"จินตภาพที่หล่นหาย"
ฉันนั่งมองท้องฟ้ายามค่ำคืน ค่ำคืนนี้ช่างมืดมนนัก ตอนนี้ความคิดของฉันช่างเย็นชืดเฉื่อยชาและว่างเปล่าเหลือเกิน เมื่อก่อนแม้ลมพัดใบไม้ไหว ฉันก็สามารถสดับรับรู้ได้ถึงอารมณ์ของสรรพสิ่ง แต่มาเวลานี้ แม้มีงานเต้นรำรื่นเริงของมวลดอกไม้กับหมู่ดวงดาว มีเสียงขับกล่อมของสายลมบรรเลงขึ้น ฉันก็ไม่อาจซึมซับรับความสุนทรีเหล่านั้นได้ ฉันได้กลายร่างเป็นคนตายที่ยังมีลมหายใจ หากเปรียบคงเหมือนกับหุ่นยนต์ มีอยู่หลายครั้งที่เพียรพยายามไขว่คว้าความรู้สึกเก่าๆกลับคืนมา หากสิ่งที่ได้มีเพียงความว่างเปล่า
ความว่างเปล่า สิ่งนี้น่ากลัวกว่าทุกความร้ายกาจมารวมตัวกัน มันทำให้เหงาทั้งๆที่นั่งอยู่ท่ามกลางเพื่อนฝูงมากมาย ในวงสนทนาที่มากล้นด้วยเรื่องชวนหัว หากสิ่งที่รู้สึกได้ มีเพียงความเดียวดาย หลายคนหัวเราะร่าหลายคนกรีดน้ำตากับเรื่องเศร้า หลายคนฉีกยิ้มกับดอกไม้เหี่ยวเฉาที่พกพาเรื่องราวอันแสนหวาน ฉันอยากดำรงอยู่เฉกเช่นคนเหล่านั้น หากที่สัมผัสรับรู้ได้มีเพียงความอ้างว้างที่หดหู่
ฉันเริ่มชมชอบการนั่งพักอยู่เพียงลำพัง เฝ้าจับตามองสรรพสิ่ง... สรรพชีวิตที่ผ่านไปมา หวังเพียงจะมีสักอย่าง สักคน สักชีวิต ช่วยนำพาจิตวิญญาณที่สูญไปกลับมา ฉันเพียรเฝ้ามองตรงทางเดิน ตามท้องถนนใหญ่ ตามคุ้งน้ำ และบนฟากฟ้า หากผ่านพบเพียงความเงียบเหงาที่แวะเวียนมาเยี่ยมเยือนแล้วไม่ยอมล่ำลา
ผีเสื้อกับดอกไม้จับคู่คลอเคลียกันอย่างน่าอิจฉา หลายคนที่พบเห็นพูดเป็นเสียงเดียวกันถึงความสดชื่นที่สัมผัสได้ หากฉันเพียงรับรู้ มวลหมู่ดอกไม้ช่างน่าสงสารนัก ผีเสื้อมาพักเพียงชั่วยามในหนึ่งฤดูกาล แม้เฝ้ารอถึงปีหน้าผีเสื้อที่มาใหม่ก็หาใช่คู่ของมันตัวเดิมไม่ วงจรชีวิตของสิ่งอันเป็นที่รักที่แสนสั้นนี้หากเกิดขึ้นกับสิ่งใดที่มีการดำรงอยู่ที่ยาวนานกว่า ช่างน่าสงสารนัก ยามพรากจากความรัก พรากจากบุคคลอันเป็นที่รัก ต่อให้เอาโชคลาภมากองอยู่เบื้องหน้า ก็หาได้มีค่าไปกว่าความตายของพระยามัจจุราช เพียงหวัง... ว่าเมื่อการนอนหลับที่ยาวนานสิ้นสุดลง สิ่งแรกยามเผยอตาตื่น จักได้ผ่านพบรอยยิ้มของหัวใจ และใบหน้าของความรัก หวังเพียง... บัดนั้นจินตภาพที่สูญหาย จะกลับคืนมาสู่อ้อมกอดของความรู้สึก ความอ่อนโยนและความงดงามจะยังคงดำรงคู่กับจิตวิญญาณดวงนี้ตลอดกาล
เพียงหวัง... เช่นนั้นจริงๆ
ในความคิดถึงของลมหายใจ มีเพียงภาพฝันกับรอยยิ้มของใครคนหนึ่ง คนที่เอาหัวใจไปจากตัวเรา
คิดถึง และจะคิดถึงเธอเสมอ
.....
คืนที่ท้องฟ้า มีเมฆครึ้มปกคลุม แสงจันทร์สาดสลัวยามหมู่เมฆพัดผ่าน กระจ่างเพียงอึดใจแล้วกลับมืดลงอีกครา กลุ่มเมฆเก่าเคลื่อนจากไป กลุ่มเมฆใหม่ก็เคลื่อนเข้ามา จวบจนกระทั่งมันไม่มีโอกาสส่องแสงอีกเลยตลอดนิทรานี้
กวีนั่งมองเหม่อมองลงไปยังถนนหน้าบ้าน คล้ายเป็นกิจวัตรประจำวันที่เขาต้องทำ ออกมานั่งบนระเบียงบ้าน รอคอยใครคนหนึ่งผ่านมาแล้วจากไป สักพักเหมือนฟ้าร้องไห้ หากแต่เพียงบางเบา เป็นสัญญาณเตือนว่าอีกไม่นานจะมีฝนตกหนัก แต่เขายังคงอยู่ที่เดิม ไม่นานร่างสูงโปร่งก็วิ่งมาคว้าจักรยานสีขาวที่จอดตรงเกาะกลางถนนหน้าบ้านเขา ร่างนั่นหยุดมองตรงมาที่เขาด้วยสายตาที่เศร้าเนิ่นนานก่อนจากไป เขามองตามร่างนั้นอย่างห่วงใย
...
ร่างสูงปราดเปรียว ใบหน้าเรียวได้รูป ดวงตาเฉี่ยวคมหากแฝงความขี้เล่นเอาไว้ รับกับคิ้วเข้มโก่งพองาม ผมเปียเดี่ยวยาวสลวย เขาเห็นเธอมาสองอาทิตย์แล้ว หากแต่ไม่รู้จักชื่อ ประหลาดจริงเขารู้สึกถึงความผูกพันบางอย่างเหมือนเคยรู้จักมานานแสนนาน คุ้นเคยราวคบหามาแรมปี หากความจริงเพียงครั้งแรกที่เห็นเขาก็รู้จักเธอ และรู้จักคำว่า... รักครั้งแรก
เขาลอบมองเธอด้วยสายตาแห่งความรักที่มีแต่ความห่วงใยปรารถนาดี แม้ไม่เคยเอ่ยปากทักทายเลยสักหน เขาคงเป็นผู้ชายที่ขลาดเขลา เขากลัว....กลัวว่าเธอจะเข้าใจผิด และรังเกียจที่จะคบหากับเขา เขาทำแค่มาดักรอเธอที่ระเบียงหน้าบ้าน วันหนึ่งเขารอจนดึกดื่น จักรยานสีขาวก็ยังไม่มีเจ้าของมาเอาไป เขารู้สึกห่วงเธอมากจนเกินกว่าที่จะทนรออยู่ที่บนระเบียงบ้านได้ เลยตัดสินใจออกไปรอเธอที่ป้ายรถเมล์หน้าหมู่บ้าน เขาเดินวนไปวนมาอย่างกระวนกระวาย นึกกังวลและโทษตัวเองที่ไม่รู้ว่าเธอไปไหน
บ้าจริง เขารู้สึกเจ็บแปล๊บที่หัวใจ มันบีบคั้นจนเขาแทบเป็นบ้า ก่อนจะฟุ้งซ่านไปมากกว่านั้น เสียงรถเบรคดังเอี๊ยด... ด ฝุ่นตลบไปหมด เธอชะงักนิดนึงเมื่อเห็นเขาก่อนผละจากไป เขายิ้มกับตัวเองอย่างโล่งอก นึกอยากจะต่อว่าเธอที่กลับบ้านผิดเวลา แต่ทำไงได้ เขาเดินตามหลังเธออย่างช้าๆ จนเธอลับตาไป
นิดา เธอชื่อนิดา แม่เขาบอก แม่คงสังเกตได้จากอาการแปลกๆยามเธอผ่านหน้าบ้าน ทุกคนที่รู้เรื่องนี้พยายามยุส่ง บอกให้เขาเข้าไปจีบเธอ แต่เขาไม่เคยทำอย่างนั้นเลย เพียงหวังสักวันคงมีโอกาส ได้ทำความรู้จักกัน
ตัวนิดาเองก็คงจะสังเกตเห็นเขา เวลากลับบ้านยามดึกเธอจะมองขึ้นมาที่ระเบียงบ้านเขาเสมอ เขารู้สึกว่าเธออมยิ้มทุกครั้ง หน้าหนาวดอกไม้ที่หน้าบ้านบานเต็มต้น ยามลมพัดมักร่วงหล่นจากต้นใส่ตัวเธอเวลาผ่านไป งดงามราวภาพฝันที่ทำให้เขายิ้มอย่างสุขใจแล้วหลับไหลด้วยความสุขตลอดทั้งคืน
เข้าเดือนที่สามที่เขาแอบมองเธอ อย่างเขาว่าสักวันโอกาสต้องเปิดให้เขา นิดามาดูงานศิลปะที่ Gallery ข้างบ้านเขา และเขาก็อยู่ในร้านเวลานั้น พี่เกรียงวานให้เขาช่วยจัดของ เขามัวแต่ก้มหน้าก้มตางุดเร่งมือจัดวางข้าวของให้เข้าที่เข้าทาง มารู้สึกตัวอีกทีก็เหมือนมีคนมายืนมอง เมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองเขาต้องรีบก้มหน้าลงอีกครั้ง นิดา...เธอกำลังยืนมองเขาอยู่ เขาจำได้ว่าเขาต้องรวบรวมความกล้าอย่างมากที่จะเงยหน้าขึ้นมายิ้มตอบเธอ แล้วรีบเดินเข้าไปหลังร้าน ต้องอาศัยกำลังใจอย่างมากทีเดียวกว่าจะกล้าออกมาหน้าร้าน เธอยังอยู่ที่นั่น
"ภาพสวยนะคะ" ประโยคแรกที่เธอพูดกับเขา เขาแทบไม่เชื่อหูตัวเอง จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเขาตอบเธอว่าอย่างไรหรือเพียงแค่พยักหน้ารับคำ เธอคงคิดว่าเขาประสาทไม่ค่อยดีแน่ๆเลย
หลังจากนั้น ทุกอย่างก็กลับเข้าสู่สภาวะเดิม เขายังคงเฝ้ามองเธอที่ระเบียงและดีขึ้นนิดหน่อยที่เธอยิ้มให้เขาทุกครั้งที่เจอกัน ดึกวันนึงของฤดูหนาว แค่ 4 ทุ่มกว่าแต่อากาศแถวดอนเมืองกลับหนาวมาก อากาศเย็นขึ้นเรื่อยๆจนเขาต้องเข้าไปเอาผ้าห่มมาคลุมตัว ระหว่างรอเธอเขาเห็นชายหนุ่มรูปร่างผอมสูงขี่มอเตอร์ไซค์คันโตมาจอดอยู่แถวหน้าบ้านเขานานพอสมควร กวีนึกแปลกใจขี้ยาที่ไหนวะมาป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้ ผู้ชายคนนั้นจุดบุหรี่ขึ้นมาสูบม้วนแล้วมวนเล่าเหมือนมารอคอยใครบางคน เขานึกห่วงนิดาขึ้นมานึกในใจหากมันทำอะไรเขาจะกระโดดลงไปช่วยเธอเอง ดีนะที่มันอยู่ในสายตาเขา เกือบเที่ยงคืนกว่านิดาจะกลับมา เขาไม่ได้กระโดดลงไปช่วยเธออย่างที่คิด นิดาซ้อนท้ายจักรยานยนต์ของผู้ชายคนนั้นไป เธอไม่มองขึ้นมาข้างบนเหมือนเช่นเคย เขาอึ้งนั่งเงียบงันจ้องมองจักรยานสีขาวที่ถูกทอดทิ้งเฉกเช่นเดียวกับเขาท่ามกลางลมหนาวเป็นเวลานานไม่สนใจแม้ผ้าห่มจะหลุดลุ่ยจากร่าง
เขาป่วย ไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกัน ว่าป่วยกายหรือป่วยใจกันแน่ รู้สึกท้อแท้ไปหมดไม่อยากจะลุกขึ้นมาทำอะไร กวีขาดเรียนเกือบอาทิตย์ ดีที่เขาเรียนช่างกล อาจารย์ไม่ค่อยเรื่องมากเท่าไหร่ เขาพยายามบอกตัวเองให้เลิกสนใจเธอได้แล้ว เขาพร่ำด่าตัวเองที่ไปหวังอะไรลมๆแล้งๆ นึกโกรธตัวเองที่ไม่เคยเข้าไปทักทายเธอเลย น้อยใจเธอที่ทำอย่างนั้น เธอน่าจะรู้ว่าเขาคิดอย่างไร เขาคิดๆบ้าสารพัด ใช่เขาต้องโทษตัวเองสิดันแอบไปหลงรักเธอเองนี่หว่า เธอไม่รู้เรื่องด้วยเลย แต่อีกใจก็แย้งว่าเธอต้องคิดอะไรกับเขาเหมือนกันบ้างล่ะน่า ไม่งั้นเธอจะมองขึ้นมาทำไม เขาบังคับตัวเองให้เลิกสนใจเธอ เลิกออกไปรอพบเธอ เวลาเธอผ่านมาเขาก้มหน้าก้มตาหลบไม่หันไปมอง แต่พอลืมตัวก็แอบมองเธออยู่ดี
วันหนึ่งหลังเลิกเรียน เขาเบื่อที่จะไปเที่ยวต่อกับเพื่อนๆ จะมีอะไรนอกจากตามจีบหญิงแถวศูนย์การค้า เขาชอบนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยบนรถเมล์กว่าจะถึงบ้านบางทีคิดพล็อตนิยายเรื่องใหม่ได้ตั้งหลายเรื่อง กวีอยากเป็นคนเขียนบทภาพยนตร์ แต่ไม่เคยส่งงานไปประกวดหรือไปลงตามหนังสือเล่มไหนเลย เขากลัวความผิดหวัง กลัวคำปฏิเสธ เขาเฝ้าแต่ฝันว่าเขาประสบความสำเร็จร่ำรวยกล้าหาญมีผู้หญิงมาชอบมากมาย หากเขารักเดียวใจเดียวกับคนรักของเขา ใช่... นิดาเป็นนางเอกของเขาทุกเรื่อง นี่ก็เกือบเดือนแล้วที่เขาเลิกไปรอเธอที่ระเบียง เธอจะรู้สึกเสียใจไหมนะกับเหตุการณ์ในคืนนั้น หรือไอ้ขี้ยานั้นเป็นพี่ชายเธอ เขาเพียงหวังให้เธอเสียใจที่เขาไม่รอพบเธอเหมือนกัน แต่ก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นเลย เขาคงจินตนาการไปเอง เธอก็ยังใช้ชีวิตของเธอตามปกติเหมือนเดิม เขาต่างหากที่บ้าไปเอง
หอมจัง เขาตื่นจากภวังค์ ผู้หญิงที่ขึ้นมานั่งข้างๆเขาใส่น้ำหอมอะไรนะหอมจังเขาไม่กล้าหันไปมองหน้าเธอตรงๆกลัวจะเป็นการเสียมารยาทเห็นจากหางตาก็รู้ว่าเป็นนักศึกษา น่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขานั่นแหละ แก๊งง กระเป๋ารถเมล์ทำเหรียญที่เธอจ่ายหล่นอยู่มาอยู่ที่ปลายเท้าเขา กวีก้มหยิบขึ้นมาส่งให้ หัวใจแทบวาย
เธอ....นิดานั่นเอง เขา...เขาตะลึงจนกระเป๋ารถเมล์ต้องทวงเหรียญที่เขาเก็บขึ้นมา นิดายิ้มให้แล้วพูดประโยคที่ 2 ที่เขาได้ยินจากปากหล่อน "ขอบคุณค่ะ" กวียิ้มรับอย่างเขินอายแล้วหันหน้ากลับไปไม่กล้ามองเธอตรงๆอีกเลย จนถึงป้ายที่ทั้งสองคนต้องลง นิดาเดินลงก่อนส่วนเขาเดินเตะถ่วงตามหลังเธอช้าๆ มันทำให้เขาได้มองดูเธอเต็มตา แม้เห็นเพียงด้านหลังเท่านั้นแต่เขาก็มีความสุขมาก
"น้ำหอม หอมดีนะครับ" นั่นเป็นประโยคแรกที่ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เขาพูดกับเธอ ขณะเดินผ่านตอนเธอกำลังเอาจักรยานออกจากที่จอด เธอหันมายิ้มให้เขา
"ขอบคุณค่ะ" นิดาตอบพร้อมรอยยิ้มหวาน
ไชโย หัวใจกวีพองโตรู้สึกตัวสูงใหญ่ขึ้นกะทันหัน วันนี้โชคดีเป็นบ้า โย้วววว เขาตะโกนลั่นอยู่ในใจ เขาลืมเรื่องไอ้ขี้ยานั่นไปสนิทเลย ลืมว่าน้อยใจเธออยู่ เขารู้สึกเหมือนหัวใจเขาฟูฟ่องจนแทบจะล้นทะลักออกมาข้างนอก เขานี่ท่าจะเป็นบ้า รู้สึกสุขล้นอย่างนั้นได้ไม่นานก็เริ่มกังวลใจ ต่อไปเขาจะทำยังไง จะดักพบเธอ หรือจะเฝ้ามองเธอเหมือนเคย แต่คงไม่ดีแน่ เขาจะทำยังไงดีวะ จะเดินเข้าไปทักเลย หรือว่า... โอ้ยไม่รู้โว้ย เขาโวยวายกับตัวเองตามลำพังทั้งคืน คืนนั้นเขานอนไม่หลับเลย ช่วงเช้าระหว่างรอรถเมล์ เขาเฝ้าภาวนาให้เธอออกมาทันเขา เขารอจนรอไม่ได้เพราะไม่อย่างนั้นเขาจะเข้าเรียนไม่ทันชั่วโมงภาษาอังกฤษในช่วงเช้า นิดาออกมาตอนรถวิ่งผ่านหน้าหมู่บ้านพอดี เขาแทบกระโดดลงรถไปหาแต่ยั้งใจไว้ได้ วันหลังยังมี
วันนี้จะต้องทำความรู้จักกับเธอให้ได้เขาต้องไม่กลัว เขาต้องกล้าเข้าไว้ เธอคงชอบเขาอยู่บ้างหรอกน่า หน้าตาเขาก็นับว่าหล่อนะ หุ่นดีสูงถึง 182 มีสาวสวยหลายคนเข้ามาคุยกับเขาอยู่หลายคนเหมือนกัน แต่เขาชอบเพียงนิดาเท่านั้น เขาเกิดมาเพียงเพื่อรักผู้หญิงคนนี้เท่านั้น และเธอน่าจะรู้สึกเหมือนกัน
ตลอดทั้งวัน กวีเรียนไม่รู้เรื่องเลย เฝ้าเขียนแต่บทกวีบทกลอนที่เกี่ยวกับเธอทั้งนั้น เขียนขึ้นมามากมายจนเพื่อนมาแอบดึงไปอ่านหน้าห้องเสียงโห่แซวดังลั่นห้อง มีบางคนวิ่งออกไปตะโกนนอกห้องว่าไอ้กวีจะมีแฟนแล้วโว้ยยย เขาส่ายหน้ากับความบ้าระห่ำของเพื่อนๆ
กวีตรงกลับบ้านทันทีที่เลิกเรียน เพื่อนเขาบ่นกันตรึม มันจะรีบไปตายที่ไหนของมันวะ วันนี้วันเกิดไอ้โย่งเพื่อนรักซะด้วย แต่เขาไม่ใส่ใจ เขาต้องเตรียมตัวให้ดีในการสารภาพรัก รถวิ่งไปหยุดที่ป้ายตรงข้ามหน้ามหาวิทยาลัยของเธอ เขามองเห็นร่างสูงโปร่งที่กำลังจะข้ามถนนมาเธอคงไม่ทันรถคันนี้แน่เขาเลยลงจากรถ เธอคงแปลกใจที่เห็นเขาที่นี่ แต่นี่ก็เป็นโอกาสที่ดีที่จะได้พูดคุยกับเธอ กว่ารถคันต่อไปจะมาก็คงนานโขทีเดียว
ระหว่างรอสาวข้ามถนนมา กวีใจเต้นแรง หายใจไม่ทั่วท้อง ร้อนๆหนาวๆชอบกล เขามองมายังเธอ เธอมาถึงเกาะกลางถนนแล้วและกำลังตรงมาทางนี้ เขาสูดลมหายใจอย่างแรง ยังไม่ทันจะทั่วท้องก็เหลือบไปเห็นรถยนต์คันนึง ฝ่าไฟแดงมาด้วยความเร็วสูง นิดากำลังก้าวลงมาจากเกาะกลางถนน คุณพระช่วย มันชนเธอแน่ เขาวิ่งออกไป เขาต้องไปช่วยเธอให้ได้อย่าเป็นอะไรไปนะ
"ปั๊ง...โคร้มมมม เอี๊ยด"
"ช่วยด้วย ช่วยด้วยคนถูกรถชน" เสียงคนกรีดร้องพร้อมตะโกนกันให้วุ่นไปทั่วบริเวณนั้น
กวีรู้สึกเหมือนทุกอย่างดับมืดลงกระทันหันไม่รู้สึกตัว เขามองภาพเบื้องหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา ร่างในชุดนักศึกษาเปรอะเปื้อนไปด้วยสีแดงสดของเลือด มันยังทะลักออกมาไม่หยุดจนบริเวณนั้นเปียกชุ่มเป็นวงกว้าง ทุกคนวิ่งกรูเข้าไปดูและพยายามพาช่วย ตาเขาพร่าไปด้วยน้ำตา มันไหลออกมาอย่างปวดร้าว เขาอยากจะเข้าไปกอดและปลอบโยนร่างสูงโปร่งที่ยืนตะลึงงันพร้อมน้ำตากลบหน้า เธอคงตกใจจนช็อคแต่เขาทำไม่ได้ หนังสือตำราภาษาอังกฤษ กระเด็นไปอยู่แทบเท้าเธอ
กวีมองร่างตัวเองที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลอย่างมึนงง เขาร้องไห้สะอื้นออกมาอย่างแผ่วเบา พ่อแม่เขานั่งอยู่ตรงนั้น พวกท่านกอดกันร้องไห้ แม่เป็นลมแล้วเป็นลมอีก พ่อต้องรับบทหนักทีเดียว ดวงตาสีสนิมเหล็กคู่นั้นแดงก่ำน้ำตาคลอ ญาติพี่น้องพากันหลั่งไหลเข้ามา เพื่อนๆเขามาพร้อมหน้าทุกคนร้องไห้ เขาเพิ่งรู้ว่าทุกคนรักเขาก็วันนี้นี่เอง กวีเดินไปมาทักทายคนนั้นคนนี้ตรงไปโอบกอดผู้ให้กำเนิด แล้วเดินไปนั่งข้างๆหญิงสาวที่นั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่เพียงลำพัง
พ่อบอกทุกคนว่าเขาโดนรถชนที่หน้ามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งย่านบางบัว ทุกคนต่างไม่เข้าใจเขาไปถูกรถชนที่นั่นได้ยังไง แต่เขารู้และเธอก็รู้
ที่วัดใกล้บ้าน เขาเห็นเธอมางานสวดศพทุกคืน เธอดูเศร้ามากไม่พูดไม่จากับใคร มานั่งฟังพระสวดเงียบๆแล้วกลับไป จนถึงวันเผา เขาเพิ่งรู้ว่าไอ้ขี้ยานั้นเป็นพี่ชายของเธอจริงๆ พ่อกับแม่เขาต้อนรับเธออย่างอบอุ่น เขาเดินเข้าไปกระซิบบอกขอบคุณเธอหลายครั้งแต่เธอคงไม่ได้ยิน
วันเผาเขาร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้นมองร่างของตัวเองในโลงถูกยกไปใส่ช่องสำหรับเตรียมเผา พอเริ่มมีการจุดไฟญาติๆและเพื่อนๆเขาขึ้นมาโยนดอกไม้จันทร์เข้าไปในช่องที่เปลวเพลิงร้อนแรงกำลังเริ่มเผาร่างเขา ทุกคนร้องไห้ เพื่อนเขาผู้ชายแทบทั้งนั้นไอ้ที่เป็นจิ๊กโก๋ไม่ปรากฏอาการเดิมออกมาให้เห็นเลย พวกมันร้องไห้ตาแดงไปหมด กวีอดขำทั้งน้ำตาไม่ได้ ไอ้โย่งคอยปลอบเพื่อนๆแต่เขาเห็นมันแอบหนีไปร้องไห้คนเดียวบ่อยๆ เขารักพวกเพื่อนเขาทุกคน พ่อแม่ขึ้นมาเกือบเป็นคนสุดท้าย แม่เป็นลมอีกแล้ว พ่อมองเข้าไปในช่องนั้นนิ่งและนานเป็นครั้งสุดท้ายที่ท่านจะได้เห็นลูกชายของท่านส่วนเขายืนซึมอยู่ตรงนั้นนั่นแหละ เธอ... เธอเป็นคนสุดท้าย เขาได้ยินทุกประโยคที่เธอพูดออกมา กวีดีใจรู้สึกเป็นสุข คงจะดีไม่น้อยหากเขายังมีชีวิตอยู่ คำสุดท้ายถูกพูดออกมาอย่างยากลำบากเพราะแรงสะอื้น เมื่อหลุดพ้นลำคอออกมา เขาและเธอต่างร้องไห้โฮ
......
อีตาบ้ามองอยู่ได้ หญิงสาวนึกอย่างหงุดหงิด นี่ก็สามเดือนแล้วที่เขามาดักรอพบเธอแต่ไม่เคยพูดจาทักทายเธอเลยสักครั้ง หรือเขาไม่ได้มารอเธอ... ไม่สิ... มารอเธอแน่ๆ ถึงจะไม่มีทีท่าประเจิดประเจ้อแค่นั่งจ้องจากบนระเบียงบ้านทุกวัน ถ้าวันนั้นเธอไม่เห็นเขารีบวิ่งออกมามองหาเธอ เธอคงไม่แน่ใจขนาดนี้ เวลาเธอผ่านก็จ้องเอ้าจ้องเอา แต่พอเจอหน้ากันจะๆไม่เห็นพูดอะไรสักคำ ทำก้มหน้างุดๆ ผู้ชายอะไรขี้อายชะมัด
นิดานึกถึงอดีตอย่างมีความสุข กวี... ผู้ชายขี้อาย เธอจำวันแรกที่เธอเอ่ยปากพูดจากับเขาที่ร้านขายภาพวาด เขาได้แต่พยักหน้าแล้วเดินหนีไป
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เปลี่ยนไปไม่รู้ทำไม เขาเริ่มหลบหน้าหลบตาพอเห็นเธอก็หลบหายไป เวลาเดินผ่านก็ก้มหน้าเดินหลบ อีตาบ้า เรารึอุตส่าห์แอบไปทำความรู้จักกับคุณป้าคนสวยแม่ของเขาจนรู้ว่า เขาชื่อกวี ชื่อเพราะซะด้วย เรียนอยู่ช่างกลปีสุดท้าย ลูกชายคนเดียว เฮ้อออ... แล้วนี่จะให้เธอจีบเขาก่อนหรือยังไง แต่เอาไงก็เอากันก็ชอบเขาไปแล้วนี่
สำหรับหญิงสาว กวีดูเหมือนพวกนักเรียนศิลปะเป็นศิลปินมากกว่าเด็กช่างกล วันที่เจอบนรถเมล์เธอเห็นเขากำลังนั่งเหม่อลอยคล้ายคิดฝันอะไรอยู่เลยตั้งใจไปนั่งข้างๆเขา นิดาคิดขึ้นมาแล้วอดขำไม่ได้ ตอนเขาเก็บเหรียญแล้วเงยหน้ามาเห็นเธอแล้วเขาอ้าปากค้าง พอเธออุตส่าห์ชวนคุย คุณชายกลับหันหน้าหนีซะนี่ ตอนแรกนิดาคิดว่ากวีคงไม่ได้ชอบเธอ เห็นทำท่าไม่สนใจ ตอนนั้นนิดาใจแป้วเลย แต่พอเขาเร่งฝีเท้ามาทักเธอคำแรกว่า "น้ำหอม หอมดีนะครับ" มันทำให้หัวใจเธอพองโต โลกทั้งใบสดใสสว่าง รอยยิ้มกว้างทำให้เธอพูดอะไรไม่ออกนอกจากคำขอบคุณเบาๆ
นิดาตั้งใจจะสานความสัมพันธ์นี้ให้ได้ รุ่งเช้าเธอพยายามทำอะไรช้าๆเพื่อออกจากบ้านให้ตรงกับเวลาที่เธอเคยเห็นเขาเดินมารอรถเมล์ แต่เธอพลาด ทำไมวันนั้นเขาไปเร็วจัง พอเธอมาก็เห็นเขาอยู่บนรถเมล์คันที่ปกติเธอต้องขึ้นก่อนเขา เฮ้อออ พลาดแล้วเรา
เย็นวันนั้น นิดาหลับตาลงอย่างปวดร้าว...... เย็นวันนั้น เธอรีบกลับบ้าน เพียงหวังจะได้เจอเขาคราวนี้เธอจะหาเรื่องพูดคุยกับเขาให้ได้ อย่างน้อยก็เรื่องน้ำหอม เมื่อเดินมาถึงหน้ามหาวิทยาลัยเธอก็เห็นว่าที่ป้ายรถประจำทางฝั่งตรงข้ามถนนรถเมล์กำลังเคลื่อนตัวออกไป เธอคงข้ามถนนไปไม่ทันแน่ๆ ไม่รู้เขาจะอยู่บนรถคันนั้นหรือเปล่า
เอะ..นั่นกวีนี่นา พอมาถึงเกาะกลางถนน นิดาถึงกับอึ้งเมื่อเห็นชายหนุ่มยืนยิ้มแฉ่งอยู่ที่ป้ายรถเมล์ เขามาทำอะไรที่นี่ หรือว่ามารอเธอ นิดายิ้มตอบด้วยความดีใจ เธอก้าวเท้าลงจากเกาะกลางถนน แต่เพียงเสี้ยววินาทีเธอก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อเธอให้ระวังพร้อมเสียงฝีเท้าของกวีที่วิ่งตรงมา เขาวิ่งมาทำไม...
"ปัง เอี๊ยด.. ด โคร้ม" รถเก๋งสีแดงไม่รู้มาจากไหนชนร่างที่วิ่งมาผลักเธอให้พ้นอันตรายอย่างหวุดหวิด เสียงคนตะโกนเรียกให้คนมาช่วยคนถูกรถชนดังอื้ออึงไปหมด ทุกอย่างดูสับสนวุ่นวาย แต่สายตาและรอยยิ้มครั้งสุดท้ายของกวีที่นอนอยู่บนพื้นบีบหัวใจเธอแทบหยุดเต้น นิดาเอามือปิดปากน้ำตานองหน้าเมื่อเห็นกวีปิดตาเปลือกตาลง ร่างของเขาเต็มไปด้วยเลือด อะไรบางอย่างกระเด็นมาอยู่ตรงเท้าเธอ
กวีถูกส่งมาโรงพยาบาล นิดาอ้างตัวเป็นคนรักขอไปด้วย เธอให้ข้อมูลเจ้าหน้าที่แล้วโทรแจ้งที่บ้านให้ไปบอกครอบครัวของกวีให้รีบมาที่โรงพยาบาลด่วน
หน้าห้องฉุกเฉิน เธอสวดมนต์อ้อนวอนต่อพระเจ้าขอให้อย่าพรากกวีไปจากเธอในตอนนี้เลย แต่อนิจจาวัฏสงสารย่อมดำเนินไปอย่างไม่มีข้อยกเว้น
นิดาไปฟังสวดอภิธรรมทุกคืนโดยมีพี่ชายไปเป็นเพื่อน พ่อแม่ของกวีต้อนรับเธออย่างอบอุ่น ก่อนวันเผาแม่ชวนเธอไปดูห้องนอนของกวีที่มีบทกลอนและงานเขียนมากมายที่สื่อถึงเธอ หญิงสองวัยกอดกันร่ำไห้ หากเพียงเธอทำความรู้จักเขาเร็วกว่านี้ เขาคงจะมีความสุขมาก
แม่กวีเล่าเรื่องราวต่างๆให้เธอฟังว่าเขาแอบชอบเธอ หากแค่ลูกชายแม่บุญน้อยมาด่วนจากไปเสียก่อน เป็นครั้งแรกที่เธอโอบกอดปลอบประโลมหญิงชราที่มิใช่มารดาตน... หากความรู้สึกนั้นไม่ต่างกันเลย
วันเผา นิดาขึ้นไปวางดอกไม้จันทน์เป็นคนสุดท้าย เป็นครั้งแรกที่เธอเอ่ยปากบอกรักใคร คำขอบคุณและบอกความรู้สึกภายในใจกว่าจะพูดออกมาได้แสนยากเย็นเพราะแรงสะอื้น
"ขอบคุณค่ะ" คำพูดสุดท้ายเมื่อสิ้นเสียง นิดารู้สึกเหมือนมีคนร่วมร้องไห้อยู่ข้างๆ คงเป็น... เขา
...
คืนนี้ฝนตกหนักแน่ ตอนเธอมาถึงฝนก็เริ่มโปรยปรายแล้ว นิดาแหงนหน้ามองดูฟ้า เมฆเต็มไปหมด ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง ระเบียงบ้านที่เคยมีใครบางคนมารอพบเธอว่างเปล่า หญิงสาวสะอื้นในใจเมื่อคิดถึง
หลังอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย เธอก็หยิบหนังสือเรียนภาษาอังกฤษขึ้นมาเปิดดูอย่างช้าๆ หน้าปกเขียนคำว่า ดร.สุภาจอมโหด คงเป็นอาจารย์ที่สอนเขา แต่ข้างในนั่นสิ มีแต่บทกลอนเต็มไปหมด มีชื่อเธอแทบทุกหน้า กลอนมีทั้งซาบซึ้งใจมีทั้งน้อยใจสาระพัดปนเปกัน จนมาถึงหน้าสุดท้ายที่มีลายมือเขาเขียนเน้นหนักพร้อมขีดเส้นใต้
วันนี้ต้องสารภาพความรู้สึกกับนิดาให้ได้
หญิงสาวปล่อยโฮอย่างสุดกลั้น เขาชอบเธอมากขนาดนี้ เหตุการณ์ต่างๆ ผ่านไปหลายเดือนแล้ว แต่รอยยิ้ม ท่าทางน้ำเสียงของเขายังคงแจ่มชัดในความทรงจำ ตอนเธอผ่านหน้าบ้านเขาอดรู้สึกไม่ได้ว่าเขายังอยู่ตรงนั้น คอยมองเธอจากตรงนั้น พ่อแม่เขาย้ายไปหลังจากเขาเสียไม่นาน บ้านหลังนั้นถูกปล่อยร้างแต่เธออาสาเข้าไปทำความสะอาดให้อย่างสม่ำเสมอ และขอซื้อต่อหากพ่อแม่ของกวีต้องการขาย ข้าวของเครื่องใช้ของกวียังคงอยู่ที่เดิม เธอไม่อยากสูญเสียความทรงจำอันมีค่านี้ไป และที่สำคัญเพราะเธอรู้... รู้ว่าเขายังอยู่ตรงนั้นเสมอ... คอยเฝ้ามองและคุ้มครองเธอ
เพียงหวัง เขารับรู้ความรู้สึกเธอ ว่าเธอเป็นหนี้เขาอยู่ หนี้ชีวิตและหัวใจ
ยังมีความฝันในชีวิตหนึ่ง มีคนคอยซึ้งในลมหายใจ มีคนปลอบโยนยามร้องไห้ แม้ไม่มีลมหายใจของคนปลอบโยน