[Warship human from/Kansen] Memotandum of HTMS. Thouburi | จดหมายเหตุจากสะพานเดินเรือ
DeEp_OcEaN
ดราม่า
Memorandum of HTMS. Thouburi
จดหหมายเหตุจากสะพานเดินเรือ
กับใครบางคน.....เราอาจเคยเจอกันมาก่อน
เพียงแค่ไม่รู้สึกตัวเท่านั้น
.
.
.
.
ท่าเรือกรุงมะนิลา ฟิลิปปินส์ 1937
" แวะพักกันก่อนมั้ยคะ " เอ่ยถามพร้อมหันกลับมาหาน้องสาวที่แล่นตามมาด้วยกันติดๆ
" ยังไงก็ได้เลยค่ะ " ศรีอยุธาตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก ขณะที่ปรายสายตาเสออกไปมองผืนน้ำไกลสุดลูกหูลูกตาโดยรอบ
ธนบุรีหลุดขำเล็กน้อยพลางส่ายหน้าไปมาอย่างระอาในทีกับนิสัยว่าไงว่าตามกันของน้องสาว อย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องแย่ ดีเสียอีกจะได้พาอีกฝ่ายไปพักได้ง่ายๆระหว่างการเดินทางจากจักรวรรดิจูโอกลับไปประจำการที่ราชอาณาจักรไทยของตัวเอง
คิดพลางเบนเข็มมุ่งสู่ท่าเรือเต็มกำลังพร้อมกันกับเรือในชั้นของตัวเอง ที่ว่างตรงนั้น โดยรอบมีเรือจอดอยู่ก่อนเป็นเรื่องปกติ ทว่ามีหนึ่งลำที่อยู่ข้างกันซึ่งมองแล้วจะว่าเกรงขามก็ไม่ใช่ หรือจะหวาดกลัวก็ไม่มี
มันแปลกกว่านั้น....
ระหว่างที่เคลื่อนตัวเข้าสู่ช่องจอด ดวงตาแลเห็นชื่อที่ถูกสลักไว้...MNF. Lamotte Picquet เรือดาวิเชียนฝรั่งเศส
เมื่อก้าวลงจากเรือไป หญิงสาวกลุ่มหนึ่งเดินสวนมา ทว่าหนึ่งในนั้น...เส้นผมสีทองเป็นลอนพริ้วไหวพร้อมกลิ่นหอมของดอกไม้นาพันธุ์ตามทางผ่าน ความรู้สึกหนึ่งแล่นเข้ามาพร้อมกันจนต้องเหลียวมองพร้อมสีหน้าตระหนก สัญชาตญาณร้องบอกว่าเธอคนนั้นคือตัวตนของเรือที่อยู่ข้างกันนี้ไม่ผิดแน่
ลามอตต์-ปิเกต์....
" มีอะไรเหรอคะ " คำถามของเรือพี่เรือน้องข้างกายทำให้เรือยามฝั่งลำนี้หลุดจากภวังค์ เธอหันไปส่งยิ้มให้กับคนข้างกายเช่นเคย เพียงแต่มันดูไม่สบายใจจนโดนมองออกได้ง่ายกว่าปกติ กระนั้นศรีอยุธยาก็ไม่เลือกถามอะไรออกไป
" รู้สึก....สังหรณ์ใจนิดหน่อยน่ะ " กระนั้นธนบุรีก็เลือกจะมาปรึกษาเองอยู่ดี สายลมพัดผ่านแผ่วเบา พาให้กลิ่นหอมอบอวลของดอกไม้เมืองหนาวลอยเข้าจมูกอีกหน เธอหันไปมองเรือลาดตระเวณเบาขนาดราวเก้าพันตันที่อยู่ข้างๆ
" ว่าเราอาจได้สู้กับเธอในอนาคตข้างหน้า "
.
.
.
.
เกาะง่ามใหญ่ อ่าวไทย 16 กรกฏาคม 1941
ท้องฟ้ายามรุ่งสางกลางท้องทะเล คงงามไม่หยอกหากมันไม่เต็มไปด้วยเขม่าควัน เปลวไฟ กลิ่นของดินปืน และเลือดที่โชลมเจือกับกระแสน้ำ ใกล้เกาะช้าง ซากของสองเรือหลวงตอร์ปิโดสงขลา และชลบุรีที่ถูกไฟลุกท่วมกำลังจมลงช้าๆ ในตอนนี้เหลือเพียงธนบุรีที่ยังคงสามารถยืนหยัดสู้ได้ แม้กำลังถูกเรือหลวงช้างเข้าลากจูงดับไฟอยู่ก็ตาม
ท่ามกลางไฟที่ลุกท่วมจากระเบิดและก๊าซพิษที่อบอวลคลุ้งไปกับดินปืน ลามอตต์-ปิเกต์ในสภาพไม่สู้ดีคนนั้นส่งยิ้มมาให้...อบอุ่น อ่อนโยน เสียดาย และเสียใจ....เธอกระซิบถ้อยคำออกมาแผ่วเบา แม้จะไม่เก่งภาษาต่างประเทศนักก็พอจับใจความได้
" น่าเสียดายนะคะ ถ้าหากว่าไม่มีสงครามเราก็คงเป็นเพื่อนกันได้แท้ๆ....ขอโทษด้วยนะคะ แต่คุณจะอยู่ในใจฉันตลอดไป ในฐานะคู่ต่อสู้ที่ควรค่าแก่การยกย่องแน่นอนค่ะ.... "
ตอร์ปิโดสามลูกสุดท้ายถูกปล่อยมาพร้อมเสียงไซเรนคร่ำหวอดและธงพรวนเป็นสัญญาณถอยทัพกลับ เรือยามฝั่งตัดสินใจสั่งยิงออกไปอีกครั้งราวกับจะอำลา
ทำไมกันนะ....ถึงปวดใจได้ขนาดนี้
-------------------------
เกร็ด
-ในนิตยสารนาวิกศาสตร์(หรือหนังสือเมื่อธนบุรีรบ ไม่ก็อะไรซักอย่าง เคยอ่านเจอเมื่อนานมาแล้ว) ในหัวข้อของบันทึกการส่งเรือกลับมาไทยของสองพี่น้องธนบุรี ได้มีบันทึกเอาไว้ทั้งลามอตต์-ปิเกต์และธนบุรีเคยเจอกันมาก่อนที่ท่าเรือกรุงมะนิลา(เพราะช่วงนั้นลามอตต์นางประจำการที่ไซง่อนด้วยแหละ) แถมยังจอดข้างกันด้วย และได้มีทหารนายหนึ่งได้เปรยๆเอาไว้ว่าซักวันอาจได้สู้กัน และก็เป็นแบบนั้นจริงๆในยุทธนาวีเกาะช้าง(หรือการรบที่เกาะช้างนั่นแล)
-ฝรั่งเศสมีวัฒนธรรมกล่าวยกย่องสดุดีในการรบของฝ่ายตรงข้าม ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ เห็นได้จากหลังเหตุการณ์ สถานีวิทยุฝรั่งเศสที่ไซง่อน เวียดนามได้ออกอากาศกล่าวสดุดีวีรกรรมของกองทัพเรือไทยในการสู้รบครั้งนี้ที่ได้ต่อสู้อย่างกล้าหาญและสมศักดิ์ศรี
-ทั้งเกาะช้างและเกาะง่ามใหญ่หรือเกาะง่ามก็ตาม อยู่บริเวณจังหวัดตราด ประเทศไทย และยังมีซากของเรือหลวงสงขลาและเรือหลวงชลบุรีนอนสงบนิ่งทอดตัวอยู่ก้นทะเลบริเวณนั้น
-ปัจจุบันสะพานเดินเรือ(หอบังคับการณ์)และปืนใหญ่ของเรือหลวงธนบุรีถูกตั้งโชว์เป็นอนุสรณ์อยู่ที่โรงเรียนนายเรือ จ.สมุทรปราการ(หรือพิพิธภัณฑ์เรือรบไทยนี่แหละ อยู่ตรงข้ามกันเลย)
-หาอ่านเรื่องราวเต็มๆหรือเพิ่มเติมได้ เพียงค้นคำว่า ยุทธนาวีเกาะช้าง
-และสามารถติดตามเรื่องราว อัพเดตเพิ่มเติม หรือเสพรูปตัวละครเวอร์ชั่นของนายDeEp_OcEaNหรือฟ้าประหารได้ที่ FB.ค่ำคืนนี้ยังมีดวงดาวเจิดจ้า คราบท้องฟ้ายังดูสดใส ในอัลบั้ม Kantai thai collectionครับผม