ซินเดอเรลล่า
“...แล้วซินเดอเรลล่าก็สวมรองเท้าแก้วได้พอดี หลังจากนั้นพิธีเสกสมรสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรก็ถูกจัดขึ้น แขกผู้ทรงเกียรติรวมถึงเหล่าราษฎรทั้งปวงต่างเป็นสักขีพยานในรักครั้งนี้ และทั้งคู่ได้ครองรักกันอย่างมีความสุขตลอดไป”
“จบแล้วเหรอคะ คุณแม่”
เสียงเล็กใสของลูกแก้ว เด็กหญิงวัยห้าขวบที่กำลังนอนฟังอยู่เอ่ยถาม ลักษิกาปิดหนังสือวางมันไว้บนหัวเตียง เอื้อมมือไปหรี่แสงจากโคมไฟที่อยู่ใกล้กันก่อนที่จะเอนกายลงนอนข้างลูกสาว
“จบแล้วสิคะลูก ซินเดอเรลล่าได้แต่งงานกับเจ้าชายแล้วนี่จ๊ะ”
ห้องทั้งห้องถูกทาทับไปด้วยแสงสีส้มอ่อนๆ เธอส่งยิ้มหวานให้ลูกสาวตัวน้อยในอ้อมกอด สายตาเต็มไปด้วยความรักสุดหัวใจ
“แล้วหลังแต่งงานล่ะคะ ซินเดอเรลล่าจะเป็นยังไงต่อไป”
“ก็ต้องมีความสุขสิคะ เมื่อซินเดอเรลล่าได้แต่งงานกับคนที่เธอรัก เธอจะต้องมีความสุขแน่นอน”
ลักษิกาตอบคำถามอย่างเอ็นดู อดอมยิ้มในความขี้สงสัยของเด็กน้อยไม่ได้ เธอลูบผมละเอียดนุ่มลื่นของลูกสาวอย่างรักใคร่
“ลูกแก้วเชื่อคุณแม่ค่ะว่าซินเดอเรลล่าจะมีความสุข”
“งั้นก็นอนได้แล้ว เจ้าหญิงของแม่”
ลักษิกาบรรจงหอมแก้มใสของลูกสาว กลิ่นแป้งที่เพิ่งปะให้หลังอาบน้ำหอมกรุ่นติดจมูก เธอลุกขึ้นนั่ง เลื่อนผ้าห่มที่ปกป้องลูกน้อยจากอากาศเย็นของเครื่องปรับอากาศให้สูงขึ้นอีกหน่อย
“คุณแม่ก็ต้องมีความสุขสินะคะ คุณแม่ได้แต่งงานกับคุณพ่อแล้ว ก็ต้องมีความสุขตลอดไปเหมือนซินเดอเรลล่า”
เด็กหญิงพูดในขณะที่ดวงตากลมโตนั้นหลับไปแล้ว เธอไม่ตอบ ลูบหัวเจ้าหญิงตัวน้อยบนเตียงนอนอีกครั้งก่อนจะหยิบหนังสือนิทานที่เพิ่งอ่านเมื่อสักครู่จากหัวเตียงมาถือไว้ในมือ
หน้าปกหนังสือเล่มนั้นเป็นภาพหญิงสาวแสนสวยนามซินเดอเรลล่ายืนเคียงคู่กับเจ้าชายสูงศักดิ์ที่สุดแสนสง่างาม ปราสาทสีขาวอันยิ่งใหญ่และท้องฟ้าที่ถูกประดับประดาไปด้วยสายรุ้งเป็นฉากหลังดุจดั่งต้องการเฉลิมฉลองให้กับบุคคลทั้งสอง
ลักษิกาละสายตาจากหนังสือเหลียวไปมองกรอบรูปบนหัวเตียงข้างโคมไฟ ภาพชายคนหนึ่งอุ้มทารกเพศหญิงในอ้อมกอดโดยมีตัวของเธอเองนั่งอยู่เคียงข้าง ใบหน้าของบุคคลทั้งสองอาบไปด้วยรอยยิ้มแห่งความยินดี มันเป็นรอยยิ้มเปี่ยมสุขขนาดที่สามารถส่งผ่านความอิ่มใจให้แก่ผู้ที่ได้มองภาพนั้น
ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนที่แต่งงานแล้วจะจบลงอย่างมีความสุขหรอกนะ
ก้อนสะอื้นจุกอยู่ที่อก เธอเก็บอีกคำตอบของซิลเดอเรลล่าไว้ในใจ ละสายตาจากรูปถ่ายกลับมายังลูกสาวก่อนน้ำใสที่เรื้ออยู่ขอบตาจะร่วงผล็อยลงมา
ลูกสาวของเธอหลับไปแล้ว หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงเบาๆ จังหวะหายใจสม่ำเสมอ รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏที่มุมปาก เด็กน้อยคงกำลังฝันดี
“ราตรีสวัสดิ์นะจ๊ะ ลูกรัก”
............................................
ณ ดินแดนอันไกลโพ้น ที่แห่งนั้นยังมีปราสาทที่ถูกออกแบบโดยสถาปนิกชั้นยอดของอาณาจักรจำนวนนับไม่ถ้วนจนมันงามวิจิตรหาที่ติมิได้ ปราสาทสีขาวยิ่งใหญ่ที่ยอดของมันแทงขึ้นจนสูงเสียดฟ้า กำแพงป้อมปราการที่โอบล้อมกินพื้นที่มากมายมหาศาลทั้งภูเขา บึงน้ำใส และสวนดอกไม้ไกลสุดลูกหูลูกตา
ซินเดอเรลล่านั่งอยู่ที่นั่น หน้าตาสะสวยและรูปร่างอ้อนแอ้นไม่ไหวติง นิ่งเงียบเนิ่นนานราวรูปสลักหิน สายตาทอดมองออกไปไกลสู่สวนดอกไม้
ราวจิตวิญญาณของนางกำลังหลุดลอยไปยังที่ไกลแสนไกล สู่โลกที่มีเพียงนางเท่านั้นที่ย่างกรายเข้าไปได้ ในบางครั้งคิ้วงามบนใบหน้าหมดจดก็ขมวดเข้าหากันและบางครั้งใบหน้านั้นก็เรียบเฉยจนน่ากลัว
แม้จะมีสาวใช้ประจำกายยืนเคียงข้างอยู่ถึงสองคน แต่แน่นอนว่าไม่มีใครสามารถอ่านใจของซินเดอเรลล่าได้
“พระราชาเสด็จ...จจจ”
เสียงมหาดเล็กดังกังวานลากยาวประกาศการมาเยือนของเจ้าเหนือหัว สาวใช้ทั้งสองทรุดกายคุกเข่าลงกับพื้น ซินเดอเรลล่าหลุดจากภวังค์ลุกขึ้นยืนก่อนจะแสดงความเคารพเช่นกัน
“อยู่นี่เอง ซินเดอเรลล่า ไม่ต้องเกรงใจเรา เจ้ากำลังตั้งครรภ์อยู่ ไม่จำเป็นต้องมากพิธี”
หากนับจากวันที่ซินเดอเรลล่าสวมรองเท้าแก้วที่เจ้าชายนำมาตามหาหญิงในงานเต้นรำได้พอดีและได้เสกสมรสกัน นี่ก็ผ่านมาหลายปีแล้ว มันนานขนาดที่เจ้าชายหนุ่มในครั้งนั้นเติบใหญ่และได้สืบทอดราชบัลลังก์ต่อจากพระราชบิดา และซินเดอเรลล่าเองก็กลายเป็นราชินี
ร่างสูงสง่าก้าวเข้าไปหาพลางประคองแขนของนางที่กำลังจะย่อเข่าลงให้ลุกขึ้น
“ทำไมเจ้าถึงออกมาชมดอกไม้ที่นี่ล่ะ อากาศเย็นขนาดนี้จะไม่เป็นผลดีต่อทั้งเจ้าและลูกในครรภ์ของเรานะ รีบกลับเข้าข้างในเสียเถิด หากป่วยไปจะลำบาก”
“ค่ะ ต่อไปข้าพเจ้าจะระวังตัวให้มากกว่านี้...”
ยังไม่ทันพูดจบประโยคดี ร่างของซินเดอเรลล่าก็ทรุดลงสู่พื้นไปต่อหน้าต่อตาทุกคน โลกรอบกายของนางหมุนคว้าง ตัวเบาไร้น้ำหนัก ใจสั่น หายใจหอบถี่ นางเห็นภาพใบหน้ารางๆ ของราชาและใครต่อใคร ได้ยินเสียงอื้ออึงที่ฟังไม่ได้ศัพท์
มันดูโกลาหล วุ่นวาย นางอยากตะโกนออกไปแต่ไม่สามารถทำได้ แล้วทุกอย่างก็ดับวูบลงไป
หมอที่เก่งที่สุดในอาณาจักรถูกเรียกตัวโดยด่วนเพื่อตรวจอาการ ราชาเดินไปมาอย่างกระวนกระวาย ในที่สุดหมอก็หยุดการตรวจรักษา
“ร่างกายราชินีอ่อนแอมาก ซ้ำยังต้องเจออากาศเย็นเป็นเวลานาน ตอนนี้เราไม่สามารถรักษาเด็กในครรภ์ไว้ได้แล้ว และที่ยิ่งแย่ไปกว่านั้น ข้าพเจ้าเกรงว่าราชินีเองก็อาจจะไม่สามารถมีทายาทได้อีก”
สิ้นคำอธิบาย ทุกอย่างในห้องที่ดูสับสนวุ่นวายเมื่อสักครู่ก็กลับกลายเป็นเงียบเชียบราวไร้สิ่งมีชีวิตอยู่ที่นั่น
ในเวลานั้นใครต่อใครต่างก็คิดว่าราชาคงจะเสียใจมากกับข่าวที่เพิ่งได้รับฟัง สีหน้าที่แสดงออกคงระทมทุกข์และเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งความเศร้าหมอง
แต่มันกลับไม่ได้เป็นอย่างนั้น ใบหน้าของราชาไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา มันเรียบเฉยเสียจนไม่แน่ใจว่านั่นคือใบหน้าแห่งความเศร้าโศกเสียใจ หรือนั่นคือใบหน้าแห่งความโกรธเกลียดกันแน่
หรือว่าแท้ที่จริงแล้วในใบหน้าเฉยชานั้นจะไม่มีความนัยอะไรอยู่เลย
ไร้คำพูดจา ไร้คำปลอบโยน ราชาเบือนหน้าและก้าวเดินออกจากห้องไปไม่เหลียวหลังกลับมามองซินเดอเรลล่าที่กำลังสะอื้นไห้อยู่บนเตียง
และตั้งแต่วันนั้นราชาก็ไม่เคยกลับมาหานางอีกเลย
วันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า ไม่เคยมีใครในปราสาทเห็นหน้าซินเดอเรลล่าอีก นางหมกตัวอยู่ในห้อง ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนอนนิ่งๆ บนเตียง สายตาเหม่อลอยว่างเปล่า นางไม่พูด ไม่หัวเราะ ไม่ร้องไห้ ไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา
หัวใจนางแตกสลายนับตั้งแต่ราชาที่รักยิ่งสุดหัวใจเดินจากไป
และตั้งแต่วันนั้นเช่นกัน ปราสาทใหญ่โตที่เคยดูเคร่งขรึมทรงอำนาจก็เปลี่ยนไป งานเลี้ยงรื่นเริงถูกจัดขึ้นไม่เคยเว้นแต่ละวัน ไม่มีวันใดที่ประตูทางเข้าจะไร้ผู้คนเดินเข้าออก และไม่เคยมีคืนใดที่ท้องพระโรงจะไร้เสียงหัวเราะและเสียงดนตรีครื้นเครง
ในขณะที่ท้องพระโรงเต็มไปด้วยเหล่าบรรดาอิสตรีที่ถูกเกณฑ์มาให้ราชา แขกมีชื่อเสียงจากทั่วสารทิศ อาหารเลิศรส ไวน์ชั้นยอด และเสียงขับกล่อมรัญจวนใจ ซินเดอเรลล่ากลับนอนอยู่เพียงลำพังในห้องมืดทึบที่แสงจันทร์ถูกบดบังโดยเมฆฝน
เมื่อไร้ราชาเคียงข้างก็ไร้ซึ่งคนยำเกรง เมื่อไม่เป็นที่โปรดปรานก็ไร้คนพินอบพิเทา แม้จะได้ชื่อว่าเป็นราชินีแต่ก็หาได้มีคนเคารพดั่งเก่าก่อน แม้แต่สาวใช้ประจำกายก็ยังตีจากไปหานายใหม่
แม่และพ่อแท้ๆ ตายจากนางไป แม่เลี้ยงและพี่สาวบุญธรรมทั้งสองก็ถูกประหารเมื่อครั้งสมอ้างเป็นเจ้าของรองเท้าแก้ว และบัดนี้แม้แต่ชายที่นางฝากชีวิตไว้ก็กลับมาหันหลังให้ เขาทำลายความรักความหวังของนางเสียจนไม่เหลือชิ้นดี
ไม่เหลือใครอีกแล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรอีกแล้วที่จะอยู่ในโลกอันว่างเปล่าใบนี้
ฟ้าแลบแปลบปลาบ เสียงร้องจากท้องฟ้าราวอสูรกายร้าย สายฟ้าฟาดคล้ายกรงเล็บที่รอขย้ำเหยื่อตัวน้อยที่บังเอิญพลัดหลงออกไป ซินเดอเรลล่าเดินไปตามทางเดินหินเย็นเฉียบในปราสาทโดยปราศจากสิ่งใดห่อหุ้มเท้าเปลือย แววตาเรียบเฉยไร้ความรู้สึก
ละอองน้ำโปรยปรายก่อนที่สายลมคลั่งจะพาฝนห่าใหญ่กระหน่ำเทลงมา เสียงก้องกัมปนาทดังไม่ขาดสาย เนื้อตัวเปียกปอน ร่างกายสั่นสะท้านหนาวเหน็บ แต่ก็ไม่อาจทำให้ซินเดอเรลล่าสั่นคลอนได้ นางยังคงเดินต่อไป
บึงน้ำตรงหน้าช่างมืดมิดและปั่นป่วนเฉกเช่นเดียวกับใจของนาง จนถึงตอนนี้นางเองก็ยังคงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะเหตุใดถึงทำให้นางต้องมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้
แต่มันไม่สำคัญอีกแล้ว
เท้าทั้งสองก้าวออกไปทีละก้าว ความเย็นเฉียบของแผ่นน้ำแผ่ซ่านไปถึงหัวใจ แต่ก่อนที่จะได้เกิดอะไรต่อไป ฉับพลันนั้นแสงเรืองหม่นๆ ก็ได้ปรากฏขึ้นห่างออกไปที่ใจกลางบึงน้ำ มันค่อยๆ เคลื่อนเข้าใกล้ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นชายหนุ่มซึ่งมีปีกสีดำงอกออกมาจากด้านหลัง
“ซินเดอเรลล่าเอ๋ย เจ้าไม่จำเป็นต้องรีบทิ้งชีวิตหรอก ข้าจะให้เจ้าได้เห็นอะไรที่เจ้าไม่เคยได้รับรู้มาก่อน”
ภาพต่างๆ ไหลเข้าไปในสมองของซินเดอเรลล่าไม่ขาดสาย นางตกตะลึงกับเหตุการณ์ในมโนภาพ ไม่อยากคิดว่าสิ่งที่เห็นจะเป็นเรื่องจริง น้ำตาที่เคยไหลอยู่ในอกพรั่งพรูออกมาจนเป็นสายเลือด ความคลางแคลงใจ โกรธเกลียด ปะทุออกมาทางแววตา นางกรีดร้องราวคนเสียสติ
“ภาพที่เจ้าเห็นคือความจริงทั้งหมด แค้นใช่มั้ย อยากให้คนๆ นั้นเจ็บปวดเหมือนเจ้ามั้ยล่ะ ขายวิญญาณให้ข้าสิ แล้วข้าจะให้อำนาจแก่เจ้า”
“ข้ายอมขายทุกอย่างของข้าเพื่อแลกกับทุกอย่างของคนผู้นั้นเช่นกัน”
แววตาที่เคยใสซื่อกลับกลายเป็นเกรี้ยวกราด กรามขบกันจนได้ยินเสียงกระทบของฟัน ชายปีกดำยิ้มรับคำสัญญา
“จงกลับไปที่ห้อง ตอนนี้เจ้ารู้แล้วว่าจะต้องทำอะไร เมื่อเจ้าได้ตามที่ปรารถนาแล้ว จงกลับมาหาข้าที่นี่และทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับข้า”
ซินเดอเรลล่ากลับมาที่ห้องของนาง รินไวน์องุ่น ดื่มด่ำไปกับรสเปรี้ยวอมฝาดของเครื่องดื่มในถ้วย นางอาบน้ำ ทำผม แต่งตัวด้วยชุดที่สวยที่สุด ประดับเรือนกายด้วยเครื่องประดับที่งามที่สุด นางยิ้มให้กับหญิงงามในกระจกเงาตรงหน้า
แม่ทัพอันเกรียงไกรของอาณาจักรคือเป้าหมาย เขาถูกเชิญให้มางานสังสรรค์ในคืนนี้ ซินเดอเรลล่าลอบพบเขา ออดอ้อน หัวร่อต่อกระซิก นางใช้ทุกมารยาหญิงแก่ชายผู้แข็งแกร่งที่สุด และในคืนนั้นความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็จบลงที่ห้องนอนของนาง
อำนาจแห่งอิสตรีนั้นทรงพลังยิ่งกว่าอาวุธใดๆ มันมีพลังครอบงำจิตใจ ไม่ว่าชายผู้นั้นจะเป็นนักรบที่แข็งแกร่งห้าวหาญเพียงใดก็ไม่อาจต้านทานเสน่ห์แห่งสตรีได้
และเพียงแค่คืนเดียวที่ทุกคนในปราสาทยังคงหลงระเริงไปกับงานรื่นเริง ไม่มีใครคาดคิดหรือระแวดระวังเลยว่าเรื่องเลวร้ายกำลังจะเกิดขึ้น
ทั่วทั้งปราสาทถูกโอบล้อมโดยเหล่าทหารของแม่ทัพ ท้องพระโรงถูกปิดตาย และราชาก็ถูกจับกุมในขณะที่มือข้างหนึ่งยังคงถือถ้วยไวน์องุ่นอยู่ เหล่าทหารและข้าทาสบริวารในข้าเก่าทั้งหมดต่างยอมสยบให้แก่นายใหม่ทันที
ทุกอย่างรวดเร็วและเด็ดขาด ราชากลับกลายเป็นนักโทษเพียงเสี้ยววินาที เขาถูกคุมขังในห้องมืดส่วนที่ลึกที่สุดของปราสาท ด้วยความพลิกผันที่ไม่อาจยอมรับ ราชาซึ่งเคยเป็นนายเหนือหัวของทุกผู้ในอาณาจักรกลับกลายเป็นคนวิกลจริต
เขามักจะนั่งอยู่ในมุมหนึ่งของห้องขัง พูดกับตัวเอง เดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวโกรธเกรี้ยว ไร้ซึ่งความสง่างามสูงส่งอีกต่อไป
ในบางคืนที่ความเงียบสงัดเข้าครอบงำ จะมีผู้ได้ยินเสียงร้องโหยหวนราวอสูรกายดังมาจากส่วนที่ลึกที่สุดของตัวปราสาทจนเป็นที่กล่าวขานกันสืบมาเรื่องปีศาจร้ายในคุกใต้ดิน
เมื่อทุกอย่างสิ้นสุดลง ซินเดอเรลล่ากลับมายังบึงน้ำดำมืด คืนนี้ลมสงบ ผืนน้ำนิ่งราวกระจก มันสะท้อนให้เห็นดวงจันทร์และดวงดาวบนฟากฟ้า ไฟแห่งความแค้นมอดลงแล้ว แต่ใจนางกลับไม่รู้สึกสงบดั่งเช่นผืนน้ำตรงหน้า
นางนึกไปถึงค่ำคืนซึ่งได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดจากชายปีกดำ
แม่เลี้ยงและพี่บุญธรรมใจร้ายที่คอยแต่จะกลั่นแกล้งให้นางทำงานบ้านไม่ได้หยุด เสื้อผ้าที่ให้ใส่ก็ล้วนเป็นของเหลือที่แสนจะมอมแมม อีกทั้งยังไม่เคยให้นางได้ออกไปพบปะผู้คนดั่งเช่นคนปกติ
ซินเดอเรลล่าเป็นหญิงงามเมื่อเทียบกับหญิงชาวบ้านทั่วไป แน่นอนว่าหากได้แต่งตัวสวยย่อมต้องเป็นที่หมายปองของเหล่าบรรดาชายหนุ่มเป็นแน่แท้ หากนางสามารถออกไปเที่ยวตามใจซ้ำยังถูกเอาอกเอาใจจากใครต่อใคร สุดท้ายนางก็จะคร้านการงานและเสียคนในที่สุด
ไม่มีทางที่ถ้าเตือนกันดีๆ แล้วซินเดอเรลล่าที่ถูกเอาอกเอาใจจากพ่อแม่แท้ๆ มาตั้งแต่เด็กจะเชื่อฟังและยอมทำตาม ทุกอย่างที่แม่เลี้ยงและพี่บุญธรรมทำลงไปก็เพราะทุกคนรู้ พวกนางอยู่กับซินเดอเรลล่ามานานจนรู้จักนิสัยใจคอเป็นอย่างดี
นางฟ้าผู้ให้พรวิเศษกับซินเดอเรลล่า ช่วยให้นางมีชุดสวยและรองเท้าแก้วใส่ไปในงานเต้นรำจนได้พบกับเจ้าชายในฝัน
พรนางฟ้าที่ไม่ต่างอะไรจากสัญญาของซาตาน มันช่วยให้สมหวังในสิ่งที่ไม่ควรจะได้ มันทำให้คนหลงระเริงไปกับวิมานตรงหน้า แต่มันกลับต้องแลกมาด้วยอะไรบางอย่างเสมอ
ซินเดอเรลล่าเรียกนางฟ้าออกมาด้วยกิเลสที่เรียกว่าความลุ่มหลงในรัก ได้แต่งงานกับเจ้าชายโดยแลกกับชีวิตของแม่เลี้ยงและพี่บุญธรรมทั้งสอง แต่กลับได้เพียงรักจอมปลอมที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง
เฉกเช่นเดียวกับที่นางเรียกชายปีกดำที่รู้จักกันในนามซาตานออกมาด้วยกิเลสที่เรียกว่าความโกรธเกลียด นางได้แก้แค้นชายที่เคยรักหมดหัวใจอย่างสาสมโดยแลกกับทุกสิ่งทุกอย่างของนางเอง
ซินเดอเรลล่านึกไปถึงวันที่เจ้าชายนำรองเท้าแก้วออกตามหาจนกระทั่งได้พบกัน นางนึกเย้ยหยันตัวเองอยู่ในใจเพราะในครั้งนั้นนางคิดว่าเจ้าชายรักนางอย่างหมดใจจนถึงกับพลิกอาณาจักรตามหาหญิงผู้เป็นเจ้าของรองเท้าแก้ว
แต่มันไม่ใช่ เจ้าชายหนุ่มช่างสูงศักดิ์และสูงส่ง ตลอดชีวิตไม่เคยมีสักครั้งที่อยากได้อะไรแล้วจะไม่ได้ หญิงที่งามกว่านางมากมายล้วนยินยอมถวายตัวหากเจ้าชายต้องการ นับประสาอะไรกับหญิงชาวบ้านอย่างนาง
แท้ที่จริงแล้วเจ้าชายเป็นเพียงเด็กเอาแต่ใจที่ไม่รู้จักแพ้เท่านั้น เขาเพียงแค่รู้สึกเสียหน้าที่จู่ๆ หญิงชาวบ้านที่ไม่มีใครรู้จักก็วิ่งหนีไปในคืนงานเต้นรำ ในใจของเจ้าชายมีเพียงความขุ่นข้องหมองใจและความรู้สึกอยากเอาชนะเท่านั้น
มันไม่เคยมีความรักอยู่ในนั้นเลย ไม่มีเลยจนแม้แต่หน้าตาของซินเดอเรลล่าเองเจ้าชายก็ยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำ หากไม่มีรองเท้าแก้วที่ไม่มีใครสวมได้คู่นั้นแล้วนางและเจ้าชายคงไม่มีวันได้พบกันอีกตลอดกาล
“ทั้งๆ ที่รู้ว่าจะอันตรายกับเด็กในท้อง แต่นางก็ยังออกไปข้างนอก นางฆ่าลูกของเรา ราชินีที่ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ ไม่สามารถมีบุตรได้อีก ข้าไม่ต้องการ”
เป็นคำพูดที่ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเจ้าชายไม่เคยต้องการนาง สิ่งที่เจ้าชายต้องการมีเพียงลูกในท้องเท่านั้น
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้เห็นมันช่างสุดแสนปวดร้าวทรมาน ภาพเจ้าชายสูงส่งที่เคยวาดฝันไว้ถูกลบหายไปในทันที และนางก็ได้ตัดสินใจทำในสิ่งที่แม้แต่นางเองก็คาดไม่ถึง
ไม่เกี่ยวกับใครทั้งนั้น ผู้ที่เป็นคนเริ่มทุกอย่างคือข้าเอง
มันอาจจะผิดตั้งแต่แรกแล้วที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น นางไม่ควรรับพรใดๆ จากนางฟ้า ไม่ควรอยากไปในที่ๆ ไม่ควรไป ไม่ควรคิดฝันอาจเอื้อมอะไรที่เกินตัว
ทุกอย่างมันแตกต่างกันมากเกินไป ไม่มีทางไหนเลยที่สามัญชนธรรมดากับเจ้าชายสูงศักดิ์จะคู่ควรกันได้ เพียงแค่ใจรักอันบริสุทธิ์ของนางมันยังไม่พอในชีวิตจริง
นางควรเชื่อฟังแม่เลี้ยงและพี่บุญธรรมที่พยายามช่วยเหลือนางอย่างเต็มกำลังให้อยู่ในทางที่ถูกที่ควร และถ้านางฟังคำเหล่านั้นนางก็คงไม่ต้องพบและทำสัญญากับซาตาน
“ข้ามาทวงสัญญา”
ชายปีกดำปรากฏตัว ซินเดอเรลล่าหันกลับไปมอง รอยยิ้มเศร้าหมองปรากฏที่มุมปาก ทุกสิ่งทุกอย่างจบสิ้นลงแล้ว
“ท่านจะได้ทุกสิ่งที่ท่านต้องการ”
ชายปีกดำเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ ถึงแม้จะเห็นคนที่เตรียมใจมานักต่อนักแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยเห็นใครที่ยังยิ้มออกมาได้อย่างไม่สะทกสะท้านเช่นนี้
“ท่านอย่าได้แปลกใจ ตอนนี้แม้จะเห็นคนล้มตายต่อหน้าข้าก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แม้แต่ชายที่ข้ารักสุดหัวใจต้องเจ็บปวดแสนสาหัสข้าก็กลับไม่ได้อาลัยอาวรณ์เลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ตอนนี้ท่านไม่คิดจะเอาวิญญาณของข้าไป แต่ตัวข้าในตอนนี้ก็ไม่หลงเหลือจิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์อีกแล้ว”
ซินเดอเรลล่าหลับตา น้ำใสไหลลงอาบสองแก้ม นางก้าวถอยหลังช้าๆ ก่อนจะทิ้งตัวลงไปสู่อ้อมกอดของความมืดมิดและหนาวเหน็บ
“ข้ามาจากความว่างเปล่า และกำลังจะกลับสู่ความว่างเปล่า”
ชายปีกดำยืนมองร่างของซินเดอเรลล่าค่อยๆ จมดิ่งลึกลงไป ถึงแม้วิญญาณจะหลุดออกจากร่างไปแล้ว แต่บึงน้ำเย็นเยียบนี้จะรักษารูปกายให้คงอยู่ตลอดไป
นี่อาจจะเป็นความสงบที่นางต้องการจริงๆ ลาก่อนซินเดอเรลล่าผู้อาภัพ
............................................
ลักษิกาวางมือจากแป้นพิมพ์ ถอดแว่นวางไว้ข้างๆ จอคอมพิวเตอร์ หลับตา บีบนวดขมับเบาๆ เพื่อผ่อนคลาย เธอกำลังคิดว่าจะส่งต้นฉบับนี้ให้สำนักพิมพ์ดีไหม เพราะคงไม่มีใครชอบใจนักที่เอานิยายโรแมนติกระดับโลกมาเขียนด้านมืดแบบนี้
เธอเดินออกจากห้องทำงาน ประตูห้องนอนของลูกแก้วเปิดแง้มอยู่ เมื่อมองผ่านช่องประตูที่เปิดอ้าเข้าไปเธอก็พบว่าอนิรุทธ์สามีของเธอที่กลับมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้กำลังก้มลงหอมแก้มลูกสาวตัวน้อยที่กำลังหลับใหล
เขานั่งลงบนเตียง เอื้อมมือหยิบกรอบรูปขึ้นมามองเนิ่นนาน รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าของอนิรุทธ์ขณะที่มองภาพถ่ายในกรอบรูปนั้นเป็นรอยยิ้มแห่งความสุขอย่างไม่ต้องสงสัย
ลักษิกาลอบมองสามีอยู่นาน คำถามมากมายผุดขึ้นมาอย่างฉับพลัน เหตุใดคนที่หมดรักกันเช่นเธอถึงยังได้มองเขาด้วยความรู้สึกเช่นนี้ และเหตุใดถึงยังคงเห็นรอยยิ้มและแววตาแห่งความห่วงหาอาทรจากคนที่ไม่รักกันแล้วเช่นเขา
“แอ๊ด...ดดด”
ลักษิกาเดินเข้าไปในห้อง อนิรุทธ์วางกรอบรูปกลับที่เดิมก่อนจะลุกขึ้นยืน ความปวดร้าวขมขื่นปรากฏขึ้นในดวงตาหม่น
ลักษิกาแต่งงานกับอนิรุทธ์เมื่อหลายปีก่อนหลังคบหาดูใจกับมาเนิ่นนาน เธอรู้จักนิสัยใจคอสามีของตนเองอย่างดี เขาขยันขันแข็ง บ้างาน และเอาจริงเอาจังกับทุกเรื่องโดยเฉพาะหากมันจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับครอบครัว
“ผมจะทำทุกอย่างให้ครอบครัวเราดีขึ้น สักวันเราจะลืมตาอ้าปากได้ คุณไม่ต้องเป็นห่วงนะ ผมสัญญาว่าผมทำได้แน่”
นั่นเป็นประโยคติดปากของเขา เมื่อลูกแก้วได้ลืมตาขึ้นมาดูโลก อนิรุทธ์ก็ยิ่งโหมงานหนักมากขึ้น เขากลับบ้านดึกบ่อยครั้งขึ้น บ่อยครั้งที่ลักษิกาต้องทานมื้อเย็นเพียงลำพัง และบ่อยครั้งที่เธอหลับอยู่ที่โซฟารับแขกหน้าโทรทัศน์เพื่อรอสามีกลับมา
“ขอโทษด้วยนะที่รัก ผมมีงานด่วนต้องเคลียร์ ไว้คราวหน้าผมไม่ผิดสัญญาแน่นอน”
ลักษิกาได้ยินคำแก้ตัวประเภทนี้บ่อยขึ้นเรื่อยๆ จนวันหนึ่งกว่าที่ทั้งคู่จะรู้ตัวความรักที่เคยมีก็กลับผิดแปลกไป เธอไม่เคยอยู่รออนิรุทธ์ทานข้าวเย็นด้วยกัน ไม่เคยอยู่รอจนเขากลับบ้าน อยากไปไหนก็จะไปลำพังคนเดียว และไม่เคยเอ่ยปากถามว่าเขาจะไปไหนหรือจะทำอะไร ถึงแม้จะผิดนัดซ้ำแล้วซ้ำเล่าเธอก็ไม่รู้สึกรู้สาอะไรอีก
กำแพงบางๆ ก่อตัวขึ้นระหว่างคนทั้งสอง ทั้งคู่พูดกันน้อยลง และน้อยลงเรื่อยๆ จนเมื่อรู้ตัวอีกทีก็ไม่มีใครพูดคุยกันอีกเลย
“ขอโทษด้วยที่ผมกลับดึกขนาดนี้ นึกว่าคุณจะหลับไปแล้วซะอีก เรื่องที่คุณบอกว่าจะคุยกับผมให้เรียบร้อยในวันนี้คงสำคัญมากสินะ”
อนิรุทธ์คิดว่าเขาเองรู้คำตอบอยู่แล้ว แม้จะพยายามปกปิดแต่แววตาของเขาก็ไม่เหมือนเดิม ความแข็งแกร่งในนั้นหายไปเหลือเพียงแววตาของเด็กน้อยที่รู้ตัวว่ากำลังจะต้องสูญเสียของรักที่สำคัญที่สุดไป
แม้จะเหมือนนิ่งเฉย แต่ตาคู่นั้นกลับฉายเพียงความหวั่นไหวออกมา และเมื่อเห็นดวงตานั้นลักษิกาซึ่งเคยคิดว่าได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้วก็กลับสั่นคลอนจนเริ่มไม่แน่ใจในสิ่งที่กำลังจะพูดออกไป
เธอและเขาต่างจากซินเดอเรลล่าในนิยายที่เพิ่งพิมพ์เมื่อสักครู่
เจ้าชายหนุ่มออกตามหาซินเดอเรลล่าด้วยแรงแห่งทิฐิ มันอาจเป็นเพียงความต้องการชั่วคราวหรือความใคร่ชั่วคืน แต่สำหรับลักษิกาและอนิรุทธ์นั้นไม่ใช่
เจ้าชายที่เห็นซินเดอเรลล่าเป็นเพียงดอกไม้ที่เด็ดเอามาปักแจกันแล้วรอให้มันเหี่ยวเฉาไปเท่านั้น เจ้าชายที่เพียงอยากครอบครอง เจ้าชายที่หันหลังให้ในยามที่คนรักต้องการกำลังใจอย่างที่สุด
แต่กับอนิรุทธ์ เขาไม่เคยคิดเพียงครอบครองเธอ เขาผู้นี้ไม่เคยทิ้งเธอไปไหน เขาที่คอยให้กำลังใจยามเมื่อท้อแท้ อยู่เฝ้าไข้ยามไม่สบาย คนที่พร้อมจะเอ่ยขอโทษก่อนทั้งๆ ที่ไม่ผิด เขาคือชายที่ทำเพื่อให้ทุกอย่างดีขึ้น
ซินเดอเรลล่าที่ได้ทำสัญญากับซาตาน แม้รู้ว่าปลายทางที่ได้รับคือความเสียใจและความว่างเปล่า
ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนที่แต่งงานแล้วจะจบลงอย่างมีความสุขหรอกนะ
ลักษิการู้ดีอยู่แล้วว่าหลังจากที่เธอพูดออกไป หลังผ่านพ้นคืนนี้ทุกอย่างก็จะไม่เหมือนเดิม เธอรู้เช่นเดียวกับที่ซินเดอเรลล่าที่เธอเขียนรู้เพราะเธอเขียนมันขึ้นมาจากจิตใต้สำนึกของตัวเอง เธอรู้ว่าปลายทางที่กำลังจะเดินไปนั้นคือความว่างเปล่าที่ทุกคนจะต้องเจ็บปวด
จะจบทุกเรื่องด้วยสัญญาของซาตาน หรือจะไปต่อด้วยกำลังของตัวเอง จะเป็นซินเดอเรลล่าที่มีแต่ความว่างเปล่า หรือซินเดอเรลล่าที่มีความสุขตลอดไป
“คือ ชั้นคิดว่า...”
เป็นครั้งแรกที่ลักษิกาเอ่ยปากกับอนิรุทธ์ หลังจากที่ไม่เคยพูดคุยกันตรงๆ แบบนี้มานานแล้ว ชายหนุ่มใจเต้นรัวแรงอย่างยอมรับความจริง บางทีนี่อาจจะเป็นคืนสุดท้ายแล้วที่พ่อแม่ลูกจะได้อยู่พร้อมหน้า
“...อีกไม่กี่วันลูกสาวเราก็จะเข้าโรงเรียนแล้ว เราน่าจะพาแกไปเที่ยวซะหน่อยนะคะ”
อนิรุทธ์แปลกใจกับคำพูดของภรรยา เขาถอนหายใจ น้ำตาร่วงออกมาอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะโผเข้ากอดภรรยาตรงหน้า
“ผมขอโทษนะ ผมขอโทษ ต่อไปผมจะบ้างานให้น้อยลง เอาใจใส่พวกคุณแม่ลูกให้มากขึ้น ผมไม่อยากจะต้องเสียพวกคุณไปจริงๆ ผมรู้แล้วว่าอะไรสำคัญที่สุดกับผม”
ลักษิกาโอบสามี เธอเผยยิ้มน้อยๆ นึกโล่งใจกับความคิดสุดท้ายที่เธอตัดสินใจ ใช่แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกเส้นทางเดิน คนเราล้วนเลือกเองได้ จะจบทุกอย่างตรงนี้หรือจะไปต่อก็ล้วนอยู่ที่ตัวเธอทั้งสิ้น
“ทานอะไรมารึยังล่ะคะ กลับดึกขนาดนี้ มาเถอะ ไปหาอะไรทานกัน คุยกันในนี้นานๆ เดี๋ยวลูกแก้วก็ตื่นกันพอดี”
“ผมอยากทานอาหารฝีมือคุณมานานแล้ว ที่รัก”
ลักษิกาและอนิรุทธ์จูงมือกันเดินออกจากห้องปล่อยให้ลูกสาวนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงอย่างเป็นสุข
ในชีวิตครอบครัว ไม่ว่าจะเกิดเรื่องราวอะไร ไม่ว่าจะพบความยากลำบากขนาดไหน หากคนทั้งสองไม่ปล่อยมือกัน หากไม่มีใครหันหลังให้กันและกันเสียก่อน หากคนที่ร่วมกันสร้างมันขึ้นมาช่วยกันประคับประคองอย่างไม่ย่อท้อ สุดท้ายแล้วฝั่งฝันที่ใฝ่หาก็จะมาถึงอย่างแน่นอน
และในตอนนี้ลักษิกาเองก็ได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่า แม้จะยากลำบากขนาดไหนเธอก็จะประคับประคองและทำให้มันดียิ่งขึ้นต่อไป เพราะเธอเองก็อยากเป็นซินเดอเรลล่าที่มีความสุขที่สุดเช่นกัน