เวลา 17.05 น. ของวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ภายในสำนักงานของบริษัทแห่งหนึ่ง ทุกอย่างดูเงียบจนผิดปกติ ทั้งที่เป็นวันทำงานและเพิ่งจะหมดเวลางานไปไม่กี่นาทีนี้เอง ซึ่งโดยปกติในช่วงเวลาเช่นนี้ภายในสำนักงานแห่งนี้จะยังคงดูวุ่นวายไม่ต่างอะไรกับช่วงเวลากลางวัน พนักงานส่วนใหญ่จะยังคงทำงานที่ต่อเนื่องในช่วงเวลาทำงานให้เสร็จสิ้น หากแต่วันนี้ทุกคนดูเหมือนจะเร่งร้อนที่จะออกไปจากบริษัทกันแทบทุกคน ทำให้เวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้นสำนักงานแห่งนี้ก็เงียบสงัดราวกับไร้ผู้คนพลุกพล่านมาก่อน แม้คนส่วนใหญ่จะออกไปจากสำนักงานไปแล้ว หากภายในนั้นก็ยังมีคนนั่งทำงานที่ยังคั่งค้างอยู่อย่างไม่เร่งร้อน เสียงสัมผัสแป้นคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์เป็นจังหวะสม่ำเสมอ หากแล้วทุกอย่างก็เงียบลงเมื่อผู้ที่ยังคงนั่งทำงานอยู่หันไปสนใจความเคลื่อนไหวภายนอกหน้าต่างกระจกที่เปิดแง้มเอาไว้นิดหน่อย แสงสีส้มอ่อน ๆ กำลังทาทาบลงบนก้อนเมฆสีขาวขุ่นบอกให้รู้ว่าอีกไม่นานความมืดจะเข้าปกคลุมโลกใบนี้อีกครั้ง ยามค่ำคืนที่หญิงสาวไม่อยากให้มันก้าวผ่านเข้ามาในชีวิตของเธอเอาเสียเลย เพราะบรรยากาศยามค่ำคืนมันทำให้ความเหงาที่เธอพยายามขับไล่ให้มันหายไปจากชีวิตของเธอได้เมื่อยามที่วันใหม่มาเยือน จะกลับเข้ามาเยือนเธออีกครั้งเมื่อแสงของวันหายไป แชร์ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งราวกำลังรับรู้ถึงมิตรที่เธอไม่ต้องการให้มาเยือนกำลังจะก้าวเข้ามาในชีวิตของเธออีกครั้ง เพียงแค่นึกมันก็เปรียบได้เหมือนการเชื้อเชิญให้มันมาเยือนเธอได้ในทันที แต่ก่อนที่ความเหงาจะจับเข้าที่หัวใจของเธอ เสียงของใครบางคนก็ดังแทรกขึ้นมาในความเงียบที่อยู่รอบตัวของเธอ
“แชร์ ยังไม่เลิกงานอีกเหรอ”
แชร์หันไปมองทางต้นเสียงที่เอ่ยถามตัวเธอ แล้วเธอก็ได้พบกับรอยยิ้มละไมของเพื่อนร่วมงามคนหนึ่งที่เธอไม่ค่อยจะสนิทเท่าไรนัก ซึ่งอันที่จริงภายในสำนักงานนี้แชร์ก็ไม่ค่อยจะสนิทอะไรกับใครเขาสักเท่าไรนักหรอก เธอมักเก็บตัวเงียบไม่ค่อยสุงสิงกับใครทั้งที่ทำงานที่นี่มาเกือบสามปี แต่เธอกลับไม่มีเพื่อนสนิทแม้แต่คนเดียว เธอค่อนข้างแปลกแยกจากคนอื่น และด้วยบุคลิกที่เงียบขรึมก็เลยไม่ค่อยมีใครกล้าเข้ามาพูดคุยด้วย เท่าที่แชร์จำได้ก็เห็นจะเป็นเพื่อนร่วมงานคนนี้เท่านั้นกระมังที่มักจะทักทายเธออยู่เสมอ และเธอก็ต้องแสดงไมตรีตอบกลับไปอย่างหลีกเลี่ยงเสียไม่ได้ทุกครั้ง และครั้งนี้ก็เช่นกัน แชร์ยิ้มก่อนที่จะตอบว่า
“ยังมีงานค้างอยู่น่ะ เลยกะว่าจะทำให้เสร็จซะหน่อย”
“อะไรกันจ๊ะ วันนี้วันวาเลนไทน์นะ ไม่คิดจะไปฉลองที่ไหนบ้างเหรอ”
“ไม่หรอก วันวาเลนไทน์หรือวันไหน ๆ มันก็เหมือนกันทุก ๆ วัน มันไม่ได้สำคัญอะไรมากไปกว่าวันอื่น ๆ หรอก” คำตอบที่แสนเย็นชาทำให้คนที่เอ่ยถามใบหน้าเจื่อนลงจนเห็นได้ชัด แชร์รู้สึกถึงความรู้สึกแย่ ๆ ของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าจึงกลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะพูดว่า
“ก็เราไม่มีใครให้ฉลองด้วยนี่ มันก็เลยไม่แตกต่างจากวันอื่น คนที่มีแฟนแบบเจนเท่านั้นแหล่ะถึงจะรู้ถึงความสำคัญของมัน ไปเถอะเดี๋ยวเขาจะรอนาน ขอให้มีความสุขนะ”
“จ๊ะ ไปนะแล้วเจอกัน”
แชร์มองตามร่างแบบบางที่เดินจากไปช้า ๆ ก่อนที่จะลับหายไปจากห้องนั้น ปล่อยให้คนที่ไม่เคย
เห็นความสำคัญของวันวาเลนไทน์นั่งจมอยู่กับหน้าคอมพิวเตอร์ที่หน้าจอมีเพียงความว่างเปล่าไร้ข้อความใด ๆ แชร์หันหน้าออกไปมองที่นอกหน้าต่างอีกครั้งแล้วถามคำถามหนึ่งกับตัวเองในใจว่า ‘นานแค่ไหนแล้วนะ ที่ไม่ได้ฉลองวันวาเลนไทน์ กี่ปีแล้วที่ชีวิตเธอมีเพียงความเหงาเป็นเพื่อนในวันที่ใครต่อใครมีความรักที่หอมหวาน และกี่ปีที่เธอมักจะพาตัวหลบเร้นความรักที่อบอวลไปทั่วทุกแห่งหนในวันวาเลนไทน์’ คำตอบที่ได้มันคือนานแสนนานเหลือเกิน
บรรยากาศโดยรอบบริเวณหน้าห้างสรรพสินค้าชื่อดังกลางกรุงเต็มไปด้วยบรรยากาศของวันแห่งความรักอบอวลไปทั่วทุกแห่ง ห้างร้านในบริเวณนั้นล้วนตกแต่งประดับประดาร้านของตนด้วยสิ่งที่เป็นตัวแทนของวันนี้ทั้งดอกกุหลาบ รูปหัวใจ หรือแม้แต่ผ้าสีชมพูหวานก็ถูกนำมาตกแต่งให้สวยงาม มีคู่รักอยู่ไม่น้อยที่ต่างก็ใช้สถานที่แห่งนี้เป็นที่ฉลองวันวาเลนไทน์ บทเพลงรักถูกเปิดขึ้นอย่างต่อเนื่องสร้างบรรยากาศให้โรแมนติกยิ่งขึ้น แม้ว่าความมืดที่กำลังโรยตัวปกคลุมไปทั่วทุกที่ หาก ณ ที่แห่งนี้ทุกอย่างกลับสว่างไสวด้วยดวงไฟเล็ก ๆ นับหมื่นนับพันดวงที่นำมาประดับประดาไปตลอดถนนเส้นนี้ เจนมองดูบรรยากาศรอบ ๆ ตัวแล้วเผลอยิ้มขึ้นมาคนเดียว เธอรับรู้ถึงความสุขของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาอยู่บริเวณนี้ ความสุขเช่นเดียวกับที่เธอก็รู้สึกเช่นกัน อันที่จริงเจนก็รู้สึกมีความสุขอยู่ทุกวัน หากวันนี้มันพิเศษกว่าทุกวัน อาจเพราะมันเป็นวันครบรอบหนึ่งปีที่เธอและคนรักได้รู้จักกัน มันเป็นวันที่เจนได้เริ่มต้นชีวิตใหม่หลังจากที่ใช้ชีวิตอย่างผิดพลาดมาตลอด เจนยังคงจดจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วได้เป็นอย่างดี ม้านั่งริมทางเท้าตัวเดิมที่เธอเคยนั่งเมื่อปีที่แล้ว เธอหวนกลับมานั่งมันอีกครั้งในปีนี้ เจนวางมือทั้งสองข้างไว้ข้างตัวสัมผัสความรู้สึกเดิมที่เคยรับรู้ มันทำให้เธอหวนนึกถึงคืนวันที่ผันผ่านมาครบหนึ่งปี...
แม้บรรยากาศโดยรอบจะอบอวลไปด้วยความรัก หากคนที่นั่งอยู่ที่ม้านั่งริมทางเท้ากลับเอาแต่ก้มหน้าร้องไห้โดยไม่สนใจกับสายตาของใครต่อใครที่มองดูอยู่ เจนเงยหน้าที่เปื้อนน้ำตาขึ้นมองไปรอบ ๆ แล้วถามตัวเองในใจว่า เธอมาทำอะไรที่นี่ ที่นี่มันเป็นที่ของคู่รักมิใช่หรือ เจนหลบสายตาของคู่รักที่มองมายังเธอ มันเป็นสายตาที่มีคำถามเดียวกับที่เธอถามตัวเองอยู่เมื่อครู่ มันมีความเวทนาระคนมาในสายตาที่จับจ้องมาที่เธอด้วย มือบอบบางถูกยกขึ้นมาเช็ดน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้มของตัวเอง แต่หญิงสาวรู้ดียิ่งเช็ดมันก็ยิ่งไหล ตราบใดที่หัวใจของเธอยังไม่หยุดร้องไห้เสียที เจนถอนหายใจหนักออกมาอย่างอ่อนใจ กับคำถามที่เกิดขึ้นในหัวใจของเธอ ทำไมเธอถึงต้องมาผิดหวังในวันแห่งความรัก วันที่ใครต่อใครมีความสุข ยิ่งมาอยู่ในสถานที่ที่มีแต่คนรักกัน มันก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกหดหู่ มันทำให้เธอได้คิด หรือว่าเธอจะเป็นคนที่โชคร้ายที่สุดแห่งปีเสียก็ไม่รู้ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความสุข มันเหมือนมีดที่กรีดลึกเข้าไปในหัวใจของเธอ ยิ่งได้คิดถึงคำพูดสุดท้ายของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนรักว่า
‘พอแค่นี้เถอะนะเจน ผมว่าเราสองคนคงไปกันไม่ได้อีกแล้ว’
เพียงคำพูดประโยคเดียวที่เขาเอ่ยขึ้นมา มันทำลายความฝันที่เธอเคยมีไว้เสียจนหมดสิ้น เพราะเหตุใดความรักของเธอถึงได้จบลง มันเป็นคำถามที่เธอไม่สามารถหาคำตอบให้กับตัวเองได้ หรือเพียงเพราะความรักที่มีมาเนิ่นนานกว่าห้าปีมันจืดจางลงไปเช่นนั้นหรือ ทั้งที่เจนแน่ใจเสมอมาว่าไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้ความรักของเธอสั่นคลอนได้เลยแม้แต่นิดเดียว หรือเพราะเธอมั่นใจในความรักเพียงฝ่ายเดียว เขาไม่ได้เอ่ยอะไรไปมากกว่านั้น เขาเดินจากไปเงียบ ๆ ในขณะที่เธอได้แต่นิ่งงันกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นในวินาทีนั้น เธอรู้สึกเหมือนล้มทั้งยืนไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะเหนี่ยวรั้งให้เขาอยู่ ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะเอ่ยถามถึงเหตุผลของการจากลา เจนเดินเรื่อยเปื่อยจากที่แห่งนั้นมาด้วยหัวใจที่ซวนเซ ไม่มีทิศทาง ได้แต่เดินเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งมารู้สึกตัวอีกทีเธอก็ทรุดนั่งลงที่ม้านั่งตัวนี้อย่างไร้เรี่ยวแรง เจนรู้สึกเหมือนคนที่ไร้การทรงตัวแม้แต่จะยืนตอนนี้เธอก็ทำแทบไม่ได้แล้ว เธอจะไปจากที่แห่งนี้ได้อย่างไร แล้วจะมีที่สำหรับคนที่ผิดหวังแบบเธอได้ยืนอีกหรือเปล่า เสียงผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นในใจเธอ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีเสียงใดตอบกลับมาในใจของเธอเลย เจนถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วพิงหลังไปที่พนักพิงด้านหลังอย่างอ่อนล้า
“ไม่สบายหรือเปล่าครับ” เสียงของใครบางคนดังขึ้นข้าง ๆ ตัวเธอ เจนหันไปมองอย่างแปลกใจ นี่เธอเหม่อลอยถึงขนาดไม่รู้สึกตัวว่ามีคนนั่งลงข้าง ๆ เลยเชียวหรือ รอยยิ้มบาง ๆ เมื่อแรกที่หันไปมองพร้อมกับสายตาที่มองมามีความห่วงใยแฝงอยู่ในดวงตาคู่นั้นแปรเปลี่ยนเป็นตกใจเมื่อเห็นใบหน้าที่เปื้อนน้ำตา เจนเบือนหน้าหลบสายตาที่มองมา เธอใช้มือเช็ดน้ำตาที่คลอจนเกือบจะล้นออกมาจากตาอีกครั้ง จากนั้นเธอก็เห็นมือของใครบางคนคนนั้นยื่นผ้าเช็ดหน้าสีเทาเข้มมาให้ เธอจึงหันไปมองเขาอีกครั้ง และเธอแน่ใจว่าเขากำลังยิ้มให้กับเธอ พร้อมกับพูดว่า
“เช็ดน้ำตาเถอะครับ คนมองกันเยอะแล้ว”
เจนหยิบผ้าเช็ดหน้าในมือของชายหนุ่มมาเช็ดน้ำตาให้แห้งไปจากใบหน้าของเธอ แม้น้ำตาจากดวงตาของเธอจะหยุดไหล แต่หัวใจที่มันร่ำไห้อยู่ข้างในนี่สิ เธอจะทำอย่างไรให้มันเหือดแห้งไปเสียที
เนิ่นนานที่มีเพียงความเงียบระหว่างคนสองคน ไม่มีคำพูดใด ๆ เอ่ยต่อกันออกมาอีก หากเจนก็รับรู้ได้ถึงสายตาของคนที่ข้าง ๆ ที่ลอบมองมาที่เธออยู่เสมอ สายตาที่มองเธออย่างห่วงใย เจนยังคงใช้ผ้าเช็ดหน้าของเขาซับน้ำตาที่ยังคงมีคลอเบ้าอยู่ตลอดเวลา ก่อนจะแน่ใจว่าน้ำตามันหยุดไหลแล้วเธอจึงยื่นผ้าเช็ดหน้าคืนให้แก่เขาพร้อมกับเอ่ยว่า
“ขอบคุณนะค่ะ” รอยยิ้มบาง ๆ จากริมฝีปากสีชมพูอ่อน ๆ ทำให้เขาต้องยิ้มตอบกลับมา เขายื่นมือมารับผ้าเช็ดหน้าคืนพร้อมกับพูดว่า
“ไม่เป็นไรครับ แค่เห็นคุณดีขึ้นก็พอใจแล้ว สบายใจขึ้นแล้วใช่ไหมครับ”
“คะ?” เจนมองเขาอย่างแปลกใจ หากเขากลับยิ้มแล้วพูดว่า
“ก็เรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจน่ะครับ ร้องไห้ระบายออกมาแล้วมันคงทำให้ดีขึ้นบ้าง”
“ค่ะ ถึงตอนนี้จะหยุดร้องไห้ แต่ก็ใช่ว่าจะลืมเรื่องที่ทำให้เสียใจ”
“ก็จริงนะครับ ความเสียใจมันก็ยังคงอยู่กับเราตราบเท่าที่เรายังอยากให้มันอยู่ แต่อย่าให้มันอยู่นานนะครับ เพราะมันอาจฝังรากลึกจนเราต้องจมกับความทุกข์ไปตลอดชีวิต หัวใจก็ยังต้องร้องไห้อยู่ทุกคืนมันคงบอบช้ำแย่ สงสารมันบ้าง แค่มันทำให้เรามีชีวิตอยู่ทุกวันนี้มันก็หนักหนาพอแล้ว อย่าให้มันต้องทำงานหนักมากกว่านี้เลยนะครับ”
น้ำเสียงนุ่มเอ่ยเรียบ ๆ หากคนฟังกลับรู้สึกซาบซึ้งเสียจนน้ำตาจะไหลออกมาอีกครั้ง หากมันยังไม่ทันที่จะไหลลงมาผ้าเช็ดหน้าในมือของคนแปลกหน้าที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็เอื้อมขึ้นมาซับให้อย่างเบามือ เจนยังคงมองเห็นรอยยิ้มบาง ๆ จากริมฝีปากของเขาอยู่ตลอดเวลาขณะที่เอื้อนเอ่ยขึ้นมา
“ร้องเสียวันนี้ให้พอเถอะครับ พรุ่งนี้ชีวิตเรายังต้องเริ่มต้นใหม่ ถึงวันนี้จะจบลงด้วยน้ำตา พรุ่งนี้ชีวิตเราจะเริ่มต้นด้วยรอยยิ้มได้อีกครั้ง ด้วยหัวใจและความรักของเราเอง ไม่ต้องหยิบยืมจากใครมาเพื่อต่อชีวิตให้กับเรา”
พูดจบเขาก็หยุดซับน้ำตาให้กับเธอ และวินาทีนั้นเขาก็เห็นรอยยิ้มของเธอ แม้มันจะเป็นรอยยิ้มเปื้อนคราบน้ำตาก็ตามเถอะ แต่อย่างน้อยวันนี้เธอก็ยิ้มได้อีกครั้ง และนับจากวินาทีนั้น ชีวิตของใครบางคนกับใครอีกคนในเส้นทางเดียวกันก็ได้เริ่มต้นขึ้น ในวันที่ต้องเจ็บช้ำจากความรัก หัวใจก็ได้รับการเยียวยาจากความรักเช่นกัน
เจนนั่งอมยิ้มอยู่คนเดียวในขณะที่นั่งคิดถึงวันแห่งการเริ่มต้นความรัก แม้ความรักที่ยาวนานจะจบลงด้วยรอยน้ำตา หากไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้นความรักก็เกิดขึ้นได้อีกครั้ง มันทำให้เจนได้คิดความรักไม่จำเป็นต้องใช้เวลาเพื่อพิสูจน์ เพราะแม้เวลายาวนานมันกลับทำให้ความรักมันสั้นลง สิ่งสำคัญคือเขาคือคนนั้นของชีวิตหรือเปล่าต่างหาก ขณะที่หญิงสาวกำลังคิดอะไรเพลิน ๆ ในสมอง เสียงหนึ่งก็เอ่ยถามขึ้นว่า
“ขอโทษฮะ ตรงนี้นั่งได้หรือเปล่าฮะ”
เจนเงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่หยุดยืนตรงหน้าเธอ หญิงสาวยิ้มก่อนที่จะตอบออกไปว่า
“ตรงนี้มีคนจองแล้วค่ะ”
เด็กหนุ่มพยักหน้าก่อนที่จะเดินผ่านไป เสียงริงโทนบทเพลงรักสุดซึ้งในเพลง พรหมลิขิตของวงบิ๊กแอสดังขึ้นมาจากโทรศัพท์ของเจน เจนยิ้มขึ้นมาทันทีที่เห็นสายที่เรียกเข้ามาเธอกดรับแล้วกรอกเสียงลงไปในสายว่า
“ว่าไงค่ะ ถึงไหนแล้ว”
“เลิกประชุมแล้วครับ อีกราว ๆ สักชั่วโมงคงถึง เจนรอได้ไหม”
“ได้สิค่ะ ถ้าไม่รอทักษ์แล้วเย็นนี้เจนจะฉลองกับใครล่ะ” เธอเย้าเขาเสียงใส
“ครับงั้นเดี๋ยวเจอกัน เจนครับ” เสียงปลายสายเรียกชื่อเธอชัดในตอนท้าย
“คะ?” เธอรับคำสั้น ๆ ก่อนที่จะยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อได้ยินประโยคต่อมาของปลายสายว่า
“ผมรักเจนนะ” เธอจึงตอบกลับไปเช่นกันว่า
“เจนก็รักทักษ์ค่ะ เดี๋ยวเจอกันนะ”
เจนกดวางสายแล้วนึกยิ้มไปคนเดียวกับคำบอกรักของเขา เจนรู้สึกว่าความสุขมันเอ่อล้นมาจนท่วมใจอย่างบอกไม่ถูก นึกถึงค่ำคืนนี้กับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นมันทำให้เธอมีความสุข ในขณะที่หัวใจกำลังเปี่ยมสุข เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง เจนมองดูเบอร์ที่โชว์อยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือเป็นเบอร์ที่ไม่คุ้นเคย หากเธอก็กดรับพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“สวัสดีค่ะ อ้าวพี่มดเหรอค่ะว่าไงค่ะ”
น้ำเสียงของเธอราบเรียบ หากเสียงของอีกฝ่ายที่เจนได้ยิ้นมันทำให้เธอรู้สึกว่าเขาพยายามที่จะทำให้มันดูเหมือนปกติเสียมากกว่า
“เจน ฟังพี่แล้วทำใจดี ๆ ไว้นะ”
“มีอะไรเหรอค่ะ” เจนรู้สึกถึงความผิดปกติของอีกฝ่าย หากยังคงถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นเดิม เนิ่นนานกว่าที่อีกฝ่ายจะเอ่ยขึ้นมาได้อีกครั้ง
“ทักษ์โดนรถชน เขาตายแล้ว” มือบอบบางเย็นเชียบขึ้นมาทันที น้ำเสียงของเธอสั่นเครือในขณะที่พูดต่อไปว่า
“ไม่จริง เมื่อกี้เขายังคุยโทรศัพท์อยู่กับเจนอยู่เลย พี่มดอย่ามาอำกันอย่างนี้นะ”
“พี่ไม่ได้อำนะเจน ทักษ์เสียแล้วจริง ๆ พอเขาวางสายจากเจนเขาก็เดินข้ามถนนไป แต่เหมือนเขาลืมอะไรสักอย่างเขาวิ่งกลับมาแล้วรถก็ชน เจน เจน ฟังพี่อยู่หรือเปล่า เจน เจน เจน...”
เสียงที่ร้องเรียกจากปลายสายไม่ได้ปลุกความรู้สึกของเจนให้ตอบรับอะไรได้อีก โทรศัพท์มือถือในมือถูกปล่อยทิ้งไว้ข้างตัว มือทั้งสองข้างที่สั่นเทาถูกยกขึ้นมาป้องที่ปาก ไม่มีเสียงร้องไห้ใด ๆ เล็ดลอดออกมา พูดไม่ผิดนักหากจะบอกว่าเจนช็อคไปจนร้องไห้ไม่ออกกับสิ่งที่ได้รับรู้ถึงการสูญเสียคนรักโดยไม่ทันตั้งตัว เธอนิ่งอยู่ในท่านั้นเนิ่นนานกว่าที่จะเรียกสติกลับคืนมาได้ เธอก้มหน้าซบกับมือบอบบางของเธอร้องไห้ฟูมฟายออกมาอย่างไม่แคร์สายตาของผู้คนที่ผ่านไปมาในบริเวณนั้น บางคนอาจคิดทำไมจู่ ๆ ผู้หญิงที่นั่งอมยิ้มอยู่เพียงลำพังเมื่อครู่ถึงได้ร้องไห้ออกมาดั่งคนเสียสติเช่นนั้น เพราะความรักเช่นนั้นหรือ
ท่ามกลางผู้คนมากมายที่เดินด้วยกันมาเป็นคู่ ๆ ตามสไตล์ของวันวาเลนไทน์ ก็มันเป็นวันของคนที่มีความรักนี่น่า แชร์คิดอยู่ในใจ เธอยังคงเดินเรื่อยเปื่อยลำพังบนถนนสายที่มีแต่ความรัก ทำให้เธอต้องนึกถามตัวเองในใจว่า แล้วเธอมาทำอะไรที่นี่ ทำไมไม่รีบกลับบ้านไปอยู่ในที่ของเธอ ที่ ๆ เธอไม่ต้องรู้สึกอิจฉาในความรัก หากแม้เดียวดายก็ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกแย่เท่ากับการมาเฝ้ามองความรักของคนอื่นแบบนี้เสียงไซเรนของรถกู้ภัยแล่นผ่านไปบนถนน ทำให้เธอรู้สึกสนใจกับเหตุการณ์เบื้องหน้า หากแต่ไม่รู้ว่าอยู่ ณ จุดใดบนถนนสายนี้ ขณะที่เธอกำลังเดินปล่อยใจไปเรื่อย เธอก็ได้ยินการสนทนาของคนที่เดินสวนทางกับเธอมาว่า
“น่าสงสารผู้ชายคนนั้นนะ ไม่น่ามาโดนรถชนวันนี้เลย”
“ใช่ แกเห็นแหวนกับดอกไม้ในมือเขาไหม สงสัยจะเอาไปให้แฟนแน่เลย น่าสงสารทั้งคู่เนอะ”
“แล้วป่านนี้ผู้หญิงจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ คงรออยู่แน่เลย ถ้ารู้หัวใจจะสลายแค่ไหนก็ไม่รู้”
แชร์เหลือบตามองตามคนที่เดินสวนมาอย่างใคร่รู้ในการสนทนาของคนทั้งคู่ สิ่งที่จับใจความได้คือการสูญเสีย
‘วันมีตั้ง 365 วันทำไมไม่เลือกไปเสียในวันอื่นนะ ไม่รู้หรือไงว่าวันนี้เป็นวันแห่งความสุข ใจร้ายจังเลยทำไมต้องมาพรากความรักในวันนี้ด้วยนะ’
เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นในใจอย่างขัดอารมณ์ ถึงเธอจะไม่ชื่นชอบในวัฒนธรรมวันแห่งความรัก หากแต่เธอก็ไม่อยากให้ใครต้องมาเสียใจในวันนี้ เพราะคงมีผู้คนไม่น้อยที่เห็นความสำคัญของวันๆ นี้ การสูญเสียในวันแห่งความรักเป็นเรื่องที่ยากจะทำใจ เพราะมันอาจจะทำให้รู้สึกเจ็บปวดได้ทุกครั้งในวันที่วันนี้ได้เวียนมาถึงเช่นเดียวกับเธอ ถึงแม้เรื่องของเธอจะไม่ใช่การสูญเสียแบบถึงกับชีวิต แค่ลาจากทั้ง ๆ ที่ยังหายใจอยู่มันก็ทรมานเพียงนี้ แล้วคนที่ต้องสูญเสียแบบที่ไม่มีวันจะได้หวนมาใช้ชีวิตบนพื้นแผ่นดินผืนเดียวกันเช่นนี้จะทรมานสักเพียงไรเธอก็ยากจะคาดเดา ความทุกข์คงแสนสาหัสกว่าเธอร้อยพันเท่า เพราะอย่างน้อยการจากลาแบบของเธอยังมีโอกาสได้ยินข่าวคราวบ้าง ได้รับรู้ความสุข ความทุกข์ของคนที่ห่างไกลอยู่บ้างมันก็ยังมีความสุขเล็ก ๆ ในซอกหลืบของความเหงา ในขณะที่ความคิดมากมายกำลังพลุ่งพล่านอยู่ในหัว พลันสายตาของเธอก็มองเห็นใครคนหนึ่งที่ทำให้ความคิดในหัวของเธอหยุดนิ่งไปในทันที ท่ามกลางผู้คนมากมายทุกอย่างกลับหยุดนิ่งในความรู้สึกของแชร์ ชายหนุ่มที่ยืนยิ้มอยู่ห่างจากเธอไม่ถึงสิบก้าวมันเป็นเพียงภาพลวงตาแห่งความคิดถึงหรือคือความจริง แชร์นึกถามตัวเองอยู่ในใจ เธอไม่ได้หยิกแขนหรือตบหน้าตัวเองเพื่อหาคำตอบให้รู้สึกได้ถึงสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าหากเป็นอ้อมกอดของคนที่เดินเข้ามาสวมกอดร่างบอบบางของเธอต่างหากที่เป็นสิ่งที่ตอบคำถามที่เกิดขึ้นในใจของเธอ อ้อมแขนของชายหนุ่มกระชับร่างของแชร์ให้แนบเข้ากับแผงอกกว้างของเขาจนเธอได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะเดียวกันกับหัวใจของเธอ
“คิดถึงจัง” คำพูดที่กระซิบเบา ๆ ที่ข้างหูเป็นคำ ๆ เดียวกับที่เสียงหนึ่งบอกดังอยู่ในหัวใจหากไม่ได้เอื้อนเอ่ยออกมาจากปากของแชร์ เสียงของเขายังคงดังอยู่ที่ข้าง ๆ หูของเธอ
“ผมกลับมาแล้วนะ จะไม่ไปไหนอีกแล้ว จะไม่ทิ้งแชร์ไว้กับความเหงาอีกแล้วอภัยให้ผมได้ไหม” ไม่มีคำตอบใดหลุดออกมาจากปากของแชร์ หากสิ่งที่แทนคำตอบจากหญิงสาวก็คือเรียวแขนของเธอที่โอบเข้าที่รอบเอวของเขากระชับแน่นเช่นเดียวกับอ้อมแขนของเขา น้ำใส ๆ คลอที่ขอบตาก่อนที่จะไหลลงมาอาบแก้ม น้ำตาแห่งความสุขมันชุ่มเย็นไปถึงหัวใจ ความสุขที่เธอไม่ได้สัมผัสมาเนิ่นนาน และเธอก็พร้อมจะยิ้มรับความสุขทั้งน้ำตา แชร์ยิ้มให้กับความเหงาที่โบกมือลาเธอไป ‘ขอบคุณนะที่อยู่เป็นเพื่อน ตอนนี้เธออาจต้องไปอยู่เป็นเพื่อนใครอีกคนแล้วล่ะ’
คำร่ำลาที่เอ่ยในใจต่อความเหงา ใครบางคนอาจต้องการให้ความเหงาอยู่เป็นเพื่อนในวันที่ความรักจากลา เช่นเธอที่เคยเป็นมา ใครบางคนที่เธอได้แต่ภาวนาในใจให้รับความเหงาไว้เป็นเพียงเพื่อน แต่อย่าได้ให้ความเหงาฝังรากลึกจนยากจะสลัดมันออกไปได้ มันอาจเป็นความจริงที่ว่าความรักสร้างโลก สร้างความสุข แต่ความรักก็สร้างความเหงาความเจ็บปวดให้กับหัวใจได้เช่นกัน อยู่ที่เราจะเลือกสร้างอะไรมาจากความรัก ทุกอย่างที่มาพร้อมความรักสร้างขึ้นได้เพราะตัวเรา...
@@@@@@@@@@@@@