Moon Don't Shine (คืนหนึ่งที่ดงข้าวสาร)
0
ตอน
564
เข้าชม
13
ถูกใจ
0
ความคิดเห็น
0
เพิ่มลงคลัง

เรื่องจริงที่พ่อของฉันเล่าให้ฟัง และเกิดขึ้นกับตัวท่าน ตอนนั้นฉันจำความได้อายุประมาณ 5ขวบ 

เมื่อประมาณ38ปี ที่แล้ว ตอนนั้นกระแสพวกป่า หรือคอมมิวนิสต์ กำลังครุกรุ่น ทางรัฐบาลได้กระจายกำลัง ออกตามล่ากลุ่มดังกล่าวเกือบทุกพื้นที่ ดงข้าวสาร เป็นหนึ่งในพื้นที่สีแดง และเป็นผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยของป่า สัตว์ป่า ต้นไม้ใหญ่ หนาทึบ ตรงกลางดงมีห้วยเล็กๆ ไหลผ่านไปสู่ที่ราบลุ่ม ทุ่งนาและเรือกสวนของชาวบ้านแถบนั้น พิกัด ดงข้าวสาร ตั้งอยู่ในอำเภอศรีธาตุ บ้านโคกหนองแวง ห่างจากตัวหมู่บ้านประมาณ 3 กิโลเมตร อยู่ระหว่างอำเภอศรีธาตุและอำเภอวังสามหมอ จ.อุดรธานี 

สมัยนั้น ถนนยังเป็นลูกรังหินแดง เส้นทางอำเภอวังสามหมอ-ศรีธาตุ นานๆจะมีรถผ่านมาสักคัน เป็นรถของทางการ มาตรวจพื้นที่สืบหากลุ่มคอมมิวนิสต์ บริเวณพิกัดดงข้าวสาร เมื่อ38ปีที่แล้ว มีหมู่บ้านเล็กๆ อยู่ห้าหลังคาเรือน ตัวบ้านเป็นไม้ มุงหญ้าหลังใหญ่ จำความได้ว่าเป็นญาติทางพ่อ ที่ย้ายมาอยู่ด้วยกัน ทุกคนอยู่แบบวิถีชีวิตชาวป่า โดยไม่รู้จักใครในหมู่บ้านใหญ่เลย  

ต่อมาไม่นานครอบครัวของอาก็ย้ายไปอยู่จังหวัดเลย เหลือเพียงบ้านไม้หลังสูงเพียงหลังเดียว มีผู้อาศัย5 ชีวิต พ่อแม่ ฉัน น้องสาว และน้องชายพึ่งแรกเกิด วันหนึ่งทางกำนันก็แวะมาหา อยากให้พ่อกับแม่ย้ายเข้าไปอยู่ในหมู่บ้าน เพราะอยู่โดดเดี่ยวอันตรายรอบด้าน พ่อกับแม่ขอเวลาคิดดูก่อน  

คืนหนึ่งในฤดูฝน เป็นคืนเดือนดับ ข้างแรม หลังจากลูกๆและแม่เข้านอนแล้ว พ่อก็ออกไปส่องกบ สมัยนั้นใช้ตะเกียงแก้สก้อน  

 

 

 

พ่อเดินออกจากบ้าน ท่ามกลางฝนตกปรอยๆ เสียงกบเขียดร้องระงมไปทั่ว ใช้ผ้ายางคลุมเป็นเสื้อกันฝน พ่อเดินทะลุชายป่า ลงไปที่ราบลุ่มทางลำห้วยไหลลงไป มีไร่นากำลังเขียวขจี รับน้ำฝนฟ้าใหม่ พ่อเริ่มแปลกใจ ทำไมคืนนี้ไม่มีคนในหมู่บ้านออกมาส่องกบ ทั้งๆที่ฝนตกตั้งแต่ช่วงกลางวัน หวังจะมีเพื่อนแต่ผิดหวัง เลยต้องเดินคนเดียว ท่ามกลางสายฝนและความมืด  

ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ไม่ได้ปลาสักตัว กบก็ไม่ได้ มีแต่เสียงร้องแต่ไม่เห็นตัว เพิ่มความแปลกใจให้พ่อเป็นทวีคูณ ฝนเริ่มซา จนกระทั่งหยุดตก ทุกอย่างเริ่มเงียบลง แม้แต่เสียงกบเขียดร้อง พ่อรู้สึกเมื่อย คิดว่าถ้าหากอีกชั่วโมงไม่ได้ปลา จะกลับบ้าน เพราะเริ่มง่วง เวลาน่าจะประมาณสี่ทุ่ม พ่อทรุดตัวลงนั่งพักบนขอนไม้ แล้วล้วงเอาถุงใส่ยาเส้นกับกระดาษขาวแผ่นเล็กออกมาพัน เป็นมวนบุหรี่จุดสูบ นั่งพ่นควันอยู่ครู่หนึ่ง หูก็พลันได้ยินเสียง  

ฮือๆๆๆๆๆ ฮืออออออออออ! 

เสียงผู้หญิงร้องไห้ เย็นยะเยือก แว่วมาจากทางห้วย นาคำ(คือนาที่มีน้ำขังอยู่ตลอดปี ไม่แห้ง มีน้ำออกบ่อ ผุดมาในหน้าฝน"  

พ่อหยุดดูดบุหรี่ พยายามฟังเสียงนั้น นาคำ อยู่ไม่ไกลมาก ประมาณครึ่งกิโลเมตร เสียงร้องในยามค่ำคืน จะสะท้อนไกลเพราะความเงียบ ไม่มีเสียงรถ ไม่มีเสียงกบเขียด นาทีต่อมา พ่อรีบลุกขึ้น ส่องไฟไปทางที่มาของเสียง มันหยุด และเงียบ พ่อยืนส่องอยู่นาน แล้วเดินเลาะ ตามคันนาต่อไป กำลังจะเลี้ยววนกลับบ้าน และแล้ว 

ฮือๆๆๆๆๆ ฮืออออออ 

มันร้องไห้อีกแล้ว! พ่อหยุดฟังและคิด ดึกดื่นป่านนี้ คงไม่มีผู้หญิงที่ไหนมาร้องไห้กลางป่าแบบนี้แน่นอน พ่อสวดมนต์ในใจ ส่องไฟไปอีก เสียงนั้นเงียบ และพ่อก็ตะโกน  

"ใครวะ! มาร้องไห้ กลางค่ำกลางคืน กวนกบเขียด หาปลาไม่ได้เลย ไม่หลับไม่นอนรึไง" 

เสียงนั้นเงียบ ครู่ต่อมา มีดวงไฟสีแดงอมส้มเท่าแสงตะเกียงแก๊ส ลอยอยู่แถวๆนาคำ ลอยต่ำๆระดับสายตา พ่อมองเห็นไกลๆ ท่ามกลางความมืด แสงนั้นลอยเรื่อยๆ เดี๋ยวสูง เดี๋ยวลดต่ำลง ลอยขึ้นไปทางต้นลำห้วยกลางดง น่าจะขึ้นไปทางถนนลูกรัง ดวงไฟลอยเร็วกว่ามนุษย์ธรรมดาจะเดินเท้า พร้อมเสียงร้องไห้เบาลง เสียงนั้นไกลออกไปตามดวงไฟริบหรี่ 

พ่อรีบเดินกลับบ้านพร้อมกับข้องเปล่า ไม่ได้กบและปลาเลย ตื่นเช้าตอนกินข้าวแม่ถาม พ่อเลยเล่าให้ฟัง แม่ก็เลยเล่าว่า เคยมีคนเล่าให้ฟังไม่รู้เรื่องเกิดขึ้นนานหรือยัง  

ครั้งหนึ่งแถวๆลำห้วยดงข้าวสาร มีกอไผ่ขึ้นหนาทึบ หน่อไม้และเห็ดขึ้นอย่างอุดมสมบูรณ์ ชาวบ้าน ในหมู่บ้านใกล้เคียง ไม่ค่อยมีใครกล้าไปเอา เพราะเจ้าที่แรง มีคนเคยเห็นงูจงอางตัวใหญ่ฟักไข่แถวกอไผ่และฝนไม่ค่อยตก ซึ่งเป็นเรื่องแปลกมาก เป็นความเชื่อว่าถ้างูจงอางฟักไข่ บริเวณนั้นฝนจะไม่ตก 

แม่เล่าต่อว่า อยู่มาวันหนึ่งมีคนจากต่างถิ่นกลุ่มหนึ่ง เข้าไปหาหน่อไม้และไปตัดต้นไม้ใหญ่จะเอาไปทำเสาบ้านโดยไม่ได้ขอขมาเจ้าป่า และแล้วก็เกิดเรื่องสยองขวัญ ขณะที่ต้นไม้กำลังจะหัก ผู้หญิงเกิดลื่นล้มวิ่งหนีไม่ทัน ต้นไม้หักลงไปทับช่วงเอว กลางลำตัว ตายคาที่ จากนั้นมาก็มีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นในวันคืนเดือนมืดเรื่อยมา  

หนึ่งปีต่อมาพ่อกับแม่ก็ย้ายเข้าไปปลูกบ้านในหมู่บ้านโคกหนองแวง ตามคำแนะนำของกำนัน ผู้ใหญ่บ้านและเจ้าหน้าที่ นพค.21 ในสมัยนั้น  

ผ่านมาแล้ว38ปี ทุกอย่างยังไม่เลือนจากความทรงจำ คิดถึงดงข้าวสาร คิดถึงบ้านเราค่ะ ดงข้าวสารสมัยนี้ พัฒนาเป็นแหล่งเกษตร ไร่นาเรือกสวน พื้นที่กว้างขวางสุดสายตา ไร่อ้อย ไร่มันสำปะหลัง โรงรับซื้อมันและพืชไร่ของเกษตกรในท้องถิ่นนั้น ไม่มีดงป่าไม้หนาทึบเหมือนในอดีตอีกต่อไป ผ่านไปคราใดแลเห็นแต่เพียงรอยอดีต ที่จารึกไว้ในความทรงจำของทุกคนตลอดไป 

***เรื่องสั้นเรื่องนี้ ขออุทิศความดีทั้งหมด ให้คุณพ่อไสว พิลาสุข (พ่อเสือ) ผู้ล่วงลับ ท่านจากเราไปประมาณ 27 ปีแล้วค่ะ เขียนขึ้นเพื่ออุทิศให้ วันเกิดท่าน วันที่ 5 เมษายน พศ.2486 ***  

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว