ฉัน เธอ เขา รักเราสามคน
0
ตอน
537
เข้าชม
25
ถูกใจ
1
ความคิดเห็น
0
เพิ่มลงคลัง

           หญิงสาวในชุดร่วมสมัยสีขาวทั้งชุดหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูบานสีขาวบานนั้นนานร่วมสิบนาที โดยที่ไม่ได้ขยับเขยื้อนตัวไปไหน สายตาของเจ้าหล่อนที่จับจ้องอยู่ที่บานประตูบานนั้นมีแววครุ่นคิด มันช่างเป็นเวลาเนิ่นนานเหลือเกินกับการที่จะตัดสินใจใช้กุญแจที่อยู่ในมือไปเสียบกับลูกบิดประตูอย่างง่ายดาย ราวกับว่าหากเมื่อเจ้าหล่อนเปิดประตูบานนั้นแล้วจะต้องเจอะเจอกับเหตุการณ์บางอย่างที่อาจทำให้ตัวหล่อนเองทนรับไม่ไหว แต่เมื่อทันทีที่ประตูบานนั้นเปิดออกสิ่งที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าของเธอมีเพียงห้องสีขาวว่างเปล่า ไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ จากสิ่งที่เธอเฝ้านึกหวังว่าจะได้เจอ มีเพียงเธอเท่านั้นที่อยู่ในห้องในทันทีที่เท้าของเธอก้าวเข้าไป ทุกอย่างในห้องถูกคลุมไว้ด้วยผ้าปูสีขาวราวกับว่าห้องนี้ปราศจากผู้อยู่อาศัย และแม้จะรู้ดีว่าจะต้องเจอเหตุการณ์เช่นนี้ หากอารยาก็ยังหวังว่าจะได้เจอใครบางคนที่นี่แม้จะรู้ดีว่าความหวังมันน้อยนิดเสียเหลือเกิน คนนั้น ๆ ไม่มีวันกลับมาที่นี่อีกแล้วนับตั้งแต่วันที่เธอเอ่ยเหตุผลบางอย่างแห่งการจากลา เขาดำเนินไปในทิศทางของชีวิตที่ควรเป็นเมื่อยอมรับในเหตุผลที่เธอเอ่ยแก่เขา หากเป็นเธอเองต่างหากที่ยังเฝ้าวนเวียนกลับมาหา ณ ที่ที่เคยมีกันมาตลอด แม้รู้ว่าจะต้องเจอกับสิ่งใด เจ็บปวดกับความจริงที่พบเพียงแค่ไหน แต่อารยาก็ไม่อาจตัดใจให้ห่างไปได้ แล้วเขาเล่าความผูกพันที่เคยมีตัดขาดได้ง่ายดายเพียงนั้นหรือ คิดได้เพียงเท่านั้นน้ำตาใส ๆ ก็ไหลออกมาอาบสองแก้มอย่างห้ามไม่ได้ เจ็บปวดเหลือเกิน อารยากวาดสายตาไปรอบ ๆ ห้องทุกอย่างภายในห้องนี้คือความผูกพันที่เธอมีต่อเขา โซฟายาวที่กลางห้องที่เธอและเขาเคยใช้เวลาอยู่ครึ่งค่อนวันกับการเล่นเกมเอาชนะกันและกัน และเธอมักจะเป็นฝ่ายชนะเสมอเพราะเขารู้ดีว่าหากเธอแพ้จะต้องโวยวายบ้านแตก เขาจึงจำเป็นต้องยอมเสียทุกครั้ง เสียงหัวเราะและรอยยิ้มหวานที่เขาบอกกับเธอว่ามันสวยที่สุดและเขาอยากเห็นมันเป็นอย่างนั้นไปตลอด แล้วตอนนี้เล่าเธอร้องไห้แต่ไม่มีมือของเขาเอื้อมมาซับน้ำตาเช่นเคยอีกแล้ว เธอได้แต่ร้องไห้ลำพังอย่างทรมาน แจกันใบใหญ่ใกล้ขอบหน้าต่างมันเดียวดายเช่นเดียวกันกับเธอ ไม่มีดอกไม้สวย ๆ ปักอยู่ตรงนั้นอีกแล้ว ไม่มีเสียงนกกระจิบคู่หนึ่งที่ชอบบินมาเกาะที่ขอบหน้าต่างส่งเสียงจ๊ะจ๋ากับคู่ของมันเช่นยามที่เขาอยู่ ชีวิตชีวาของห้องนี้หายไปนับจากวันที่เขาจากไป มีเพียงความเดียวดายและเงียบเหงาที่วนเวียนอยู่ภายในห้องนั้นและมันยิ่งทวีคูณเมื่อเธอมาเยือนที่นี่ ยิ่งคิดก็ยิ่งโหยหาถึงค่ำคืนที่เคยพ้นผ่านมา

            อารยาก้าวตรงไปที่ห้องเล็ก ๆ อีกห้องหนึ่งที่ประตูเปิดแง้มเอาไว้ เธอใช้มือผลักบานประตูนั้นออกกว้างมองให้เห็นภายในชัดเจน ห้องนอนนั่นเอง เธอก้าวเข้าไปกวาดสายตาไปรอบ ๆ ราวกับหวังว่าจะเจอบางอย่างที่เป็นสิ่งที่แสดงตัวตนของเขาในห้องนี้ หากทุกอย่างก็ว่างเปล่าเช่นเดิม หญิงสาวทรุดลงนั่งที่เตียงนอนมองออกไปที่นอกหน้าต่างมองออกไปให้ไกลที่สุดเท่าที่สายตาของเธอจะมองเห็นได้ แล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า

“อยู่ไหน เขาอยู่ไหน” หากเธอกลับได้ยินเสียงหนึ่งในใจของเธอตอบกลับมาว่า

‘จะถามถึงเขาทำไม ในเมื่อเธอผลักใสเขาเอง จะคร่ำครวญถึงเขาทำไม’ เธอจึงตอบกลับไปว่า

“ก็ฉันรักเขา ฉันอยากให้เขากลับมา” เสียงนั้นก็ตอบกลับมา

‘เขาไม่มีวันกลับมาเธอเองก็รู้ ตัดใจเสียเถอะถึงเวลาที่เธอต้องเดินไปบนเส้นทางที่เธอเลือกได้แล้ว’

ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากปากเธออีก อารยาล้มตัวลงนอนบนเตียงที่เธอคุ้นเคย ลูบไล้ไปบนผืนผ้าอย่างทะนุถนอมคำนึงถึงคนที่เคยแนบซบกันบนเตียงนี้ แม้ไม่เคยเกินเลยกันทางด้านร่างกายหากเพียงแค่ได้ซุกอยู่ในอ้อมกอดของเขามันก็ทำให้หัวใจของเธออบอุ่นได้อย่างคาดไม่ถึง ความผูกพันที่เธอไม่อาจตัดขาดเยื่อใยนั้นได้แม้เธอจะเอ่ยเหตุผลบ้า ๆ ข้อหนึ่งที่ทำให้เธอและเขาต้องจากกันอย่างไม่มีวันหวนเช่นนี้

“หญ้ากำลังจะแต่งงาน” เขามองเธอราวกับไม่เชื่อหูตัวเองก่อนที่จะเอ่ยถามกลับมาว่า

“กับใคร”

“คนที่แม่เลือกให้ เขาเป็นลูกชายเพื่อนแม่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ”

“อย่างนั้นเหรอ ก็ดีแล้วล่ะ” เขาพูดออกมาเพียงสั้น ๆ ไม่มีคำคัดค้านทัดทานใด ๆ จากเขา ราวกับว่าระหว่างเขาและเธอไร้ซึ่งความผูกพันใด ๆ ที่เคยมี เขานิ่งไปพักหนึ่งก่อนที่จะหันมาบอกกับเธอว่า

“งั้นต่อไป หญ้าก็ไม่ควรมาที่นี่อีก เพื่อความสบายใจของแม่กับเขา”

“แต่...” อารยาหวังจะค้าน หากเขากับเอ่ยขึ้นทันทีว่า

“ไม่มีแต่หญ้า ทุกอย่างมันควรเป็นไปอย่างที่มันควรจะเป็น”

“แต่หญ้ารักคุณนะ”

“แต่หญ้าเลือกเส้นทางเพื่อเราสองคนแล้ว หญ้าก็ไม่ควรที่จะลังเลที่จะทำ ไม่ว่าเราจะต้องรู้สึกยังไง สิ่งที่ถูกต้องก็คือสิ่งที่หญ้าตัดสินใจไปแล้วต่างหาก ไม่ใช่แค่เรานะหญ้า ครอบครัวหญ้าคนที่อยู่ข้างหลังหญ้า นั่นคือความรับผิดชอบที่หญ้าจะต้องทำ เข้าใจไหม”

มันช่างเป็นเหตุผลที่อารยาไม่อยากยอมรับ แต่หากมันก็เป็นจริงอย่างที่เขาบอก เธอต้องรับผิดชอบในการตัดสินใจของเธอที่เลือกไปแล้ว ไม่ว่าจะเจ็บปวดเพียงใด หรือจะต้องทำร้ายเขาก็ตาม แต่เธอก็ไม่อาจทำให้คนที่มีพระคุณต่อเธออย่างแม่ต้องมาเสียใจและผิดหวังในเรื่องนี้เช่นกัน

“งั้นขอหญ้ากอดคุณได้ไหม”

เธอเอ่ยถาม และเขาก็พยักหน้ารับ ร่างสองร่างจึงแนบชิดเข้าหากันและโอบกอดกันและกันเอาไว้ อารยาพยายามจะซึมซับความรู้สึกผูกพันนั้นเอาไว้ ความอบอุ่นจากอ้อมกอดนั้นที่เธอไม่เคยคาดคิดว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับเธอ เพราะเมื่อเธอได้หวนกลับมาที่นี่อีกครั้งเธอก็พบว่าเขาจากไปแล้ว ไปในที่ที่เธอไม่มีวันรู้ได้เลยว่าเป็นที่ไหน ไม่มีข้อความ ไม่มีคำลาใด ๆ ฝากไว้ถึงเธอเลย แม้จะพยายามติดต่อทางโทรศัพท์มือถือก็ดูเหมือนจะไม่เป็นผล เพราะอีกฝ่ายไม่เคยกดรับสายจากเธอสักที ยิ่งพยายามสิ่งที่สะท้อนกลับมาก็มีเพียงแค่ความว่างเปล่าเท่านั้นเอง และในวันนี้อารยาก็ตั้งใจไว้ว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่เธอจะโทรหาเขาแม้ว่าเขาจะรับสายหรือไม่ก็ตาม ว่าแล้วเธอก็กดโทรศัพท์ออกไปยังหมายเลขที่เธอต้องการ เธอนอนมองโทรศัพท์ในมือ หน้าจอยังคงเป็นเช่นเดิมมันกำลังพยายามเชื่อมต่อกับปลายสายอยู่ตลอดเวลา เนิ่นนานจนกระทั่งมันดับลง หญิงสาวปาดน้ำตาที่กำลังไหลออกไปจากใบหน้า ลุกขึ้นจากเตียง สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดก่อนที่จะก้าวออกไปจากห้องนั้นในทันที และทันทีที่ประตูห้องปิดลงหญิงสาวก็รับรู้ในทันทีว่า เธอต้องตัดใจให้ได้เสียที อย่าหันหลังกลับไปมองความหลังอีก สิ่งที่ต้องทำคือก้าวไปข้างหน้าตามเส้นทางที่เธอได้เลือกและตัดสินใจไว้ด้วยตัวเอง แล้วอารยาก็ก้าวห่างจากประตูแห่งความหลังนั้นในทันทีอย่างมั่นคง

          เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียงดังขึ้น ทำให้คนที่กำลังง่วนอยู่กับงานที่อยู่ตรงหน้าจอคอมพิวเตอร์ต้องละสายตาจากจอมาที่โทรศัพท์มือถือนั้น หากเจ้าของเครื่องก็ไม่คิดจะขยับตัวไปเพื่อรับสายโทรศัพท์นั้นราวกับรู้ว่าต้นสายที่โทรมานั้นเป็นใคร อาจเป็นเพราะเสียงเรียกเข้าแบบพิเศษที่ตั้งไว้สำหรับหมายเลขนั้นโดยเฉพาะเป็นตัวบอกว่าเป็นหมายเลขของใคร ยุวคุณจึงไม่ได้ใส่ใจที่รับสายมันปล่อยให้เสียงนั้นดังไปเนิ่นนานจนกระทั่งมันเงียบเสียงลงไป เธอหันไปสนใจกับงานตรงหน้าอีกครั้งเสียงเคาะลงไปบนคีย์บอร์ดดังในจังหวะต่อเนื่องบอกให้รู้ว่าสมองคิดงานของเธอกำลังแล่น หากแล้วมือของเธอก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงทักจากบุคคลที่อยู่เบื้องหลังที่เธอเองไม่รู้ตัวว่าเจ้าของเสียงนั้นมาอยู่ในห้องของเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่คงนานพอที่จะได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือ และรู้ว่ายุวคุณไม่รับโทรศัพท์เช่นเคย

“ไม่คิดจะรับสายของเขาจริง ๆ หรือคุณ”

“อ้าวมาตั้งแต่เมื่อไหร่”

ยุวคุณเอ่ยถามผู้มาเยือนที่ยืนพิงกรอบประตูส่งยิ้มบาง ๆ มาให้ ก่อนที่จะขยับตัวเดินเข้ามาภายในห้องแล้วทรุดตัวลงนั่งที่เตียง

“ก็นานพอที่จะได้ยินเสียงโทรศัพท์ที่แกไม่ยอมรับสายนั่นแหล่ะคุณ ไม่ทรมานเขาเกินไปเหรอ บางทีเขาอาจจะมีเรื่องอยากคุยกับคุณก็ได้นะ”

“ถ้าจะตัดก็ต้องตัดให้ขาดนั่นแหล่ะพี่แก้ว ยิ่งคุณรับโทรศัพท์เขามันก็ยังเหมือนมีเยื่อใยให้กับเขาอยู่ สู้ไม่รับเลยเสียดีกว่าเขาจะได้ตัดใจได้เร็วขึ้น”

แววตาเศร้าของคนพูดที่ฉายออกมา มันก็พอจะทำให้แก้วกิริยารับรู้ได้ถึงความทรมานของตัวน้องสาวของเธอเองที่มันก็คงยากเช่นกันที่จะฝืนใจไม่รับสายนั้น เธอเชื่อว่าเยื่อใยของคนสองคนไม่ได้ขาดได้ง่าย ๆ ยิ่งเคยรักกันมากเพียงใดมันก็ยิ่งยากจะตัดใจได้ มันไม่มีทางให้เลือกมากนักแต่ยุวคุณก็เลือกที่จะหักดิบด้วยการหนีมาตั้งต้นใหม่ที่นี่และไม่รับโทรศัพท์จากอีกฝ่าย

“คิดว่าดีที่สุดแล้วใช่ไหมที่ทำอย่างนี้”

เธอถามย้ำอีกครั้ง

“ฮะ คุณว่าดีที่สุดแล้ว เมื่อเขาเลือกที่จะเดินเส้นทางที่แม่เขาวาดไว้ ถึงจะเจ็บแค่ไหนก็ต้องยอมรับ คุณเชื่อว่าเขาเลือกทางที่ถูกแล้วสำหรับชีวิตของเขา”

น้ำเสียงราบเรียบของหญิงสาวบอกย้ำให้กับพี่สาวได้มั่นใจ แก้วกิริยายิ้มบาง ๆ ให้กับน้องสาวก่อนที่จะเอ่ยอีกประโยคหนึ่งก่อนเดินออกไปจากห้อง

“ตามใจนะ ยังไงพี่ก็เอาใจช่วยละกัน เดี๋ยวพี่ไปร้านก่อน ถ้าเบื่อ ๆ ก็แวะไปช่วยพี่ที่ร้านก็ได้นะ”

“ฮะ”

ยุวคุณรับคำสั้น ๆ มองตามร่างผอมบางของพี่สาวที่เพิ่งเดินลับตาไปจากห้อง สายตาเหลือบไปมองโทรศัพท์ที่ยังคงวางอยู่ที่เดิม แล้วรำพึงกับตัวเองเบาๆ ว่า

“มันดีที่สุดแล้วล่ะ”

ว่าแล้วเธอก็หันกลับไปสนใจที่หน้าคอมพิวเตอร์ต่อไป ตัดทุกสิ่งทุกอย่างออกไปจากสมอง แล้วทุ่มเทให้กับงานตรงหน้าอย่างเต็มที่ ยิ่งโหมทำงานบางทีเธออาจจะลืมอะไรบางอย่างที่อยากจะลืมไปได้บ้าง ถึงแม้จะไม่ทั้งหมดก็ตามที

          ยุวคุณไม่ได้รู้สึกแปลกใจนักที่ได้พบคุณนาถยาในบ่ายวันหนึ่ง เธอพอจะรู้เหตุที่ผู้สูงวัยกว่ามาพบเธอถึงที่ทำงานในวันที่แสนวุ่นวายกับการปิดต้นฉบับ แววตาที่แสนอ่อนโยนของคุณนาถยาที่มองมาที่หญิงสาวที่เพิ่งก้าวพ้นประตูเข้ามาภายในห้องรับรองแขก ทำให้ยุวคุณไม่รู้สึกประหม่าแต่อย่างใดอาจเพราะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ยุวคุณยกมือขึ้นไหว้อย่างนอบน้อมก่อนที่จะก้าวเข้ามานั่งโซฟาตัวที่อยู่ตรงกันข้ามกับหญิงวัยกว่าห้าสิบปีผู้ซึ่งเป็นมารดาของเพื่อนสาวคนสนิท

“สวัสดีค่ะแม่ วันนี้มีอะไรให้คุณรับใช้หรือฮะถึงได้มาถึงนี่”

“ก็ไม่เชิงหรอกจ๊ะ แม่แค่อยากมีเรื่องมาขอร้องหนู”

ว่าแล้วไงเข้าประเด็นเลย ยุวคุณได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นในใจของตัวเอง ยุวคุณยิ้มก่อนที่จะเอื้อนเอ่ยออกมาว่า

“เรื่องหญ้าใช่ไหมฮะ”

“หนูคงพอรู้เรื่องแล้ว”

ยุวคุณพยักหน้าแทนคำตอบ แล้วนิ่งฟังต่อไป

“ไม่ใช่ว่าแม่อย่างนั้นอย่างนี้นะคุณ หนูก็คงจะรู้ดีว่าคนเป็นแม่ย่อมอยากเห็นชีวิตของลูกเป็นไปในทางที่ถูกที่ควร ตามครรลองที่ผู้หญิงทุกคนควรจะเป็นไม่ใช่ที่เป็นอย่างทุกวันนี้”

ที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้อาจไม่ใช่สิ่งที่ถูกนักสำหรับในสายตาของผู้ใหญ่ และโดยเฉพาะคนที่เป็นแม่แล้ว ยุวคุณพอจะเข้าใจเธอถึงได้แต่นิ่งฟังไม่ได้คัดค้านในวิถีความคิดของผู้ใหญ่ที่มักจะมองเห็นความถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญในชีวิต

“การที่หญ้าคบหากับหนูมันก็ไม่ใช่เรื่องผิด แต่แม่ก็อยากให้เขามีใครสักคนที่พร้อมจะดูแลเขาไปตลอดชีวิตในวิถีที่ถูกต้อง และแม่ก็เชื่อว่าคนที่แม่เลือกเขาดีพร้อมที่จะดูแลหญ้าได้ แม่คิดว่าหนูคงเข้าใจ”

“ฮะ คุณรู้ว่าคนเป็นแม่ทุกคน อยากเห็นลูกมีชีวิตที่ดี ไม่ผิดหรอกฮะที่แม่จะเลือกสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดสำหรับลูก คุณเข้าใจ และเชื่อว่าหญ้าเองก็เข้าใจในความรักของแม่ดีฮะ”

คำพูดที่แสนเรียบง่ายที่ยุวคุณเอ่ยแก่ผู้สูงวัยกว่า ทำให้ปรากฎรอยยิ้มบนใบหน้าที่มีร่องรอยตามวัย ความเข้าใจซึ่งกันและกันทำให้ไม่ต้องอ้างเหตุผลอะไรให้มากมายอีก ยุวคุณยิ้มบาง ๆ ก่อนที่จะเอ่ยออกมาประโยคสุดท้ายก่อนจบการสนทนาในบ่ายนั้นว่า

“แม่สบายใจได้ฮะ ระหว่างหญ้ากับคุณไม่มีอะไรเกินเลยให้เสียหาย สำหรับหญ้า คุณมีแต่ความรักและความห่วงใย และคุณก็ปรารถนาอยากให้หญ้ามีชีวิตที่ดีเช่นกันฮะ คุณรับปากนะฮะ คุณจะทำทุกวิถีทางให้หญ้าได้มีชีวิตตามทางที่ควรจะเป็น สบายใจได้ฮะ”

ในตอนท้ายดังคำมั่นที่ยุวคุณให้กับผู้สูงวัยกว่าให้ได้มั่นใจว่าจะไม่มีสิ่งใดมาเป็นอุปสรรคบนเส้นทางที่ได้เลือกให้กับลูกสาวของหล่อน และยุวคุณก็ทำตามคำมั่นนั้นเป็นอย่างดี การหลบเร้นมาอยู่เสียให้ไกลจากคนที่เคยรักเป็นหนทางที่ดีที่สุดที่เธอเลือกเพื่อคนที่รัก แม้อาจจะเจ็บปวดและทรมาน แต่ยุวคุณเชื่อในใจว่าอีกไม่นานทุกอย่างจะจบลงด้วยดี ความคำนึงถึงวันเก่าดูเหมือนจะสะดุดหยุดลงได้เมื่อมีเสียงของใครบางคนแทรกเข้ามาในความคิดนั้น

“คุณครับ คุณ”

สีหน้าของเธอคงเหรอหราน่าดู เพราะสังเกตุได้จากใบหน้าเปื้อนยิ้มของชายหนุ่มที่กำลังยื่นแก้วบรั่นดีมาตรงหน้าเธอ แววตาขี้สงสัยของเธอที่มองเขา มันทำให้เขาต้องเอ่ยประโยคเดิมก่อนหน้านี้ที่เขาเคยพูดออกมา

“ขอบรั่นดีอีกแก้วครับ”

“อ๋อ ค่ะ” ยุวคุณเอื้อมมือไปหยิบแก้วบรั่นดีจากมือของเขา แล้วจัดการตามที่เขาต้องการก่อนที่จะส่งมันกลับไปให้เขา เป็นจังหวะเดียวกันที่ยุวคุณยังไม่ทันปล่อยมือจากแก้วใบนั้นมือของเขาก็ซ้อนเข้าที่มือของเธออย่างจงใจ หากเขากลับเอ่ยราวกับเป็นเรื่องบังเอิญเสียอย่างนั้น

“เอ่อ ขอโทษนะครับผมไม่ได้ตั้งใจ”

แม้จะว่าไปเช่นนั้น หากมือของเขายังคงวางอยู่เช่นเดิมไม่ได้ขยับออก ยุวคุณมองหน้าเขาตรง ๆ มองเห็นความจงใจในสายตาของเขาที่มองมาที่เธอเช่นกัน หญิงสาวไม่ได้หลบตาอย่างเขินอาย หรือมีจริตอย่างเช่นผู้หญิงทั่วไปทำกัน เธอเพียงยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก นึกอยู่ในใจว่าธรรมชาติของผู้ชายเหมือนกันทั้งโลก เธอเลื่อนมือออกห่างแก้วใบนั้นแล้วบอกกับเขาว่า

“ไม่เป็นไรหรอก ถ้าคุณไม่ได้ตั้งใจอย่างปากว่าจริง ๆ”

ยุวคุณหันไปกระซิบบอกบาร์เทนเดอร์คนข้าง ๆ ที่กำลังบริการแขกอีกคนแล้วเดินหลบเข้าไปหลังร้านทันที โดยไม่สนใจว่าคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์นั้นจะรู้สึกยังไง ไม่จำเป็นต้องสนใจเพราะยังไงเสียคนเหล่านี้ไม่มีทางที่จะได้มีโอกาสเข้ามาเดินบนเส้นทางชีวิตของเธอได้อยู่แล้ว ยุวคุณทรุดตัวลงนั่งที่โซฟายาวก่อนที่ล้มตัวลงนอนเหยียดยาวบนโซฟาตัวนั้น เธอลืมตามองเพดานสีขาวขุ่นหากสิ่งที่มองเห็นไม่ใช่เพียงเพดานหากเป็นภาพของใครบางคนที่อยู่ในทุกห้วงแห่งความคิด เธอจึงหลับตาลงเพื่อลบภาพที่มองเห็นอยู่เบื้องหน้า อาจเพราะความเมื่อยล้าที่ต้องยืนบริการลูกค้าที่เคาน์เตอร์เสียนานทำให้ยุวคุณเผลอหลับไปอย่างง่ายดาย

            นานเท่าไรไม่รู้ที่เผลอหลับไปบนโซฟายาวตัวนั้น มารู้สึกตัวอีกทีเมื่อรู้สึกว่ามีมือของใครบางคนมาเขย่าที่ต้นแขนเบา ๆ ราวกับว่ากลัวคนที่หลับอยู่บนโซฟานั้นจะตื่นขึ้นมาเสียอย่างนั้น ยุวคุณรู้สึกตัวแล้วและกำลังลืมตาขึ้นมองช้า ๆ เธอมองเห็นเจ้าของแรงที่กำลังใช้มือเขย่าแขนของเธอ แก้วกิริยานั่นเองที่ปลุกเธอให้ตื่นจากอาการหลับไหล

“เหนื่อยมากเลยเหรอ ถึงได้มาแอบหลับอยู่ตรงนี้” แก้วกิริยาเอ่ยถามขึ้นขณะที่ทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาตัวเล็กกว่าตัวที่ยุวคุณนอนหลับอยู่ ยุวคุณขยับตัวลุกขึ้นนั่งบนโซฟาแล้วเอ่ยถามพี่สาวว่า

“คุณเผลอหลับไปนานเท่าไหร่ฮะ”

“ก็นานพอควรแล้ว พี่เห็นเราหายเข้ามานานผิดปกติจึงแวบเข้ามาดูนี่แหล่ะถึงได้เห็นว่าคุณมานอนอยู่ตรงนี้ เหนื่อยมากเหรอ”

“ก็ไม่เท่าไหร่หรอก แค่เบื่อ ๆ ขี้เกียจคุยกับพวกผู้ชายขี้หลีที่เอาแต่คิดว่าผู้หญิงใจง่ายไปซะหมด”

พูดไปพลางนึกถึงชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์เมื่อหลายนาทีก่อน ไม่ว่าจะเขาหรือผู้ชายคนไหนก็เอาแต่คิดแบบนั้น แก้วกิริยาลอบยิ้มขณะมองดูน้องสาวที่นั่งเบ้ปากหลังพูดจบประโยคนั้น เธอจึงเอ่ยถามว่า

“ผู้ชายที่หน้าเคาน์เตอร์คงทำให้น้องสาวพี่หงุดหงิดมากเลยใช่ไหม”

“ก็มันน่าไหมล่ะ แหมแกล้งทำเป็นมาจับมือเรา พอเราจับได้ก็บอกว่าไม่ตั้งใจ แต่ขอโทษเถอะพี่แก้ว สายตามันฟ้องว่ามันจงใจ”

น้ำเสียงที่ออกจะหงุดหงิดของยุวคุณทำให้พี่สาวนึกขำอยู่ในที อยากเห็นหน้าผู้ชายที่ทำให้อารมณ์ของยุวคุณหงุดหงิดได้มากขนาดนี้ เพราะโดยนิสัยของยุวคุณซึ่งเป็นคนค่อนข้างเงียบและไม่สุงสิงกับใครนัก ก็เป็นการยากที่จะมีใครสักคนเข้ามายุ่มย่ามในชีวิตให้หงุดหงิดในอารมณ์แบบนี้แก้วกิริยาพาตัวเองเดินมาที่ประตูห้องซึ่งติดอยู่กับเคาน์เตอร์ด้านหน้า มองเห็นใครบางคนซึ่งอาจจะเป็นคนที่ทำให้ยุวคุณอารมณ์หงุดหงิดก็เป็นได้ เธอมองเห็นเขาจับแก้วบรั่นดีเปล่าโยกไปมาบนเคาน์เตอร์ราวกับว่ากำลังรอให้มีใครบางคนมาบริการเครื่องดื่มให้กับเขาทั้ง ๆ ที่ตรงบริเวณนั้นมีบาร์เทนเดอร์อยู่ตั้งสามคน แต่เขาก็ไม่ได้เรียกร้องให้ใครมาสนใจ แม้บางครั้งจะมีคนเดินเข้าไปถามไถ่หากเขาก็ปฏิเสธแล้วปล่อยให้แก้วนั้นมันว่างเปล่าอยู่อย่างนั้น แก้วกิริยายิ้มให้กับภาพตรงหน้าแล้วเอ่ยกับน้องสาวว่า

“ใช่คนนี้หรือเปล่าเนี้ย ถ้าใช่ก็ท่าทางไม่เลวนะคุณ”

ยุวคุณก้าวเข้ามายืนเคียงข้างพี่สาวมองไปยังที่ที่เดียวกัน เธอเบ้ปากออกมาทันทีแล้วพูดว่า

“ยังไม่ไปอีกเหรอเนี้ย จะนั่งอยู่ทำบ้าอะไรก็ไม่รู้”

น้ำเสียงบอกชัดถึงอารมณ์หงุดหงิด

“ก็รอเรานั่นแหล่ะ พี่สังเกตเขาอยู่นานแล้วนะ เขาไม่ยอมเรียกเครื่องดื่มจากใครมานานแล้วนะตั้งแต่หมดแก้วที่คุณจัดการให้เขา เขาอาจจะไม่ใช่คนที่เลวร้ายอะไรอย่างที่คุณคิดก็ได้ เพราะถ้าเป็นพวกขี้หลีทั่วไปป่านนี้เขาไปป้อที่อื่นนานแล้วล่ะ”

ยุวคุณหันกลับไปมองที่หน้าเคาน์เตอร์อีกครั้ง มันอาจจะจริงอย่างที่พี่สาวของเธอว่าเขาอาจจะไม่เหมือนผู้ชายทั่วไปที่หลีสาวไปทั่ว แต่หากในสายตาของเธอผู้ชายคนนี้หลีเธอแน่ ๆ ยุวคุณมองเห็นความกังวลใจที่แสดงชัดออกมาทางสีหน้าของเขา บางทีสิ่งที่เขากระทำต่อเธออาจจะทำให้เขากังวลใจและยิ่งเมื่อเธอเดินหนีมาเสียดื้อ ๆ แบบนี้ก็ยิ่งเพิ่มความชัดเจนว่าเธอไม่พอใจเขาอย่างรุนแรง มือบอบบางของแก้วกิริยาวางลงที่ไหล่ของยุวคุณขณะที่เธอเอ่ยขึ้นว่า

“จะดีไหมถ้าเราจะลองเปิดใจกับใครสักคน”

“แต่คุณ...”

“คุณแน่ใจในวิถีชีวิตของคุณแล้วหรือยังล่ะ พี่บอกตามตรงนะบางทีพี่ก็อยากให้คุณมีชีวิตแบบผู้หญิงทั่วไปที่เขาเป็นกัน ไม่ใช่ว่าพี่จะบังคับหรือกะเกณฑ์อะไรกับคุณหรอกนะ แต่พี่อยากให้คุณลองคิดดู หากคุณไม่ใช่อย่างที่คุณเคยเป็นมา บางทีการเปิดใจให้กับใครสักคนมันก็ไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายอะไรนี่”

“แต่เขาเป็นคนแปลกหน้านะพี่แก้ว”

ยุวคุณยังคงหาเหตุมาเพื่อค้านความคิดพี่สาว แก้วกิริยายิ้มก่อนพูดว่า

“ถ้าไม่ใช่คนในครอบครัวมันก็เป็นคนแปลกหน้าทั้งนั้นแหล่ะคุณ ไม่มีใครรู้จักกันมาก่อนสักหน่อย ทำความรู้จักกับใครสักคนบ้าง บางทีเราอาจจะได้เห็นอะไรใหม่ ๆ ในตัวตนที่แท้จริงของเราไง”

พูดจบเจ้าของความคิดก็เดินกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานเดิมของตนเอง ปล่อยความคิดนั้นให้วนเวียนอยู่ในสมองของอีกคน ยุวคุณแน่ใจว่าเธอไม่เคยสับสนในตัวตนของตนเอง เธอเป็นอย่างที่เธอเป็นจริง ๆ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดหากเธอคิดจะพิสูจน์ตัวตนของเธอโดยการดึงใครสักคนมาเป็นเครื่องพิสูจน์  เธอหันกลับไปมองที่สาวที่เอาแต่ก้มหน้าทำงาน ก่อนที่จะเดินกลับออกไปที่ด้านหน้าอีกครั้งหนึ่ง

            “รับอะไรเพิ่มไหมคะ” เสียงใครบางคนดังขึ้นตรงหน้าขณะที่โตมรเอาแต่นั่งจ้องดูแก้วบรั่นดีที่ว่างเปล่ามานานแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นมองหาเจ้าของเสียงแล้วเขาก็พบเจอกับหญิงสาวคนเดิมที่เมื่อราวสามสิบนาทีที่แล้วเดินหนีเขาไปเสียดื้อ ๆ หลังจากที่เขาจงใจจับมือเธอหวังจะหว่านเสน่ห์กับเธออย่างเช่นที่เคยทำมาก่อนตอนที่อยู่ที่ต่างประเทศ แต่เขาไม่ได้ทำพร่ำเพรื่อเขาทำเฉพาะกับคนที่เขาสนใจเท่านั้น และนี่ก็เป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่เขากลับมาอยู่ที่เมืองไทย โตมรรู้สึกสนใจหญิงสาวตั้งแต่เดินเข้ามาในร้าน เธอมีรอยยิ้มที่อ่อนหวานหากไม่ได้มีจริตอย่างเช่นผู้หญิงทั่วไปที่เอาแต่โปรยยิ้มหวานเพื่อหว่านเสน่ห์ให้ใครมาสนใจ เธอยิ้มอย่างจริงใจแต่ไม่เคยสักครั้งที่จะทิ้งสายตาให้กับใครมาตกหลุมพรางที่เขามักจะเคยพบเห็นอยู่เสมอสำหรับผู้หญิงที่ทำงานกลางคืนเช่นนี้ หากในตอนนี้เธอคิดจะขุดหลุมพรางอะไรไว้เขาก็พร้อมจะกระโจนลงไปในหลุมของเธออย่างเต็มใจ เขายิ้มตอบกลับรอยยิ้มของเธอที่ส่งมาก่อนจะตอบไปว่า

“เหมือนเดิมนะครับ”

หญิงสาวพยักหน้าแล้วรับแก้วมาจากมือเขา ซึ่งดูเหมือนเขาจะระวังมากขึ้นไม่ให้แม้แต่ปลายนิ้วมาสัมผัสโดนมือของเธออีกครั้ง เขาหวั่นกลัวเธอจะเดินหนีเขาไปอีก ยุวคุณส่งแก้วคืนมาให้กับเขา เขารับแก้วมาวางไว้ตรงหน้าโดยไม่ได้ยกมันขึ้นมาจิบ เขาเอ่ยขึ้นมาว่า

“ผมขอโทษนะครับสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ คุณคงไม่พอใจที่ผมทำไปแบบนั้น”

“ฉันเข้าใจว่าผู้ชายทุกคนมักจะคิดว่าผู้หญิงที่ไหนก็เหมือนกัน โดยเฉพาะผู้หญิงที่ทำงานกลางคืนมักจะเป็นเรื่องที่ง่ายสำหรับพวกคุณ แค่แกล้งแตะโดนมือหน่อย โปรยยิ้มหวานหว่านเสน่ห์ขี้คร้านผู้หญิงจะวิ่งตามเป็นพรวนคงคิดอย่างนั้นใช่ไหม”

ดูเหมือนเธอจะพูดได้แทงใจเขาเสียเหลือเกิน เขาถึงได้แต่นั่งนิ่งยอมรับในความผิดพลาดที่คิดกับผู้หญิงไปแบบนั้น ยุวคุณยิ้มบาง ๆ ก่อนที่จะพูดต่อไปว่า

“ไม่ผิดหรอกที่คุณจะคิดแบบนั้น เพราะกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์มันเป็นอย่างที่คุณคิด เราผู้หญิงถึงได้ถูกดูถูกนักหนาว่าใจง่ายจริงไหม แต่ฉันไม่ใช่ผู้หญิงทั่วไป ฉันไม่ใช่”

คำท้ายประโยคนั้นเน้นย้ำในความเป็นตัวตนของเธอ ซึ่งคนฟังไม่อาจรู้ได้ถึงความหมายในคำที่บอก เขารู้เพียงว่าเธอไม่ได้ใจง่ายอย่างที่เขาคิดเพียงเท่านั้นเอง เขาจึงเอ่ยคำขอโทษออกมาอีกครั้ง

“ผมขอโทษจริง ๆ นะครับ ผมไม่ได้ตั้งใจให้คุณรู้สึกแย่แบบนี้ แต่สิ่งที่ผมจะบอกกับคุณก็คือผมเพียงรู้สึกดี ๆ กับคุณจริง ๆ ความรู้สึกที่พิเศษกว่าใคร ที่แม้แต่คนที่ผมจะแต่งงานด้วยผมยังรู้สึกแบบนี้ไม่ได้เลย”

ความในใจที่ถูกเปิดเผยออกมาทางคำพูด และความจริงใจที่ส่งผ่านมาทางสายตาส่งมาที่ยุวคุณอย่างจริงจัง หากสำหรับยุวคุณแล้วมันไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกหวั่นไหวกับตัวตนที่เธอเป็น เธอทำได้ดีที่สุดเพียงยิ้มรับในความรู้สึกดีๆ ที่เขาเผยออกมาในวินาทีนี้

“ขอบคุณสำหรับความรู้สึกดี ๆ ของคุณ แต่คุณควรเก็บความรู้สึกดี ๆ แบบนี้ไว้ให้กับคนที่คุณจะแต่งงานด้วยดีกว่านะ”

“แต่ผมไม่ได้รักเขา”

คำย้ำหนักแน่นของชายหนุ่มที่เอ่ยออกมา ทำให้ยุวคุณรู้สึกหนักอื้ง ไม่ใช่เรื่องของคนที่อยู่ตรงหน้า หากกลับเป็นคนที่อยู่แสนไกลต่างหาก

“ไม่รัก แล้วคุณแต่งกับเขาเพื่ออะไร”

“เพื่อคนที่ผมรักอย่างแม่ไง”

เหตุผลที่ไม่ได้ต่างกันเลย การที่ยอมทนใช้ชีวิตร่วมกับคนที่ไม่ได้รักมักจะมีเหตุผลเดียวเท่านั้น เพื่อบุพพการีผู้ให้กำเนิด ช่างเป็นการตอบแทนพระคุณที่แสนยิ่งใหญ่ ยุวคุณคิดอยู่ในใจ คนบางคู่รักกันแต่ไม่อาจอยู่ด้วยกันได้ด้วยเหตุแห่งสังคม แต่คนบางคู่ที่ไม่เคยรักกันต้องมาอยู่ด้วยกันก็เพราะเหตุแห่งสังคมเช่นกัน ทำไมสังคมถึงไม่ได้ยุติธรรมกับความรักบ้างเลยหนอ ยุวคุณมองดูชายหนุ่มที่ยกแก้วบรั่นดีขึ้นดื่มรวดเดียวหมดแก้ว แววตาที่มีชีวิตชีวาที่เธอได้เห็นเมื่อหลายนาทีก่อนหายไปไหน เหลือเพียงแววตาที่แสนขื่นขมไว้ให้เห็น ยุวคุณเติมบรั่นดีให้เขาโดยที่เขาไม่ต้องร้องขอพร้อมกับถามว่า

“แล้วคุณมาทำอะไรที่นี่”

“ใช้ชีวิตโสดครั้งสุดท้ายของผมไง อีกไม่นานผมก็ต้องแต่งงานกับคนที่แม่เลือกให้ ผมก็ขอใช้ชีวิตอิสระให้เต็มที่ก่อนที่จะไร้ซึ่งอิสระ”

“ชีวิตคู่ใช่จะเลวร้ายสักหน่อย ฉันเชื่อนะว่าคนที่แม่คุณเลือกย่อมเป็นคนดีไม่อย่างนั้นท่านคงไม่เอามาเป็นสะใภ้บ้านคุณหรอกน่า ไม่แน่บางทีคุณได้อยู่กับเขาแล้วคุณอาจจะรักเขาขึ้นมาก็ได้”

ยุวคุณออกความคิดเห็นตามความคิดของเธอ พร้อมกับยิ้มให้เขา และเพราะรอยยิ้มจากริมฝีปากบาง ๆ นั้นเองที่ทำให้โตมรยิ้มได้อีกครั้ง

“คุณเข้าใจโลกดีจังเลยนะ ทำไมผู้หญิงที่แม่ผมเลือกไม่ใช่คุณนะ ถ้าเป็นคุณผมคงโชคดีที่สุดในโลก”

“คุณยังไม่รู้จักฉันดีพอหรอก บางทีถ้าคุณได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของฉันคุณอาจจะรู้สึกผิดหวังก็ได้ สิ่งที่เห็นอาจไม่ใช่สิ่งที่เป็นก็ได้นะ”

“แล้วตัวตนที่แท้จริงของคุณเป็นยังไง” เขาถามย้อนกลับในทันทีที่ยุวคุณพูดจบประโยค หากยุวคุณก็ทำได้เพียงยิ้มเท่านั้น เธอไม่มีคำตอบให้กับคนแปลกหน้าของเธอในค่ำคืนนี้ ไม่มีเหตุผลที่จะต้องบอกความเป็นตัวตนให้กับคนที่เธอต้องการใช้เป็นเครื่องพิสูจน์ เมื่อถึงวันนั้นเขาจะเข้าใจในทุก ๆ อย่าง ยุวคุณรินบรั่นดีลงในแก้วเปล่าอีกใบ เธอชูแก้วขึ้นมาตรงหน้าเขาแล้วพูดว่า

“ขอฉลองให้กับชีวิตโสดครั้งสุดท้ายของคุณ ใช้ชีวิตอิสระของคุณให้เต็มที่ก่อนที่จะไม่ได้ใช้มันในวันข้างหน้า”

โตมรยกแก้วของเขาขึ้นมาชนกับแก้วที่ชูรออยู่ แล้วทั่งคู่ก็ดื่มมันรวดเดียวหมดไปพร้อม ๆ กัน ณ เวลานี้มีเพียงรอยยิ้มของคนสองคนที่อยู่ตรงหน้าของกันและกัน ไม่นึกถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึงและไม่ย้อนคิดถึงอดีตที่ผ่าน จะมีเพียงวันนี้เท่านั้น

            อรุณรุ่งของวันใหม่ที่มากับความเหน็บหนาว สายลมแผ่วเบาพัดพาความหนาวเย็นยะเยือกมาเยี่ยมเยือนคนที่ยืนกอดอกอยู่ตรงที่ชานนอกบ้าน แม้ร่างกายจะถูกคลุมด้วยผ้าห่มผืนหนาหากเพราะลมเย็นที่พัดมาปะทะกับใบหน้าบอบบางนั่นเองที่ทำให้ความหนาวเย็นแผ่ซานไปถึงหัวใจ แต่แม้อากาศจะหนาวเย็นจับจิตเช่นนี้หากยุวคุณก็ยังตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้ามืด เธอมายืนรอรับแสงแรกของวันตั้งแต่ที่พระอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้าเสียอีก ไม่ใช่เพราะอยากชมความงามของพระอาทิตย์ยามมาเยือนขอบฟ้า หากเป็นเพราะข้อความในโทรศัพท์มือถือที่ถูกส่งเมื่อเช้ามืดนั่นต่างหากที่ทำให้เธอไม่อาจที่จะข่มตาให้หลับลงได้เช่นทุกวัน

‘หญ้าจะแต่งงานอาทิตย์นี้แล้วนะ มาให้ได้นะหญ้าจะรอ’

แม้ไม่ได้อ่านทวนซ้ำข้อความหากยุวคุณก็จดจำมันได้ทุกคำ ในที่สุดก็ถึงวันที่ต้องสิ้นสุดจริง ๆ แล้วสินะ ยุวคุณบอกตัวเองในใจ หลายเดือนมาแล้วที่อารยาไม่ได้โทรมาเธอ เงียบหายไปจากที่เคยโทรมาหาแทบทุกวัน วันละสามเวลา อาจเป็นเพราะรู้ดีว่าไม่ว่าจะโทรมาเท่าไรยุวคุณก็ไม่เคยรับสายอีกฝ่ายจึงไม่เคยโทรมาอีกเลย ช่วงเวลาที่ห่างไปมันอาจทำให้อีกฝ่ายได้คิดและศึกษาคนที่จะต้องแต่งงานด้วยอย่างถ่องแท้แล้ว และไม่มีเหตุอันใดที่จะปฏิเสธความหวังดีของมารดา อารยาจึงจำต้องแต่งงานในครั้งนี้ ส่วนยุวคุณเองก็ได้แต่ทำใจให้ยอมรับเส้นทางที่ต่างเลือกเพื่อกันและกัน ความรู้สึกโหยหาในความรักของคนรักดูเหมือนจะจางหายไปบ้างในความรู้สึก หากเมื่อได้เห็นข้อความในโทรศัพท์มันกลับทำให้เกิดความรู้สึกอาวรณ์ขึ้นมาในอารมณ์ ยุวคุณรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นในอกในทันทีที่นึกถึงอารยาในชุดของเจ้าสาวของคนอื่น แต่เมื่อได้คิดถึงความถูกต้องครรลองครองธรรมแล้วยุวคุณจำต้องข่มความรู้สึกใด ๆ เอาไว้ให้ลึกสุดใจ

“ตื่นแต่เช้าเชียวนะคุณ”

เสียงทักทายที่ดังมาจากเบื้องหลัง แม้ไม่หันไปมองก็พอจะรู้ว่าเป็นใคร ก็จะเป็นใครได้เล่านอกเสียจากพี่สาวคนเดียวของเธอนั่นเอง แก้วกิริยาก้าวเข้ามายืนเคียงข้างน้องสาวในไส้แล้วเอ่ยถามว่า

“นึกยังไงตื่นแต่เช้าได้ล่ะเรา”

“ไม่ใช่ตื่นแต่เช้าหรอกพี่แก้ว นอนไม่หลับต่างหาก”

“หือ” แก้วกิริยาหันมามองน้องสาวที่ยังคงยืนนิ่งมองไปเบื้องหน้า เธอมองเห็นรอยยิ้มบาง ๆ หากไม่ใช่เพราะสุขใจแต่เป็นรอยยิ้มที่ปนความเศร้าออกมาทางสายตา

“อาทิตย์นี้หญ้าเค้าจะแต่งงานแล้วฮะ”

“ยังตัดใจไม่ได้อีกหรือคุณ”

ยุวคุณส่ายหน้าแทนคำตอบนั้น ก่อนที่จะพูดต่อไปว่า

“เพียงแค่ต้องทำใจยอมรับมันให้ได้เท่านั้นเองพี่แก้ว ไม่มีวันที่จะตัดใจจากเขาได้หรอก”

“ถึงจะมีโตเข้ามาในชีวิตอย่างนั้นเหรอ”

คำถามนั้นทำให้ยุวคุณนึกถึงชายแปลกหน้าที่คบหากันมาได้ร่วมเดือนแล้ว แม้ทุกอย่างจะพัฒนาไปในทางที่ดีแต่ยุวคุณรู้อยู่แก่ใจดีว่ามันไม่มีทางพัฒนาในหัวใจของเธอไปได้ ความรู้สึกที่มีให้มันเป็นความรู้สึกของเพื่อนเพียงเท่านั้น

“ไม่รู้สิฮะพี่แก้ว คุณรู้สึกว่าเขาไม่ได้แตกต่างจากเพื่อนชายทั่วไป คุณไม่ได้รู้สึกวูบวาบเวลาที่อยู่กับเขา ไม่ได้รู้สึกร้อนผ่าวเวลาที่เขาอยู่ใกล้หรือว่าแตะเนื้อต้องตัว คุณรู้สึกเฉยชามากกว่า คุณไม่ได้ปิดกั้นตัวเองนะพี่แก้ว แต่คุณรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ เขาไม่ได้พิเศษในสายตาคุณเลย ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นคงต้องคิดว่าตัวเองโชคดีมาก ๆ ที่มีผู้ชายอย่างโตเข้ามาในชีวิต แต่สำหรับคุณ คุณรู้สึกโชคดีที่มีเพื่อนอย่างเขา”

คำพูดที่แสนหนักแน่นของยุวคุณทำให้แก้วกิริยาต้องถอนหายใจออกมาหนัก ๆ ครั้งหนึ่ง ตอนนี้เธอคงต้องยอมรับความจริงเสียแล้วว่า ไม่มีใครคนใดในโลกนี้จะมาเปลี่ยนแปลงตัวตนที่ยุวคุณเป็นเสียแล้ว เธอเป็นอย่างที่เป็นมาตลอดจริง ๆ

“แล้วเรื่องโตจะเอายังไง”

“เมื่อถึงวันมันก็ต้องจบอยู่ดีแหล่ะพี่แก้ว เขาต้องกลับไปแต่งงานในอีกไม่กี่วันนี้แล้ว ถึงเขาจะรู้สึกดีกับคุณแค่ไหนเขาก็รู้หน้าที่ของเขาดีว่าเขาต้องทำอะไร มีอะไรที่เขาต้องกลับไปรับผิดชอบ เราสองคนต่างรู้ถึงข้อนี้ดีฮะ เขาก็เพียงแค่อยากใช้ชีวิตในแบบที่เขาต้องการ กับคนที่เขาคิดว่าเขารักก็เพียงเท่านั้นเองฮะ”

“ชีวิตคนนี่มันก็ยุ่งยากดีเหมือนกันเนอะ ไม่รู้อะไรนักหนา รู้ว่ารักแต่ก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ เฮ้อไม่รู้ว่าคนที่เขาขีดเส้นทางให้กับเราเขานึกยังไงนะ”

ยุวคุณอดขำกับประโยคท้ายของพี่สาวที่เอ่ยออกมาไม่ได้ เธออมยิ้มนิดหนึ่ง คิดอยู่ในใจว่า ไม่มีใครขีดเส้นทางให้ใครได้หรอก ทุกอย่างบนชีวิตของเธอเธอเลือกเองทั้งนั้น เลือกที่จะรัก หรือเลือกที่จะไม่รักใคร เส้นทางที่ไม่มีใครอยากให้เป็น หากยุวคุณก็ไม่อาจที่จะทำตามใจใครได้นอกจากทำตามความต้องการของตนเองเพียงเท่านั้น ความต้องการที่อยากเห็นคนที่รักมีความสุขบนเส้นทางของความถูกต้องของชีวิต นั่นแหล่ะคือความต้องการเพียงอย่างเดียวของเธอ

            ปาร์ตี้เล็ก ๆ สำหรับเลี้ยงส่งโตมรถูกจัดขึ้นที่ร้านของแก้วกิริยานั่นเอง บรรยากาศในร้านคืนนี้อาจจะดูเงียบเหงาไปบ้างเพราะถูกจัดเป็นสถานที่จัดเลี้ยง และมีแขกเฉพาะขาประจำที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดีร่วมยี่สิบคนเห็นจะได้ หากก็มีแต่ความสนุกสนานแบบกันเองของคนคุ้นเคย หลายคนสับเปลี่ยนกันขึ้นไปร้องเพลงบนเวทีเรียกเสียงเฮได้เป็นระยะ โตมรนั่งอยู่เคียงข้างยุวคุณตลอดเวลาราวกับเป็นเงาตามตัวจนถูกแซวไปหลายที

“แหมไม่ต้องทำตัวติดกันขนาดนั้นก็ได้หรอกครับคุณโต จากกันไปคิดถึงกันก็กลับมาหากันได้เชียงใหม่กรุงเทพแค่นี้เอง”

หนุ่มสาวหันมามองหน้ากันต่างยิ้มให้กันไม่ได้ขวยเขิน หากเป็นเพราะบางสิ่งที่รู้กันดีอยู่เพียงสองคน เหตุผลที่ไม่อาจบอกกับใครได้ จะมีก็เพียงแค่แก้วกิริยาเท่านั้นที่รู้ดีว่าโตมรรู้สึกเช่นไร แต่สำหรับยุวคุณแล้วเธอก็รู้เช่นกันว่าไม่ได้รู้สึกอาลัยอาวรณ์ต่อชายหนุ่มแต่อย่าง แต่ที่ทำก็เพราะหน้าที่ที่เธอจำต้องสร้างขึ้นเพียงเท่านั้น แก้วกิริยาจำต้องลอบถอนหายใจอยู่บ่อยครั้งยิ่งเวลาที่ได้เห็นแววตาที่โตมรส่งมายังน้องสาวของเธอ ช่างอ่อนหวานและยังอาลัยอาวรณ์ต่อหญิงสาวที่นั่งอยู่เคียงข้าง แก้วกิริยาก็อดสงสารเขาไม่ได้ ยิ่งเมื่อคิดถึงคำพูดที่ยุวคุณบอกเธอก่อนหน้านี้ว่า

‘คืนนี้คุณจะอยู่เป็นเพื่อนเขานะพี่แก้ว มันเป็นครั้งสุดท้ายที่คุณจะทำเพื่อเขา’

‘ถึงต้องฝืนใจอย่างนั้นเหรอ’

‘ใช่ เพื่อพิสูจน์อะไรบางอย่างที่คุณไม่เคยพิสูจน์มันมาก่อนเลย’

การพิสูจน์อะไรบางอย่างซึ่งบางทีมันยิ่งอาจทำให้คนที่กำลังจะต้องจากไกลตัดใจอีกไม่ได้ มันจะสร้างความทรมานให้เขาสักเท่าไรกันหนอ แก้วกิริยาไม่อยากนึกถึงมันเลย

            งานเลี้ยงเลิกราไปได้สักพักใหญ่แล้วทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับ เช่นเดียวกับยุวคุณและโตมรที่แยกมากันสองคนที่ห้องพักของโตมรซึ่งอยู่ไม่ไกลจากร้าน คืนสุดท้ายที่โตมรไม่อยากให้มันมาถึง หากเขารู้ดีว่าเขามีหน้าที่ที่ต้องกลับไปทำตามความต้องการของใครอีกหลายคนที่อยู่เบื้องหลัง เขายืนมองยุวคุณที่ยืนสูดอากาศอยู่ตรงระเบียงห้องของเขาสีหน้าของเธอมีแต่ความสบายใจไร้ความกังวล ผิดกับเขาที่ดูเหมือนกำลังสับสนระหว่างความต้องการของตนเองกับหน้าที่ เขาอยากอยู่กับคนที่เขารักแต่ก็ไม่อาจเป็นลูกอกตัญญูต่อผู้ให้กำเนิดได้เช่นกัน เขาจำต้องเลือก และเขาก็รู้ดีว่ายุวคุณเข้าใจในสิ่งที่เขาเลือก โตมรก้าวเข้าไปหายุวคุณที่ระเบียงแล้วสวมกอดเข้าที่เอวของหญิงสาว เธอสะดุ้งนิดหนึ่งหากก็ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใดเขาเกยคางที่ไหลของหญิงสาวแล้วพูดขึ้นว่า

“ผมไม่อยากให้ผ่านคืนนี้ไปเลยคุณ”

“ทำไมล่ะ”

“ผมไม่อยากจากคุณไปไหน อยากอยู่ที่นี่กับคุณตลอดไป”

เหตุผลที่เขาเอ่ย เป็นเหตุผลเดียวที่ยุวคุณเองก็พอจะรู้ดี ความรักของผู้ชายคนนี้ที่มีต่อเธอมันมากเสียเหลือเกิน หากเธอก็ไม่อาจจะตอบแทนในความรักของเขาได้ เพราะยุวคุณรู้ดีว่าหัวใจของเธอเป็นของใคร ยุวคุณหันหน้ามาเผชิญกับเขา ใช้มือทั้งสองข้างของเธอประคองใบหน้าของเขาเอาไว้แล้วพูดว่า

“โต คุณก็รู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ คุณมีหน้าที่มีความรับผิดชอบที่รอคุณอยู่ คุณทิ้งมันไปไม่ได้หรอก”

“แค่เพียงคุณเอ่ยผมยอมทิ้งทุกอย่าง”

ยุวคุณส่ายหน้า เธอรวบมือสองข้างของเขาไว้ด้วยมือของเธอแล้วมองลึกเข้าไปในแววตาของเขาที่มีเพียงเธอก่อนที่จะเอ่ยกับเขาว่า

“โต เราทุกคนมีหน้าที่ มีสิ่งที่ถูกต้องที่ควรต้องทำ อย่าเอาอารมณ์ของเรามาทำในสิ่งที่ผิดสิ”

“ความรักเป็นสิ่งผิดหรือคุณ”

“ความรักมันไม่ผิดหรือถูกหรอกนะโต แต่การที่เราจะรัก จะต้องรักในสิ่งที่ถูกต้องและเห็นควรในสังคม เราสองคนยังต้องอยู่ในสังคมนี้ มันไม่ใช่แค่เราสองคน ครอบครัวคุณ ครอบครัวฉัน และใครอีกหลายคนในสังคมที่รอคอยให้เราทำสิ่งที่ถูกต้องถ้าคุณไม่กลับไปครอบครัวคุณเขาจะมีความสุขได้หรือ แล้วตัวคุณจะมีความสุขจริงๆ หรือ”

“แต่สำหรับผม การได้รักคุณมันคือความถูกต้องที่สุดในชีวิตผม”

ยุวคุณยิ้มให้กับคำมั่นนั้นของเขา หากเธอยังยืนยันในความรู้สึกของเธอเช่นเดิม

“มันจะถูกต้องได้ยังไงถ้าความรักของโตมันทำให้คนเจ็บปวด ไม่ใช่แค่เรา แต่มันคือคนที่เขารักโตอย่างจริงใจ ฉันขอบคุณที่โตรักฉัน ฉันโชคดีที่มีโตเข้ามาในชีวิต เข้ามาเป็นเพื่อนที่รักฉันมาก แต่ฉันจะไม่เห็นแก่ตัวเพื่อความรักของโตหรอกนะ เราจะจากกันด้วยความรู้สึกดี ๆ เราจะเก็บกันและกันไว้ในความทรงจำตลอดไป”

โตมรมองลึกเข้าไปในแววตาของยุวคุณ ไม่มีความหวั่นไหวในสายตาที่มั่นคงคู่นั้น มันมั่นคงพอ ๆ กับเหตุผลที่เธอบอกกล่าวกับเขานั่นละ ไม่มีสิ่งใดที่เขาจะทำให้เธอหวั่นไหวได้เลยแม้แต่เพียงนิดเดียว เพราะหัวใจของผู้หญิงคนนี้ที่ทำให้เขารักเธอได้มากขนาดนี้ เขาไม่อาจเอ่ยคำใดได้อีกนอกจากสวมกอดหญิงสาวเอาไว้แนบแน่นเนิ่นนานเท่าที่เขาจะทำได้ ภาวนาในใจของให้ค่ำคืนนี้ผ่านพ้นไปอย่างช้า ๆ ให้เขาได้มีเวลาอยู่กับเธอเพียงลำพังเช่นนี้ไปเนิ่นนานเท่าที่หัวใจของเขาปรารถนา

            ค่ำคืนผ่านพ้นมาเนิ่นนาน แสงแรกของวันสาดส่องเข้ามาภายในห้องพักสุดหรูแห่งนั้น หากผู้เป็นเจ้าของห้องยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียงหนานุ่ม เนื้อตัวเปลือยเปล่าของเขาถูกคลุมด้วยผ้าห่มผืนหนา ยุวคุณก้าวออกมาจากห้องน้ำ แต่งตัวในชุดเดียวกับเมื่อคืนนี้อย่างเรียบร้อย ผมยาวของเธอยังคงมีละอองน้ำเกาะอยู่ประปราย เธอใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดผมอยู่สองสามทีก่อนที่จะโยนผ้าผืนนั้นไว้ที่ตะกร้าข้างตู้เสื้อผ้า แล้วจัดการรวบผมไว้เช่นเดิม ยุวคุณก้าวเข้ามาหยุดที่ข้างเตียงนอนที่มีโตมรนอนหลับไหลอยู่บนนั้น ใบหน้าของเขายังคงอิ่มในสุขจากเรือนร่างของเธอ หญิงสาวไม่ได้รู้สึกกระดากอายเมื่อนึกถึงค่ำคืนที่พ้นผ่าน มีเพียงความรู้สึกเดียวที่อยู่ภายในใจของเธอ ความรู้สึกที่มั่นใจในตัวตนของตนเอง จากเหตุการณ์เมื่อคืนมันทำให้เธอได้คิด เธอไม่อาจหวนคืนไปบนเส้นทางที่ควรจะเป็นได้จริง ๆ ความรู้สึกของผู้หญิงที่มีต่อผู้ชายที่ยอมพลีกายให้ไม่ได้เกิดขึ้นในหัวใจของยุวคุณเลยแม้แต่นิดเดียว ข้อพิสูจน์ของหัวใจได้ถูกพิสูจน์เรียบร้อยแล้ว ความปรารถนาในหัวใจมีไว้สำหรับคนเพียงคนเดียว คนที่เธอจากมานานเสียเหลือเกิน คนที่เธอจำต้องทำทุกอย่างให้อีกฝ่ายได้มีชีวิตบนเส้นทางที่ถูกต้องของชีวิตผู้หญิงคนหนึ่ง

“ขอโทษนะโต ลาก่อน”

เธอเอ่ยเพียงคำลาสั้น ๆ ก่อนที่จะเดินจากไปโดยไม่รอให้อีกฝ่ายมาได้ยินคำลาจากเธอ มันคงจะดีหากเธอจะหายไปจากชีวิตเขาเสียแต่วินาทีนี้ ทุกอย่างที่ควรจะเป็นจะได้ดำเนินไปในวิถีทางที่ถูกต้องเสียที เมื่อประตูห้องลับร่างของยุวคุณก็ถูกปิดสนิท ราวกับเป็นการปิดเส้นทางระหว่างคนที่เดินจากไปกับคนที่ยังนอนนิ่งอยู่บนเตียงนุ่มที่คงไม่รู้เลยว่าเมื่อตื่นขึ้นมาแล้วเขาต้องพบเจอกับความว่างเปล่าในชิวิต

            โตมรยืนมองตัวเองในกระจกบานใหญ่ ภาพที่สะท้อนออกมาคือชายหนุ่มว่าที่เจ้าบ่าวที่ใครต่อใครก็บอกกันว่าเป็นคนที่โชคดีที่สุด หากแต่ในสายตาของตนเองเขาคงเป็นได้แค่เพียงหุ่นเชิดที่ไร้ซึ่งหัวใจ จะไม่ให้เปรียบเช่นนั้นได้อย่างไรในเมื่อหัวใจของเขามันไม่ได้ตามเขามาด้วย หัวใจของเขาถูกฝังเอาไว้เชียงใหม่นับตั้งแต่วันที่จากมา เขาเชื่อว่าแทบทุกวินาทีที่ผ่านเขาเฝ้าแต่เพียรคิดถึงคนที่จากมา เขาอยากรู้ว่าหล่อนเป็นอย่างไรหลังจากที่ผ่านพ้นค่ำคืนนั้นมา คืนที่เขาเชื่อมั่นว่าเป็นคืนที่เขามีความสุขมากที่สุดในชีวิตของเขา หากเขาก็ไม่อาจรู้ได้ถึงความรู้สึกของอีกฝ่าย เพราะเมื่อผ่านพ้นคืนนั้นเขาก็ไม่ได้เจอเธออีกเลย เช้าที่แสนสุขสลดวูบไปในทันทีเมื่อพบว่าคนที่นอนแนบกายมาตลอดทั้งคืนหายไป หล่อนไม่ได้เอ่ยลาเขาแม้แต่คำเดียว เมื่อตั้งสติได้เขาบึ่งรถไปที่บ้านพี่สาวของยุวคุณทันที หากคำตอบที่ได้จากพี่สาวของหล่อนก็คือ

‘คุณไปแล้วล่ะโต’

‘ไปไหนครับ’ แก้วกิริยาส่ายหน้าแทนคำตอบ ก่อนที่จะเอ่ยต่อไปว่า

‘พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน พอเขากลับมาถึงก็เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า แล้วก็บอกแค่ว่าจะไม่อยู่สักพัก’

โตมรทรุดตัวลงนั่งที่ม้านั่งหน้าบ้านอย่างไร้เรี่ยวแรง เขาไม่เข้าใจ ไม่รู้ถึงต้นสายปลายเหตุที่ยุวคุณหนีหน้าไปเช่นนี้ เขารู้สึกสับสนในตัวหญิงสาว เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้อย่างนั้นหรือ จะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเกิดขึ้นอย่างเต็มใจ โตมรยกมือสองข้างของเขาประสานกันอยู่บริเวณคางของตัวเอง ในแววตามีแต่ความครุ่นคิด หากคิดเท่าไรเขาก็ไม่อาจหาคำตอบใด ๆ ให้ตัวเองได้ เขาเงยหน้ามองหญิงสาวที่เพิ่งจะทรุดตัวลงนั่งตรงม้านั่งตรงข้ามกับเขา แววตาของเขาที่มองมามีแต่คำถามมากมายที่แก้วกิริยาไม่อาจให้คำตอบได้ หล่อนได้แต่เพียงบอกเล่าสิ่งที่ยุวคุณฝากให้บอกกับเขาแทนเท่านั้น

‘คุณบอกว่าไม่ต้องเสียเวลาตามหาเขา โตไม่มีวันได้พบเขาถ้าเขาไม่ต้องการพบโต เขาขอให้โตทำหน้าที่ของโตให้สำเร็จ อย่าทำให้ใครผิดหวัง’

‘ผมดีไม่พอสำหรับคุณหรือครับพี่แก้ว’ เขาทำเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่ยุวคุณฝากบอกแก่เขา โตมรได้ยินเสียงถอนหายใจของอีกฝ่ายก่อนที่จะได้ยินเสียงของหญิงสาวว่า

‘ไม่ใช่ว่าโตไม่ดีพอหรอกนะ โตดีเสียจนพี่เองก็เสียดาย แต่คุณเขาไม่ได้รักโต นั่นคือเหตุผลเดียวที่เขาต้องไปจากโต ที่ผ่านมาเขาเพียงต้องการพิสูจน์อะไรบางอย่าง และตอนนี้เขาก็ได้คำตอบของเขาไปแล้ว มันจึงไม่มีประโยชน์ที่เขาจะอยู่ตรงนี้ให้โตต้องวุ่นวายใจ ตัดใจจากคุณซะแล้วไปทำหน้าที่ของโตตามที่คุณเขาต้องการดีกว่า เชื่อพี่เถอะนะ’ พูดจบคนพูดก็ลุกขึ้นแล้วหันหลังกลับออกไปหากต้องหยุดชะงักเมื่อคนที่นั่งก้มหน้าอยู่พูดขึ้นมาว่า

‘เขารักคนอื่นหรือครับ ผู้ชายคนนั้นคงโชคดีมากเลยนะครับที่ได้หัวใจของคุณไป’

น้ำเสียงสั่นเครือขณะที่เอ่ย ยิ่งทำให้รู้สึกอดสงสารไม่ได้ หากก็ไม่อาจทำได้มากไปกว่าการปลอบโยนเขาไปเพียงว่า

‘ใช่เขารักคนอื่น แต่ไม่มีผู้ชายคนไหนในโลกนี้จะทำให้คนอย่างคุณหวั่นไหวได้หรอกนะ สำหรับคุณแล้วเขาไม่มีหัวใจให้กับผู้ชายไหนได้อีกแล้วล่ะ’

พูดจบแก้วกิริยาก็หันหลังกลับไปแล้วเดินกลับเข้าบ้านไป ปล่อยให้โตมรได้ใช้เวลากับตัวเองลำพัง คิดและทบทวนทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต คงต้องให้เวลากับหัวใจไปอีกสักพักกว่าที่เขาจะถอนหัวใจที่ฝังรากเอาไว้แล้ว คำบางคำของแก้วกิริยายังคงวนเวียนอยู่ในหัวสมองของเขา ประโยคสุดท้ายที่หล่อนเอ่ยแก่เขาบอกให้รู้ว่าหัวใจของผู้หญิงคนหนึ่งนักแน่นเสียจนไม่มีสิ่งใดจะมาสั่นคลอนความรู้สึกที่หล่อนมีต่อใครบางคนได้ เช่นเดียวกับเขาที่ไม่อาจจะตัดใจจากหล่อนได้เช่นกัน เขาเองก็อยากรู้ว่าระหว่างหัวใจของหล่อนกับเขาใครกันจะหนักแน่นยิ่งกว่ากัน ความคำนึงถึงใครบางคนสะดุดลงในทันทีที่เสียงของใครบางคนแทรกเข้ามาในห้วงแห่งความคิด

“โตเสร็จหรือยัง ใกล้ได้เวลาแล้วนะ”

“ครับ เดี๋ยวออกไปเดี๋ยวนี้แหล่ะครับ” เขาร้องตอบกลับออกไป ขณะที่ใช้สายตาสำรวจความเรียบร้อยของเครื้องแต่งกายอีกรอบหนึ่ง เขาสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดเติมพลังให้กับตัวเองก่อนที่จะพาตัวเองกลับมาสู่ความเป็นจริงเบื้องหน้าที่เขากำลังจะเผชิญในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้อย่างมั่นใจ เขาจำต้องตัดความรู้สึกที่หนักหน่วงในใจนั้นทิ้งไปเพื่อหน้าที่ที่เขาต้องทำมันให้ดีที่สุด โตมรเอื้อมมือไปเปิดประตูแล้วฉีกยิ้มกว้างให้กับผู้คนที่รออยู่ที่หน้าประตูนั้นราวกับว่าไม่มีความทุกข์ใด ๆ ภายใต้รอยยิ้มนี้อีกแล้ว

          ภาพของบ่าวสาวที่ยืนอยู่เคียงข้างกันต่อหน้าบาทหลวง สร้างรอยยิ้มอันแสนปลาบปลื้มให้กับทุกคนภายในโบสถ์ได้ไม่ยากเย็น โดยเฉพาะผู้เป็นพ่อแม่แทบจะกลั้นน้ำตาแห่งความปลื้มปิติเอาไว้ไม่อยู่ อารยาชำเลืองมองเจ้าบ่าวที่ยืนอยู่เคียงข้างในขณะนี้เป็นระยะ เช่นเดียวกับอีกฝ่ายที่มองมาเป็นระยะพร้อมกับยิ้มบาง ๆ ทุกครั้งทำให้ความรู้สึกประหม่าหายไปบ้าง รอยยิ้มนั้นช่างอบอุ่นเหมือนใครบางคนที่อยู่ในห้วงแห่งความคิดถึงของเธอ ตั้งแต่พิธีการยังไม่เริ่มจนกระทั่งพิธีการต่าง ๆ กำลังจะจบสิ้นลง อารยายังไม่เห็นหน้าคนที่เธอเฝ้ารอว่าจะได้พบในวันนี้ แม้ความหวังที่มีจะริบหรี่เสียเหลือเกินก็ตาม หากใจก็ยังคงหวัง หญิงสาวลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ หวังไม่ให้ใครได้ยิน หากเธอก็คาดผิดเมื่อคนที่ยืนเคียงข้างหันมามอง เขาระบายยิ้มออกมาบาง ๆ พร้อมถามแผ่วเบาว่า

“เมื่อยเหรอ”

หญิงสาวพยักหน้าแทนคำตอบ

“รออีกแป๊บนะเดี๋ยวคงเสร็จแล้ว”

พูดจบเขาก็เอื้อมมือมาจับที่มือของหญิงสาวอย่างเบามือ ขณะที่ฟังคำอันเป็นพิธีการทางศาสนาจากบาทหลวงผู้ทำพิธี และจนเมื่อพิธีการใกล้สิ้นสุดลง ประตูโบสถ์ก็เปิดกว้างรับใครบางคนที่เพิ่งก้าวเข้ามา เสียงอื้ออึงด้านหลังทำให้พิธีการหยุดชะงักในทันที บ่าวสาวหันกลับมามองเบื้องหลัง การปรากฎตัวของใครบางคนในวินาทีนี้ทำให้เกิดรอยยิ้มขึ้นมาบนใบหน้าของคนทั้งคู่ มือที่จับกันไว้คลายออกไม่ทันรู้ตัว อารยาหมุนตัวกลับมาแล้ววิ่งลงจากแท่นพิธีตรงเข้ามาสวมกอดกับคนที่เพิ่งก้าวเข้ามาภายในโบสถ์ พร้อมกับพูดว่า

“นึกว่าคุณจะไม่มาซะแล้ว”

“ไม่มาได้ไง ก็งานแต่งงานของเพื่อน ยังไงก็ต้องมา”

คำว่าเพื่อนถูกเอ่ยย้ำขึ้นมาอย่างหนักแน่น ตอกย้ำเข้าไปในความรู้สึกของคนทั้งคู่ และดูเหมือนว่าอารยาเองก็เริ่มรู้ตัวในทันทีที่ยุวคุณเอ่ยคำนั้นออกมา เธอคลายวงแขนที่โอบกอดร่างของยุวคุณเอาไว้แน่นในตอนแรกแล้วก้าวห่างออกมานิดหนึ่ง รอยยิ้มแห่งความยินดีประทับอยู่บนริมฝีปากสีชมพูอ่อนของเจ้าสาว เมื่อเห็นรอยยิ้มที่อีกฝ่ายส่งกลับมาเช่นกัน ยุวคุณเอ่ยขึ้นว่า

“ไปทำพิธีต่อให้เสร็จเถอะ หลังเสร็จพิธีแล้วเราค่อยคุยกัน”

“จ๊ะ”

อารยารับคำอย่างว่าง่าย แล้วก้าวห่างออกมาจากยุวคุณที่ยังคงยืนนิ่งที่เดิม ขณะที่สายตาประสานเข้ากับคนที่ยืนอยู่หน้าแท่นพิธี ในสายตาคู่นั้นมีทั้งความดีใจและปวดร้าวระคนกันอยู่ ณ เวลานี้โตมรพอจะเข้าใจในสิ่งที่แก้วกิริยาบอกกับเขาในวันนั้นได้อย่างถ่องแท้ ความเสียใจถูกบอกผ่านมาทางสายตาที่มองตรงมาก่อนที่จะปรับเป็นปกติเมื่อยิ้มรับเจ้าสาวที่ก้าวเข้ามายืนเคียงข้างอีกครั้ง ยุวคุณเลือกนั่งลงตรงที่นั่งที่ว่างอยู่ที่แถวหลังสุด ก่อนที่จะยกมือขึ้นไหว้ผู้เป็นแม่ของเพื่อนที่นั่งอยู่ด้านหน้าสุดอย่างนอบน้อม และอีกฝ่ายก็รับไหว้ตอบเช่นกัน สายตาแสนอบอุ่นที่มองมาแทนคำขอบคุณที่ไม่อาจเอ่ยออกมาได้ ความหวาดหวั่นในตอนแรกที่เธอปรากฎตัวดูเหมือนจะจางหายไปจากสายตาคู่นั้นแล้ว ยุวคุณยิ้มรับคำขอบคุณนั้นด้วยความเต็มใจ แล้วพิธีการต่าง ๆ ก็ดำเนินไปตามปกติจนเสร็จสิ้นพิธีอย่างสมบูรณ์

            หลังจากเสร็จสิ้นพิธีการ ผู้คนก็ทยอยออกมารวมตัวกันอยู่ที่หน้าโบสถ์ร่วมแสดงความยินดีกับคู่บ่าวสาวที่เพิ่งจะทำการโยนช่อดอกไม้เจ้าสาวเสร็จ เสียงผู้คนยังเซ็งแซ่ยินดีกับผู้ที่ได้รับช่อดอกไม้ ยุวคุณยืนมองผู้คนที่ล้วนแต่มีใบหน้าแห่งความสุข จนทำให้ยุวคุณเผลอยิ้มอยู่คนเดียว เธอมองเห็นเจ้าสาวแสนสวยยืนอยู่ท่ามกลางบรรดาเพื่อนสนิททั้งที่เธอรู้จักและไม่รู้จัก อารยาโบกไม้โบกมือให้กับเธอ เช่นเดียวกับที่เธอโบกมือตอบกลับไป เนิ่นนานเท่าใดไม่รู้ที่เธอได้แต่ยืนมองคนที่อยู่ในทุกความรู้สึกของเธอ โดยไม่ทันสังเกตว่ามีใครบางคนก้าวเข้ามายืนเคียงข้าง จนกระทั่งได้ยินเสียงเขาเอ่ยขึ้น เขาถึงได้มีตัวตนสำหรับเธอ

“ไม่คิดว่าจะได้เจอคุณที่นี่”

ยุวคุณถอนสายตามาจากเจ้าสาวที่ยิ้มร่าอยู่ท่ามกลางเพื่อนฝูงมาที่คนที่ก้าวเข้ามายืนอยู่ข้าง ๆ ก่อนที่จะเอ่ยว่า

“ฉันก็เหมือนกัน ไม่คิดว่าเจ้าบ่าวของหญ้าก็คือโต ฉันดีใจนะที่เป็นโต อย่างน้อยฉันก็วางใจได้เปราะหนึ่งว่าหญ้าจะได้รับการดูแลและปกป้องอย่างดีจากโต”

“คุณรักหญ้าใช่ไหม”

ยุวคุณพยักหน้ารับแทนคำตอบในทันทีโดยไม่ต้องคิด หรือตะขิดตะขวงใจที่จะบอกความจริง

“นี่ใช่ไหมที่คุณเคยบอกไว้ ตัวตนที่แท้จริงของคุณที่มันอาจทำให้ผมต้องผิดหวัง”

“ใช่ ฉันรู้ว่ามันทำให้โตผิดหวังมาก แต่โตก็ต้องเข้าใจนะ ฉันไม่อาจเป็นในสิ่งที่โตหวังให้เป็นได้ ต่างคนต่างก็มีวิถีทางในการดำเนินชีวิตที่แตกต่างกัน ไม่ว่าโตจะรู้สึกยังไงกับฉัน แต่สิ่งที่ฉันเป็นมันก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้”

“แล้วทำไมถึงยังมาคบผม”

คำถามที่ถูกเอ่ยมันปนความเจ็บปวดมาทางสายตาที่มองตรงมาที่เธอ หากใบหน้าของอีกฝ่ายกลับเรียบเฉยไร้ความรู้สึกขณะที่เอ่ย

“ขอโทษนะสำหรับทุกเรื่องที่ผ่านมา ขอโทษที่เอาหัวใจของคุณมาล้อเล่นโดยไม่ได้ตั้งใจ ฉันรู้ว่าโตต้องเจ็บปวดมากแค่ไหนกับความรักที่มันเป็นไปไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่ารักโตไม่ได้แต่ฉันก็ยังทำมันลงไป ฉันไม่ได้หวังให้โตเข้าใจในสิ่งที่ฉันทำ ฉันเพียงแค่อยากรู้ว่าฉันจะเป็นในสิ่งที่ฉันเชื่อว่าฉันเป็นมาตลอด หรือแค่ฉันหลงทางไปเท่านั้น หลังจากคืนนั้นฉันได้รู้ว่าฉันไม่เคยหลงทาง ฉันเป็นอย่างที่ฉันเป็นจริง ๆ”

“ไม่มีวันที่คุณจะเปลี่ยนไปเลยใช่ไหม”

“ใช่ สำหรับฉันความหอมหวานหรือว่าความปรารถนาใดไม่ได้เกิดจากผู้ชายคนไหนทั้งนั้น ไม่มีผู้ชายคนไหนที่จะทำให้ฉันหวั่นไหวในสิ่งที่ฉันเป็น และก็มีคนเพียงคนเดียวที่ทำให้ฉันอยากกอดเขาไปตลอดชีวิต”

ท้ายประโยคนั้นเองที่โตมรมองเห็นความหมายอันลึกซึ้งที่ยุวคุณเอ่ยขึ้นขณะที่สายตามองตรงไปที่อารยา มันทำให้เขาต้องถอนหายใจออกมาหนัก ๆ ก่อนที่จะเอ่ยถามว่า

“แล้วทำไมคุณถึงยอมให้เขาแต่งงานกับผู้ชายคนอื่น ทั้ง ๆ ที่คุณรักเขามากขนาดนี้”

“ก็เพราะความรักไง ความรักของคนเป็นแม่ที่อยากเห็นลูกสาวเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง ไม่มีพ่อแม่คนไหนที่อยากเห็นลูกเป็นแบบที่ฉันเป็นหรอก ฉันเองก็อยากเห็นเขามีชีวิตที่สวยงามเหมือนผู้หญิงทั่ว ๆ ไปเหมือนกัน หญ้าเขาไม่ได้เป็นอย่างฉัน เขาแค่หลงทาง สักวันเมื่อมีมือของใครสักคนจูงเขาออกไปจากทางที่เขาหลงอยู่ เขาก็จะเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นเอง และฉันก็เชื่อในมือของโต ฉันเชื่อว่าโตจะพาเขาไปในทางที่ถูกต้องได้”

สายตาที่จับจ้องอยู่ที่เจ้าสาวคนสวยถูกเบนมาที่คนข้างตัวโดยอัตโนมัติเมื่อเอ่ยประโยคนั้นจบ สายตาที่ไม่ว่าจะสักกี่ครั้งโตมรก็ไม่เคยมองเห็นความหวั่นไหวในสายตานั้นเมื่อยามที่มองเขา ไม่เหมือนกับเขาที่แม้ถึงในขณะนี้ที่รู้ถึงซึ่งหัวใจของอีกฝ่าย หัวใจของเขาก็ยังคงอาลัยอาวรณ์ถึงคืนวันที่เคยผ่าน วันคืนที่เคยแสนหวานของเขากับหญิงสาวที่เขารักจนหมดหัวใจ และเขาเองก็เชื่อว่ายุวคุณก็พอจะรู้ถึงหัวใจของเขาผ่านสายตาของเขาที่มองมาที่เธอ ความรู้สึกที่เขาไม่เคยปิดบังต่อหญิงสาว

“คุณรู้ไหม ผมคิดถึงคุณ”

“ขอบคุณที่คิดถึงกันนะโต ฉันคงห้ามโตไม่ให้คิดถึงกันไม่ได้ แต่มันจะดีกว่ามั๊ยถ้าโตจะตัดใจจากฉันจริง ๆ สักที ฉันไม่ได้อยากเห็นใครเจ็บปวดเพราะฉัน ทั้งโตและหญ้า ที่ฉันมาวันนี้แค่อยากมาเห็นว่าหญ้ามีความสุขได้เพราะคนที่แม่เค้าเลือกให้ และฉันก็มั่นใจได้เมื่อรู้ว่าเป็นโต ต่อจากนี้ไปฉันคงต้องปล่อยมือจากหญ้าจริง ๆ สักทีเหมือนกัน ฝากดูแลเขาให้ด้วยนะโต มันอาจจะดูเหมือนเห็นแก่ตัวไปซะหน่อย ที่ขอร้องโตให้ฝืนหัวใจทำ แต่ให้โตรู้ไว้ว่าเค้าคือหัวใจของคนที่โตรัก ฉันคงไม่ขออะไรจากโตไปมากกว่านี้ ทำเพื่อฉันได้ไหม”

มันช่างเป็นคำขอร้องจากคนตัวเล็กกว่าที่นำมาซึ่งความเจ็บปวดให้กับหัวใจของผู้ชายตัวโตอย่างเขาเสียเหลือเกิน แต่เขาจะปฏิเสธได้อย่างไรในเมื่อทุกอย่างมันดำเนินมาจนถึงตอนนี้แล้ว ถึงแม้ไม่ใช่คำขอร้องจากยุวคุณ เขาก็ยังจะต้องทำตามหน้าที่ของสามีที่ดีดังคำปฏิญาณที่เขาได้เอ่ยต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์และแขกเรื่อที่มาร่วมงานของเขาไปแล้ว ยิ่งเมื่อได้ยินคำขอร้องจากคนที่เขารักมากมันก็ยิ่งทำให้เขารู้ว่าเขาปล่อยมือจากหญิงสาวที่เป็นภรรยาของเขาไม่ได้แล้ว โตมรยิ้มให้กับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเขา แววตาที่มองมาดูมั่นคงไม่วาบไหวเช่นในตอนแรกที่เขามองเธอ ยุวคุณก็ยิ้มรับเช่นกัน แม้ไม่ต้องเอ่ยคำใดออกมาอีกแต่ยุวคุณก็มั่นใจในชายหนุ่มที่ได้ชื่อว่ารักเธอมากที่สุดคนหนึ่ง จะดูแลหัวใจของเธอได้เป็นอย่างดี ยุวคุณเอื้อมมือมาจับมือของเขาเอาไว้แล้วพูดกับเขาว่า

“ขอบคุณนะโต ขอบคุณจริง ๆ”

หากโตมรก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก เขาเลือกที่จะหยุดนิ่งเวลาของเขาและเธอไว้ที่ตรงนี้ เพราะหากเมื่อต้องก้าวห่างจากหญิงสาวไปแล้ว เขาก็ต้องกลายไปเป็นอีกคน ต้องแบกรับภาระหน้าที่ที่เขารับมา ณ เวลานี้แม้ไม่อาจเป็นได้อย่างที่ใจคิด แค่รู้ว่ายังได้ยืนอยู่บนพื้นแผ่นดินเดียวกัน ได้ใช้อากาศร่วมกัน เพียงเท่านั้นก็เป็นความสุขเดียวที่พอจะยึดเหนี่ยวให้เขาอยู่กับคนที่เพิ่งผ่านพิธีการแต่งงานร่วมกันนั้นไปได้ตลอดรอดฝั่ง

“คงต้องไปแล้วล่ะ”

“เอ๊ะ...”

โตมรหันมามองคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ที่เริ่มขยับตัว ยุวคุณเหลือบมองนาฬิกาข้อมือของตนเอง แล้วหันมายิ้มให้กับคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ที่มองมาด้วยสายตาของคนขี้สงสัย ก่อนที่จะตอบว่า

“ฉันต้องไปขึ้นเครื่องตอนหกโมงครึ่ง เดี๋ยวต้องแวะกลับไปเอาของที่โรงแรมก่อนถึงจะเลยไป ฉันเสียเวลาค่อนข้างเยอะแล้ว ยังไงก็ขอบใจนะโตสำหรับทุกอย่างทั้งในอดีตและในอนาคต ฉันรู้ว่าโตจะไม่ทำให้ฉันผิดหวังแน่นอน”

“จะไปไหน”

“ฝรั่งเศส”

“แล้วหญ้าหล่ะ เขารู้เรื่องนี้หรือยัง”

ยุวคุณส่ายหน้าแทนคำตอบนั้น เธอมองตรงไปยังหญิงสาวที่เธอเชื่อว่าไม่ว่าจะนานสักเพียงใดก็จะเป็นคนเดียวที่อยู่ในสายตาของเธอ

“ไว้ฉันไปถึงแล้วจะโทรหาเขาเอง ยังไงก็ฝากดูแลด้วยนะ ฉันเชื่อว่าโตทำได้ฉันไว้ใจคนไม่ผิดหรอก”

พูดจบยุวคุณก็ก้าวห่างออกไปจากเขา ไม่หันหลังกลับไปมองยังเบื้องหลังให้ต้องหวาดไหวไปกับความรู้สึกของตนเอง ในเมื่อตัดสินใจเช่นนี้แล้วยุวคุณก็ไม่อาจหันหลังกลับไปได้อีก แม้ว่าจะรู้ว่าเมื่อไปแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหลังจะเป็นเช่นไร โตมรมองตามแผ่นหลังบอบบางของคนที่เดินห่างไปช้า ๆ ด้วยใจอาวรณ์ หากเขาก็ไม่อาจทำอะไรได้มากไปกว่าการเฝ้ามองจนเธอลับตาไป เพราะรู้ถึงความมั่นคงของคนที่เพิ่งลับสายตาไปดี ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้เธอเปลี่ยนใจหรือเปลี่ยนแปลงได้ เขาได้แต่ถอนหายใจออกมาหนัก ๆ โตมรไม่ทันสังเกตุว่ามีใครก้าวเข้ามาหยุดอยู่เบื้องหลังของเขาจนกระทั่ง เสียงใสของเจ้าของร่างนั้นเอ่ยขึ้นว่า

“พี่โตคะ คุณล่ะคะ”

โตมรหันกลับมามองด้านหลังของเขา ก็พบเจ้าสาวแสนสวยของเขานั้นเอง รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุขดูจางหายไปเมื่อไม่พบแม้เงาของคนที่ใจหวังต้องการพบมากที่สุดอยู่ ณ ที่ที่เธอเห็นมาตลอดว่าเขายังอยู่ อารยากวาดสายตามองไปรอบ ๆ หากก็ไม่พบแม้เงาของคนที่เธอเอ่ยถามหา

“คุณล่ะคะ” หญิงสาวถามย้ำอีกครั้ง และหนนี้โตมรตอบกลับออกมาในทันที

“เขาไม่อยู่แล้ว”

“เขาไปไหนคะ พี่โตคุยอะไรกับเขา เมื่อตะกี้หญ้ายังเห็นเขาอยู่นี่เลย”

“ใช่เมื่อกี้เขายังอยู่ แต่ตอนนี้เขาไปแล้ว”

“ไปไหน” เป็นคำตอบที่เขาไม่อยากตอบ และดูเหมือนหญิงสาวก็ไม่ต้องการคำตอบ เธอก้าวเท้าออกไปเพื่อจะหาคำตอบให้กับตัวเอง แต่ต้องชะงักเมื่อมีมือแข็งแรงของโตมรจับเข้าที่แขนบอบบางของเธอ อารยาหันกลับมามองคนตัวโตกว่าพร้อมสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม และโตมรก็บอกเธอได้เพียงว่า

“อย่าไปเลยนะหญ้า อยู่กับพี่ที่นี่เถอะ”

“แต่คุณ...” ไม่ทันที่อารยาจะเอ่ยอะไรต่อไปได้ เมื่อโตมรเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน

“คุณเขาฝากหญ้าไว้กับพี่ เขาบอกให้พี่ดูแลหัวใจของเขาให้ด้วย และพี่ก็รับปากว่าจะดูแลหญ้าให้สมกับที่เขารัก พี่รับปากแล้วจะไม่ผิดคำพูดเป็นอันขาด อย่าทำให้เขาต้องลำบากใจเลยนะหญ้า พี่เชื่อว่าที่คุณทำย่อมมีเหตุผล และเราสองคนก็ต้องทำเพื่อคุณบ้าง ในเมื่อเส้นทางที่เขาเลือกคือเส้นทางเพื่อเราสองคน”

อารยามองออกไปที่ถนนเบื้องหน้าอย่างไร้ความหวังที่จะเห็นคนที่เธอเฝ้ารอคอยมาตลอด เขามาเพียงเพื่ออำลาเพียงเท่านั้นหรือ มาเพื่อให้เห็นในวันที่มีความสุขที่สุดในชีวิตบนวิถีชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งควรจะมีเพื่อให้จากไปอย่างวางใจ ทั้งที่ตั้งใจแล้วว่าจะไม่ร้องไห้ แต่ในวินาทีนี้หยดน้ำใส ๆ ก็ไหลเอ่อล้นขอบตาออกมาอย่างสุดกลั้น โตมรรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่เกิดจากการสูญเสียที่หญิงสาวไม่อาจทำใจให้ยอมรับได้ ความเจ็บปวดคงถาโถมลงมาที่หัวใจของเธอไม่ต่างจากเขา ต่างกันเพียงเขาไม่อาจหลั่งน้ำตาออกมาได้ง่ายดายเช่นนั้นต่างหาก โตมรดึงร่างบางเข้ามาแนบชิดตัวเขาและเป็นจังหวะเดียวกับที่อารยาซบหน้าร้องไห้ที่อกของเขา เพียงไม่กี่วินาทีเขาก็รู้สึกว่าเสื้อของเขาเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาของหญิงสาว หากเขาก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจกลับรู้สึกสงสารหญิงสาวขึ้นมาจับใจ เขาใช้มือข้างที่หญิงสาวแอบอิงแนบอกอยู่นั้นประคองที่ไหล่ของเธอเอาไว้เบามืออย่างทะนุถนอมราวกับกลัวร่างบางนั้นเจ็บปวดไปด้วยน้ำมือของเขาเช่นเดียวกับหัวใจที่แตกสลาย สิ่งเดียวที่ทำได้ดีที่สุดในเวลานี้ก็คือประคับประคองหัวใจที่แสนบอบบางของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาให้ผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปให้ได้ เขายังไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานสักเท่าใดในการที่จะนำเธอกลับมาสู่เส้นทางชีวิตเดียวกันกับเขา แต่เขาก็ได้สัญญากับตัวเองว่าจะทำทุกวิถีทางให้อารยาได้เดินอยู่บนเส้นทางที่ถูกครรลองของชีวิตตามความปรารถนาของคนที่เขารัก ถึงเวลาที่สองคนซึ่งมีหัวใจให้กับคน ๆ เดียวกันต้องช่วยกันประคับประคองหัวใจของกันและกัน เพื่อไม่ให้คนที่รักต้องผิดหวังกับทางเลือกที่ได้เลือกไว้เพื่อคนสองคน

            ยุวคุณนั่งมองภาพของคู่บ่าวสาวที่ยืนแนบชิดกันอยู่บนรถแทกซี่ที่จอดรออยู่ด้วยความรู้สึกเจ็บปวดระคนกับความปลาบปลื้มอยู่ภายในหัวใจ เธอยังคงเชื่อมั่นในเส้นทางที่เลือก เธอเชื่อว่าสักวันอารยาจะต้องมีความสุขกับครอบครัวเล็ก ๆ ของเธอ และยังเชื่อว่ามือที่โอบประคองอารยาอยู่นั้นจะไม่มีวันปล่อยมือไปจากอารยาได้เช่นกัน เมื่อเลือกที่จะเป็นฝ่ายไปยุวคุณต้องเข็มแข็งมากพอที่จะเฉือนหัวใจของตนเองทิ้งไป ความถูกต้องต้องอยู่เหนือความเห็นแก่ตัว ยุวคุณยิ้มให้กับคนทั้งสอง ณ มุมที่ทั้งสองคนไม่มีวันเห็นพร้อมกับเอ่ยอวยพรคนทั้งคู่ว่า

“ขอให้มีความสุขนะหญ้า รักหญ้าให้มาก ๆ นะโต ฉันคงบอกคำนี้ต่อหน้าพวกเธอไม่ได้ ใจฉันมันไม่แกร่งขนาดนั้น ขอให้ทางที่ฉันเลือกเป็นทางที่ถูกต้องด้วยเถิดนะ ลาก่อน”

หญิงสาวสกัดกั้นน้ำตาที่เอ่อคลออยู่ที่ขอบตาให้มันสงบนิ่งอยู่เพียงนั้น เธอไม่อาจหลั่งน้ำตาในวันแห่งความสุขเช่นนี้ได้ ให้น้ำตามันตกเสียข้างในดีกว่า ยุวคุณละสายตาจากภาพแห่งความเจ็บปวดนั้นก่อนจะหันไปบอกกับคนขับแท็กซี่ว่า

“ไปได้แล้วค่ะ เดี๋ยวจะไม่ทันเครื่อง”

“ครับ”

แล้วรถแท๊กซี่ก็แล่นออกไปจากบริเวณหน้าโบสถ์ นำคนหัวใจสลายอีกคนให้ก้าวห่างออกจากคนที่รักทั้งคู่ตามวิถีทางที่เป็นคนเลือกเองยุวคุณเชื่อแน่ว่าในเส้นทางที่เลือกแล้วจะนำความสุขมาสู่ทุก ๆ คนที่เธอรักและรักเธออย่างไม่ต้องสงสัย ความห่างไกลจะทำให้หัวใจของคนที่รักทั้งสองคนหล่อหลอมเป็นหัวใจเดียวกันบนเส้นทางของความถูกต้องของชีวิต ที่แตกต่างไปจากชีวิตเธอ ถึงแม้เดียวดายแต่ยุวคุณก็รู้ดีว่าหัวใจจะถูกดูแลเป็นอย่างดีจากคนที่รักเธอเช่นกัน

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว