อินทรีหิมาลัย
ยอด เดชา
………
๑. เปลวไฟในหิมะ
หลังจากผ่านความหนาวเหน็บอันหฤโหด และใช้เวลาปรับตัวให้เข้ากับความสูง 3600 เมตรจากระดับน้ำทะเล ของกรุงลาซามาแล้วสามวัน ดอกเตอร์เวทางค์ มฤคเวทย์ จึงออกจากโรงแรมที่พักไปเที่ยวเตร่ แสวงบุญตามสถานที่สำคัญของทิเบต ซึ่งเขาหวังจะได้พบว่า บรรยากาศที่แท้จริง และจิตวิญญาณของทิเบตจะยังมีอยู่ ไม่เหมือนกับที่พบในย่านธุรกิจและโรงแรมที่พัก ซึ่งที่นั่นเขารู้สึกผิดหวัง เมื่อพบว่า ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นชาวจีนทั้งสิ้น
ก้าวแรกที่เขาเหยียบย่างเข้าไปยังสถานที่แห่งนั้น โสตสองข้างของดอกเตอร์หนุ่มก็พลันสดับเสียงสวดมนต์ กึกก้องไปทั้งบริเวณ
“ โอม มณี ปัทมี ฮัม “
เสียงสวดคาถาอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวทิเบตดังกระหึ่มไปทั่วบริเวณพระราชวังโพทาละซึ่งถือว่าเป็นสถานที่ยิ่งใหญ่ ด้วยความศรัทธาที่พวกเขามีต่อองค์ “ กยัลวา ริมโปชี” หรือ “กษัตริย์ผู้ประเสริฐ” ซึ่งอดีตคือผู้กำชะตาชีวิตชาวทิเบตไว้ในอุ้งพระหัตถ์ จนผู้คนขนานนาม “ดาไล ลามะ” ซึ่งแปลว่า “มหาสมุทรอันกว้างใหญ่”
จากการศึกษา เวทางค์พบว่าคำว่าดาไลลามะนั้น กุบไลข่าน เป็นคนแรกที่ขนานนามนี้ให้ เมื่อครั้งจอมทัพท่านนี้ พิชิตทิเบต และกุบไลข่านนี่เอง ที่นำการปกครองลัทธิมูลนาย หรือระบอบเทวาธิปไตยมาใช้ปกครองทิเบตครั้งแรก จนกระทั่งกลายมาเป็นระบอบปกครองโดยกษัตริย์พระในเวลาต่อมา
ปัจจุบันทิเบตได้สูญเสียอธิปไตยให้แก่จีนแผ่นดินใหญ่ไปแล้ว และองค์ดาไล ลามะ ก็เสด็จไปพำนักอยู่นอกประเทศแล้วเช่นกัน แต่ถึงยังไงก็ตาม สิ่งที่ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงคนทิเบตได้ นั่นคือความศรัทธาของพวกเขาที่มีต่อองค์ดาไล ลามะ
พระราชวังโพทาละแห่งนี้ ใช้เวลาก่อสร้างกว่าสี่สิบแปดปีจึงแล้วเสร็จ มีห้องกว่าพันห้อง มีที่บูชาพระมากกว่าหมื่นที่ มีพระพุทธรูปและเทวรูปกว่าสองแสนองค์ ด้วยความยิ่งใหญ่มหัศจรรย์นี่เอง จึงได้รับการขนานนามว่า “ภูเขาพระพุทธเจ้า”
ด็อกเตอร์หนุ่มยืนมองขบวนผู้คนที่เดินสวดมนต์ด้วยเสียงอันดังกึกก้อง กระหึ่มไปทั้งบริเวณพระราชวังโพทาละ จนรู้สึกขนหัวลุกซู่ ภาพที่เขาเห็น คือผู้คนที่ก้าวเดินไปข้างหน้าสามก้าว แล้วทิ้งตัวลงราบกับพื้น ทำความเคารพ ที่เรียกว่าการกราบแบบ “อัษฎางคประดิษฐ์” นี่ถ้าไม่ใช่ด้วยแรงศรัทธาแล้ว คงไม่มีใครมีเรี่ยวแรงที่จะทำยังงี้ได้ เวทางค์แหงนมองภูเขาพระพุทธเจ้าที่ตระหง่าน อยู่บนภูเขาแดงด้วยความสูงเกือบพันฟุตทำให้ต้องแหงนจนคอตั้งบ่าจึงเห็นความสว่างเจิดจ้าของพระราชวังโพทาละในวันขึ้นปีใหม่ของชาวทิเบต
ชายทิเบตสองคน เดินคู่กันมา สายตาแน่วแน่แสดงถึงความศรัทธาอย่างแรงกล้า มือประนมระหว่างอก ก้าวเท้าไปข้างหน้า สามก้าว แล้วก็ทิ้งตัวลงราบกับพื้น แสดงความเคารพอย่างสูงต่อภูเขาพระพุทธเจ้า ปากก็พร่ำสาธยายมนต์ไม่ได้ขาด
แต่เวทางค์ไม่มีศรัทธาแก่กล้าขนาดนั้นจึงไม่อาจทิ้งตัวลงราบแบบอัษฎางคประดิษฐ์ได้ มีเพียงสองมือประนมระหว่างอก และผ้าคาตักสีขาวคล้องคอเตรียมไว้เป็นพุทธบูชาเท่านั้น
ด็อกเตอร์หนุ่มเพลิดเพลินอยู่กับภาพเบื้องหน้านานแสนนาน จนเวลาล่วงไปนานแค่ไหน เขาไม่อาจบอกได้ รู้แต่ว่าตัวเองเดินตามกลุ่มนักแสวงบุญไปรอบๆพระราชวัง เข้าห้องนี้ออกห้องนั้น บางครั้ง ก็พลัดหลงจากกลุ่มเก่า ไปกับกลุ่มใหม่เรื่อยๆ จนกระทั่งรู้สึกเหนื่อยและหิว นั่นแหละ เวทางค์จึงลงจากพระราชวังโพทาละเข้าไปยังย่านธุรกิจของกรุงลาซา
ชายชาวทิเบตคนหนึ่งตรงเข้ามาหา ส่งภาษาทิเบตสำเนียงแคว้นคามกับด็อกเตอร์หนุ่ม
“ ถ้าจำไม่ผิด ท่านคือคนหนึ่งที่เพิ่งกลับลงมาจากภูเขาพระพุทธเจ้า”
“ ใช่ครับ” เขาตอบด้วยภาษาเดียวกัน
“ แต่ดูเหมือนท่านจะไม่ได้บูชาอย่างพวกเราบูชา”
“ ผมไม่อาจทำได้ยังงั้น”
“ ทำไม”
“ ความสูงของที่นี่ ทำให้ผมเหนื่อยหอบเร็วกว่าปกติ”
ชายคนนั้นเลิกคิ้วสูงด้วยความประหลาดใจ
“ ท่านไม่ชินกับความสูง”
“ ถูกต้อง”
“ ประทานโทษ ข้านึกว่าท่านอยู่ในลาซานี้มานานแล้วเสียอีก”
“ เปล่า ผมเพิ่งขึ้นมาลาซาเมื่อสามวันก่อนนี่เอง”
ชายชาวทิเบตจ้องหน้าด็อกเตอร์หนุ่ม ก่อนจะเอ่ย
“ ข้านึกว่าท่านเป็นคนจีนแห่งมณทลยูนนานเสียอีก ดูผิวพรรณของท่านแล้ว ไม่แตกต่างกันเลยนะครับ”
เวทางค์หัวเราะ
“ ยังงั้นรึ”
“ รูปหน้าและผิวพรรณของท่าน เหมือนชาวไทลื้อ ขอโทษ ท่านมาจากไหน”
“ ไทยแลนด์”
ชายคนนั้นขมวดคิ้ว ก่อนจะถาม
“ สิบสองจุ๊ไท”
“ เปล่า ไทยแลนด์อยู่ใต้ลงไปอีก บางกอกคือเมืองหลวง”
“ อ้อ รู้แล้ว แต่ไม่น่าเชื่อว่าท่านจะพูดทิเบตได้”
“ผมศึกษาและพูดได้หลายภาษาโดยเฉพาะภาษาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้”
“ มณีปุระ”
“ ได้ครับ “
“ เซอร์ปา”
“ นั่นคือคนเชื้อสายทิเบตในเนปาลนี่ครับ ผมพูดได้ ”
“ ท่านเก่งมาก” ชายคนนั้นมองหน้าเวทางค์ด้วยความทึ่ง ระคนศรัทธา
“ ผมสนใจเรื่องนี้ด้วย” เวทางค์กล่าว ขณะที่เดินเคียงคู่มากับชายทิเบตคนนั้น “ ขอโทษ ท่านเป็นคนทิเบตโดยแท้”
“ ใช่ ดูหน้าตาผิวพรรณก็รู้แล้วนี่ ว่าเป็นคนทิเบต”
เวทางค์ผงกศีรษะยอมรับ คนทิเบตจะมีลักษณะแตกต่างจากเผ่าพันธุ์อื่นอยู่มากทำให้สังเกตเห็นได้ง่าย ลักษณะเด่นอันบ่งบอกว่าเป็นคนทิเบตโดยแท้คือผิวเนื้อสีทองแดง ผมดำเรียบและกระดูกโหนกแก้มสูงจนมองเห็นได้อย่างชัดเจน
“ ท่านเป็นคนที่ไหนรึ อ้า.. ผมหมายถึงว่า แคว้นคาม หรือว่าในลาซานี่ ”
“ เปล่า ข้าเป็นคนอัมโด พูดสำเนียงอัมโด แต่ถ้าจะให้พูดสำเนียงคามก็ได้ เพราะตอนนี้ ข้ามาทำงานอยู่ในนครลาซานานแล้ว จนกลายเป็นคนลาซาไปแล้ว”
ชายทิเบตคนนั้นพูด พลางหัวเราะในลำคอ
“ ท่านพักที่ไหน”
เวทางค์บอกชื่อโรงแรมที่เขาพัก ก่อนจะถาม
“ แล้วบ้านพักท่านล่ะ”
“ อยู่ในย่านคนจีน”
ขณะที่พูดเวทางค์สังเกตเห็นสีหน้า และน้ำเสียงของเขาเปลี่ยนไป ความขมขื่นของชาวทิเบตทุกคนคงไม่มีสิ่งใดเกินไปกว่าที่ประเทศตกอยู่ในความปกครองของชาติอื่น และในลาซา บัดนี้แทบไม่มีจิตวิญญาณของทิเบตหลงเหลืออยู่เลย นอกจากวัดโจคังและพระราชวังโพทาละเท่านั้น
เดินกันมาตามทางที่ค่อนข้างจอแจ เวทางค์รู้สึกเหนื่อยหอบ จึงบอกกับชายทิเบตคนนั้น
“ ผมคงเดินต่อไปไม่ไหวแล้ว ขอแวะพักแถวนี้ก่อนเถอะ”
“ ตกลง ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนท่าน แวะร้านน้ำชานั่นก่อนดีกว่า”
“ ขอบคุณครับ แต่..แหม เกรงใจท่านเหลือเกิน”
เขาหัวเราะ
“ ไม่ต้องเกรงใจ เวลานี้เราเป็นเพื่อนกันแล้ว”
“ ขอบคุณครับ”
“ ไปเถอะ จะได้นั่งพัก ข้าก็อยากดื่มชาเหมือนกัน”
มันเป็นร้านน้ำชาเล็กๆ ที่ตกแต่งแบบทิเบต ชายคนนั้นสั่งชาเนยสูตรทิเบตสองถ้วย เชิญชวนให้เขาดื่มด้วยมิตรภาพที่เต็มไปด้วยความเป็นกันเอง
“ เป็นไง” เขาถาม หลังจากต่างคนต่างดื่มกันจนหมดถ้วยแล้ว มันเป็นคำถามสั้นๆที่ตีความได้หลายทาง อาจจะหมายถึงชา หรือถามถึงความเหน็ดเหนื่อยก็ได้ ดังนั้น เวทางค์จึงตอบเรื่องชาเนย
“ หอม อร่อยมากครับ”
เขายิ้ม
“ นี่คือชาสูตรของทิเบตขนานแท้ ไม่มีของชาติอื่นมาปนเลย”
“ ชาเนย ทำจากอะไรบ้างครับ”
“ น้ำนมจามรี มันคือสัตว์เลี้ยงของพวกเราที่ให้ทั้งอาหาร เสื้อผ้า และความอบอุ่น นั่นคือผลผลิตของยักและตรี๋”
“ ยัก ” เวทางค์ร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ “ มันคืออะไร”
“ จามรีตัวผู้ไงล่ะ”
“ อ๋อ ผมเข้าใจล่ะ” ด็อกเตอร์หนุ่มแสดงความเข้าใจ สีหน้าของเวทางค์ยังไม่คลายความสงสัย
“ แล้วตรี๋ล่ะ”
“ จามรีตัวเมีย”
“ อ้อ ทีนี้ ผมเข้าใจดีแล้ว”
เวทางค์แสดงความเข้าใจด้วยการพยักหน้าอย่างแรง ภาพของจามรีที่คนทิเบตเลี้ยงไว้ตามภูเขาสูง เร่ร่อนไปตามที่ต่างๆเพื่อหาอาหารปรากฏในความทรงจำของด็อกเตอร์หนุ่ม
กิริยาของชายหนุ่มทำให้ชายทิเบตคนนั้นหัวเราะออกมา
“ เอาล่ะ ข้าเลี้ยงท่านเอง พร้อมด้วยซัมป้าอีกคนละอิ่ม”
“ ขอบคุณครับ แต่...”
เขายกมือห้าม
“ อย่าปฏิเสธเลยน่ะ ข้ากับท่านก็คงไม่ต่างกัน ข้าเคยไปอยู่ต่างประเทศ ถ้าได้รับมิตรภาพจากเจ้าของประเทศแม้เพียงเล็กน้อย ก็ทำให้รู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาก”
เวทางค์ยิ้มอย่างอบอุ่น กล่าวขอบคุณอีกครั้งอย่างสำนึกในไมตรีจิตของเจ้าของประเทศ
และแล้วเขาก็สั่งให้พนักงานเสิร์ฟ นำซัมป้ามาบริการ
ระหว่างรับทานอาหารทิเบตขนานแท้นั่นเอง ชายคนดังกล่าวก็อธิบายให้เวทางค์ฟัง
“ ชาเนย และซัมป้าเป็นอาหารหลักของชาวทิเบต พวกเราถือว่าเป็นอาหารประจำชาติ และใช้สำหรับรับแขกเหรื่อที่สำคัญ”
“ ขอบคุณอีกครั้งครับที่ให้เกียรติผมมากขนาดนี้”
“ ไม่เป็นไร ข้ารู้สึกต้องชะตากับท่านมาก เหมือนกับว่าเราเคยมีอดีตชาติร่วมกันยังงั้นแหละ”
เวทางค์ยิ้ม
“ ไว้ให้คุณไปเที่ยวเมืองไทยก่อน แล้วผมจะต้อนรับคุณอย่างดี”
เขาหัวเราะเบาๆ พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ แล้วลงมือรับประทานซัมป้าต่อไปอย่างเอร็ดอร่อย
ซัมป้าเป็นอาหารของคนหลังคาโลก เกิดจากผงข้าวบาร์เล่ย์บดละเอียด ผสมกับชาเนยที่เหลือติดก้นถ้วย คนให้เข้ากันแล้วจะมีลักษณะเหนียวหนึบๆ มีรสหวานๆ เค็มๆ และมีกลิ่นหอมชวนรับประทานมาก
ระหว่างรับประทานอาหารนั่นเอง เขาก็เล่าให้เวทางค์ฟังว่า ตัวเขาเรียนจบจากอินเดีย และกลับมาทำงานยังบ้านเกิด ด้วยความคิดว่าสักวันหนึ่ง จะสามารถกอบกู้เอกราชคืนได้
“ ผมก็เรียนจบจากอินเดีย เหมือนกัน” เวทางค์แนะนำตัวเองบ้าง
“ งั้นรึ จากที่ไหน”
“ ไมซอร์”
“ ฮ้า จริงรึนี่ ข้าก็จบจากที่นั่นเหมือนกัน” เขาร้องลั่น แสดงความดีใจอย่างออกนอกหน้า
“ อ้าว ยังงั้นเราก็ศิษย์สำนักเดียวกันน่ะซี”
“ ใช่ แหม ไม่ยักรู้ว่าจะมาเจอศิษย์อาจารย์เดียวกันได้”
เขาพูดอย่างดีใจ แล้วร้องสั่งชาเนยกับซัมป้าอีกชุดหนึ่ง ทั้งสองดื่มและพูดคุยกันอย่างออกรส มีความสุขกับการได้ซักถามถึงวิชาที่เรียน อาจารย์ที่สอน รวมถึงสถานที่ต่างๆ ซึ่งทั้งสองต่างมีประสบการณ์ร่วมกัน
“ ท่านคงห่างจากผมซักสามรุ่น” เวทางค์กล่าว
“ คงราวๆนั้น ว่าแต่ท่านจะอยู่ทิเบตต่ออีกกี่วัน”
“ สามวัน” เขาปด
“ แหม น่าเสียดายจริง ถ้าอยู่ต่ออีกสักหน่อย ข้าจะได้นำท่านเที่ยวชมทิเบตให้ปรุไปเลย แต่บังเอิญว่า สามวันนี้ ข้าติดงานสำคัญเสียแล้ว คงไม่มีเวลาพาท่านเที่ยว”
“ ไม่เป็นไร ขอบคุณมาก ผมคงเที่ยวนานกว่านี้ไม่ไหว ขนาดนี้ก็ยังเหนื่อยหอบจะแย่อยู่แล้ว”
เขาหัวเราะ พลางโบกมือ
“ เดี๋ยวก็ปรับตัวได้เอง อากาศมันบางจนหายใจไม่ทัน เวลาข้าลงไปอยู่พื้นราบก็ต้องอาศัยเวลาปรับตัวเหมือนกัน ไม่งั้นปอดจะฉีกตายน่ะซี”