บ้านนี้มีอาถรรพณ์
ขวัญกระเจิง
..............
1. เสียงกระซิบจากอดีต
อำพรรู้สึกใจสั่นหวิวๆมาหลายวันแล้ว ครั้งแรกเขาคิดว่ามันเกิดจากการที่เขาจะต้องย้ายบ้าน ย้ายที่ทำงานไปต่างจังหวัด จึงทำให้อารมณ์ถวิลหาซึ่งซ่อนอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ ที่ไม่ค่อยได้แสดงออกมากนัก และตอนนี้ มันได้สำแดงอานุภาพแห่งความคิดถึงออกมาแล้ว โดยไม่รู้สึกตัว เขาพยายามข่มความรู้สึกนี้เอาไว้อย่างเต็มที่ และพยายามหางานอื่นทำเพื่อฆ่าเวลาให้หมดไปในแต่ละวัน แต่ทว่า อารมณ์วาบหวิวนั้นก็ยังคงอยู่ในความรู้สึกของเขา มันวาบหวิว โหวงเหวงทุกครั้งที่คิดถึงการออกเดินทางไปต่างจังหวัด และเขาจะต้องอยู่ที่นั่น เพื่อทำงานในหน้าที่ที่ต้องไปรับตำแหน่งใหม่ แม้เขาจะพยายามสลัดความคิดนี้ออกไปให้หมด แต่ทุกครั้งที่อยู่ตามลำพัง ความรู้สึกนี้ก็หวนกลับมารบกวนจิตใจเขาอยู่ไม่ห่างหายไปไหน แน่นอน อำพรบอกกับตัวเองว่า มันเหมือนมีใครมาเรียกร้องให้เขาหวนรำลึกถึงอดีตอันไกลโพ้น ที่เขาเองก็ไม่สามารถหยั่งถึงได้ นอกจากความรู้สึกวาบๆหวิวๆ เท่านั้น บางครั้ง เหมือนน้ำตาจะไหลพรากอออกมา และบางคราว เขาเหมือนได้ยินเสียงกระซิบ เบาๆกำซาบอยู่ข้างโสตของเขานี่เอง
“ อำพร เจ้าจงกลับมาอยู่บ้านของเจ้า ข้ารออยู่เจ้าอยู่ที่นี่ อำพร ”
เปล่า ไม่มีใครเลย ครั้นเมื่อเขาสะดุ้งตื่นจากภวังค์ ชายหนุ่มก็สลัดศีรษะเต็มแรง พร้อมกับรำพึงออกมาเบาๆ
“ แปลกจริง บางทีเราเหมือนจะระลึกได้ แต่ก็คิดไม่ออก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่บางครั้ง เสียงนั้น ราวกับมาจากที่ไกลแสนไกล ปลุกให้ตื่น แล้วทำให้เราเหมือนกับเพ้อฝัน อา....”
เขาพูดกับตัวเองยังงี้เสมอ เมื่อเกิดความรู้สึกวาบหวิวเช่นนี้
สำหรับเรื่องนี้ อัมพรเคยเล่าให้เพื่อนสนิทหลายคนฟัง แต่ก็ได้รับคำตอบไม่เป็นที่น่าพอใจ นอกจากคำปลอบใจ และกล่าวในทำนองที่ว่า เขาไม่เคยจากบ้านไปไหนมาก่อน ความรู้สึกโหยหาคิดถึงบ้าน ถึงที่นอนหมอนมุ้ง และสถานที่เคยอยู่จนเคยชิน ทำให้เกิดอารมณ์วาบหวิวอย่างที่เขาเป็นอยู่
“ แกอย่าคิดอะไรมากเลยว่ะ ธรรมดาของคนที่จะจากบ้านครั้งแรกในชีวิต ก็เป็นยังงี้แหละ”
“ เปล่า ข้าเคยจากบ้านไปนอนค้างที่อื่นมาแล้ว ไม่ใช่จะอยู่แต่ในบ้านเสียเมื่อไหร่ ”
“ แกเคยไปค้างที่ไหนมาวะ ข้าเห็นแต่แกไปกลับทุกที ” เพื่อนทำหน้าล้อๆ
“ สมัยเด็กๆ ข้าเคยไปพักแรมลูกเสือไง”
“ อูวะ แค่นจะพูด แค่พักแรมลูกเสือ ที่ว่านี่ ข้าหมายความว่า ไปอยู่ที่อื่น เป็นปี เป็นเดือนไงล่ะ ไม่ใช่ไปแค่คืนสองคืนแล้วกลับยังงั้น ”
“ เอ้อ ไปสัมมนา ข้าก็เคยไป ไปนอนไกลๆถึงพัทยาเชียวนะโว้ย ”
“ เออ เฮอะ แค่วันสองวัน อย่างมากก็ไม่เกินสัปดาห์ ยังงี้เขาเรียกว่าอารมณ์โหยหาแม่โว้ย ”
เพื่อนๆหัวเราะ ในความเป็นลูกแหง่ของเขา เขาไม่เคยจากบ้านไปอยู่ที่อื่นอย่างเพื่อนๆว่าก็ถูกของพวกเขา เพราะโลกของอำพร คือบ้าน โรงเรียน และต่อมาก็คือบ้าน และที่ทำงานเท่านั้น
“ แหม พวกแก ครั้งนี้แหละ ข้าจะไปไม่กลับมาเลยสักปีสองปี”
“ ขอให้จริง กลัวแต่แม่แกจะตามไปอยู่ด้วยซีวะ”
เพื่อนๆฮาตึง ในขณะที่อำพรส่ายหน้า เขารู้ดีว่าเขาไม่ได้คิดถึงแม่ ไม่ได้ติดสถานที่อย่างที่เพื่อนๆล้อ แต่อารมณ์ยังงี้ เขาอยากจะบอกว่า มันเป็นอารมณ์โหยหาอดีตอันไกลโพ้นที่บอกไม่ถูกว่า มันไกลแค่ไหน และเกิดขึ้นได้ยังไง
“ แม่เข้าใจดี แต่อารมณ์ยังงี้ข้าบอกไม่ถูกว่ะ เหมือนน้ำตาจะไหล โหยหาอะไรก็ไม่รู้”
“ แกคิดถึงแม่ไง เชื่อข้า”
“ เปล่า ข้ารู้ดี ข้าไม่ได้คิดถึงแม่ หรืออะไรทั้งนั้น แต่...เหมือนข้ากำลังตกอยู่ในมนต์อะไรสักอย่าง บอกไม่ถูกจริงๆ มันคืออะไร ”
เพื่อนๆต่างพยักหน้ารับ แต่อีกคนกลับกล่าวออกมา
“ ยังงั้นก็มนต์นางเรียกหาน่ะซีโว้ย ”
“ มนต์นางเรียกหา อะไรของแกวะ”
“ นี่ไง ที่แกไม่รู้ มนต์นางเรียกหา ก็แสดงว่า แกกำลังจะเดินทางไปพบคู่ครองน่ะซี”
“ เฮ่ย พูดเป็นเล่นไปน่า คู่ครองที่ไหนกัน ”
“ จริงโว้ย คนอีสานเขาเรียกอารมณ์ความรู้สึกยังงี้ว่า สายแนน”
“ อะไรของแกวะ สายแนน ข้าไม่เคยได้ยิน เหมือนสายว่าวรึเปล่า ”
“ สายแนนก็คือ บุปเพสันนิวาสไงล่ะ”
อำพรส่ายหน้า ไม่เชื่อถือในความคิดของเพื่อน เขาไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน และเขาเองก็เชื่อว่า มันไม่ใช่เรื่องบุปเพสันนิวาสอะไรนั่นหรอก เพราะความรู้สึกแบบนี้ มันคล้ายๆมีคนมากระซิบอยู่ข้างหู เรียกร้องให้เขาไปพบ ที่ไหนสักแห่ง
“ เอาเถอะน่า แกอย่าคิดอะไรมาก จากบ้านสักพักหนึ่ง มันก็ชินไปเองนะแหละ ต่อไป ขี้คร้านจะขอร้องให้กลับ ดีไม่ดี แม่แกจะได้ตามไปเยี่ยมแกแทน คอยดูถ้าไม่เชื่อ”
จริงอย่างเพื่อนว่า เขาไม่เคยจากบ้านไปไหนไกลๆ และไปนานๆ เพราะเขาเกิดกรุงเทพ เรียน และทำงานที่นี่ การเดินทางไปค้างอ้างแรมที่อื่นก็แค่ชั่วครั้งชาวคราวเท่านั้น ไม่เคยได้โยกย้ายไปอยู่ที่อื่นไกลๆ แรมเดือนหรือแรมปีอย่างครั้งนี้เลย
ยิ่งคิด ยิ่งทำให้เขาเป็นทุกข์ สีหน้าหม่นหมอง เต็มไปด้วยความวิตกกังวล
“ แกก็คิดเสียว่าไปเพื่อรับตำแหน่งที่สูงขึ้น แกจะเป็นเจ้าพนักงานปกครองไปจนเกษียณรึไง ได้เป็นปลัดอำเภอน่ะดีแล้ว ไปเถอะเพื่อน ถึงจะไกลไปหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไรเลย ”
แน่นอน เขาไปแน่ เพราะรู้ดีว่า การไปครั้งนี้ เพื่อความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานของเขาเอง สิบปีที่เขารับราชการในตำแหน่งพนักงานปกครอง ซึ่งเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย เงินเดือนชักหน้าไม่ถึงหลัง เขาจึงต้องขวนขวานเรียนจนจบปริญญา และสอบเลื่อนชั้นขึ้นเป็นปลัดอำเภอได้ ซึ่งสร้างความพอใจ ความสุขใจ ให้กับทุกคนในครอบครัว แต่การจะรับตำแหน่งปลัดอำเภอนั้น อำพรต้องเดินทางไปต่างจังหวัด ซึ่งเป็นอำเภอเล็กๆของจังหวัดหนึ่งในภาคอีสาน
อีกสามวันต่อมา อำพรก็มาถึงอำเภอชนบทแห่งนั้น ด้วยรถประจำทาง
ทันทีที่รายงานตัวต่อผู้บังคับบัญชาเสร็จ นักการภารโรงของอำเภอก็พาเขาไปยังบ้านพักที่จัดเตรียมไว้ให้แล้ว มันเป็นบ้านเช่าครึ่งตึกครึ่งไม้ ขนาดเสาเก้าต้น ซึ่งออกจะใหญ่โตเกินไปด้วยซ้ำสำหรับชายโสดอย่างเขา
“ มีหลังนี้แหละครับคุณปลัดที่ใกล้สุด ออกจะเปลี่ยวไปสักหน่อย”
เขากวาดสายตามองไปรอบๆ บ้านหลังนั้น ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในสวน มีต้นมะขาม มะม่วง และผลไม้อื่นๆขึ้นอยู่เต็มไปหมด ดูร่มรื่น และรกครึ้ม ในเนื้อที่กว่าสองงาน และมีรั้วรอบขอบชิดอย่างดี ตัวบ้านมีโรงรถปลูกเป็นเพิงยื่นออกทางด้านข้างอีกด้านหนึ่ง ส่วนครัวและห้องน้ำ ห้องส้วม ต่อยื่นออกไปทางด้านหลัง ติดกับตัวบ้าน ทำให้บ้านดูใหญ่โต กว้างขวางกว่าบ้านเสาเก้าต้นธรรมดา
“ ไม่เปลี่ยวหรอกครับ เงียบดี ผมชอบ ขอบคุณมากครับ อ้า...”
“ สยามครับ” นักการวัยกลางคนแนะนำตัวเอง
“ ครับขอบคุณพี่สยามมาก” ปลัดอำพรยกมือไหว้ขอบคุณ “ ผมอำพรครับ”
สยามยิ้มกว้าง โชว์ฟันหลอหนึ่งซี่ด้านหน้า
“ พวกผมรู้จักชื่อคุณปลัดตั้งแต่ยังไม่เห็นตัวโน่นแหละครับ พวกเราอยากได้มานาน ขาดปลัดทะเบียนราษฎร์มานานแล้วครับ ทีนี้ล่ะ ผมจะได้ไปรดน้ำต้นไม้ ไม่ต้องมาคอยเขียนหนังสือช่วยอยู่บนสำนักงานอีก ปออาวุโสท่านยิ่งบ่นอยู่ว่างานหนัก ”
ว่าแล้วนักการสยามก็ยิ้ม อวดฟันหลอ และหัวเราะเอิ๊กอ๊ากด้วยความชอบใจ
ประตูรั้วปิดเอาไว้ เข้าบ้านยังไม่ได้ สยามจึงโทรศัพท์ไปหาเจ้าของบ้าน
“ คุณเตือนใจครับ ปลัดแกมารอแล้วนะครับ”
สยามนิ่งฟัง พลางพยักหน้า และรับคำครับๆตลอดเวลา เมื่อวางสายแล้ว แกจึงเงยหน้าขึ้นมายิ้มเผล่กับปลัดใหม่ ที่ยังคงกวาดสายตามองไปรอบๆบ้านพักหลังนั้น
“ รออีกสักครู่นะครับคุณปลัด เจ้าของบ้านกำลังจะมาถึงแล้ว”
“ ไม่เป็นไรครับ ผมรอได้”