*คำเตือน แฟนฟิคเรื่องนี้เป็นคู่ อิบารากิxชูเทน ใครจิ้นคู่ไม่ตรงกันแนะนำให้อย่าเข้ามาอ่านหากรับไม่ได้ ถ้าใครรับได้ก็ขอให้เสพอย่างสงบและอย่ามาตีเรือกันเพื่อมารยาททางสังคมที่ดี*
**แฟนฟิคเรื่องนี้อาจมีคำหยาบคายและเนื้อหาในบางช่วงที่รุนแรงไปบ้าง โปรดทำความเข้าใจและใช้วิจารณญานในการเสพ**
****ขอบคุณครับ***
“ นานมาแล้วมีตำนานเกี่ยวกับยักษ์แห่งหุบเขาโอเอะและยักษ์แห่งประตูราโชมอน
ให้เล่าที่ละตำนานคงกินเวลามากไปหน่อย…
งั้นข้าจักเล่าทั้งสองตำนานภายในคราเดียวเลยแล้วกัน…. ”
----------------------------------------
กล่าวถึงตำนานของเด็กกำพร้าคนหนึ่งที่ถูกทอดทิ้งตั้งแต่ยังไม่ลืมตาดูโลก แม้จะเป็นชีวิตที่บัดซบแต่ก็ยังมีโชคดีภายในความบัดซบนั่นอยู่….
เพราะเขายังถูกสามีภรรยาที่เป็นช่างตัดผมคู่หนึ่งเก็บไปเลี้ยงอยู่และสอนให้ช่วยงาน
ดูจะเป็นชีวิตเรียบๆแต่โชคชะตากลับเล่นตลกด้วยซะเหลือเกิน เมื่อวันหนึ่งเขาตัดผมลูกค้าพลาดจนทำลูกค้าได้แผล
รสชาติคาวของเลือดที่แอบลิ้มลองทำให้ความเป็นปีศาจในตัวตื่นขึ้นมา หลังจากนั้นเขาก็เริ่มทำมันซ้ำๆเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ถูกพ่อแม่ไล่ออกจากบ้าน….
ยัง ความซวยยังไม่จบ ถ้าเราซวยไปแล้วครั้งหนึ่งความซวยมันก็จะซวยต่อไปเรื่อยๆเพราะว่ามีการเล่ากันปากต่อปากว่าเขาเป็นปีศาจที่กระหายเลือดเนื้อมนุษย์
ชีวิตของเด็กคนหนึ่งที่ได้แต่หนี แม้จะได้อยู่ในที่ปลอดภัยก็ยักจะยังถูกตามเจอตัวและก็ต้องหนีไปเรื่อยๆ
แม้ว่าจะมีบางคราที่ถูกจับตัวได้และต้องเสียสิ่งที่เหมือนเขาปีศาจไปก็ตาม จริงๆเขาคิดว่าถึงไม่ต้องมีเสียงเล่าลือก็คงจะต้องมีคนคิดว่าเขาเป็นปีศาจเพราะมีความผิดปกติอยู่แล้ว….
เด็กน้อยหนีมาหลบอยู่ใต้สะพานพร้อมนั่งกอดเข่าด้วยความเหนื่ออ่อนอยู่พักใหญ่ เมื่อแน่ใจว่าคงจะปลอดภัยซักพักก็ค่อยๆคลานไปชะเง้อมองผิวน้ำ
ภาพที่เห็นสะท้อนคือภาพของปีศาจ…..นั่นคือตัวของเขาเอง…..พลันหยาดน้ำตาก็ค่อยเอ่อนองและหยดลงมาจากดวงตา….
เสียงสะอื้นไห้อันแผ่วเบาของเด็กชายดังแว่ว ถึงจะไม่อยากยอมรับมันก็ตาม คิดในแง่ดีเขาอาจเห็นภาพหลอนเพราะอาการเจ็บที่บริเวณเขาที่ถูกหักไป แต่มันช่างดูเหมือนความจริง…..
ดูเหมือนจะไม่ได้มีเวลาให้คิดทบทวนต่อ เสียงชาวบ้านก็ดังแว่วมา เขายันตัวลุกขึ้นวิ่งหนีไปทางภูเขาแห่งหนึ่งที่พ่อแม่เคยเล่าให้ฟังว่าเป็นที่สถิตของปีศาจร้ายมากมาย….
ไม่รู้ว่าวิ่งมานานแค่ไหนและเข้าป่ามาลึกเพียงใด แต่รู้ตัวอีกทีก็มืดค่ำแล้ว ร่างกายอันเหนื่อยอ่อนหยุดวูบล้มลงนอนด้วยอาการล้าและไม่รู้สึกตัวใดๆอีก
.
.
.
เวลาผ่านไปมากแค่ไหนไม่รู้ รู้แค่ว่าบางทีอาจปลอดภัยกว่าเดิมไปได้อีกซักนิด แต่เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมา แทนที่จะนอนคลุกฝุ่นกลับตื่นขึ้นมาบนตักของชาย? คนหนึ่งแทน….
จริงๆก็ไม่เชิงเรียกว่าผู้ชายได้หรอกเพราะเขาคนนั้นปล่อยผมสยายยาวดูเหมือนกับสตรีซะมากกว่า แถมเด็กแบบเขาวุฒิในการแยกแยะเองก็ยังต่ำต้อยเหลือเกิน
“ อ----!? ” ร่างเล็กๆรีบเด้งตัวลุกหนีไปนั่งแหมะลงบนพื้นตรงหน้าของคนคนนั้นด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
แม้ว่าชายตรงหน้าจะลักษณะเหมือนมนุษย์ที่เขาเห็นๆมา แต่กลับรู้สึกว่าไม่ใช่….ไม่น่าจะมีใครกล้าเข้ามา ถึงจะกล้าก็คงไม่กล้าเข้ามาลึกแน่ๆ….
แต่ถ้าหากเป็นคนจากหมู่บ้านจริงๆ ทำไมไม่ฆ่าเขาตั้งแต่พบ นั่นแหละคือคำถามที่ผุดขึ้นมาวนเวียนในหัว
“ ใจเย็นไอ้หนู เห็นเจ้าสลบอยู่เลยช่วยแค่นั้นเอง ” ชายคนนั้นพูดพร้อมยกมือขึ้นปรามเด็กน้อยที่พยายามยันตัวลุกขึ้นแต่ก็ลุกไม่ได้เพราะเหมือนมีอะไรมากดทับขาเอาไว้ไม่ให้ลุกได้
“ ท-ท่านเป็นใคร แล้วทำไมต้องช่วยข้า ข้า….ข้าเป็นปีศาจนะ! ” คำพูดพรั่งพรูออกไปพร้อมพยายามขยับหนีทำเอาคนฟังหลุดขำออกมา
“ เพราะเห็นเจ้าเป็นปีศาจข้าเลยช่วย ” คำตอบง่ายๆสั้นๆพร้อมไหวไหล่เหมือนกับพยายามจะอธิบายให้เด็กไร้เดียงสาอย่างเขาเข้าใจ
…..แต่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี……
“ หา……? ” ราวกับเครื่องหมายคำถามปรากฏรอบตัวพรืด อะไรคือช่วยเพราะเห็นเป็นปีศาจ….หัวสมองของเด็กตัวน้อยๆประมวลผลก่อนจะร้องไห้ฟูมฟายออกมาจนปีศาจผมสีเพลิงต้องเข้าไปปลอบยกใหญ่
“ ข้ายังไม่อยากถูกจับกิน….ข้า---ข้า….ฮึก ” เขาร้องไห้พร่ำพูดไปแทบไม่เป็นคำ แม้ว่าชีวิตนี้จะรู้สึกไร้ค่าแล้ว และแน่นอนว่ามัจจุราชอยู่ตรงหน้า แต่เขากลับรู้สึกกลัวที่จะตาย….
“ ใจเย็นก่อน ข้าก็บอกแล้วว่าข้าไม่ฆ่าเจ้---- ” ไม่ทันจะได้อธิบายจบก็โดนโวยวายแทรกขึ้นมา พอเสียงโวยวายเงียบไปและจะอธิบายต่อก็โดนโวยวายขึ้นแทรกอีกวนลูปไปจนรู้สึกมีน้ำโหขึ้นมา
“ โว้ย! หยุดก่อนสิว้อย!! ” เมื่อมีน้ำโหก็ฟิวส์ขาดตะคอกใส่เสียงดังจนเงียบไปได้ พอคิดได้ว่าดูไม่เหมาะจึงรีบคว้าตัวเด็กน้อยเข้ามากอดไว้ในอ้อมอก
“ …….ใจเย็นๆนะ ฟังข้าพูดให้จบก่อน ” น้ำเสียงดูอ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัดพร้อมฝ่ามือที่ยกขึ้นลูบหัวอย่างแผ่วเบา เด็กน้อยร้องไห้สะอึกสะอื้นเงียบๆ ไม่ได้สัมผัสมันมานานแค่ไหนแล้วนะหลังจากโดนไล่ออกจากบ้านมา
….ที่เขาโดนลูบหัวน่ะนับครั้งได้เลยทีเดียว มันน้อยมากจริงๆ…..
“ อย่างแรก เจ้าโดนไล่ล่ามาเหรอ? ” คำถามนี้เด็กน้อยพยักหน้าให้เบาๆก่อนกำแขนเสื้อของคนตรงหน้าเอาไว้แน่นราวกับกำลังหวาดกลัว
“ …..ไม่มีที่ให้กลับไปแล้วสินะ ” ถามอีกเด็กน้อยก็ยังหยักหน้าให้แทนคำตอบอีกเพราะไม่อยากปริปากพูดอะไรออกไป ยอมรับว่ายังกลัวตอนที่โดนตะคอกใส่อยู่เลย
“ หึ…..น่าเวทนาจริงๆ ” ปีศาจผมแดงผู้นั้นหัวเราะหึๆก่อนยีหัวเด็กในอ้อมกอดด้วยความหมั่นไส้ปนเอ็นดู
“ ข้าคิดว่าข้า….ควรจะตายๆไปซะ…. ” เด็กคนนั้นเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นกลัวปนสั่นเพราะร้องไห้ เขายิ่งกำแขนเสื้อของคนตรงหน้าไว้แน่นขึ้นอีกและตัวสั่นระริกเหมือนลูกนก
“ เจ้ายังตายไม่ได้ตอนนี้หรอกน่า หึหึ ” ปีศาจร้ายเผยรอยยิ้มมุมปากออกมาพร้อมเสียงหัวเราะแล้วคลายอ้อมกอดออกปล่อยให้ร่างเล็กเงยหน้ามองด้วยดวงตาที่เคล้าหยาดน้ำตาตาปริบๆ
“ เรียกข้าว่าพ่อซะสิ เจ้าอาจจะปลอดภัยก็ได้นะ ” ไม่ว่าเมื่อไหร่คำพูดของปีศาจก็ไม่มีความน่าเชื่อถือ แม่ของเขาเคยพูดให้ฟังบ่อยๆ แต่ในตอนนี้เขาที่ไม่มีที่ไปแล้ว คำพูดของปีศาจตรงหน้าจึงน่าเชื่อถือขึ้นมาอย่างน่าประหลาด….
“ ……...อ ” เขาดูอ้ำอึ้งๆที่จะเอ่ยออกไป ช่วยบอกเขาทีว่าเขายังไม่ได้เป็นปีศาจเต็มตัวใช่มั้ย…..
มันส่งไปไม่ถึงใครเลยนี่สิ เสียงของเขาจากก้นบึ้งของจิตใจแบบนั้น….เด็กแบบเขาไม่อาจยอมรับมันได้แม้ว่าจะเห็นหลักฐานไปแล้วผ่านเงาสะท้อนบนผิวน้ำก็ตาม….
“ ไปทำยังไงให้หักล่ะเนี่ย น่าสงสารจริงๆ ” ระหว่างที่รอ ปีศาจตนนั้นก็ลูบเขาข้างที่หักไปอย่างแผ่วเบา แม้มันจะเจ็บแต่กลับรู้สึกว่าสัมผัสนั้นมันช่างอ่อนโยนเหลือเกิน….
ความรู้สึกแปลกประหลาดจริงๆ….เขาค่อยๆคลานเข้าไปใกล้แล้วยกมือขึ้นกุมมือของคนที่ลูบหัวตนอยู่ก่อนพูดด้วยเสียงแผ่วเบา
“ ท่านแม่….. ” คนได้ยินทำหน้าเหวอไปพร้อมอาการหน้าแดงจางๆอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“ ให้เรียกพ่อไม่ใช่หรือไง…. ” ถึงแบบนั้นก็ยังค้านแล้วพูดย้ำ ต้องพ่อสิ เขาจะไม่ไปเป็นแม่ใครทั้งนั้น ก็ผู้ชายนี่เฮ้ย!
“ ท่านแม่…. ” ก็ยังจะเรียกเหมือนเดิมอยู่ดีพร้อมกุมมือแน่นขึ้นอีก ความรู้สึกเหงาและเจ็บปวดของเด็กน้อยที่ส่งผ่านมาทำเอาอดที่จะระบายรอยยิ้มอย่างอ่อนโยนออกมาไม่ได้
“ …...ช่างเถอะ ” เขาชักมือออกก่อนอุ้มเด็กคนนั้นขึ้นมา ร่างเล็กมองอย่างไม่เข้าใจเท่าไหร่นักแต่ก็ยอมอยู่นิ่งให้อุ้ม
“ ไปกันเถอะ…. ” ว่าแล้วก็เริ่มก้าวเดินออกห่างจากจุดนั้น….จนลับสายตาไป….
“ มีแค่คิโดมารุกับเด็กที่ท่านไปฟันสาวมายังไม่พออีกเหรอ!!? ” แว่วเสียงสี่สหายยักษ์ผู้เป็นพี่เลี้ยงเด็กให้เป็นว่าเล่น
.
.
.
ชีวิตวันๆก็ดูจะผ่านไปอย่างสงบ หลายร้อยปีกับพัฒนาการที่เติบโตขึ้นของเหล่าปีศาจน้อยใหญ่ที่มีกันอยู่ภายในกลุ่มใหญ่ของยักษ์แห่งหุบเขาโอเอะ
ทุกตนล้วนเติบโตขึ้นและดับสูญกันไปทั้งสิ้น ไม่ว่าจะดับสูญเองหรือแม้แต่ถูกองเมียวจิกำราบ และแน่นอนว่าอย่างหลังทำให้ราชันย์ผู้อยู่สูงสุดนี้หงุดหงิดไม่เว้นแต่ละวัน
วันนี้เองก็เช่นเคย หลังจากที่ได้ยินรายงานจากคานะกุมะ โดจิซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ยักษ์ที่มีอำนาจรองลงมาบอกว่ามีหนึ่งในสมุนถูกองเมียวจิปราบไปก็หงุดหงิดจนแทบจะบีบจอกสุราแหลก
“ ท่านพ่อ มีเรื่องอะไรอีกงั้นหรือ ” ร่างของเด็กหนุ่มผมสีขาวยาวฟูสยายเดินไปเข้าใกล้พร้อมเอื้อมมือที่ดูราวกับมือของปีศาจทั้งสองข้างไปกุมมือผู้เป็นดังพ่อเอาไว้
ดวงตาสีดอกไอริสตวัดลงมองปีศาจน้อยที่เข้ามาถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงแบบนั้นทำให้ความหงุดหงิดมลายหายไปสิ้น เขาระบายยิ้มออกมาบางๆแล้วส่ายหน้าไปมา
“ ข้าไม่เป็นไรแล้ว….. ” เสียงที่ตอบกลับมาช่างอ่อนโยน ก่อนที่เด็กหนุ่มอีกคนจะเดินเข้ามาหาบ้าง เรือนผมสีแดงเพลิงและโครงหน้าที่ราวกับราชันย์ผู้นี้นั้นเป็นตัวชี้บอกได้ดีว่ามีความเกี่ยวข้องฉันท์สัมพันธ์กัน
“ ท่านพ่ออย่าหงุดหงิดบ่อยสิขอรับ พวกท่านพี่เป็นห่วงนะขอรับ ” เด็กคนนั้นพูดพลางเดินเข้ามาเกาะแขนของยักษ์ผมแดงเอาไว้แล้วมองไปที่ยักษ์ผู้ได้เป็นพี่เลี้ยงเด็กจำเป็นหลายหนจนเอียน
เมื่อมองตาม สี่ยักษ์ก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แยกกันทำอย่างอื่นจนคำว่ามีพิรุธแทบไม่เพียงพอที่จะใช้เรียกได้เลย
ราชันย์ยักษาหลุดคำพรืดออกมาทำเอาสี่สหายยักษ์แอบหลุดขำตาม บรรยากาศน่ากลัวเมื่อครู่ปลิวหายไปกับสายลมทันที
“ ขอบใจพวกเจ้ามากแล้วกัน ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว ” เขาเอ่ยเสียงนุ่มพลางคลี่ยิ้มออกมาอย่างอบอุ่น….ดีแล้วแหละแบบนี้….
“ เมื่อไหร่จะเลิกเครียดบ่อยๆเสียทีเล่าท่านชูเทน อายุก็ปูนจะรุ่นพ่อข้าแล้วนา เดี๋ยวแก่ไวหรอก ” ปีศาจยักษ์หนุ่มหนึ่งในสี่เอ่ยแซว ดูเขาจะเป็นคนที่ห้าวเป้งที่สุดในบรรดาสี่คน และที่สำคัญ ยังชอบแซวผู้นำตัวเองค่อนข้างบ่อยซะด้วย….
“ ถ้าอายุข้าพอๆกับพ่อเจ้า เจ้าจะมองข้าเป็นพ่ออีกคนก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ ” เมื่อโดนแซะ ชูเทน โดจิถอนหายใจอย่างปลงๆก่อนแซะตอบไปอย่างรู้นิสัย
“ ว้าย แห้วไปหนึ่งดอก ” ปีศาจยักษ์หนุ่มอีกคนโพล่งขึ้นมาพร้อมปรบมือแปะๆอย่างชื่นชมก่อนจะกลับไปเล่นโชกิกับปีศาจยักษ์หนุ่มอีกตนที่นั่งตรงหน้าต่อ
“ ว่าแต่ว่า ท่านพ่ออายุเท่าไหร่หรือขอรับ ข้าเห็นท่านโทระกุมะพูดแบบนี้มาหลายหนแล้ว ” ด้วยความอยากรู้อยากเห็นของเด็กทั้งสองที่เงียบฟังผู้ใหญ่แซะกันมาครู่หนึ่ง เด็กหนุ่มผมสีขาวฟูนุ่มก็เอ่ยถามออกมาอย่างใคร่รู้
“ เขาอายุคราวพ่อพวกข้า แล้วพวกข้าเป็นเหมือนลุงของพวกเจ้---แว้ก!! ” ไม่ทันที่โทระกุมะ โดจิจะได้สนธยายจบก็โดนจอกสุราเขวี้ยงใส่หัวทำเอาหลบแทบไม่ทัน
“ อิบารากิ คิโดมารุ ข้าว่าไม่ต้องถามเรื่องอายุจะดีกว่านะ ฮ่าๆ ” คานากุมะ โดจิว่ากลั้วหัวเราะ ส่วนชูเทน โดจินั้นนั่งยิ้มเชือดเฉือนให้กับลูกน้องของตัวเองทำเอาขนลุกพรึ่บกันเป็นแถว
“ กลัวว่าตัวเองจะดูแก่ไง ไม่แปล---เห้ย เห้ย! ขอประทานอภัยขอรับลวกเพ่! กรี๊ดดดด!! ”
.
.
.
.
เวลาที่ผ่านผันเลยไปทำให้ปีศาจน้อยตนนั้นเติบโตขึ้นเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น…..ทุกสิ่งทุกอย่างเองก็เปลี่ยนไปเหมือนกัน
“ ท่านพี่คิโดมารุดูสนใจในการล่าสัตว์ดีนะขอรับ ” เสียงของเด็กวัยแตกหนุ่มเอ่ยขึ้นกับผู้ที่เดินนำหน้าตนอยู่ เขาหันกลับมาก่อนจะเลิกคิ้วเล็กน้อย
“ ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไงกัน จะทำอะไรก็ทำไปเถอะ ข้าก็ปล่อยแบบนี้อยู่แล้ว อีกอย่างมีเจ้าพวกนั้นติดสอยหอยท้ายไปด้วยคงไม่ไปพลาดกับใครหรอกมั้ง ” ชูเทน โดจิว่าพลางไหวไหล่อย่างที่ชอบทำบ่อยๆ
“ แต่เถลไถลนั่นก็ไม่แน่นะขอรับ…. ” อิบารากิ โดจิหัวเราะแหะๆหลังพูดจบ เพราะเท่าที่เขาสังเกตแล้วดูจะกลับกันไม่เป็นเวลาซักเท่าไหร่นัก คงไม่พ้นไปเถลไถลแน่นอน
“ ก็ยังดีกว่าโดนใครที่ไหนมาฆ่าเอาอยู่ดึนั่นแหละน่า…. ” ทางฝ่ายคู่สนทนาเริ่มกดเสียงต่ำลงเล็กน้อยแล้วส่งเสียงจิ๊จ๊ะอย่างไม่ชอบใจเท่าไหร่นัก
“ ขออภัยขอรับ…..ว่าแต่….. ” อิบารากิที่ทำท่าจะถามนั้นได้ชะงักลงไปเพราะไม่แน่ใจจะถามดีหรือเปล่า เห็นได้ชัดจากท่าทีเหมือนกำลังคิดหนักของเด็กคนนั้น
“ หืม? ” คนรอคำถามเอ่ยขานในลำคอพร้อมส่งสายตาเร่งจนอดสะดุ้งไม่ได้
“ ม-ไม่….ไม่มีอะไรแล้วขอรับ ” เขาก้มหน้ามองพื้นพลางเม้มปากแน่นจนคนตรงหน้าถอนหายใจเฮือกใหญ่พอที่จะทำให้เขาแทบผงกหน้าขึ้นมอง
“ จะพูดอะไรกับข้าก็รีบๆพูดรีบๆถามมาเถอะ ก่อนจะไม่มีข้าอยู่แล้ว….. ” แม้น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาจากปากคนตรงหน้านั้นจะเรียบนิ่งแต่มันกลับปวดร้าวเหลือเกิน….
ยิ่งมีชื่อเสียง หรือแม้แต่พลังอำนาจมากเท่าใด ความปลอดภัยในชีวิตยิ่งเท่ากับศูนย์….แม้จะมีชีวิตเป็นนิรันดร์ก็ตามแต่…..
นั่นคือสิ่งที่ราชันย์ปีศาจอย่างเขาในช่วงนี้ระลึกถึงเสมอ…..
“ ถ้า….ถ้าถึงเวลานั้น ข้าก็อยากจะปกป้องท่าน…. ” อิบารากิ โดจิรีบช้อนหน้าขึ้นสบตากับชูเทน โดจิแทบจะทันที
แต่เพียงพริบตาเดียวก็ราวกับร่างถูกกระชากเข้าไปหาอ้อมกอดของคนที่เปรียบเสมือนพ่อของตน เมื่อมองกลับไปก็พบกับโยวไคต่างถิ่นตนหนึ่งที่ประสงค์ร้ายพุ่งเข้ามาหาเขา
ทว่ากลับถูกเปลวเพลิงของคนคนนี้แผดเผาจนมลายหายสิ้นเป็นธุลี
“ ข้าดีใจนะที่ได้ยินเจ้าพูดแบบนี้ ฮะๆ ไว้ข้าจะรอดู ในตอนนี้ข้ายังต้องปกป้องเจ้าอยู่งั้นสินะ~? ” ปีศาจผู้ยิ่งใหญ่หัวเราะอย่างชอบใจปล่อยให้เด็กหนุ่มเงยหน้ามองตาปริบๆราวกับเมื่อกี้มันแค่เพียงพริบตาเดียว
“ แล้ว….เราจะไปไหนกันแน่หรือขอรับ….? ”
“ นั่นสินะ…..อืมมมม ถ้าเจ้าบอกอยากจะปกป้องข้า งั้นข้าก็มีความคิดดีๆแล้วล่ะว่าจะไปไหน ”
“ …..หา? ”
.
.
.
.
หากว่าสถานที่ซักที่ หากแม้จะใหญ่โต แต่พอไร้ซึ่งผู้คนมันก็ดูเงียบเหงาเหลือเกิน….
หลังจากที่เข้าไปเมืองเกียวโตและจับลูกคุณหนูนางหนึ่งมาได้ก็ดูเหมือนจะครึกครื้นกันขึ้นมามากกว่าเดิม…..นิดหน่อยในสายตาของราชันย์ผู้นี้น่ะนะ….
วันนี้ก็ไม่รู้เพราะอะไร ถึงพวกคิโดมารุจะตามกันไปล่าสัตว์หรืออะไรก็ช่างเขาก็คิดว่ามันปกติ แต่อิบารากิที่มักอยู่เคียงข้างเขาเสมอวันนี้กลับหายไปเลยทำให้มันดูเงียบเหงากว่าที่ควรจะเป็น….
ถึงจะบอกจะกล่าวแล้วก็ตามว่าไปไหน แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะกังวลใจจริงๆ….
ตั้งแต่ช่วงเช้าที่เขาสังเกตเห็นอะไรแปลกๆในความฝันแล้วล่ะมั้ง….ดูมันเป็นลางร้ายเอามากๆ….ที่สำคัญ มันทำให้กังวลใจมาจนถึงตอนนี้ แม้ว่าจะยังมีพวกลูกน้องของเขาอยู่ด้านนอกอีกมากมายก็ตาม
อาจจะเงียบเฉพาะแค่ข้างใน….
เวลาก็เดินไปตามปกติเรื่อยๆแต่ไม่รู้ทำไมความรู้สึกไม่ดีมันกลับเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆและทำให้เวลามันเร็วขึ้น เผลอแว๊บเดียวก็น่าจะเป็นช่วงที่อิบารากิบอกจะกลับมาแล้ว…
เวลานี้ จู่ๆก็กลับมีเสียงกรีดร้องโหยหวน เสียงลงคมดาบ หรือแม้แต่กลิ่นคาวเลือดที่โชยมา ซึ่งมันเหมือนกับเป็นนิมิต….แต่ก็ทำเอาสะดุ้งเฮือกเหมือนกัน
บางอย่างตะโกนก้องในจิตใจว่าสิ่งที่กังวลนั้นเป็นความจริง แต่เขากลับไม่ได้แสดงท่าทีหวาดกลัว และไม่มีความคิดว่าจะหนีเลย
ได้แต่ถอนหายใจออกมาเงียบๆ สายตาจับจ้องไปที่บานประตู เพียงอึดใจก็มีสมุนของเขาคนหนึ่งเปิดเข้ามาและบอกมีคนขอมาเข้าพบ
แน่นอนว่าทางเลือกมันคงจะมีเพียงอย่างเดียวนั่นก็คือออกไปเผชิญหน้า….อย่างที่คิดว่าเป็นกลุ่มคน6คนตามที่เห็นในฝัน ถึงมันจะเป็นภาพเลือนลางก็ตาม
“ ขออภัยด้วยที่มารบกวนในเวลานี้ ท่านชูเทน โดจิ พวกข้าเป็นขบวนพระธุดงค์ที่ผ่านมาระแวกนี้เท่านั้น เพื่อไม่เป็นการเสียมารยาทและขอผ่านทาง พวกข้าพึ่งได้สุรารสเลิศติดมือมา จึงตั้งใจจะนำมันมามอบให้ท่านได้หรือไม่ ”
หนึ่งในขบวนพระธุดงค์เอ่ยพูดเปิดประเด็นอย่างเป็นทางการ พวกสมุนปีศาจน้อยใหญ่ที่ได้ยินต่างหูผึ่งกับคำว่าสุรารสเลิศ แต่ลึกๆก็คอตกไปตามๆกันเพราะคิดว่าคงโดนหัวหน้าของตัวเองริบไว้เพียงผู้เดียวอีกแน่นอน แต่พวกมันกลับคิดผิด
“ อ่า….ข้าก็ไม่ได้ใจร้ายอะไรขนาดนั้น งั้นก็นำมันไปแจกจ่ายให้กับสมุนข้าเถอะ ข้าไม่ค่อยอยากเท่าไหร่ ” แม้ว่าภาพในความฝันหลายอย่างจะเบลอ หลายสิ่งจะเลือนลาง และไม่มีอะไรปะติดปะต่อกันได้ แต่เท่าที่เขาเห็นคือกลุ่มคนที่มาเยือน และต่อไปคือศพของตัวเองตอนโดนตัดหัวแล้วเท่านั้น
ซึ่งเขาก็ไม่รู้หรอกว่าจะก่อนสังหารจะเกิดอะไรขึ้น แม้แต่แผนในการสังหาร แน่นอนว่ามันทำให้เขาแอบระแวงสุรานี้อยู่เหมือนกัน
พลางมองสุราที่ถูกนำไปแจกจ่ายอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหันหลังเดินเข้าไปในที่พำนักของตัวเอง
ไม่ทันจะได้กลับไปคิดอะไรต่อก็มีหนึ่งในพระรูปหนึ่งเดินเข้ามาสนทนาด้วยพร้อมจอกสุราหนึ่งจอกที่มีสุราบรรจุอยู่เกือบปริ่มถ้วย
“ ท่านจะไม่ลองซักหน่อยหรือ อย่างน้อยก็ซักจิบเพื่อเป็นหลักฐานยืนยันก็ได้ว่าท่านให้พวกเราผ่านไปจริงๆ ” มันทำเอาคนฟังถึงกับถอนหายใจอย่างปลงๆ
ตื้อจริงๆ….
“ ข้าไม่อยากเท่าไหร่น่ะวันนี้….ขอโทษด้วย ” เขาส่ายหน้าปฏิเสธ
“ ทำไมดูท่านเหมือนไม่สบายใจเช่นนั้นเล่า เท่าที่ข้ารู้มา ท่านชอบสุรามากมิใช่หรือ ” พระรูปนั้นยังคงตื้อต่อเหมือนพยายามทำให้ดื่มให้ได้
“ เรื่องของข้า…. ” ชูเทน โดจิตอบตัดบทไปห้วนๆ แต่ดูเหมือนยังไม่มีการยอมแพ้เกิดขึ้น
“ อย่าพูดเช่นนั้นสิท่านชูเทน โดจิ อย่างน้อยก็ช่วยจิบซักหน่อยเถิดหากเห็นใจใยุษย์อย่างข้าแล้ว ” ไม่ว่าเปล่า ร่างที่เดินเข้ามาใกล้นั้นยื่นจอกสุราให้พร้อม
“ ทำไมข้าต้องเห็นใจ? ” เมื่อได้ยินดังนั้น ราชันย์ยักษาแทบจะพูดสวนไปทันควันเลยด้วยซ้ำไป
“ ซักหน่อยเถิด เพราะสมเพชก็ยังได้ ซักจิบเดียวเพื่อแสดงว่าให้ผ่านไปจริงๆ ” ความดื้อดึงเช่นนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่ชอบแม้แต่น้อย….ด้วยความรำคาญ มือเรียวถูกยื่นไปรับจอกสุรานั้นมามองเหมือนกำลังสำรวจ…
เพียงแค่แว๊บเดียวที่ปรายตามองเท่านั้น….ยาพิษ…..ฉับพลันความคิดในจิตใจก็แล่นสวนขึ้นมาทันทีว่าถ่วงเวลามากกว่านี้ไม่ได้แล้ว…..
ถ้าอิบารากิกลับมาถึงตอนนี้ล่ะก็แย่แน่ๆ….และมันอาจจะลามไปถึงพวกคิโดมารุด้วย….
พอจะประติดประต่อเรื่องลางฝันนิมิตนั้นได้แล้วว่าเขาต้องตายเพราะอะไร….
“ ฟุ…. ” ปีศาจผู้นั้นเค้นเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ เขาเชื่อว่าคงใช้พลังจัดการได้หมด….แต่ถ้าเจ้าพวกนั้นมีอาคมมาสะกดนั่นก็ไม่แน่….
เพราะความคิดนั้น เขาค่อยๆยกจอกเหล้าขึ้นจิบ เพียงอึกแรกก็ทำเอาแทบสำลัก...พิษที่ผสมมาดูรุนแรงกว่าที่คิดค่อนข้างมาก…
“ พอแล้วใช่มั้ย…? ” เอ่ยถามพลางลดจอกสุราลงต่ำ ทว่ามันน่าแปลกที่เพียงแค่อึกเดียวมันไม่ได้ออกฤิทธิ์น้อย แต่มันกลับออกฤิทธิ์มากกว่าที่คิดไว้มาก…
ดูเขาจะประมาทไปหน่อย…
“ ข้าเคยได้ยินมาว่าท่านเป็นบุตรของยามาตะ โนะ โอโรจิ เป็นเรื่องจริงหรือไม่ ” เมื่อเห็นว่าสุรานั้นถูกกลืนลงไปแล้วพระธุดงค์รูปนั้นก็เริ่มชวนคุยต่อทันที
“ …..เจ้าจะรู้ไปทำไม? ” ทางด้านของราชันย์ผู้จนมุมถามสวนกลับไปอย่างไม่ชอบใจนัก
“ ตอบข้าซักหน่อยเถิดท่านชูเทน โดจิ ” ทางฝ่ายของพระธุดงค์ก็ยังคงตะตื้อไม่เลิกอีกเช่นกันจนต้องถอนหายใจเฮือก
“ ใช่ พ่อข้าเป็นงูแปดเศียรและมารดาข้าเป็นหญิงชาวมนุษย์ แต่คงพูดไม่เต็มปากนัก เพราะยังไงซะปีศาจเช่นนั้นก็คงไม่ได้ตั้งใจอยากให้ใครต้องเกิดมาแย่งชิงพลังหรืออำนาจของตนไปแน่นอน ” และแน่นอนว่าหากฆ่าได้ก็คงฆ่าไปแล้ว...เขาคิดว่าแบบนั้น ขนาดคนเป็นแม่เองก็ยังรับไม่ได้จนทิ้งเขาไว้กับพระให้เป็นสามเณรอยู่เลยนินะ…
“ แปลว่าท่านเป็นครึ่งปีศาจ? ” ฝ่ายพระธุดงค์ถามต่อ เหมือนในใจลึกๆจะเหมือนกำลังคิดอะไรซักอย่างที่ดูแล้วไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน
“ ตอนนั้นใช่ ตอนนี้ไม่แน่ ” ราชันย์ปีศาจเค้นเสียงหัวเราะออกมาก่อนจะเม้มปากแน่นแล้วออกอาการสะดุ้งกับพิษที่เริ่มลามทำเอาหายใจไม่ค่อยออก
แต่ดูเหมือนว่าพระธุดงค์รูปนั้นจะดูอาการออก เขารีบยันตัวลุกขึ้นแล้วชักดาบซามูไรที่ซ่อนไว้ใต้ชุดออกมาตั้งการ์ดทันที
“ ชิ…. ” ชูเทน โดจิสบถออกมาเบาๆแล้วรีบยันตัวลุกขึ้นบ้างพร้อมขว้างจอกสุราใส่ผนังอย่างแรงจนมันแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
ดูเหมือนพวกด้านนอกจะหลับกันและเหมือนว่าจะโดนจัดการไปหมดแล้ว….จัดว่ามนุษย์กลุ่มนี้ฝีมือไม่เลวเลย เขาเดินก้าวถอยออกมาพร้อมๆกับม่านควันพิษจางๆที่ถูกปล่อยออกมาลอยอบอวลไปทั่ว
ฉับพลันนั้นเอง คมดาบก็ถูกพุ่งตรงเข้ามาหาเป็นแนวขนานกับพื้น เขาเบี่ยงตัวหลบและยื่นมือไปคว้าข้อมือซามูไรในคราบพระธุดงค์คนนั้นก่อนจะออกแรงบิดมันและยกขึ้นขึงไว้ให้ดาบถูกปล่อยร่วงลงกับพื้น
ทว่าในเวลาเดียวกันนั้นเองก็มีใบดาบอีกเล่มที่พุ่งสวนเข้ามาทำเอาเขาต้องจับซามูไรคนที่ตนล็อคแขนเอาไว้เขวี้ยงไปหาจนผู้มาใหม่เสียหลักล้มลงแล้วถอยห่างออกไปหลายก้าว
“ อย่างที่นิมิตข้าบอกไว้…. ” น้ำเต้าปีศาจคู่กายลอยมาหาเจ้าของด้วยความรวดเร็ว ดวงตาสีไอริสกวาดมองอีกสี่คนที่พึ่งกุลีกุจอเข้ามา ในมือถือดาบเอาไว้ขัดกับรูปลักษณ์ที่ยังอยู่ในชุดนักบวชเสียสนิท
“ เจ้าทำเรื่องชั่วร้ายอย่างไม่น่าให้อภัยมามากแล้ว ราชันย์ปีศาจ ชูเทน โดจิ วันนี้ให้ข้าได้พิพากเจ้าด้วย ” หนึ่งในสี่ที่ดูเหมือนจะเป็นผู้นำกลุ่มเอ่ยขึ้นพลางชี้ปลายดาบมาที่เขา
“ ฮะๆ ” เขาหัวเราะออกมาอย่างขบขัน ก่อนจะลอบสั่งการสู่น้ำเต้าปีศาจของตน
“ หากข้ายอมง่ายๆข้าก็ไม่ใช่ปีศาจผู้ยิ่งใหญ่น่ะสิ และที่สำคัญ…. ” ลูกไฟถูกพ่นออกมาใส่เหล่าซามูไรที่อยู่รอบบริเวณ แม้เขาจะค่อนข้างสู้ไม่ถนัดเท่าไหร่เพราะไม่ค่อยสบายตัวจากพิษก็ตาม…
“ ไม่ได้มีใครที่อยากเป็นปีศาจหรอกนะ…. ”
.
.
.
.
ขณะเดียวกัน อิบารากิ โดจิที่พึ่งกลับจากการสะสางปัญหาบางอย่างก็รีบเดินทางกลับให้เร็วที่สุดเพราะรู้สึกไม่ดีบางอย่าง
ไม่นานนักก็กลับมาถึง เพียงแต่ไม่ได้กลับเข้าไปในทิศที่มักมีใครผ่านเข้าออกตลอดเวลาจึงรู้สึกว่ามันเงียบผิดปกติ
เมื่อใช้ทางลอบที่มักใช้ลัดเข้าไปที่พำนัก สิ่งแรกที่เห็นคือข้าวของที่เละเทะและม่านพิษคลุ้งเต็มไปหมด
เมื่อมองผ่านไปแล้วจะเห็นผู้ที่เป็นจ้าวชีวิตของเขากำลังต่อสู้อยู่กับกลุ่มคน ไวกว่าความคิด เขาจะพุ่งเข้าไปช่วย แต่กลับโดนราชันย์ผู้นั้นเหลือบมาเห็นผ่านม่านพิษซะก่อน
เบื้องหน้าของยักษ์ผมขาวคือบางสิ่งที่เหมือนเขตแดนอาคมทำให้ไม่ว่าทำยังไงก็ผ่านมันออกไปไม่ได้เลย และเหมือนว่ามันจะทำให้มนุษย์มองไม่เห็นเขาที่อยู่ด้านใน
ในตอนนั้นเขาแทบบ้า แต่ก็รู้ว่าต่อให้ใช้พลังก็คงทำลายเขตแดนนี้ออกไปไม่ได้ ประจวบจังหวะเหมาะกับเพราะการที่ชูเทน โดจิหันมาสนใจเขานั่นทำให้พลาดท่า
และแน่นอนว่าด้วยต่อสู้ที่ยืดเยื้อ ยิ่งทำให้พิษออกฤิทธิ์จนทำให้ที่พลาดท่าอยู่แล้วพลาดจนเสียหลักลงไปนอนวัดพื้นอย่างง่ายดาย
กลุ่มซามูไรไม่รอช้า รีบกระหน่ำปักดาบลงกับพื้นข้างตัวปีศาจผู้พลาดท่านี้แทบจะทันที สองคมดาบถูกกดลงไขว้กันที่ลำคอจนดูน่าหวาดเสียว
“ ฟุ พลาดจนได้ น่าสมเพชจัง…. ” ชูเทน โดจิเค้นเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ ให้พูดตามตรง สภาพตอนนี้ก็ไม่ได้เต็มร้อยเท่าไหร่ น้ำเต้าปีศาจก็ดูสภาพไม่ต่างกันจนต้องไปกองกับพื้น
“ หยุดพูดคำพูดน่ารังเกียจนั่นเดี๋ยวนี้! ” ปลายดาบเล่มงามของผู้นำกลุ่มซามูไรถูกชี้มาจ่อหน้าร่างที่นอนอยู่ แต่ร่างนั้นหาได้กลัวไม่ เขาหัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงกลัว
“ เอาสิ ตอนนี้ข้าสู้ไม่ได้แล้วนิ เจ้าจะพูดอะไรก็ได้ถูกมั้ย จะหัวเราะเยาะก็ได้นะ? ” คำพูดคำจานั้นดูปากดีจนน่าหมั่นไส้ แม้ว่าสภาพจะร่อนเร่เต็มที่จากอาการหายใจติดขัดและดวงตาที่เริ่มพร่าบ้างแล้วนั้นมันยิ่งไปปลุกให้เหล่าซามูไรหัวหมุนจนแทบจะรุมฆ่าเอาซะตอนนั้น
ไม่...สิ่งที่ข้าคิดไม่เป็นจริงใช่มั้ย
เสียงที่ดังก้องในหัวคนที่จำใจต้องทนดูอย่างอิบารากิ โดจิตะโกนก้องอย่างปวดร้าวเมื่อดาบเล่มใหม่ถูกชักออกมาจากฝัก
“ ทั้งที่ปีศาจอย่างข้ามิเคยโป้ปดหลอลวงใครแท้ๆ….แต่พวกเจ้าเป็นมนุษย์กลับพูดจาโป้ปดหลอกลวง ช่างน่าขัน… ” เพราะเป็นมุมที่มองเห็นกัน นัยย์ตาคมที่ตวัดปรายมามองสมุนของราชันย์ผู้นั้นที่ยืนนิ่งอยู่เพราะทำอะไรไม่ได้….มันช่างดูอวดดี แต่ก็ช่างแฝงไปด้วยความปวดร้าวและคำจากลาที่ส่งผ่านมา
คมดาบถูกตวัดกวัดแกว่งเข้าหาลำคอเรียวพร้อมกับหยาดน้ำตาใสที่ค่อยๆไหลหยาดหยดของอิบารากิ โดจิที่ช่วยอะไรไม่ได้นั้น เสียงที่ได้ยินสุดท้ายคือเสียงหัวเราะเบาๆ
“ ฟุ… ”
ฉัวะ!
เสียงคมดาบตัดผ่านลำคอนั้นไป ศรีษะกลิ้งหลุดออกจากบ่า เลือดได้ไหลนองโชลมทั่วพื้น กลิ่นคาวช่างอบอวล….
ร่างของเขาทรุดลงกับพื้น ทั้งช็อคและอึ้งรวมถึงรู้สึกผิดที่ช่วยอะไรไม่ได้เลยทั้งที่อยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆ
แม้ว่าผู้ใช้พลังจะเสียชีวิตไปแล้ว อาคมเขตแดนนั้นกลับไม่เสื่อมคลายหรืออ่อนลงเลย สมกับเป็นอาคมซึ่งราชันย์เป็นผู้ใช้…
ไม่รู้ว่าเงียบร้องไห้อยู่ตรงนั้นนานแค่ไหน แต่ก็คงซักพักเพราะสัมผัสได้ว่ากลุ่มคนเหล่านั้นออกไปแล้วและดูเหมือนจะมุ่งหน้าไปปล่อยเหล่าผู้คนที่ถูกจับมาอยู่
เสียงกระดิ่งดังแว่วตามสายลม เขารีบผงกหัวขึ้นมองหาต้นเสียงก็พบกับเขตแดนที่ค่อยๆสลายไป แต่สิ่งแรกที่เขาทำไม่ใช่การออกไปจัดการกับคนพวกนั้น
ร่างของยักษ์ผมขาวถลาพุ่งเข้าไปหาร่างที่นอนนิ่งไร้วิญญาณและไร้หัว เขาเม้มปากแน่นพยายามที่จะไม่ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง
และแน่นอนว่าเขาคุมสติตัวเองได้พอที่จะไม่ฟูมฟาย….ถึงแบบนั้นภาพมันก็ยังติดตาเอามากๆอยู่ดี…
“ …..ท่านพ่อ….ข้า…. ” น้ำเสียงสั่นเครือค่อยๆเอื้อนเอ่ยออกมาพลางมือที่เลื่อนไปกุมมืออันเย็นเฉียบของร่างที่นอนนิ่งอยู่
“ …..ทั้งที่พูดไว้แล้วแท้ๆว่าจะปกป้องท่าน…. ” อิบารากิ โดจิเค้นเสียงหัวเราะออกมาเบาๆแล้วกุมมือนั้นไว้แน่น
“ …..ข้าขอโทษ….. ” คำพูดขอโทษที่พร่ำมาแม้จะรู้เต็มอกว่ายังไงก็ได้แต่พูดพร่ำคนเดียว ถึงแบบนั้นก็อยากจะพูดเอาไว้….
…...ขอโทษที่ช่วยอะไรไม่ได้เลย….ทั้งที่แค่เอื้อมมือแท้ๆ…..
.
.
.
.
ไม่มีเวลาให้อาลัยอาวรณ์นานก็ต้องรีบออกมา แน่นอนว่าพวกมนุษย์ที่ถูกจับตัวได้ถูกปล่อยออกไปหมดแล้ว นั่นคือแผนในการแปลงกายเป็นหญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายร่วมเดินทางกลับไปด้วย
โอกาสครั้งนี้มีเพียงหนึ่งหน ถ้าพลาดแน่นอนว่าเขาต้องตายตามไปอีกคนแน่ๆ
การเดินทางออกไปดูราบรื่นไปด้วยดีไม่มีอะไรติดขัด ซึ่งมันเป็นเรื่องแน่นอน เพราะปีศาจยักษ์ในภูเขาถูกจัดการลงแทบหมดแล้ว
อิบารากิ โดจิในร่างแปลงหญิงสาวได้อาศัยจังหวะที่พักเดินเข้าไปหากลุ่มซามูไรด้วยท่าทางนอบน้อม
“ ข้าได้ยินมาว่าการที่มาช่วยพวกข้าครั้งนี้พวกท่านได้ต่อสู้กับเจ้าปีศาจและนำหัวของมันกลับมาด้วย ข้าอยากจะขอดูหน่อยจะได้หรือไม่เจ้าคะ ” เธอเอ่ยถามเสียงนุ่มพลางระบายยิ้มให้เหล่าซามูไรบางๆ แน่นอนว่าหญิงงามไหนเล่าใครจะไม่เอ็นดู
“ ได้สิ แต่ดูระวังๆหน่อยนะ วาตานาเบะ เจ้าช่วยเป็นคนถือให้นางที เผื่อมันยังไม่สิ้นฤิทธิ์จริงๆ ” หัวหน้ากลุ่มซามูไรอนุญาตพลางออกคำสั่งกับลูกน้องตนให้ไปหยิบห่อผ้าขนาดพอๆกับศรีษะห่อหนึ่งมายื่นให้เธอดู
ทันทีที่ยื่นมาตรงหน้า กลิ่นของเลือดที่แรงและฉุนแตะจมูกทำให้รับรู้ได้ทันทีว่าของในนี้ ใช่แน่นอน….
“ ขอข้าแกะดูเองได้หรือไม่เจ้าคะ ”
“ ไม่มีปัญหาขอรับ ”
เมื่อได้รับอนุญาต เธอค่อยๆเอื้อมมือไปเหนือห่อผ้าแล้วนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะรีบคว้าห่อผ้านั้นมาและถอยหลังออกไปพร้อมการกลับร่างปีศาจดังเดิม
มันสร้างความตกใจและแตกตื่นให้ทุกคนรอบบริเวณไม่น้อย แต่ก็เป็นชายหนุ่มคนเดียวกับที่ยื่นห่อผ้ามาให้ที่ชักดาบออกมาจากฝักตั้งการ์ดต่อสู้
เกิดการปะทะกันขนาดย่อมอีกครั้ง โดยซามูไรบางส่วนได้นำเหล่ามนุษย์ที่พึ่งรอดจากการถูกจับถอยกันออกไปให้พ้นระยะอันตราย
อาจเพราะการต่อสู้ที่ต้องระวังของสิ่งหนึ่งมากเกินไปนั่นทำให้อิบารากิ โดจิระแวงจนพลาดท่าโดนตัดแขนไปข้างหนึ่งโดยชายคนเดิม ทว่านั่นเองกลับทำให้เขาหนีรอดออกมาได้และหายลับไปกับเงาไม้
.
.
.
.
เวลาผ่านไปไวราวกับเป็นเพียงสายลมที่พัดผ่านในฤดูหนาว เพียงชั่วครู่เขาก็กลับมาหาร่างไร้วิญญาณนั้นอีกครั้งก่อนจะวางห่อผ้าลงกับพื้นแล้วทรุดตัวลงใช้มือบีบร่องรอยตัดขาดที่แขนซ้ายแน่น
“ …..ข้ามัน….โง่จริงๆ…. ” เขาพึมพัมให้กับความโง่ของตัวเองที่พลาดท่าจนต้องกลับมาไม่เต็มร้อยแบบนี้….แทนที่จะได้หาวิธีดีๆแท้ๆ….
ยักษ์หนุ่มกัดฟันทนความเจ็บปวดแล้วละมือไปแกะห่อผ้าออก ศรีษะที่ประดับด้วยใบหน้าอันคุ้นเคย ทั้งๆที่รู้ว่าไร้วิญญาณไปแล้วแต่แค่มองใบหน้าเพียงเผิ่นๆกลับไม่ต่างจากการหลับใหลเลย
...ถ้าไม่นับคราบเลือดที่เปรอะไปทั่วและที่ไหลซึมออกมาจากมุมปากนั่น….
สิ้นคิดเลยแฮะ...แบบนี้มันโคตรผิดแผน ไม่ต่างจากพลาดจนตัวตายเท่าไหร่….เขาถอนหายใจก่อนจะเค้นเสียงหัวเราะฝืดๆออกมาในลำคอ
…..แต่พูดงั้นพูดงี้ก็คิดว่าคงเหลือแค่วิธีเดียว…..ถึงจะรู้ว่าไม่ว่ายังไงก็ไม่ควรใช้ แต่ทว่า….
“ …..ชีวิตนี้ข้ามอบให้ท่านแล้ว….. ” อิบารากิ โดจิค่อยๆสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อคลายความกังวลของตัวเอง เด็กอย่างเขาที่พึ่งจะใช้อาคมเพียงไม่กี่ครั้งหากว่าจะเกร็งก็ไม่แปลก ก่อนจะเริ่มพึมพัมบางอย่างออกมา
“ เหล่าปีศาจร้ายแห่งนรกภูมิเอ๋ย หากได้ยินเสียงนี้และได้กลิ่นคาวอันหอมหวาน จงมาตามหามันซะในที่แห่งนี้…. ”
ฉับพลันนั้นเอง บรรยากาศรอบๆก็ราวกับว่าจะถูกย้อมไปด้วยหมอกควันสีแดงฉานและไอดำที่พวยพุ่งขึ้นมาจากพื้น สายตาอาฆาตของปีศาจร้ายที่ถูกเรียกขึ้นมาจับจ้องมองกันไปที่ผู้ทำพิธีกรรมเป็นตาเดียวกัน ทว่าเขาหาได้หวาดหวั่นไม่
“ ขอบูชายัญด้วยเลือดและพลังอำนาจของข้า โปรดจงนำดวงวิญญาณยักษาตรงหน้าข้าขึ้นมาจากการพิพากของยมโลก ณ บัดนี้ ”
สิ้นเสียงก็ได้มีไอดำจำนวนหนึ่งพุ่งตรงมาช้อนศรีษะนั้นลอยไปวางต่อไว้กับร่าง ทว่ากลับมีสิ่งที่น่าเหลือเชื่อเกิดขึ้น
ไอสีดำที่พวยพุ่งเข้าไปแทรกทำหน้าที่เหมือนเส้นด้ายที่เย็บรอยต่อระหว่างศรีษะที่หลุดไปกับร่างได้อย่างน่าประหลาด แต่ยิ่งการเย็บสมบูรณ์ขึ้นมากเท่าใดพลังที่ถูกแย่งชิงหายไปก็สร้างความทรมานให้เป็นทวีคูณ
จนในที่สุดสติก็เลือนลางเหมือนโดนกระชากไปและรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่หัวนั้นได้ต่อเข้ากับร่างอย่างสมบูรณ์แล้ว ทว่าในร่างกายเขานี้กลับรู้สึกราวกับมีบางอย่างถูกแทรกเข้ามา
“ ….ข้า…..ทำมันสำเร็จ….ใช่มั้ย? ” พึมพัมตั้งคำถามกับตัวเอง มือที่เหลือนั้นพยายามยื่นไปหายักษ์ผมสีเพลิงที่นอนสงบนิ่งอยู่ตรงหน้า แต่มันขยับตัวไม่ได้ สติกลับมาเลือนลางฉับพลันอีกครั้งก่อนที่เขาจะล้มลงนอนฟุบพื้นแล้วภาพที่เห็นก็ตัดเป็นสีดำไปซะหมด
.
.
.
.
“ แค่กๆ ” ไม่นานนักเสียงไอโขลกๆก็ดังขึ้นมาจากคนที่คิดว่าน่าจะตายไปแล้วอย่าง ชูเทน โดจิ
เขาสำรอกเลือดออกมายกใหญ่ แม้จะไม่เข้าใจและไม่รู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตาม แต่เมื่อยันตัวลุกขึ้นก็พบอาการปวดหัวจี๊ดเหมือนภาพบางอย่างจะแว๊บเข้ามา
มือเรียวยกขึ้นแตะบริเวณลำคอตัวเองแล้วเบิกตากว้างกับร่องรอยเย็บ….แน่นอนว่าเขาสัมผัสมันได้ว่าไม่ใช่จากฝีมือพวกที่ไม่ใช่ยมโลกแน่นอน….ก่อนจะกวาดสายตาไปรอบๆแล้วเจออิบารากิที่นอนจมกองเลือดอยู่ เมื่อสังเกตไปดีๆก็พบว่าแขนข้างซ้ายถูกตัดออกไป….
“ อึก….ชิ…. ” ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดหาตัวคนร้ายหรือนั่งประติดประต่อเรื่องราว นั่นคือความคิดที่วิ่งสวนเข้ามาในหัวขณะที่คลานเข้าไปนำร่างที่นอนอยู่ขึ้นมาบนตักแล้วเริ่มร่ายอาคมสมานแผลให้
แม้ว่าพลังจะยังไม่ฟื้นตามร่างกายก็เถอะ แต่ยังไงก็อยากจะยื้อ...เพราะเท่าที่ดูก็ยังไม่ตาย...ลมหายใจนั่นเขาสัมผัสมันได้….
แต่ทุกครั้งที่ใช้พลังไปกลับทำให้ตัวเองอ่อนล้าเหลือเกินทั้งๆที่พึ่งฟื้นจากความตายมาไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำไป….
.
.
.
.
ในเวลาเรี่ยๆกัน พวกคิโดมารุที่กลับมาพบว่ามันเงียบผิดปกติก็รีบแจ้นกันเข้าไปทันที ยิ่งเห็นซากสหายของตนที่ถูกจัดการบ้างและหมดสภาพบ้างนั้นยิ่งทำให้รีบกุลีกุจอเข้าไปที่พำนักของเจ้านายตนแทบจะทันที
ในนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดคลุ้งและกลิ่นอายของปีศาจในยมโลกเต็มไปหมด….แต่ก็ลืมสิ่งเหล่านั้นไปได้เลยเมื่อมองไปเห็นชูเทน โดจิในสภาพอ่อนล้าเต็มทนที่พยายามร่ายอาคมรักษาให้กับอิบารากิ โดจิที่บาดเจ็บสาหัส
ไม่ต้องรอใครบอก คานากุมะ โดจิและโฮชิกุมะ โดจิรีบถลาเข้าไปหาแทบจะทันที โดนคานากุมะ โดจินั้นถลาเข้าไปรับร่างของชูเทน โดจิที่เอนตัวล้มมาไว้แนบอก
“ ….คานา….กุมะ…..ฝาก…. ” น้ำเสียงแผ่วเบาอันสั่นเครือเอ่ยออกมาพลางยกมือขึ้นบีบแขนเจ้าของชื่อแน่น ซึ่งตอนนี้เขานั้นมีอาการห่วงเป็นอย่างมาก
“ โฮชิกุมะ! ” คานากุมะ โดจิรีบส่งต่องานให้เพื่อนของตนทันทีเพราะรู้ตัวว่าตัวเองคงทิ้งนายเหนือหัวของตนไปไม่ได้
ซึ่งคนที่ถูกส่งต่องานก็รีบร่ายอาคมสมานแผลให้กับผู้ซึ่งเป็นเหมือนหลานของตนแทบจะทันที
“ ท่านชูเทน เกิดอะไรขึ้นขอรับ? ท่านไหวหรือเปล่า ” คานากุมะ โดจิเอ่ยถามด้วยท่าทีตื่นตระหนกจนดูน่าขันสำหรับยักษ์ที่พับแนบอกนี้ซะเหลือเกิน
“ ก็แค่….มนุษย์...บุกเข้ามา….แล้วเกิดการสู้กัน...นิดหน่อย…. ” ชูเทน โดจิเล่าด้วยเสียงเนิบช้า แต่มันกลับปลุกปั่นอารมณ์เดือดให้กับโทระกุมะ โดจิ คุมะ โดจิและคิโดมารุได้อย่างดีเชียว….
“ …..เจ้ามนุษย์พวกนั้น กล้าดียังไง…. ” คิโดมารุพูดพลางกัดฟันกรอดอย่างเจ็บแค้นแล้วเดินเข้าไปหาพ่อผู้ให้กำเนิดตน
ยิ่งเห็นรอยเหมือนถูกตัดคอแต่ก็ถูกต่อให้ใหม่แบบนั้นทำเอาเขาแทบจะพุ่งออกไปตามฆ่าซะเดี๋ยวนั้น แต่ก็โดนดึงชายเสื้อไว้ก่อนทำให้ต้องเหลียวไปมอง
รอยยิ้มบางๆถูกส่งมาให้อย่างอ่อนโยนทำให้ได้สติกลับมา รวมถึงโทระกุมะ โดจิและคุมะ โดจิก็ด้วย
“ ….ไม่เอา…..พอเถอะ….ข้า….ไม่อยากเสียใครไปแล้ว….. ” ฉับพลันมันกลับเปลี่ยนแปรเป็นหยาดน้ำตาที่ไหลหยดอย่างปวดร้าวแทน
หยาดน้ำตานั่นทำให้โทระกุมะ โดจิเดือดขึ้นมาอีกหนอย่างไม่ทราบสาเหตุจนคุมะ โดจิต้องถอนหายใจแล้วต่อยไปหนึ่งหมัด
“ คุมะ โดจิ----?! ”
“ ไม่ได้ยินหรือไง ท่านชูเทนบอกว่ายังไง มีสติหน่อยสิ! ”
คุมะ โดจิแผดเสียงตวาดทำเอาสะดุ้ง แม้จะไม่ใช่เสียงตวาดดังๆแต่มันกลับดูมีอำนาจเหลือเกินอย่างน่าแปลก
“ แต่พวกมัน…. ”
“ ไม่มีแต่ พอคือพอ ถ้าเจ้าไม่พอข้าคงต้องขอลงมือด้วยเพื่อหยุดเจ้า ”
เป็นคำพูดที่ทำเอาคู่สนทนาต้องปิดปากเงียบไปทันทีแล้วเดินสวนเข้าไปยกมือขึ้นเกลี่ยหยาดน้ำตาออกจากใบหน้าของนายเหนือหัวตน
“ ….ข้าขอโทษ จากนี้ข้าจะพยายามเชื่อฟังท่านให้มากกว่านี้…. ” แม้ว่าในใจลึกๆจะอยากพุ่งออกไปแค่ไหนก็ตาม
“ ท่านชูเทน อิบารากิไม่เป็นอะไรมากแล้วขอรับ แต่….พลังของเด็กคนนี้….. ” โฮชิกุมะ โดจิที่เอาแต่สนใจกับการรักษาระหว่างที่มีคนจะตีกันเอ่ยขึ้นมาแล้วทำหน้าลำบากใจในตอนท้าย
“ ไม่เป็นไร….ขอแค่….ให้ข้าได้รู้ว่าปลอดภัยแล้วก็พอ…. ”
.
.
.
.
กาลเวลาที่แปรเปลี่ยนผันไปเรื่อยๆจากเหตุการณ์ตอนนั้นจนให้แทบลืมเลือนกันไปหมดแล้ว ทว่าคนบางคนก็ยังจำได้ดีและได้รับคำสอนจากมัน
เช่นเดียวกับอิบารากิ โดจิที่สูญเสียแขนซ้ายและพลังไป ทว่านั่นเองก็ทำให้เขาได้พลังใหม่ที่แข็งแกร่งกว่าเดิมมาอย่างงงๆ
…..เขาจำคำสอนของชูเทน โดจิไว้เสมอว่าต่อให้มั่นใจว่าตัวเองแข็งแกร่งแค่ไหนก็อย่าไปสร้างศัตรู
แต่แม่นางคนนี้ข้าขอเถอะ…..กล้าดียังไงมาล่อลวงสหายข้าไป แล้วไอ้การหักอกอย่างไม่ใยดีนั่นอีก….
แล้วก็….กล้าดียังไงมาทำให้สหายข้าตกต่ำจนถึงเพียงนั้น….ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิด ถึงจะทำอะไรก็ทำให้สหายข้าเปลี่ยนใจไม่ได้เลยเหรอ...เซย์เมย์ก็แล้ว อะไรก็แล้ว….
ข้ายังโดนด่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ว้อยยยยยยส์ เพราะเจ้า นังงูพิษ!!
ถึงแบบนั้นก็ไปเอาความด้วยมากไม่ได้เท่าไหร่จนทำให้ต้องตามตื้อวนไปถึงแม้ว่าจะโดนทำร้ายจิตใจมาเยอะเลยก็เถอะ….ช่างเปลี่ยนไปมากจริงๆ….
“ สหายข้า รอเดี๋ยว! ” เสียงทุ้มไม่ถึงกับต่ำเกินไปมากมายนักเอ่ยขานชื่อของผู้ที่เดินนำหน้าตนไปอย่างไม่คิดจะหยุดฝีเท้าให้ต้องไล่ตามกันให้จ้า
“ …… ” ผู้ถูกเอ่ยชื่อไม่ได้ตอบอะไร ไม่สนใจและพยายามเร่งฝีเท้าออกห่างให้พ้นไปไวที่สุดด้วยอารมณ์หงุดหงิด
“ หยุดก่อนเถอะ ได้โปรด ” ยักษ์ผมขาวที่โตเป็นหนุ่มแล้วส่งเสียงอ้อนวอนอยู่หลายคราแต่ก็โดนเมินเฉยทุกครา จนในที่สุดเขาต้องหยุดเดินพักหายใจก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วเอ่ยออกไป
“ ท่านพ่อ ได้โปรดหยุดฟังข้าซักเดี๋ยว! ” คำพูดนี้ทำให้คนที่ก้าวฉับๆอยู่ถึงกับสะดุ้งเฮือกพร้อมหยุดชะงักฝีเท้าไปเหมือนต้องมนต์สะกด
“ …..เจ้า---ปั๊ดโถ่เว้ย ข้าควรด่าเจ้าว่าอะไรดีให้มันไม่กระทบกับสิ่งที่ข้าด่าไปมากที่สุด--- ” ยักษ์ผมแดงหันกลับมายืนกอดอกประจัญกับอีกฝ่ายแทบจะทันทีพลางบ่นพึมพัมอย่างหัวเสีย
“ ข้าว่าแล้วถ้าเรียกเช่นนี้ท่านต้องหัน ” อิบารากิ โดจิว่าพลางคลี่ยิ้มกลั้วหัวเราะออกมาเบาๆทำเอาคนมองคิ้วกระตุกกึกแล้วทำท่าจะหันหลังเดินหนีอีกรอบ
“ ถ้าเจ้าจะเรียกข้าเพื่อพูดเท่านี้ล่ะก็ข้าไปล่--- ”
“ อย่าพึ่งขอรับ!! ”
เขารีบกุลีกุจอเข้าไปเอื้อมมือปีศาจคว้าข้อมือคนตรงหน้าเอาไว้
“ อย่าใจร้อนสิขอรับ---เมื่อวันก่อน ข้ากลับขึ้นไปที่เขา และนี่คือสารน์จากท่านคุมะ โดจิที่ฝากมากถึงท่านขอรับ ” ยักษ์หนุ่มเปรยพลางละมือเข้าไปล้วงในชุดยูกาตะของตนและหยิบสารน์ฉบับหนึ่งยื่นให้
“ …..คุมะ โดจิ? ” ชูเทน โดจิทวนชื่อผู้ส่งอีกครั้งก่อนรับไปเปิดอ่านอย่างไม่พอใจนักที่ต้องได้มาอยู่กับตัวน่ารำคาญแบบนี้
แต่เมื่อกวาดสายตาอ่านดูเนื้อหาด้านในจดหมายกลับทำให้ความหงุดหงิดมลายหายสิ้น...เขานิ่งเงียบอ่านไปพักใหญ่อย่างตั้งอกตั้งใจ
พลันหยาดน้ำตาก็ค่อยๆไหลรินลงจากหางตาช้าๆ ความรู้สึกผิดที่แล่นจี๊ดเข้ามาภายในอกก่อนจะลดและเก็บสารน์นั่นลงไป
“ หากท่านไม่คิดจะกลับไปก็ช่วยให้คำตอบผ่านข้าก็ได้ว่าจะให้ใครขึ้นเป็นผู้นำแทน….พวกท่านพี่และพวกเรายังคอยท่านเสมอนะขอรับ ” อิบารากิ โดจิว่าพลางระบายยิ้มให้บางๆ แต่รอยยิ้มนั้นกลับแฝงไปด้วยความเจ็บปวดเกินกว่าที่คิดว่าเด็กแบบนี้จะรับไหว….
ถึงจะโตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตาม แต่อายุยังไม่เกิน100ยังไงก็เด็ก….หรือจะผู้ใหญ่แต่ตัวนั่นก็ไม่รู้สิ….
“ …..ข้าตกต่ำถึงเพียงนี้แล้วใครมันจะยังเคารพข้าอีกล่ะ? ” ชูเทน โดจิเอ่ยถามเสียงกระชากเหมือนแกล้งทำเป็นหงุดหงิดพร้อมทั้งยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาตัวเองออกไปเงียบๆ
“ จะยังมีใครอีกข้าไม่รู้ แต่สิ่งที่ข้ารู้คือสำหรับข้าแล้วท่านเปรียบดังประภาคารที่คอยส่องแสงสว่างนำทางให้ข้า และแน่นอนว่าพวกท่านลุงและท่านพี่คงคิดเหมือนๆกับข้า ” เขาแทบจะชักมือหนีเมื่ออีกฝ่ายยื่นมือมาจับมือของตนไว้ แต่ก็ไม่ได้ทำแล้วนิ่งเงียบฟังแทน
“ …..มันก็แล้วไงล่ะ ไม่ว่าใคร จะมนุษย์หรือปีศาจก็ย่อมเปลี่ยนแปลงได้ทั้งนั้น มาเห็นสภาพข้าแล้วไม่เปลี่ยนใจเลยหรือไง ” ว่าพลางสะบัดหน้าหนีพรืดด้วยอารมณ์หัวเสียที่ก่อตัวขึ้นมาเล็กๆ
“ ต่อให้กี่ร้อยกี่พันปีหรือตราบนิรันดร์ ไม่ว่าท่านจะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน ตราบใดที่ข้ายังพึงระลึกได้ว่าข้ายังมีลมหายใจอยู่ได้เพราะท่าน ต่อให้โลกทั้งใบเกลียดชังท่าน ข้าก็จะคอยอยู่ข้างๆท่านเอง ” คำพูดและท่าทีแสนซื่อใสนั้นทำให้คุณพ่ออย่างชูเทน โดจิถึงกับชะงักเม้มปากแน่น
“ ข้า---- ”
“ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้สิขอรับว่าคนที่คอยเฝ้าข้าตลอดไม่ห่างในช่วงที่ข้าเสียพลังไปคือท่าน ท่านพ่อ ” ยักษ์หนุ่มพูดสวนเหมือนรู้ใจว่าราชันย์ตรงหน้าจะพูดอะไร นั่นยิ่งทำให้จากเม้มปากกลายเป็นกัดปากแน่นแทน
“ อึก---ปั๊ดโถ่เว้ย อย่าเอาเรื่องนี้มาโจมตีข้าสิว้อย! เจ้าโฮชิกุมะหรือคานากุมะห๊ะ?! ” ท่าทีโวยวายปนพาลไปทั่วแบบนั้นช่างเป็นภาพที่น่าคิดถึงเวลาที่คนตรงหน้าถูกใครขัดใจเข้าซะเหลือเกิน…
“ ท่านพี่คิโดมารุขอรับ ” เขาตอบหน้าตาชื่นบาน เพราะยังไงก็รู้ว่าถ้าเป็นลูกคงไม่กล้าไปพาลใส่แน่นอน แต่เอาจริงๆมั้ยว่าคิโดมารุมาเล่าให้เขาฟังจริงๆ….
“ ไอ้---ไอ้เด็กเวรนั่น--- ” อย่างที่คิดว่าได้แต่บ่นแว้ดๆอย่างเดียวไม่เอาความต่อ….ช่างไม่เปลี่ยนไปเลย….
“ ท่านไม่ได้เปลี่ยนไปเลยนิขอรับ นอกจากแค่ท่านติดสุรามากขึ้นเท่านั้นเอง? ” ได้ยินดังนั้นราชันย์ปีศาจถึงกับขมวดคิ้วอย่างฉงน
“ …..ข้าว่าไม่ได้มีแค่นั้นนะ? ” เขาแย้งแล้วลองนึกย้อนๆไปตั้งแต่ที่ตัวเองเริ่มทำตัวเหลวแหลก….
“ …..อาจจะไม่ได้ขี้บ่นเหมือนเดิมด้วยมั้งขอรับ? ” ชูเทน โดจิตวัดตาค้อนขวับใส่แทบจะทันที
“ ว่าข้าขี้บ่นเรอะ?! ก็พวกเจ้าทำตัวให้ข้าบ่นเองข้าจะไม่บ่นได้ไงเล่า แล้วอีกอย่างนะ ที่ข้าจู้จี้จุกจิกก็เพราะพวกเจ้าอีกนั่นแหละ ไหนจะที่ข้าชอบห่วงนั่นห่วงนี่อีกก็เพราะพวกเจ้าชอบทำอะไรแผลงๆอีกนั่นแหละ! ” เขาโวยออกมาชุดใหญ่ พอคิดได้ว่ากำลังทำอะไรอยู่จึงรีบยกมือขึ้นปิดปาก
“ นั่นไง ยังขี้บ่นเหมือนเดิมเลย ” อิบารากิหลุดขำพรืดออกมาจนชูเทนต้องแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาเหมือนจะพุ่งเข้าไปกินหัวให้ได้
“ หุบปากให้ไวเลย(ว้อย)!! ” ยังคงโวยวายแจ้ดๆอยู่แล้วสะบัดหน้าหนีพรืดไปอีกหนอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“ พูดงั้นพูดงี้ก็เถอะขอรับ ” มือปีศาจค่อยๆเลื่อนขึ้นวางทาบขนาบแก้มของผู้เป็นราชันย์อย่างแผ่วเบา รอยยิ้มแสนใสซื่อที่ประดับบนใบหน้าที่ไม่ว่ามองเมื่อใดก็ชวนให้นึกถึงเด็กที่ถูกขับไล่คนนั้น….มันช่างน่าเอ็นดู….
“ ท่านอาจไม่รู้ตัว แต่ท่านนั้นช่างอ่อนโยนกว่าใครที่ข้าเคยได้พบมา เพราะฉะนั้น กลับไปที่ภูเขาเถอะขอรับ นายเหนือหัวของพวกเรา… ” เสียงหัวเราะดังขึ้นเบาๆคลอตามสายลม ฉับพลันภาพเด็กชายตัวน้อยในสภาพที่มอมแมมก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า
เด็กคนนั้นร้องเรียกเขาพร้อมรอยยิ้มที่ทำเอาอดยิ้มออกมาตามไม่ได้….
“ สุดท้ายก็วกกลับมาเรื่องลากข้ากลับไปอยู่ดีไม่ใช่เหรอ โยงให้มากความทำไมกัน ” ดวงตาสีไอริสหรี่ลงเล็กน้อยพลางจ้องคนตรงหน้าเขม็ง….เมื่อไหร่มันจะสูงซักทีนะ….ถึงจะห่างกันแค่เกือบ10เซนก็เถอะ แต่ก็รู้สึกว่าเตี้ยอยู่ดี….
“ แล้วจะกลับมั้ยล่ะขอรับ? ” อิบารากิก็ดูจะซึ้งได้ไม่นานหรอก แปปๆก็กลับมาตีหน้าซื่อเหมือนเดิมจนดูกวนโอ้ย
“ ……. ” นอกจากถอนหายใจก็ดูเหมือนว่าคุณพ่อคนนี้จะไม่มีอะไรให้ทำแล้ว….
“ …..เห็นแก่ความดันทุรังของเจ้านะ….. ” เขาถอนหายใจพรืดแล้วยกมือขึ้นกุมมือของคนตรงหน้าไว้
“ …..ข้ารู้ว่าชีวิตพวกเจ้าไม่นิรันดร์แบบข้า แต่ถามอะไรหน่อยสิ….---- ”
“ ตราบใดที่ลมหายใจข้ายังไม่ถูกพรากไปข้าจะคอยอยู่เคียงข้างท่านเสมอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม และเมื่อกายนี้สูญสลายไป เมื่อนั้นวิญญาณข้าจะเป็นของท่านทั้งหมด และจะคอยเป็นโล่ให้จนกว่าท่านจะหมดอายุขัยลง….เพราะฉะนั้น ไม่ต้องถามเพิ่มหรอกนะขอรับ ”
รอยยิ้มบางๆปนความซื่อกลับมาอีกครั้งบนใบหน้าของยักษ์ตรงหน้า ถึงมันจะดูน่าเอาตีนยันด้วยนิดๆก็เถอะ
“ …...ข้าเข้าใจแล้ว…...ขอบใจมากสำหรับคำตอบ…. ” เขาละมือออกพร้อมลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ…..รู้สึกผิดจริงๆนั่นแหละ….
“ ไปได้หรือยัง ถ้าช้าข้าเปลี่ยนใจนะ….? ” ว่าจบก็เลิกคิ้วเล็กน้อยจนทำเอายักษ์ผมขาวนั้นสะดุ้งเฮือกแล้วรีบเดินอ้อมไปอยู่ด้านหลังแทบจะทันที
“ ข-ขออภัยขอรับ--- ”
-------------------------------------------
“ Empty sky, I'm alone with no one nearby. ”
[ ท้องนภาอันว่างเปล่า ทั้งข้าและเจ้าต่างโดดเดี่ยว ]
“ Compassion, reinforcement, encouragement, conviction, ‘ you are the star in my eyes. ’ ”
[ ความเห็นใจ การช่วยเหลือ การให้กำลังใจ ความไว้ใจ ‘ เจ้าคือดวงดาวในสายตาของข้า ’ ]
“ Acceptance, recognition, assurance, absolution, even your existence takes the burden off my mind. ”
[ ทั้งการยอมรับ การถูกยอมรับ ทั้งความเชื่อมั่น การให้อภัย การมีชีวิตอยู่ของเจ้าทำให้ภาระในใจของข้าหายไป ]
“ Allow me to fight by your side. ”
[ ได้โปรด ให้ข้าได้สู้เคียงข้างเจ้าด้วย ]
“ No matter how many timesn, I have to follow. ”
[ ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ ข้าจะคอยตามเจ้าไปในทุกที่ ]
“ Your smiles are always bright. ”
[ รอยยิ้มของเจ้านั้นดูสดใสเสมอ ]
“ I'm glad to have such fortune, don't make this an illusion, there are still so many versions of the night sky we both liked. ”
[ ข้าดีใจที่โชคดีเช่นนี้ ได้โปรดอย่าให้มันเป็นเพียงภาพลวงตาเลย ใต้ผืนฟ้านี้ยังมีสิ่งที่เราชอบอีกมากมาย ]
“ I want to stay by your side. ”
[ ให้ข้าได้ยืนเคียงข้างเจ้านะ ]
“ The way you smiled, the way you cried. Oh baby there's no such things, forever's just a say. ”
[ ในยามที่เจ้ายิ้ม ในยามที่เจ้าเสียใจ มันจะไม่มีสิ่งเหล่านั้นหรอก คำว่าตลอดกาลมันก็แค่คำพูดเท่านั้นแหละ ]
“ There's nothing I can decide. ”
[ ยังมีสิ่งที่ข้าไม่สามารถบอกเจ้าออกไปได้อยู่นะ ]
คนแก่คือคนแก่ = แพ้เด็ก โถ่อีซึนชูเทน