ปริศนาฆาตกรรมในสำนักบู๊ตึ๊ง
### **ตอนที่ 1: เงามืดในสำนักบู๊ตึ๊ง**
ยามบ่ายในสำนักบู๊ตึ๊งที่เคยเต็มไปด้วยเสียงฝึกฝนของศิษย์ กลับเงียบสงัดอย่างผิดปกติ บรรยากาศหนักอึ้งราวกับมีก้อนเมฆดำปกคลุมอยู่เหนือยอดเขา แม้แต่สายลมที่เคยพัดผ่านก็เหมือนถูกกลืนหายไปในความเงียบนี้
ในห้องโถงใหญ่ เจ้าสำนักยืนอยู่กลางห้อง ร่างกายผ่ายผอมแต่สายตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ทว่าในแววตานั้นกลับมีเงาแห่งความเศร้าและความกังวลแฝงอยู่ ราวกับรู้ว่ามีบางสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นและยากที่จะควบคุม
“ศิษย์เอกของข้า... ถูกพบว่าเสียชีวิตในห้องพักของเขาเอง” เจ้าสำนักกล่าวด้วยน้ำเสียงที่กดดันขณะมองไปยังฉินหลิง ผู้ซึ่งยืนเงียบอยู่ที่มุมห้อง เงาของเขาหลอมรวมกับความมืดในห้องนั้น เหมือนเงาที่ไม่มีตัวตน
“การตายของเขาเป็นไปอย่างไร?” ฉินหลิงถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แต่ในใจกลับรู้สึกถึงความผิดปกติที่ไม่อาจมองข้ามได้
“ไม่มีใครได้ยินเสียงการต่อสู้ ไม่มีร่องรอยการบุกเข้าห้อง ประตูถูกปิดจากด้านใน แต่เขากลับมีรอยแผลบนร่างกาย เหมือนกับถูกโจมตีโดยบางสิ่งที่ไม่มีใครเห็น” เจ้าสำนักกล่าว ขณะที่ฉินหลิงครุ่นคิดตาม น้ำเสียงนั้นเจือไปด้วยความวิตกกังวล “นี่ไม่ใช่การฆ่าธรรมดา ข้าเกรงว่ามันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของสิ่งที่ใหญ่กว่า”
“ความเงียบที่ปกคลุมสำนักนี้ ไม่ใช่ความสงบสุข แต่เป็นเงามืดที่กำลังคลืบคลานเข้ามา” ฉินหลิงคิดในใจ ขณะเดินออกจากห้องโถงใหญ่ เขารู้ว่าความเงียบในสำนักนี้เป็นสัญญาณของบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าแค่การตายของศิษย์เอกเพียงคนเดียว
ขณะที่เขาเดินผ่านลานฝึกฝน ศิษย์บางคนแอบมองเขาอย่างเงียบๆ ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ทุกคนต่างรู้ดีว่า ฉินหลิงเป็นจอมยุทธเงาที่ไม่ค่อยเปิดเผยตัว และมักจะอยู่เบื้องหลังการสืบสวนที่ซับซ้อนที่สุดในยุทธภพ
“ทำไมถึงต้องเป็นเขา?” ศิษย์คนหนึ่งกระซิบกับเพื่อนของเขา “ฉินหลิงไม่ใช่คนที่สำนักนี้มักจะเรียกใช้ในการแก้ไขปัญหาภายใน นี่แสดงว่าคดีนี้ต้องมีอะไรบางอย่างที่ซับซ้อนเกินกว่าที่พวกเราจะเข้าใจ”
ฉินหลิงหยุดเดินเพียงครู่เดียว เพื่อมองไปยังยอดเขาที่ถูกหมอกปกคลุม เหมือนกับเงาที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความงามของธรรมชาติ เขารู้ว่า การมาของเขาไม่ใช่เพื่อแก้ไขปัญหาธรรมดา แต่เพื่อค้นหาความจริงที่ถูกปกปิดไว้ในเงามืดของสำนักนี้
** “การฆาตกรรมครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การฆ่า แต่มันเป็นการส่งสัญญาณ” ฉินหลิงคิดในใจ “แต่สัญญาณนี้ส่งถึงใคร? และใครคือผู้ส่ง?”
### **ตอนที่ 2: เบาะแสที่ซ่อนอยู่**
ยามเช้าที่สำนักบู๊ตึ๊งเริ่มต้นด้วยความเงียบงัน ฟ้าเริ่มเปิดเผยแสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านหมอกหนา แต่แสงนั้นดูเหมือนจะไม่สามารถแทรกผ่านความมืดที่ปกคลุมจิตใจของคนในสำนักนี้ได้ ฉินหลิงเดินเข้าไปในห้องพักของศิษย์เอกที่ถูกฆ่าตาย รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของความตายที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในอากาศ
ห้องพักของผู้ตายถูกเก็บไว้อย่างดี แต่ในสายตาของฉินหลิงกลับมองเห็นความผิดปกติที่คนอื่นอาจไม่สังเกต เขากวาดสายตาไปที่มุมห้อง และพบกับกระดาษที่ถูกเผาเหลือเพียงครึ่งแผ่น ซึ่งมีลายมือที่คุ้นเคยอยู่บนมัน
“ลายมือนี้…” ฉินหลิงหยิบเศษกระดาษขึ้นมา ลูบไล้ด้วยนิ้วมือราวกับต้องการสัมผัสถึงความลับที่ซ่อนอยู่ในนั้น “เป็นลายมือของผู้ที่อยู่ในสำนักนี้แน่นอน แต่ใครกันที่ต้องการทำลายมัน?”
ขณะที่เขาสำรวจเศษกระดาษนั้นอย่างละเอียด เขาก็พบว่า ข้อความที่เหลืออยู่บนกระดาษนั้นไม่สมบูรณ์ แต่เป็นคำสั่งบางอย่างที่สั่งให้ศิษย์เอกออกไปพบใครบางคนในยามค่ำคืนก่อนที่จะเสียชีวิต
“นี่คือจุดเริ่มต้นของการฆาตกรรมหรือ?” ฉินหลิงคิดในใจ ขณะที่เขารวบรวมเศษกระดาษและเก็บไว้ในเสื้อคลุม ความสงสัยเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของเขาอย่างช้าๆ
ระหว่างที่ฉินหลิงกำลังครุ่นคิด ศิษย์คนหนึ่งที่เคยสนิทสนมกับผู้ตายก็เข้ามาหาเขาอย่างลับๆ ท่าทางของศิษย์คนนั้นดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างที่ต้องการบอก แต่กลัวว่าจะถูกจับได้
“ท่านฉิน... ข้ามีบางสิ่งที่ต้องบอกท่าน” ศิษย์คนนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ “ก่อนที่เขาจะตาย... ข้าเห็นเขาได้รับจดหมายบางอย่าง และหลังจากนั้นเขาก็ไม่เหมือนเดิมอีกเลย”
“จดหมายอะไร?” ฉินหลิงถาม ขณะที่แววตาของเขาจ้องไปที่ศิษย์คนนั้นอย่างเฉียบคม
“ข้าไม่รู้... ข้าพยายามถามเขา แต่เขากลับปิดบังมันเอาไว้ ข้ารู้เพียงว่าในจดหมายนั้น มีอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาเปลี่ยนไป” ศิษย์คนนั้นกล่าวด้วยความหวาดกลัว
“แล้วจดหมายนั้นอยู่ที่ไหน?” ฉินหลิงถามอย่างรวดเร็ว
“ข้าไม่รู้... บางทีท่านอาจพบคำตอบในห้องของเขา” ศิษย์คนนั้นตอบ ก่อนจะหันหลังกลับอย่างรวดเร็ว ราวกับกลัวว่าจะถูกเห็น
ฉินหลิงหยิบเศษกระดาษขึ้นมาอีกครั้ง สายตาของเขาจับจ้องไปที่ลายมือที่ถูกเผาไปครึ่งหนึ่ง “จดหมายนั้น... หรือจะเป็นเบาะแสที่เขาพยายามจะปกปิด?”
** ฉินหลิงรู้ดีว่า การตายครั้งนี้ไม่ใช่แค่การฆาตกรรมธรรมดา แต่มันเกี่ยวข้องกับความลับบางอย่างที่มีผู้ต้องการปกปิด และจดหมายนั้นอาจเป็นกุญแจสำคัญที่จะไขปริศนานี้ แต่ใครคือผู้ส่ง? และใครคือผู้รับ?
### **ตอนที่ 3: ความเงียบที่ทรยศ**
สายลมยามบ่ายพัดผ่านสำนักบู๊ตึ๊ง แต่กลับไม่มีความเย็นเยือกเข้ามาถึงจิตใจของคนในสำนัก มีเพียงความรู้สึกอึดอัดเหมือนกับว่าบางสิ่งกำลังซ่อนอยู่ในเงามืด ทุกคนที่พบเห็นต่างก้มหน้าและเร่งรีบเดินผ่านฉินหลิง ราวกับว่าเพียงแค่การสบตากับเขาก็อาจเป็นการท้าทายอำนาจมืดที่ครอบงำสำนักนี้
ฉินหลิงเดินไปตามลานฝึกฝน สายตาของเขาจับจ้องไปที่ศิษย์หลายคนที่ฝึกยุทธอยู่ แต่การฝึกซ้อมนั้นดูเหมือนจะไม่มีชีวิตชีวา ทุกคนฝึกด้วยท่าทีที่เหมือนหุ่นยนต์ที่ถูกควบคุม ความเงียบของพวกเขาเหมือนเสียงสะท้อนของความหวาดกลัวที่ไม่อาจพูดออกมาได้
“ความเงียบเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่รู้” ฉินหลิงคิดในใจ ขณะเดินเข้าไปหาศิษย์คนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าของกลุ่ม “แต่เป็นเพราะพวกเขากลัวบางสิ่งที่ใหญ่กว่าการตายของศิษย์เอก”
“เจ้ารู้สึกเช่นเดียวกับข้าหรือไม่?” ฉินหลิงเอ่ยถามขึ้นเสียงเรียบ
ศิษย์คนนั้นชะงัก มองหน้าฉินหลิงด้วยแววตาที่สะท้อนความกังวลและความกลัว “ข้า… ข้ารู้ว่ามีบางสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่ข้าไม่อาจพูดออกมาได้”
“ทำไมเจ้าถึงไม่พูด?” ฉินหลิงถามต่อ น้ำเสียงของเขานุ่มนวลแต่มีอำนาจที่ซ่อนอยู่
“เพราะว่า… ความเงียบเป็นสิ่งเดียวที่ยังคงรักษาชีวิตข้าได้ในตอนนี้” ศิษย์คนนั้นตอบเบาๆ แต่เสียงของเขาสั่นเล็กน้อย “บางครั้ง ความเงียบเป็นเพียงการบ่งบอกถึงสิ่งที่ซ่อนอยู่ในใจ”
"ในเงามืดที่ซ่อนความจริง เสียงเงียบงันดังขึ้นในใจ
การพูดคือการทรยศ การเงียบคือการมีชีวิต"
ฉินหลิงฟังคำตอบนั้นอย่างตั้งใจ เขารู้ว่าความเงียบในสำนักนี้ไม่ใช่เพราะความสงบสุข แต่เป็นเพราะทุกคนรู้ว่ามีบางสิ่งที่น่ากลัวกว่าความตาย บางสิ่งที่ไม่มีใครกล้าเผชิญหน้า
“ข้าไม่ต้องการให้เจ้าทรยศความรู้สึกของตัวเอง” ฉินหลิงพูดเบาๆ “แต่ข้าเพียงต้องการความจริง… เพื่อทำให้เงามืดนี้หายไป”
ศิษย์คนนั้นมองดูฉินหลิงอย่างลังเล ก่อนที่จะก้มหน้าลงอีกครั้ง “ข้ารู้ว่าท่านต้องการความจริง… แต่ข้าขอเพียงให้ท่านระวังตัว... เงานั้นไม่ได้มาจากภายนอก แต่มาจากคนที่ท่านไม่คาดคิด”
** คำพูดนั้นทำให้ฉินหลิงเริ่มสงสัยว่าคนที่เขาคิดว่าน่าเชื่อถืออาจไม่เป็นอย่างที่เห็น และความเงียบที่ปกคลุมสำนักนี้อาจเป็นเพียงฉากหน้าที่ซ่อนความทรยศที่ลึกซึ้งกว่า
### **ตอนที่ 4: รอยแผลที่มองไม่เห็น**
ในห้องเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในมุมหนึ่งของสำนักบู๊ตึ๊ง ฉินหลิงนั่งพิจารณาหลักฐานทั้งหมดที่เขารวบรวมได้ ในมือของเขาถือเศษกระดาษที่ถูกเผาเหลือครึ่งแผ่น ลายมือที่คุ้นเคยบนกระดาษนั้นยังคงกวนใจเขา เขารู้ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังการฆาตกรรมนี้ต้องเป็นคนที่มีความรู้และทักษะที่สูง แต่ยังคงซ่อนตัวอยู่ในเงามืด
“การตายของศิษย์เอก ไม่ได้เป็นเพียงการฆาตกรรม แต่มันเป็นการส่งสัญญาณ… สัญญาณที่ข้าต้องถอดรหัสให้ได้” ฉินหลิงพึมพำกับตัวเอง ขณะที่เขาพยายามเชื่อมโยงเหตุการณ์ทั้งหมดเข้าด้วยกัน
เขาเดินกลับไปยังห้องพักของผู้ตายอีกครั้ง คราวนี้สายตาของเขาจับจ้องไปที่ร่างของศิษย์เอกที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง แสงอาทิตย์ยามบ่ายส่องผ่านหน้าต่าง เขาสังเกตเห็นรอยแผลเล็กๆ ใต้ผิวหนัง รอยแผลนั้นเหมือนกับการถูกแทงด้วยเข็มบางๆ และแหลมคม ซึ่งเป็นวิธีการฆ่าที่แยบยลและเงียบงัน
“นี่ไม่ใช่การฆ่าธรรมดา” ฉินหลิงคิดในใจ “มันเป็นการวางแผนอย่างรอบคอบเพื่อไม่ให้มีใครรู้ว่าผู้ตายถูกฆ่าอย่างไร และที่สำคัญคือ เพื่อไม่ให้ทิ้งร่องรอย”
เขาหยิบเข็มบางๆ ที่พบในห้องขึ้นมา รู้สึกถึงพิษที่ยังคงหลงเหลืออยู่บนปลายเข็ม พิษนี้ไม่ใช่พิษธรรมดา แต่เป็นพิษที่ออกฤทธิ์ทันทีและทำให้ผู้ตายไม่สามารถขอความช่วยเหลือได้
“คนที่ใช้พิษนี้ ต้องเป็นผู้ที่มีความรู้เรื่องพิษเป็นอย่างดี” ฉินหลิงคิดขณะเดินกลับมาที่ห้องของตนเอง เขารู้ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังต้องเป็นคนในสำนัก แต่ยังไม่แน่ชัดว่าใคร
"รอยแผลที่ซ่อนใต้ผิว พิษเงียบงันซ่อนในความตาย
การฆ่าที่ไร้ร่องรอย คือการหลอกลวงที่ลึกซึ้ง"
ในห้องพักของเขา ฉินหลิงนั่งลงและพิจารณาทุกสิ่งที่เขารู้ เขารู้ว่าเขาไม่สามารถไว้ใจใครได้อีกต่อไป แม้แต่คนที่ใกล้ชิดกับเขาที่สุด พิษนี้เป็นเหมือนกับดาบสองคมที่สามารถทำลายทั้งผู้ใช้และผู้ถูกกระทำ
“แต่ใครล่ะ… ที่จะมีความรู้เช่นนี้? และเหตุใดจึงต้องใช้วิธีการที่ซับซ้อนเช่นนี้ในการฆ่าศิษย์เอก?” ฉินหลิงถามตัวเอง ขณะที่เขาสำรวจเข็มนั้นอย่างละเอียด
** ปริศนาของรอยแผลและพิษนี้ยังคงเป็นคำถามที่ต้องการคำตอบ แต่คำตอบนั้นอาจนำพาเขาไปสู่ความจริงที่ยากจะรับมือ และเขาเริ่มสงสัยว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังอาจจะอยู่ใกล้กว่าที่เขาคิด
### **ตอนที่ 5: เงาที่หลบซ่อน**
ในยามราตรีที่ฟ้าถูกปกคลุมด้วยหมู่เมฆสีดำทึบ สำนักบู๊ตึ๊งดูเหมือนถูกครอบงำด้วยความเงียบงันที่ไม่เป็นธรรมชาติ ฉินหลิงนั่งอยู่ในห้องพักของตนเอง สายตาของเขาจับจ้องไปที่แสงเทียนที่ริบหรี่ ราวกับว่าแสงนั้นกำลังถูกความมืดกลืนกิน เขารู้ดีว่าเงามืดในสำนักนี้ไม่ใช่เพียงแค่การปกปิดความจริง แต่เป็นการซ่อนเร้นความลับที่อันตรายยิ่งกว่านั้น
"คนที่เงียบที่สุด มักจะเป็นคนที่มีความลับมากที่สุด" ฉินหลิงคิดในใจ ขณะมองไปยังหน้าต่างที่เปิดออกเล็กน้อย ลมเย็นพัดเข้ามาอย่างแผ่วเบา แต่ความเย็นนั้นกลับรู้สึกเหมือนเป็นคำเตือนจากสิ่งที่มองไม่เห็น
ในขณะที่ฉินหลิงกำลังครุ่นคิด เขาได้ยินเสียงฝีเท้าที่แผ่วเบาดังมาจากด้านนอก เป็นเสียงที่คุ้นเคย แต่กลับมีความผิดปกติอยู่ในนั้น เขาตัดสินใจออกไปตามหาที่มาของเสียงนั้น และพบกับศิษย์คนหนึ่งที่เคยทำตัวน่าสงสัยในช่วงแรก
ศิษย์คนนั้นเดินผ่านทางเดินด้วยท่าทางที่ไม่แน่ใจ ราวกับว่าเขากำลังหลบหนีจากบางสิ่งที่ไม่อาจมองเห็นได้ ฉินหลิงเฝ้าติดตามเขาอย่างเงียบงัน จนกระทั่งศิษย์คนนั้นหยุดที่หน้าห้องหนึ่ง ซึ่งเป็นห้องของศิษย์เอกผู้ที่ถูกฆาตกรรม
“เจ้ากำลังทำอะไรอยู่?” ฉินหลิงเอ่ยถามเสียงเบา แต่ทว่ามีอำนาจในน้ำเสียง
ศิษย์คนนั้นสะดุ้ง หันกลับมามองฉินหลิงด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความกลัว “ข้า… ข้าเพียงแค่มาตรวจสอบบางอย่าง...”
“สิ่งที่เจ้ากำลังตรวจสอบ เป็นสิ่งที่ข้าต้องการรู้ด้วยหรือไม่?” ฉินหลิงถามต่อ สายตาของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย
“ข้า… ข้าเพียงต้องการรู้ว่า… ข้าสามารถไว้ใจใครได้บ้างในสำนักนี้” ศิษย์คนนั้นตอบด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
ฉินหลิงจับจ้องไปที่ศิษย์คนนั้น เขารู้ว่าความกลัวในดวงตานั้นไม่ใช่เพียงแค่ความกลัวต่อความตาย แต่เป็นความกลัวต่อความจริงที่กำลังจะถูกเปิดเผย
"ในเงาที่หลบซ่อน ความกลัวเป็นเพียงเงา
ความจริงที่ไม่มีใครกล้าเผชิญ เป็นสิ่งที่ทำให้เราหวาดหวั่น"
“เจ้าไม่จำเป็นต้องกลัวข้า” ฉินหลิงพูดเสียงเบา ขณะที่เขาก้าวเข้าไปใกล้ศิษย์คนนั้น “แต่เจ้าควรกลัวความจริงที่เจ้าไม่อยากเผชิญหน้า… เพราะมันจะเป็นสิ่งที่ตามหลอกหลอนเจ้าไปตลอดชีวิต”
ศิษย์คนนั้นมองหน้าฉินหลิงด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสับสน ก่อนที่จะพยายามเดินหนีไป แต่ฉินหลิงกลับขวางทางเขาไว้
“ข้าไม่ต้องการให้เจ้าหลบหนีความจริง” ฉินหลิงกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคง “เจ้าคือส่วนหนึ่งของปริศนานี้ และข้าไม่ต้องการให้เจ้ากลายเป็นเหยื่อของมัน”
** ศิษย์คนนั้นกลับนิ่งเงียบ ราวกับว่าคำพูดของฉินหลิงได้ทำให้เขาเริ่มตระหนักถึงบางสิ่งที่เขาพยายามหลบซ่อน ฉินหลิงรู้ดีว่าคนในสำนักนี้ต่างมีความลับ และความลับนั้นอาจเป็นเงาที่กำลังจะกลืนกินพวกเขาทุกคน
### **ตอนที่ 6: ใบหน้าที่แท้จริง**
ฟ้าคืนนี้ถูกปกคลุมด้วยเมฆดำหนาทึบ แม้แต่ดวงจันทร์ก็ไม่สามารถแสงส่องทะลุผ่านมาได้ สำนักบู๊ตึ๊งดูเหมือนจะตกอยู่ในเงามืดที่หนาแน่นยิ่งขึ้น ฉินหลิงเดินไปยังห้องโถงใหญ่ที่เต็มไปด้วยความเงียบงัน ขณะที่สายตาของเขาจับจ้องไปยังเงาที่เคลื่อนไหวอย่างช้าๆ ใต้แสงเทียนที่ริบหรี่
เขารู้ดีว่าความจริงที่เขาค้นพบอาจไม่เป็นอย่างที่เขาคิด เขารู้สึกถึงความกดดันที่เพิ่มขึ้นเมื่อเขาเข้าใกล้ความจริงที่ซ่อนอยู่ในสำนักนี้มากขึ้นทุกที
“ใบหน้าที่เราเห็น อาจไม่ใช่ใบหน้าที่แท้จริง” ฉินหลิงพึมพำกับตัวเอง ขณะก้าวเข้าไปในห้องโถงใหญ่ ในห้องนั้นเต็มไปด้วยศิษย์และอาจารย์ของสำนัก ทุกคนต่างเงียบงันเหมือนรูปปั้นที่ไม่มีชีวิต สายตาของพวกเขาจับจ้องไปที่ฉินหลิง ราวกับว่ารู้ว่าความจริงกำลังจะถูกเปิดเผย
“ข้ารู้ว่ามีบางคนในที่นี้ไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์” ฉินหลิงกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ข้ารู้ว่ามีคนที่พยายามปกปิดความจริง และข้าจะไม่ยอมให้ใครซ่อนอยู่ในเงามืดอีกต่อไป”
เสียงของเขาก้องกังวานไปทั่วห้อง แต่ไม่มีใครพูดอะไร ทุกคนต่างนิ่งเงียบเหมือนถูกตรึงไว้ด้วยคำพูดของเขา
เจ้าสำนักที่ยืนอยู่ข้างหน้าเงยหน้าขึ้น มองฉินหลิงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย “ฉินหลิง… เจ้าคิดว่าใครคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังการฆาตกรรมนี้?”
“ข้าไม่อาจบอกได้ว่าใครเป็นคนร้าย… แต่ข้ารู้ว่าความจริงนั้นไม่ได้อยู่ในสิ่งที่เราเห็น แต่ในสิ่งที่เราปิดบัง” ฉินหลิงตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา “และข้าเชื่อว่าผู้ที่เกี่ยวข้องอยู่ในห้องนี้”
ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องดังขึ้นจากมุมหนึ่งของห้อง ศิษย์คนหนึ่งที่เคยเงียบงันมาตลอดกลับลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางที่หวาดกลัว “ข้า… ข้าไม่ได้ตั้งใจ… ข้าเพียงทำตามคำสั่ง…”
ทุกสายตาจับจ้องไปที่เขา ฉินหลิงก้าวเข้าไปใกล้ “คำสั่งจากใคร?”
“ข้า… ข้าไม่อาจพูดได้… ข้าไม่อาจทรยศต่อเขา…” ศิษย์คนนั้นสั่นสะท้าน ท่าทางของเขาแสดงถึงความกดดันที่เขาไม่อาจทนรับได้
"ใบหน้าที่แท้จริง ซ่อนอยู่ในเงามืด
ความกลัวคือพันธนาการ ที่ไม่มีใครสามารถหลบหนี"
“เจ้าคงรู้ว่าความเงียบของเจ้าไม่อาจปกปิดความจริงได้ตลอดไป” ฉินหลิงกล่าวเสียงเรียบ “หากเจ้าไม่พูดออกมา ความเงียบนี้จะกลายเป็นคำสาปที่ตามหลอกหลอนเจ้าไปตลอดชีวิต”
ศิษย์คนนั้นมองดูฉินหลิงด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตา ก่อนที่จะก้มหน้าลงอย่างยอมจำนน “ข้า… ข้าถูกบังคับ… ข้าไม่ต้องการทำเช่นนี้…”
** คำพูดนั้นทำให้ห้องโถงเต็มไปด้วยความเงียบงัน
### **ตอนที่ 7: ความจริงที่ซ่อนอยู่**
ความเงียบในห้องโถงใหญ่ของสำนักบู๊ตึ๊ง หนักอึ้งจนแทบจะสัมผัสได้ ทุกสายตาจับจ้องไปที่ศิษย์คนนั้นที่เพิ่งสารภาพว่าถูกบังคับให้ทำบางสิ่งที่ไม่ควรทำ ความกลัวที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของเขาเป็นสิ่งที่ไม่อาจปิดบังได้
“ข้าไม่ต้องการทำเช่นนี้…” ศิษย์คนนั้นพึมพำ น้ำตาเริ่มไหลลงมาอาบแก้มของเขา เขามองไปที่ฉินหลิงด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง “แต่ข้าถูกบังคับ… หากข้าไม่ทำ พวกเขาจะฆ่าข้า…”
คำสารภาพของเขาสร้างความสั่นสะเทือนให้กับทุกคนในห้องโถง ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา สายตาของทุกคนเต็มไปด้วยความสงสัยและความหวาดระแวง
ฉินหลิงจับจ้องไปที่ศิษย์คนนั้นด้วยสายตาที่เฉียบคม “บอกข้ามา… ใครเป็นคนบังคับเจ้า?”
ศิษย์คนนั้นนิ่งไปครู่หนึ่ง ราวกับกำลังชั่งใจว่าจะพูดความจริงหรือไม่ “ข้าไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร… เขาไม่เคยเผยตัวตนให้ข้าเห็น เขาเพียงส่งข้อความผ่านจดหมาย และบอกข้าว่าหากข้าไม่ทำตามคำสั่ง เขาจะฆ่าข้า…”
คำพูดนั้นทำให้ฉินหลิงต้องครุ่นคิด “จดหมาย? เจ้าเก็บมันไว้ที่ไหน?”
ศิษย์คนนั้นสั่นศีรษะ “ข้าเผามันไปแล้ว… ข้าไม่ต้องการให้ใครรู้ ข้ากลัว… ข้ากลัวว่าหากมีใครพบจดหมายนั้น ข้าจะไม่รอด”
เจ้าสำนักที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากฉินหลิงเริ่มเดินเข้ามาใกล้ “จดหมายนั้น... มันมีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร?”
ศิษย์คนนั้นสูดลมหายใจลึก “มันเป็นเพียงคำสั่งให้ข้าไปที่สถานที่แห่งหนึ่งในยามวิกาล และทำบางสิ่งที่เขาต้องการ... ข้าไม่รู้ว่าทำไม ข้าถูกบังคับให้ปิดปากเกี่ยวกับการตายของศิษย์เอก แต่ข้าไม่ใช่คนที่ฆ่าเขา ข้าเพียงถูกบังคับให้ช่วยปกปิดความจริง”
ความเงียบงันอีกครั้งเข้าครอบงำห้องโถง ฉินหลิงเริ่มเข้าใจว่าศิษย์คนนี้อาจเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งในแผนการที่ซับซ้อนกว่าที่เขาคิด
"ในเงามืดที่ขยับไหว ความจริงถูกปกปิดด้วยคำลวง
ความกลัวเป็นดั่งเงาที่ส่องสว่าง แสงแห่งความจริงจะทำให้เงาหายไป"
ขณะที่ฉินหลิงกำลังครุ่นคิดถึงสิ่งที่เพิ่งได้ยิน เขาก็เริ่มสงสัยว่าเบื้องหลังแผนการนี้อาจมีคนอื่นที่ยังไม่ถูกเปิดเผย ใครกันที่เป็นผู้บงการทั้งหมดนี้? และเหตุใดจึงต้องทำให้ศิษย์เอกต้องตายอย่างลึกลับเช่นนี้?
ทันใดนั้น ฉินหลิงก็จำได้ถึงเบาะแสบางอย่างที่เขาเกือบจะมองข้ามไป “เจ้าบอกว่าเขาไม่เคยเผยตัวตนให้เจ้าเห็น แต่เขาต้องการให้เจ้าไปพบที่ไหนสักแห่ง… สถานที่แห่งนั้นอยู่ที่ใด?”
ศิษย์คนนั้นนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบเบาๆ “ในห้องเก็บตำรา… ที่มุมลึกของสำนัก”
“ห้องเก็บตำรา?” ฉินหลิงทวนคำ เขารู้ว่าห้องนั้นเป็นสถานที่ที่สำคัญและถูกล็อคไว้ตลอดเวลา มีเพียงไม่กี่คนในสำนักเท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้าไป
ความสงสัยในใจของฉินหลิงเพิ่มขึ้นอีกครั้ง เขาเริ่มรู้สึกว่าความจริงนั้นใกล้เข้ามาทุกที แต่ยังมีบางสิ่งที่เขายังไม่เข้าใจ สถานที่แห่งนั้นอาจมีคำตอบที่เขาตามหา หรืออาจเป็นเพียงกับดักอีกชั้นหนึ่งที่ถูกวางไว้เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ
** ฉินหลิงรู้ดีว่าเขาจะต้องไปตรวจสอบห้องเก็บตำรานั้น เพื่อหาคำตอบว่าใครคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังการฆาตกรรมนี้ แต่เขาก็รู้ว่าความจริงที่เขาจะได้พบอาจไม่เป็นอย่างที่เขาคิด และบางที… ผู้ที่เขาไว้ใจอาจเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมดนี้
### **ตอนที่ 8: หมากแห่งความตายที่วางไว้อย่างแยบยล**
ในสำนักบู๊ตึ๊งที่เงียบสงัด แต่กลับซ่อนความวุ่นวายที่กำลังจะปะทุ เหมือนทะเลที่สงบก่อนพายุจะมา เจ้าสำนักผู้มากด้วยอำนาจและบารมี ไม่เคยแสดงออกถึงความกังวลแม้แต่น้อย สายตาของเขามองไปยังศิษย์ทั้งสองที่เคยสนิทสนมกัน เหมือนมองหมากตัวหนึ่งที่เขาวางไว้บนกระดาน สองศิษย์นี้เคยเป็นเหมือนดวงจันทร์และดวงดาวที่ส่องสว่างในสำนัก แต่สิ่งที่ไม่มีใครรู้ก็คือ พวกเขาเป็นเพียงหมากที่เจ้าสำนักวางแผนอย่างแยบยลเพื่อให้พวกเขาฆ่ากันเอง
เจ้าสำนักนั้นรู้ดีว่าในยุทธภพนี้ การทำให้ศิษย์เอกของตนโดดเด่นเกินไปอาจนำมาซึ่งความวุ่นวายที่ยากจะควบคุม ศิษย์เอกคนนั้นมีความสามารถและฝีมือที่อาจก้าวขึ้นมาแทนที่เขาได้ในอนาคต และนั่นคือสิ่งที่เขาไม่อาจยอมให้เกิดขึ้นได้ ดังนั้น เขาจึงวางแผนที่จะใช้ความรัก ความเกลียด และความอิจฉาของมนุษย์เป็นเครื่องมือในการทำลายศิษย์เอกคนนั้น โดยไม่ต้องลงมือเองแม้แต่นิดเดียว
“เจ้าสำนักนั้นเหมือนงูที่เงียบสงัด แต่กลับมีพิษที่ร้ายแรงซ่อนอยู่ภายใน” ฉินหลิงคิดในใจ ขณะที่เขานึกย้อนถึงเหตุการณ์ทั้งหมด
เจ้าสำนักเริ่มแผนการของเขาด้วยการทำให้ศิษย์ทั้งสองสนิทสนมกัน เขาส่งเสริมให้พวกเขาใช้เวลาร่วมกัน ฝึกฝนและเรียนรู้วิชาด้วยกัน ราวกับต้องการสร้างมิตรภาพที่แน่นแฟ้นระหว่างทั้งสอง แต่เบื้องหลังของความสนิทสนมนั้น เจ้าสำนักกลับรู้ดีว่าศิษย์คนหนึ่งมีความรู้สึกที่ลึกซึ้งกว่าแค่เพื่อนฝูง
“เขาวางหมากอย่างระมัดระวัง ทุกการเคลื่อนไหวของเขามีเป้าหมายที่ชัดเจน” ฉินหลิงคิดต่อ
เจ้าสำนักค่อยๆ ปลูกฝังความรู้สึกในใจของศิษย์คนหนึ่ง ทำให้เขาเริ่มตกหลุมรักศิษย์เอกคนนั้น แต่ความรักนั้นกลับไม่ถูกตอบสนอง เจ้าสำนักรู้ดีว่าความรักที่ไม่สมหวังสามารถกลายเป็นอาวุธที่ทรงพลังได้ หากใช้อย่างถูกวิธี
เขาจัดให้ศิษย์คนนั้นได้พบกับตำราลับที่ถูกเก็บไว้ในห้องเก็บตำรา ซึ่งเป็นตำราที่สอนเกี่ยวกับการใช้พิษ ที่ซึ่งเขารู้ว่าศิษย์คนนั้นจะต้องสนใจ เพราะในใจของศิษย์คนนั้นมีความรู้สึกที่ต้องการพิสูจน์ตัวเอง ต้องการเป็นที่ยอมรับและได้รับความรักตอบ
เจ้าสำนักยังคงวางแผนต่อไปด้วยการทิ้งเบาะแสเล็กๆ น้อยๆ ไว้ในห้องพักของศิษย์เอก เช่น เศษกระดาษที่เขียนข้อความที่คลุมเครือ ซึ่งทำให้ศิษย์ที่หลงรักเข้าใจผิด คิดว่าศิษย์เอกคนนี้มีความสัมพันธ์กับผู้อื่น ความเข้าใจผิดนั้นถูกเจ้าสำนักใช้เป็นเครื่องมือในการจุดชนวนให้เกิดความเกลียดชังในใจศิษย์คนนั้น
"ในความรักที่เผลอใจ ความเกลียดชังเริ่มก่อตัว
พิษแห่งใจซึมสู่ราก ทุกหมากวางไว้เพื่อทำลาย"
เมื่อเวลาผ่านไป ความรักที่ไม่สมหวังได้กลายเป็นความอิจฉาและความเกลียดชังที่สะสมมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุด ศิษย์คนนั้นก็ตัดสินใจที่จะกำจัดศิษย์เอกด้วยพิษที่เขาเรียนรู้จากตำราลับ และทั้งหมดนี้ก็เป็นไปตามแผนการที่เจ้าสำนักวางไว้โดยไม่ต้องลงมือทำเองเลยแม้แต่น้อย
ในคืนหนึ่ง ศิษย์คนนั้นแอบลอบเข้าไปในห้องของศิษย์เอก ใช้เข็มที่เคลือบด้วยพิษแทงศิษย์เอกขณะที่เขาหลับอยู่ ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างเงียบงัน ราวกับเป็นการแสดงที่ถูกฝึกซ้อมมาอย่างดี
“และนี่คือจุดจบที่เจ้าสำนักต้องการให้เกิดขึ้น” ฉินหลิงพึมพำกับตัวเอง ขณะที่เขานึกถึงเหตุการณ์ทั้งหมด
หลังจากการตายของศิษย์เอก ความจริงก็ค่อยๆ ถูกเปิดเผย แต่เจ้าสำนักกลับสามารถลอยตัวเหนือสถานการณ์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เขาไม่ต้องเปื้อนเลือดของศิษย์เอก แต่กลับเป็นผู้ที่บงการทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบ
"มือที่ไม่เปื้อนเลือด คือมือที่สังหารจากเงามืด
หมากทุกตัวเล่นได้ดั่งใจ แต่ในเงานั้น มือใครเปื้อนเลือด?"
“เจ้าสำนักนั้นคือนักเล่นหมากที่เก่งที่สุด” ฉินหลิงคิดในใจ “แต่ในสายตาของเขา พวกเราทุกคนเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งเท่านั้น”
ฉินหลิงรู้ดีว่าความจริงนั้นซับซ้อนเกินกว่าที่จะเปิดเผยได้ทั้งหมด แต่เขาเลือกที่จะปิดปากเงียบ เพราะรู้ว่าการเปิดเผยความจริงทั้งหมดจะนำมาซึ่งความวุ่นวายที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เขาจะควบคุมได้
**ทิ้งท้าย:** ฉินหลิงเลือกที่จะสรุปคดีนี้ว่าเป็นการฆาตกรรมที่เกิดจากความรักที่ผิดหวังและความเกลียดชังที่เก็บสะสม แต่เขารู้ดีว่าความจริงนั้นไม่ได้ง่ายดายเพียงเท่านี้ เขารู้ว่าเจ้าสำนักคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังทุกอย่าง แต่เขาก็เลือกที่จะปิดปากเงียบ เพื่อรักษาความสงบสุขในสำนักบู๊ตึ๊ง แม้ว่าความจริงจะตามหลอกหลอนเขาตลอดชีวิตก็ตาม