สึกว่าไม่อยากเห็นเอาเสียดื้อๆ จะใช่เขารึเปล่านะ ใช่ ต้องใช่สิ แล้วถ้าเกิดไม่ใช่ล่ะ ถ้าคนในกระจกไม่ได้เป็นอย่างที่คิดล่ะ โอ ไม่ๆๆ มันต้องใช่สิ ต้องเป็นเขาเท่านั้น
เค้าโครงหน้าที่ไม่ใช่ของฉันเริ่มชัดเจนขึ้นเป็นลำดับ
ฉันตื่นเต้น ลังเล สับสน สมาธิฉันหลุดลอย คมมีดถูกกดลึกและเร็วกว่าที่ควรจะเป็น ฉันโน้มกายและใบหน้าเข้าไปหากระจกเพื่อเพ่งมองภาพตรงหน้าให้ชัดขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เป็นใครกัน ใช่เขาใช่มั้ย ขอร้องล่ะ ขอให้เป็นเขาด้วยเถอะ
ทันใดนั้นเอง
“อ๊าก...กกกกกกกกกกก”
เสียงซึ่งแสดงความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสดึงขึ้นทุกทิศทุกอย่างอย่างไม่ทันตั้งตัว ฉันผวาดึงตัวถอยห่างจากกระจกเงาในทันที ภาพรางๆ ของบุคคลในกระจกเงาแสดงอาการบ้าคลั่ง เสียงกรีดร้องโหยหวนดังก้องอยู่ในโสตประสาท
ฉันได้แต่นั่งนิ่งตามองภาพที่ไม่สวยงามตรงหน้าไม่กระพริบ สมองมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น
อะไร เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงเป็นแบบนี้
สายตาหลบลงต่ำ และที่พื้นห้อง เปลือกแอ๊ปเปิ้ลที่ถูกปอกเป็นเส้นยาวๆ อยู่ที่ตรงนั้น มันหล่นอยู่ใกล้ๆ กับเท้าของฉัน
เมื่อไหร่กัน ตั้งแต่เมื่อไหร่ มัน มันขาดตั้งแต่เมื่อไหร่ หัวใจเหมือนจะหยุดเต้น ใจหายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อฉันเงยหน้าขึ้นมองกระจกอีกครั้ง ภาพรางๆ ตรงหน้าหายไปแล้ว เสียงโหยหวนก็เงียบหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก้ไม่รู้
ทุกอย่างในห้องดูเหมือนจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ในกระจกเงาเหลือเพียงภาพใบหน้าของฉันซึ่งแสดงอาการตื่นตระหนกเหลือกำลัง ห้องทั้งห้องเงียบกริบเหมือนกับเสียงกรีดร้องเมื่อสักครู่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
หัวใจเต้นแรง หายใจหอบถี่ สมองมึนงงสั่งให้มืออันสั่นเทาเลื่อนไปทางกระจกเงาตรงหน้าเพื่อตรวจสอบความผิดปกติเมื่อสักครู่
พรึบ...
เปลวเทียนไขดับลงอย่างไม่มีสาเหตุ ห้องทั้งห้องถูกความมืดเข้าครอบงำ ความกลัวแล่นเข้าขั้วหัวใจ ปลายมือปลายเท้าเย็นเฉียบ ไม่คิดไม่อยากรับรู้อะไรอีกต่อไป ฉันเหวี่ยงมีดและแอ๊ปเปิ้ลไปคนละทิศละทางก่อนจะกระโจนตัวขึ้นคลุมโปงบนเตียงอย่างรวดเร็ว
บรรยากาศเงียบสงัดรายล้อม โสตประสาทคอยรับฟังเสียงผิดปกติภายนอกผ้าห่ม ตากรอกไปมาภายใต้ความมืดมิด ประสาทตึงเครียดตื่นตัวตลอดเวลา
..................................
“ติ๊ง...งงง ครืด...ดดด”
ประตูลิฟต์เปิดออก ฉันเดินทอดน่องเรื่อยเปื่อยออกมาจากกล่องสี่เหลี่ยม เขายืนรออยู่ที่หน้าประตูออฟฟิศ เขาคนที่ฉันแอบรัก
“ผมรอคุณอยู่นานแล้วครับ”
เขาเอ่ยออกมาทันทีที่มองมา ฉันเหลียวมองไปรอบๆ และก็พบว่ามีเพียงฉันคนเดียวที่อยู่ในบริเวณนี้
“รอ รอฉันเหรอคะ”
ฉันพูดออกไป รู้สึกงงกับคำพูดของเขา
“ใช่ครับ ผมรอคุณอยู่ ผมมีบางอย่างจะต้องบอกคุณ”
เขาก้าวเข้ามาหาฉันด้วยท่าทีคุ้นเคย ฉันก้มหน้าไม่กล้าสบตาคมเข้มคู่นั้น หรือว่าจะเป็นเขาจริงๆ เนื้อคู่ของฉัน
“ใช่แล้วครับ เรื่องที่ผมจะบอกก็คือผมเป็นเนื้อคู่ของคุณ”
เอ๋ เมื่อสักครู่เขาพูดว่าอะไรนะ
ใบหน้าหล่อเหลา ดวงตาคมกริบ ค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ ฉันเงยหน้าขึ้นมองไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน ฉันยังไม่ได้พูดอะไรออกไปเลย แล้วเขารู้ความคิดของฉันได้ยังไง
“ผมหลงรักคุณมานานแล้วครับ แต่ผมไม่กล้าเข้าไปคุยด้วย”
เขาเดินเข้ามาจนประชิดตัวฉัน มือและท่อนแขนแข็งแกร่งดึงรั้งร่างของฉันเข้าไปชิดแนบแน่น
“คุณจะรับรักผมได้มั้ยครับ”
ฉันหลบตา ไม่อยากเชื่อว่าเขาจะมาสารภาพรัก สองมือของเขาค่อยๆ เลื่อนขึ้นจากเอวของฉันสร้างความรู้สึกร้อนวูบวาบแปลกๆ ในอก
“ไปอยู่กับผมนะครับ”
ฉันเงยหน้าขึ้นมองอย่างหลงใหล ดวงตาเป็นประกาย
“ค่...”
ก่อนที่ฉันจะเอ่ยตกลง ฉับพลันมืออันทรงพลังทั้งสองของเขาก็โอบรัดอยู่ที่รอบคอของฉัน ฉันตาค้าง ตกตะลึก จ้องใบหน้าเขาอย่างไม่เชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น เสียงโหยหวนเหมือนกับว่าเคยได้ยินที่ไหนดังขึ้น ใบหน้าเข้มเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยว บริเวณคอของเขาปรากฏรอยปริเป็นทางยาวก่อนที่เลือดแดงฉานจะไหลทะลักออกมา
ใบหน้าบิดเบี้ยวเลื่อนเข้ามาหา แววตาอาฆาตจ้องเขม็งมายังฉัน ปากแสยะยิ้ม น้ำเสียงยานคางถูกเปล่งออกมาพร้อมๆ กับกลิ่นคาวที่ไหลทะลักออกมาตามจังหวะการพูด
“...ไป...อยู่...กับ...ผม...นะ...ครับ...ที่...รัก...ของ...ผม...”
................................
ฉันสะดุ้งตื่นจากความฝันอันน่าขนลุก เหงื่อผุดเต็มใบหน้าและแผ่นหลัง สมองยังจดจำความน่ากลัวเมื่อสักครู่ได้อย่างชัดเจน
เฮ้อ ฝันไปหรือนี่ เผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เมื่อคืนคงกลัวมากถึงขนาดเก็บเอาไปฝันได้เป็นตุเป็นตะขนาดนี้ ไม่ไหว ไม่เอาแล้ว ไม่กล้าเล่นอีกแล้วเรา
ฉันลุกขึ้นจากที่นอน จัดแจงธุระส่วนตัวด้วยอาการงัวเงียแต่เร่งร้อน นาฬิกาที่โต๊ะเครื่องแป้งบอกว่าหากทำอะไรเนิ่นนานกว่านี้ฉันจะไปทำงานสาย
ประตูลิฟต์เปิดออก ฉันก้าวเดินฉับๆ อย่างรวดเร็ว ในออฟฟิศหลายคนกำลังจับกลุ่มคุยเรื่องอะไรบางอย่างอยู่ที่ดูจากสีหน้าของแต่ละคนก็น่าจะเดาออกว่าไม่ใช่เรื่องตลก
“มีอะไรกับเหรอจ๊ะพวกเธอ แหม จับกลุ่มคุยกันแต่เช้าเชียวนะ”
ฉันเข้าไปทักทายกลุ่มเพื่อน พวกเธอทั้งกลุ่มหันมาตามเสียงทักและเบนความสนใจมาที่ฉันแทบจะพร้อมๆ กัน
“นี่ แกไม่รู้เรื่องอะไรเลยเหรอ”
“เรื่องอะไร”
สีหน้าคนถามดูเคร่งเครียดทำเอาฉันถึงกับงง มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“ก็เจ้าหนุ่มแผนกข้างๆ ที่แกแอบชอบอยู่น่ะสิ เค้าตายแล้ว เมื่อคืนนี้เอง”
ตายแล้ว คำพูดคำนี้เหมือนจะดังก้องอยู่ในหัวสมองอันกลวงโบ๋ของฉัน
“เมื่อคืนนี้ตอนเที่ยงคืนกว่า เพื่อนที่อยู่ห้องพักข้างๆ ได้ยินเสียงร้องเลยออกมาดู แต่กว่าจะพังประตูเข้าไปได้ก็ตายเสียแล้ว ถูกของมีคมปาดคอฉับเดียวเลย แผลเหวอะหวะเลยแก เห็นเค้าเล่าว่าไม่มีร่องรอยการต่อสู้เลย แล้วเนี่ย ก็ยังจับมือใครดมไม่ได้ บรื๋อ น่ากลัวชะมัด”
ถูกของมีคมปาดคอ ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ จับมือใครดมไม่ได้
ตึ่กตัก ตึ่กตัก
หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ รัวแรงราวกับต้องการจะหนีออกมาภายนอก น้ำตาปริ่มๆ ว่าจะไหล หนาวเยือกเหมือนมีคนเอาน้ำเย็นมารด
เป็นไปไม่ได้ ไม่จริง นี่มันเรื่องโกหกชัดๆ เรื่องแบบนี้จะเป็นไปได้ยังไงกัน สายตาเลื่อนลอยของฉันจับภาพเบลอๆ ของใบหน้าเพื่อนคนหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามาหา
“เอ๊ะ นี่คอแกไปโดนอะไรมาน่ะ รอยแดงเป็นจ้ำๆ เลยเนี่ย”
เสียงสุดท้ายเหมือนลอยตามลมมาจากที่ไกลแสนไกลที่ไหนสักแห่ง ความคิดสุดท้ายของฉันก่อนที่สติสัมปชัญญะจะขาดผึงลง
คืนนี้ฉันจะทำยังไง