อินทรีหิมาลัย
ยอด เดชา
ทั้งสองอำลาจากกันในอีกห้านาทีต่อมา
“ ท่านยังไม่บอกกับข้าเลย”
“ อ้อ ผมด็อกเตอร์เวทางค์ครับ”
“ ยินดีที่ได้รู้จัก ข้าดอนดรุบ” ชายทิเบตแสดงความตื่นเต้น เมื่อรู้ว่า ชายหนุ่มจากไทยแลนด์เป็นถึงดุษดีบัณทิตจากไมซอร์
พูดคุยกันอยู่อีกสองสามคำ แล้วทั้งสองก็แยกจากกัน
เวทางค์ย่ำไปบนความเหน็บหนาว อีกราวๆสามช่วงตึกก็จะถึงโรงแรมที่พัก แต่ทันใดนั้น ดวงตาของด็อกเตอร์หนุ่มก็ต้องเบิกโพลง เมื่อสะดุดกับภาพของชายผมสั้นสองคนที่นุ่งห่มอย่างพระทิเบต
ลักษณะของเคลุงทั้งสอง มันสะดุดตา สะดุดความรู้สึกจนเขาอดที่จะหวาดระแวง ไม่ได้
และแล้ว คิ้วสองข้างของเวทางค์ก็ขมวดเข้าหากันอีก เมื่อลางสังหรณ์มันกระตุ้นความรู้สึกของเขาให้ตื่นเพริด
เคลุงสองรูป ผ่านหน้าเขาไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้เขาถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แต่แล้ว....
หนึ่งในสอง ก็ไหวตัวเยือก พร้อมกับจู่โจมเข้าใส่เขา อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“ อึ๊บ”
เวทางค์ร้อง และพลิกตัวออกข้างๆ เมื่อแลเห็นเคลุงรูปนั้นลอยละลิ่วเข้าใส่ ด้วยวิชาลังโกม
วืด ด
ครั้งแรกพลาด ร่างของเคลุงผ่านหน้าเขาไปอย่างเฉียดฉิว
“ เอิ๊บ”
ด็อกเตอร์หนุ่มอุทานออกมา พร้อมกับหันมามอง และทันได้เห็นร่างของเคลุงรูปนั้นหันกลับมาด้วยความคล่องแคล่วว่องไว ในขณะเดียวกัน ไทยบ๊อกซิ่งก็สำแดงออกมาโดยอัตโนมัติ
การ์ดซ้ายขึ้นจดจ้องด้วยความเคยชิน เตรียมรับการจู่โจมของเคลุงผู้ที่ใช้วิชาลังโกมผิดที่ผิดทางอย่างไม่หวาดหวั่น
เคลุงรูปนั้นชะงักหน่อยหนึ่ง แต่แล้วก็กลับจู่โจมเข้าใส่เวทางค์ราวกับลมพัด
วืด ด
“ อึ๊บ”
เคลุงผู้ฝึกปรือวิชาลังโกมมาอย่างช่ำชอง ไม่รั้งรอที่จะสะบัดเท้าที่ห่อหุ้มด้วยรองเท้าหนังจามรี เข้าใส่ด็อกเตอร์หนุ่ม
และมันก็ผ่านใบหน้าเขาไปอย่างเฉียดฉิว
ร่างของเคลุงลงไปยืนอยูบนพื้น ห่างจากที่เวทางค์ยืนอยู่ราวสิบเมตร
กำลังจะอ้าปากถามความข้องใจออกไป เพื่อให้แน่ใจว่าเคลุงรูปนั้นเข้าใจผิดอะไรรึเปล่า ก็พอดีเคลุงอีกรูปหนึ่ง ที่ยืนอยู่ห่างออกไปราวสิบห้าเมตร ก็โผนเข้าใส่เขาด้วยวิชาตัวเบาเสียก่อน
“ จ๊าก ก”
ยิ่งกว่าหนังกำลังภายใน เสียงร้องข่มขู่ยังงี้ ทำให้คู่ต่อสู้อกสั่นขวัญผวามานักต่อนักแล้ว แต่ทว่าคนอย่างด็อกเตอร์เวทางค์หรือจะกลัว เพราะเขาเองก็ได้ชื่อว่า เจนจบในการต่อสู้มาอย่างโชกโชน ไม่ว่าจะเป็น กังฟู คาราเต้ กระบี่กระบอง ฟันดาบ โดยเฉพาะมวยไทย ซึ่งถือว่าเป็นวิชาต่อสู้ที่เต็มไปด้วยพิษสงรอบตัว และเขาก็ได้ชื่อว่าผ่านการเรียนรู้ และฝึกปฏิบัติมาแล้วจนช่ำชอง
ดังนั้น เมื่อเคลุงทะยานเข้าใส่ด้วยวิชาลังโกม แทนที่เขาจะตื่นกลัว กลับตั้งสติอย่างมั่นคง พร้อมกับฉากหลบออกด้านข้างหน่อยหนึ่ง ปล่อยให้เคลุงรูปนั้นผ่านศีรษะไปอย่างเฉียดฉิว
“หยุดก่อนท่านลามะ” เวทางค์ยกมือขึ้นโบก “ท่านกำลังเข้าใจอะไรผิดรึเปล่า”
เคลุงทั้งสองรูปชะงัก ต่างแค่นยิ้มออกมา
“ เรื่องอะไร”
“ ตัวผม”
“ เปล่า อาตมาคิดว่าไม่ผิดตัวแน่ ว่าแต่ประสกคือด็อกเตอร์เวทางค์ผู้เจนจบวิชามายาศาสตร์และภาษาศาสตร์จากไมซอร์รึเปล่าล่ะ”
“ ถูกต้อง”
“ ยังงั้นไม่ผิด”
ด็อกเตอร์เวทางค์ส่ายศีรษะเบาๆ เขาส่งภาษาทิเบตกับเคลุงทั้งสอง
“ หมายความว่าท่านทั้งสองรู้จักผมอยู่แล้ว”
“ แน่นอน ท่านด็อกเตอร์เวทางค์ผู้เก่งกล้าในเกือบทุกสาขาวิชา ยังงั้นเราจึงต้องใช้วิชาลังโกมกับท่าน”
“ โอ๊ย ยังงี้มันจะยุติธรรมรึ ในเมื่อท่านรู้จักผม แต่ผมไม่รู้จักพวกท่านเลย”
เคลุงทั้งสองหันมองหน้ากัน แล้วหนึ่งในสองจึงกล่าว
“ ไม่จำเป็นต้องรู้ เตรียมตัวรับการจู่โจมด้วยวิชาลังโกมได้แล้ว”
บ๊ะ ยังงี้ มันจะพูดกันรู้เรื่องรึ เวทางค์คิด แต่กลับร้องลั่นออกมา
“ เฮ้ย พวกท่านเห็นผมเป็นสิ่งทดสอบวิชาลังโกมรึไง ”
“ เปล่า นี่ไม่ใช่การทดสอบ แต่เป็นการปฏิบัติจริง ระวัง”
เวทางค์เบิกตาโพลง เขากำลังถูกมายาศาสตร์แขนงหนึ่งเล่นงานเข้าแล้ว ซึ่งเขาไม่มีเวลาคิดอะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว เพราะเคลุงทั้งสองกำลังจู่โจมเขาอย่างหนัก
ในขณะนั้น ร่างของเคลุงรูปหนึ่งทะยานขึ้นจากพื้น พร้อมกับลอยละลิ่วเข้าใส่เวทางค์ด้วยความเร็ว เท้าข้างหนึ่งถีบนำมาก่อน
“ ย้าก ก”
แผดเสียงร้องยังกะไม่ใช่พระ แต่ก็นั่นแหละ เพราะนั่นคือพระทิเบต พุทธนิกายฝ่ายมหายาน ซึ่งมีแนวทางปฏิบัติแตกต่างจากฝ่ายหินยานที่เขาคุ้นเคยอยู่มาก
เวทางค์ฉากหลบ พร้อมกับงัดศิลปะมวยไทยออกมาใช้ บาปก็บาปกันล่ะ เพราะถ้าไม่ทำยังงี้ เคลุงทั้งสองคงไม่ยอมเลิกลาง่ายๆ
ทันทีที่ร่างของเคลุงลอยกลับมา พลันแข้งขวาของเขาก็สะบัดขึ้นสกัด
ผัวะ ว
เต็มแข้งสุดแรงเกิด ร่างของเคลุงม้วนต้วนกลับหลัง มือสองข้างไขว่คว้าอากาศ ก่อนจะหลุ่นตุ๊บลง ไปกระแทกกับพื้น
ตุ๊บ บ
“ อูย ย จุกๆ”
ครางยังงี้ แต่เสียงพูดมิใช่ยังงี้ เวทางค์แปลออกมาแล้วว่าพระทิเบตคงเจ็บจุก และพูดออกมาด้วยถ้อยคำยังงี้แหละ
เคลุงวัยสามสิบเศษ จุกจนหน้าเขียว มือกุมท้องหน้าตาเหยเก แต่เวทางค์เองก็เหนื่อยจนหอบหายใจแทบไม่ทันเหมือนกัน สภาพความเบาบางของอากาศทำให้คนพื้นราบอย่างเขาเหนื่อยหอบเร็วกว่าปกติ
ทว่าเวทางค์ก็ไม่ยอมจำนนง่ายๆ ยังคงตั้งรับเคลุงอีกรูป
ก่อนจะทำอะไรต่อไป ทันใดนั้น เสียงร้องจ๊ากก็ดังมาจากทางด้านหลัง เวทางค์หันขวับไปมองอย่างรวดเร็ว หางตาทันได้เห็นเงาสีดำผ่านแวบ แต่แล้วร่างของเขาก็มีอันลอยละลิ่วกลับหลัง เมื่อถูกตีนอันทรงพลังของเคลุงรูปนั้น ถีบปังเข้าเต็มอก
ตึ๊บ บ
“โอ๊ย ย”
ร่างของเวทางค์ล้มฟาดลงพื้น แต่แล้วก็สลบไสลไม่ได้สติไปในบัดดล ด้วยตีนอันทรงพลังของเคลุงแห่งหลังคาโลก
…….
ย้อนกลับไปเมื่อเดือนก่อน
เวทางค์อยู่ในประเทศอินเดีย ในฐานะดุษฎีบัณฑิตใหม่หมาดสาขามายาศาสตร์อันเร้นลับ และภาษาศาสตร์อีกหนึ่งสาขา
ความที่เขาเป็นคนเรียนดี แตกฉานไปทุกสาขาวิชา ทำให้เขาได้รับการสนใจจากอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประศาสน์วิชาความรู้ให้ และยังเป็นดาวดวงเด่นที่คนทั่วไปรู้จักดีอีกด้วย
เวทางค์จบมายาศาสตร์ด้วยคะแนนที่ดีเลิศจนเป็นที่ร่ำลือของผู้คนในมหาวิทยาลัยไมซอร์ และเขาเองก็ได้รับการคาดหมายจากใครต่อใครว่า เวทางค์น่าจะถูกทางมหาวิทยาลัยที่ไหนสักแห่งดึงตัวไปเป็นอาจารย์ประจำ ซึ่งก็เป็นเช่นนั้น ถ้าเขาจะยอมอยู่กับกองตำรับตำรา และมีห้องสี่เหลี่ยมแคบๆเป็นที่ทำงาน
เวทางค์ไม่รับข้อเสนอของใครเพราะเขาต้องการทำงานกลางแจ้งมากกว่าดังนั้น ศาสตราจารย์ผู้เป็นอาจารย์ของเขาจึงแนะนำว่า
“ ถ้าจะให้ดี ผมอยากให้คุณเดินทางไปทิเบต”
“ ไปทำไมครับ”
“ เรียน”
“ เอ๊ะ หมายความว่าผมยังเรียนไม่จบ”
“ เปล่า แต่คุณควรได้สัมผัสกับเรื่องราวเร้นลับโดยตรง”
“ ที่ทิเบต ยังมีเรื่องทำนองนี้อยู่รึ ท่านศาสตราจารย์”
ท่านพยักหน้า แล้วถอดแว่นตาหนาเตอะออกมาเช็ด พร้อมกับกล่าว
“ ยังพอหาได้ในดินแดนแห่งนั้น โดยเฉพาะรอบนอกเมืองใหญ่ ผู้คนยังคงปักใจเชื่อมายาศาสตร์อยู่มาก เพื่อเป็นการเสริมความรู้ให้แน่นขึ้น ด็อกเตอร์ควรจะไปอยู่ที่นั่นอย่างน้อยสามเดือน”
“ สามเดือน”
“ แน่นอน ถ้าไม่ยังงั้น ด็อกเตอร์จะยังไม่รู้สิ่งใดมากไปกว่าที่เรียนจบมาแล้ว”
เขารู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมาทันที แต่ก็ยังไม่แน่ใจนัก บางที ความเจริญของเทคโนโลยี อาจจะเปลี่ยนแปลงทิเบตไปแล้วก็ได้
“ ผมคิดว่า หลังคาโลกอาจจะเปลี่ยนแปลงไปแล้วก็ได้ ท่านศาสตราจารย์แน่ใจรึเปล่า”
ศาสตราจารย์แว่นหนาเตอะพยักหน้า ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างเชื่อมั่น
“ เชื่อเถอะ ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงหลังคาโลกได้ พิธีกรรมอันเร้นลับ ตลอดถึงฤาษีชีไพร ก็ยังมีอยู่เหมือนเดิม เทือกเขาหิมาลัยยังคงท้าทายนักแสวงหา อย่างเช่นพันปีก่อนโน้น ไม่เคยเปลี่ยน”
“ ท่านคิดว่า ผมจะได้อะไรจากป่าแห่งนั้นรึ ”
ศาสตราจารย์วัยห้าสิบเศษหัวเราะ ก่อนจะผงกศีรษะช้าๆ
“ อือ น่าคิดมาก แต่ด็อกเตอร์อย่าลืมว่า ศาสตร์ต่างๆของซีกโลกตะวันออก มักจะเกิดจากป่า ไม่ใช่ในกำแพงเมืองอย่างทางยุโรป”
เขายอมรับในเรื่องนั้น
เวทางค์ตกลงใจ เดินทางมายังหลังคาโลกก่อนโดยยังไม่กลับเมืองไทย เขากะว่าจะอยู่ที่นี่สามเดือนเป็นอย่างน้อย เพื่อเรียนรู้ วิถีชีวิต จิตวิญญาณของชาวทิเบตอย่างแท้จริง เป็นการเพิ่มพูนความรู้ ในแขนงมายาศาสตร์ของเขา
แต่ทว่า เขามาถึงทิเบตได้เพียงสามวัน ก็เกิดเรื่องเสียแล้ว
………..
“ ฟื้นแล้ว”
เสียงเคลุงรูปหนึ่งดังขึ้น เมื่อแลเห็นมือของเวทางค์ขยับ ต่อมาร่างของด็อกเตอร์หนุ่มก็สปริงขึ้นนั่ง กวาดสายตามองไปรอบๆ มองไปยังเคลุงเหล่านั้น ซึ่งต่างรายล้อมเขาอยู่
ด๊อกเตอร์หนุ่มหันไปมองทางเสียงทัก
“ สวัสดีด็อกเตอร์เวทางค์” เคลุงรูปหนึ่งทักทายด้วยเสียงดังกังวาน พลางแหวกวงล้อมเข้ามายืนตรงหน้าด็อกเตอร์หนุ่ม “ ยินดีที่ได้พบกัน”
“ นมัสการครับท่านลามะ” เวทางค์ขยับตัวนั่งในท่าพับเพียบ แล้วประนมมือทำความเคารพ “ พวกท่านจับผมมาทำไม”
“ มีเรื่องอยากให้ด็อกเตอร์ช่วยเหลือหน่อย”
“ ช่วยเหลือ”
“ ใช่”
“ ฮึ น่าช่วยจังล่ะ”
เคลุงรูปนั้นยิ้มบางๆพลางก้มศีรษะให้
“ คงต้องขอโทษท่านด๊อกเตอร์ที่คนของเรารุนแรงไปหน่อย”
“ ไม่หน่อยล่ะ” เวทางค์ลูบอก “ ว่าแต่เรื่องอะไร”
เคลุงรูปนั้นหัวเราะเบาๆ พลางหย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง
“ เดี๋ยวเราค่อยคุยกันดีไหม ตอนนี้ด็อกเตอร์ดื่ม และกินอะไรก่อนดีกว่า”
เวทางค์ส่ายหน้า
“ ผมเพิ่งกินมาเมื่อสักครู่นี่เอง ยังไม่หิว ”
“ จริงรึ”
“ จริง ผมเพิ่งกินอะไรมาเมื่อสักครู่จริงๆ”
เคลุงส่ายหน้า
“ เปล่าเลย เมื่อสักครู่นี้ด็อกเตอร์ยังสลบไสลอยู่เลยนี่เชื่อไหมว่า มันผ่านมาแล้วกว่าสองชั่วโมง ”
“ เอ๊ะ จริงรึ”