อินทรีย์หิมาลัย ตอนท่ี ๑
0
ตอน
1.2K
เข้าชม
75
ถูกใจ
3
ความคิดเห็น
3
เพิ่มลงคลัง

อินทรีหิมาลัย

ยอด เดชา

………                            

๑.  เปลวไฟในหิมะ

หลังจากผ่านความหนาวเหน็บอันหฤโหด และใช้เวลาปรับตัวให้เข้ากับความสูง 3600 เมตรจากระดับน้ำทะเล ของกรุงลาซามาแล้วสามวัน ดอกเตอร์เวทางค์ มฤคเวทย์ จึงออกจากโรงแรมที่พักไปเที่ยวเตร่ แสวงบุญตามสถานที่สำคัญของทิเบต ซึ่งเขาหวังจะได้พบว่า บรรยากาศที่แท้จริง และจิตวิญญาณของทิเบตจะยังมีอยู่ ไม่เหมือนกับที่พบในย่านธุรกิจและโรงแรมที่พัก ซึ่งที่นั่นเขารู้สึกผิดหวัง เมื่อพบว่า ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นชาวจีนทั้งสิ้น

ก้าวแรกที่เขาเหยียบย่างเข้าไปยังสถานที่แห่งนั้น โสตสองข้างของดอกเตอร์หนุ่มก็พลันสดับเสียงสวดมนต์ กึกก้องไปทั้งบริเวณ

“ โอม มณี ปัทมี ฮัม “

เสียงสวดคาถาอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวทิเบตดังกระหึ่มไปทั่วบริเวณพระราชวังโพทาละซึ่งถือว่าเป็นสถานที่ยิ่งใหญ่ ด้วยความศรัทธาที่พวกเขามีต่อองค์ “ กยัลวา ริมโปชี” หรือ “กษัตริย์ผู้ประเสริฐ”  ซึ่งอดีตคือผู้กำชะตาชีวิตชาวทิเบตไว้ในอุ้งพระหัตถ์ จนผู้คนขนานนาม “ดาไล ลามะ”  ซึ่งแปลว่า “มหาสมุทรอันกว้างใหญ่”

จากการศึกษา เวทางค์พบว่าคำว่าดาไลลามะนั้น  กุบไลข่าน เป็นคนแรกที่ขนานนามนี้ให้ เมื่อครั้งจอมทัพท่านนี้ พิชิตทิเบต และกุบไลข่านนี่เอง ที่นำการปกครองลัทธิมูลนาย หรือระบอบเทวาธิปไตยมาใช้ปกครองทิเบตครั้งแรก จนกระทั่งกลายมาเป็นระบอบปกครองโดยกษัตริย์พระในเวลาต่อมา

ปัจจุบันทิเบตได้สูญเสียอธิปไตยให้แก่จีนแผ่นดินใหญ่ไปแล้ว และองค์ดาไล ลามะ ก็เสด็จไปพำนักอยู่นอกประเทศแล้วเช่นกัน แต่ถึงยังไงก็ตาม สิ่งที่ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงคนทิเบตได้ นั่นคือความศรัทธาของพวกเขาที่มีต่อองค์ดาไล ลามะ

พระราชวังโพทาละแห่งนี้ ใช้เวลาก่อสร้างกว่าสี่สิบแปดปีจึงแล้วเสร็จ มีห้องกว่าพันห้อง มีที่บูชาพระมากกว่าหมื่นที่ มีพระพุทธรูปและเทวรูปกว่าสองแสนองค์ ด้วยความยิ่งใหญ่มหัศจรรย์นี่เอง จึงได้รับการขนานนามว่า “ภูเขาพระพุทธเจ้า”

ด็อกเตอร์หนุ่มยืนมองขบวนผู้คนที่เดินสวดมนต์ด้วยเสียงอันดังกึกก้อง กระหึ่มไปทั้งบริเวณพระราชวังโพทาละ จนรู้สึกขนหัวลุกซู่  ภาพที่เขาเห็น คือผู้คนที่ก้าวเดินไปข้างหน้าสามก้าว แล้วทิ้งตัวลงราบกับพื้น ทำความเคารพ ที่เรียกว่าการกราบแบบ “อัษฎางคประดิษฐ์”  นี่ถ้าไม่ใช่ด้วยแรงศรัทธาแล้ว คงไม่มีใครมีเรี่ยวแรงที่จะทำยังงี้ได้  เวทางค์แหงนมองภูเขาพระพุทธเจ้าที่ตระหง่าน อยู่บนภูเขาแดงด้วยความสูงเกือบพันฟุตทำให้ต้องแหงนจนคอตั้งบ่าจึงเห็นความสว่างเจิดจ้าของพระราชวังโพทาละในวันขึ้นปีใหม่ของชาวทิเบต

ชายทิเบตสองคน เดินคู่กันมา สายตาแน่วแน่แสดงถึงความศรัทธาอย่างแรงกล้า มือประนมระหว่างอก ก้าวเท้าไปข้างหน้า สามก้าว แล้วก็ทิ้งตัวลงราบกับพื้น แสดงความเคารพอย่างสูงต่อภูเขาพระพุทธเจ้า ปากก็พร่ำสาธยายมนต์ไม่ได้ขาด

แต่เวทางค์ไม่มีศรัทธาแก่กล้าขนาดนั้นจึงไม่อาจทิ้งตัวลงราบแบบอัษฎางคประดิษฐ์ได้ มีเพียงสองมือประนมระหว่างอก และผ้าคาตักสีขาวคล้องคอเตรียมไว้เป็นพุทธบูชาเท่านั้น

ด็อกเตอร์หนุ่มเพลิดเพลินอยู่กับภาพเบื้องหน้านานแสนนาน จนเวลาล่วงไปนานแค่ไหน เขาไม่อาจบอกได้ รู้แต่ว่าตัวเองเดินตามกลุ่มนักแสวงบุญไปรอบๆพระราชวัง เข้าห้องนี้ออกห้องนั้น บางครั้ง ก็พลัดหลงจากกลุ่มเก่า ไปกับกลุ่มใหม่เรื่อยๆ จนกระทั่งรู้สึกเหนื่อยและหิว นั่นแหละ เวทางค์จึงลงจากพระราชวังโพทาละเข้าไปยังย่านธุรกิจของกรุงลาซา

ชายชาวทิเบตคนหนึ่งตรงเข้ามาหา ส่งภาษาทิเบตสำเนียงแคว้นคามกับด็อกเตอร์หนุ่ม

“ ถ้าจำไม่ผิด ท่านคือคนหนึ่งที่เพิ่งกลับลงมาจากภูเขาพระพุทธเจ้า”

“ ใช่ครับ” เขาตอบด้วยภาษาเดียวกัน

“ แต่ดูเหมือนท่านจะไม่ได้บูชาอย่างพวกเราบูชา”

“ ผมไม่อาจทำได้ยังงั้น”

“ ทำไม”

“ ความสูงของที่นี่ ทำให้ผมเหนื่อยหอบเร็วกว่าปกติ”

ชายคนนั้นเลิกคิ้วสูงด้วยความประหลาดใจ

“ ท่านไม่ชินกับความสูง”

“ ถูกต้อง”

“ ประทานโทษ ข้านึกว่าท่านอยู่ในลาซานี้มานานแล้วเสียอีก”

“ เปล่า ผมเพิ่งขึ้นมาลาซาเมื่อสามวันก่อนนี่เอง”

ชายชาวทิเบตจ้องหน้าด็อกเตอร์หนุ่ม ก่อนจะเอ่ย

“ ข้านึกว่าท่านเป็นคนจีนแห่งมณทลยูนนานเสียอีก ดูผิวพรรณของท่านแล้ว ไม่แตกต่างกันเลยนะครับ”

เวทางค์หัวเราะ

“ ยังงั้นรึ”

“ รูปหน้าและผิวพรรณของท่าน เหมือนชาวไทลื้อ ขอโทษ ท่านมาจากไหน”

“ ไทยแลนด์”

ชายคนนั้นขมวดคิ้ว ก่อนจะถาม

“ สิบสองจุ๊ไท”

“ เปล่า ไทยแลนด์อยู่ใต้ลงไปอีก บางกอกคือเมืองหลวง”

“ อ้อ รู้แล้ว แต่ไม่น่าเชื่อว่าท่านจะพูดทิเบตได้”

“ผมศึกษาและพูดได้หลายภาษาโดยเฉพาะภาษาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้”

“ มณีปุระ”

“ ได้ครับ “

“ เซอร์ปา”

“ นั่นคือคนเชื้อสายทิเบตในเนปาลนี่ครับ ผมพูดได้ ”

“ ท่านเก่งมาก” ชายคนนั้นมองหน้าเวทางค์ด้วยความทึ่ง ระคนศรัทธา

“ ผมสนใจเรื่องนี้ด้วย” เวทางค์กล่าว ขณะที่เดินเคียงคู่มากับชายทิเบตคนนั้น  “ ขอโทษ ท่านเป็นคนทิเบตโดยแท้”

“ ใช่ ดูหน้าตาผิวพรรณก็รู้แล้วนี่ ว่าเป็นคนทิเบต”

เวทางค์ผงกศีรษะยอมรับ คนทิเบตจะมีลักษณะแตกต่างจากเผ่าพันธุ์อื่นอยู่มากทำให้สังเกตเห็นได้ง่าย ลักษณะเด่นอันบ่งบอกว่าเป็นคนทิเบตโดยแท้คือผิวเนื้อสีทองแดง ผมดำเรียบและกระดูกโหนกแก้มสูงจนมองเห็นได้อย่างชัดเจน

“ ท่านเป็นคนที่ไหนรึ อ้า.. ผมหมายถึงว่า แคว้นคาม หรือว่าในลาซานี่ ”

“ เปล่า ข้าเป็นคนอัมโด พูดสำเนียงอัมโด แต่ถ้าจะให้พูดสำเนียงคามก็ได้ เพราะตอนนี้ ข้ามาทำงานอยู่ในนครลาซานานแล้ว จนกลายเป็นคนลาซาไปแล้ว”

ชายทิเบตคนนั้นพูด พลางหัวเราะในลำคอ

“ ท่านพักที่ไหน”

เวทางค์บอกชื่อโรงแรมที่เขาพัก ก่อนจะถาม

“ แล้วบ้านพักท่านล่ะ”

“ อยู่ในย่านคนจีน”

ขณะที่พูดเวทางค์สังเกตเห็นสีหน้า และน้ำเสียงของเขาเปลี่ยนไป ความขมขื่นของชาวทิเบตทุกคนคงไม่มีสิ่งใดเกินไปกว่าที่ประเทศตกอยู่ในความปกครองของชาติอื่น และในลาซา บัดนี้แทบไม่มีจิตวิญญาณของทิเบตหลงเหลืออยู่เลย นอกจากวัดโจคังและพระราชวังโพทาละเท่านั้น

เดินกันมาตามทางที่ค่อนข้างจอแจ เวทางค์รู้สึกเหนื่อยหอบ จึงบอกกับชายทิเบตคนนั้น

“ ผมคงเดินต่อไปไม่ไหวแล้ว ขอแวะพักแถวนี้ก่อนเถอะ”

“ ตกลง ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนท่าน แวะร้านน้ำชานั่นก่อนดีกว่า”

“ ขอบคุณครับ แต่..แหม เกรงใจท่านเหลือเกิน”

เขาหัวเราะ

“ ไม่ต้องเกรงใจ เวลานี้เราเป็นเพื่อนกันแล้ว”

“ ขอบคุณครับ”

“ ไปเถอะ จะได้นั่งพัก ข้าก็อยากดื่มชาเหมือนกัน”

มันเป็นร้านน้ำชาเล็กๆ ที่ตกแต่งแบบทิเบต ชายคนนั้นสั่งชาเนยสูตรทิเบตสองถ้วย เชิญชวนให้เขาดื่มด้วยมิตรภาพที่เต็มไปด้วยความเป็นกันเอง

“ เป็นไง” เขาถาม หลังจากต่างคนต่างดื่มกันจนหมดถ้วยแล้ว มันเป็นคำถามสั้นๆที่ตีความได้หลายทาง อาจจะหมายถึงชา หรือถามถึงความเหน็ดเหนื่อยก็ได้ ดังนั้น เวทางค์จึงตอบเรื่องชาเนย

“ หอม อร่อยมากครับ”

เขายิ้ม

“ นี่คือชาสูตรของทิเบตขนานแท้ ไม่มีของชาติอื่นมาปนเลย”

“ ชาเนย ทำจากอะไรบ้างครับ”

“ น้ำนมจามรี มันคือสัตว์เลี้ยงของพวกเราที่ให้ทั้งอาหาร เสื้อผ้า และความอบอุ่น นั่นคือผลผลิตของยักและตรี๋”

“ ยัก ” เวทางค์ร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ “ มันคืออะไร”

“ จามรีตัวผู้ไงล่ะ”

“ อ๋อ ผมเข้าใจล่ะ” ด็อกเตอร์หนุ่มแสดงความเข้าใจ สีหน้าของเวทางค์ยังไม่คลายความสงสัย

“ แล้วตรี๋ล่ะ”

“ จามรีตัวเมีย”

“ อ้อ ทีนี้ ผมเข้าใจดีแล้ว”

เวทางค์แสดงความเข้าใจด้วยการพยักหน้าอย่างแรง ภาพของจามรีที่คนทิเบตเลี้ยงไว้ตามภูเขาสูง เร่ร่อนไปตามที่ต่างๆเพื่อหาอาหารปรากฏในความทรงจำของด็อกเตอร์หนุ่ม

กิริยาของชายหนุ่มทำให้ชายทิเบตคนนั้นหัวเราะออกมา

“ เอาล่ะ ข้าเลี้ยงท่านเอง พร้อมด้วยซัมป้าอีกคนละอิ่ม”

“ ขอบคุณครับ แต่...”

เขายกมือห้าม

“ อย่าปฏิเสธเลยน่ะ ข้ากับท่านก็คงไม่ต่างกัน ข้าเคยไปอยู่ต่างประเทศ ถ้าได้รับมิตรภาพจากเจ้าของประเทศแม้เพียงเล็กน้อย ก็ทำให้รู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาก”

เวทางค์ยิ้มอย่างอบอุ่น กล่าวขอบคุณอีกครั้งอย่างสำนึกในไมตรีจิตของเจ้าของประเทศ

และแล้วเขาก็สั่งให้พนักงานเสิร์ฟ นำซัมป้ามาบริการ

ระหว่างรับทานอาหารทิเบตขนานแท้นั่นเอง ชายคนดังกล่าวก็อธิบายให้เวทางค์ฟัง

“ ชาเนย และซัมป้าเป็นอาหารหลักของชาวทิเบต พวกเราถือว่าเป็นอาหารประจำชาติ และใช้สำหรับรับแขกเหรื่อที่สำคัญ”

“ ขอบคุณอีกครั้งครับที่ให้เกียรติผมมากขนาดนี้”

“ ไม่เป็นไร ข้ารู้สึกต้องชะตากับท่านมาก เหมือนกับว่าเราเคยมีอดีตชาติร่วมกันยังงั้นแหละ”

เวทางค์ยิ้ม

“ ไว้ให้คุณไปเที่ยวเมืองไทยก่อน แล้วผมจะต้อนรับคุณอย่างดี”

เขาหัวเราะเบาๆ พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้  แล้วลงมือรับประทานซัมป้าต่อไปอย่างเอร็ดอร่อย

ซัมป้าเป็นอาหารของคนหลังคาโลก เกิดจากผงข้าวบาร์เล่ย์บดละเอียด ผสมกับชาเนยที่เหลือติดก้นถ้วย คนให้เข้ากันแล้วจะมีลักษณะเหนียวหนึบๆ มีรสหวานๆ เค็มๆ  และมีกลิ่นหอมชวนรับประทานมาก

ระหว่างรับประทานอาหารนั่นเอง เขาก็เล่าให้เวทางค์ฟังว่า ตัวเขาเรียนจบจากอินเดีย และกลับมาทำงานยังบ้านเกิด ด้วยความคิดว่าสักวันหนึ่ง จะสามารถกอบกู้เอกราชคืนได้

“ ผมก็เรียนจบจากอินเดีย เหมือนกัน” เวทางค์แนะนำตัวเองบ้าง

“ งั้นรึ จากที่ไหน”

“ ไมซอร์”

“ ฮ้า จริงรึนี่ ข้าก็จบจากที่นั่นเหมือนกัน” เขาร้องลั่น แสดงความดีใจอย่างออกนอกหน้า

“ อ้าว ยังงั้นเราก็ศิษย์สำนักเดียวกันน่ะซี”

“ ใช่ แหม ไม่ยักรู้ว่าจะมาเจอศิษย์อาจารย์เดียวกันได้”

เขาพูดอย่างดีใจ แล้วร้องสั่งชาเนยกับซัมป้าอีกชุดหนึ่ง ทั้งสองดื่มและพูดคุยกันอย่างออกรส มีความสุขกับการได้ซักถามถึงวิชาที่เรียน อาจารย์ที่สอน รวมถึงสถานที่ต่างๆ ซึ่งทั้งสองต่างมีประสบการณ์ร่วมกัน

“ ท่านคงห่างจากผมซักสามรุ่น” เวทางค์กล่าว

“ คงราวๆนั้น ว่าแต่ท่านจะอยู่ทิเบตต่ออีกกี่วัน”

“ สามวัน” เขาปด

“ แหม น่าเสียดายจริง ถ้าอยู่ต่ออีกสักหน่อย ข้าจะได้นำท่านเที่ยวชมทิเบตให้ปรุไปเลย แต่บังเอิญว่า สามวันนี้ ข้าติดงานสำคัญเสียแล้ว คงไม่มีเวลาพาท่านเที่ยว”

“ ไม่เป็นไร ขอบคุณมาก ผมคงเที่ยวนานกว่านี้ไม่ไหว ขนาดนี้ก็ยังเหนื่อยหอบจะแย่อยู่แล้ว”

เขาหัวเราะ พลางโบกมือ

“ เดี๋ยวก็ปรับตัวได้เอง อากาศมันบางจนหายใจไม่ทัน เวลาข้าลงไปอยู่พื้นราบก็ต้องอาศัยเวลาปรับตัวเหมือนกัน ไม่งั้นปอดจะฉีกตายน่ะซี”

 

 

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว