เงามืดแห่งเขี้ยวหมูป่า
0
ตอน
49
เข้าชม
0
ถูกใจ
0
ความคิดเห็น
0
เพิ่มลงคลัง
“วันนั้น พวกเราไม่ได้คิดอะไรมาก ฝูงหมูป่ามันเข้ามาใกล้หมู่บ้าน มันเข้ามากินพืชผักที่คนในหมู่บ้านปลูกไว้ พวกมันมากันเหมือนทหารอเมริกาบุกเวียดนาม เป็นพวกที่คิดว่ามันจะยึดทุกอย่างได้”

เงามืดแห่งเขี้ยวหมูป่า 

บทนำ 

หลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุด ประเทศไทยยังคงมีแผลเป็นจากการสู้รบ เศรษฐกิจและสังคมกำลังฟื้นตัว ชีวิตของผู้คนในชนบทเริ่มกลับสู่ความสงบ แต่ภัยจากป่าเขายังคงเป็นอุปสรรคในชีวิตประจำวันของชาวบ้าน หนึ่งในปัญหานั้นคือฝูงหมูป่าที่ดุร้าย ซึ่งทำลายพืชผลและขู่คุกคามความเป็นอยู่ของชาวบ้านในแถบป่าตะวันตก 

**ตอนที่ 1 : หมูป่าหลังสงคราม** 

ที่นี่… “หนองเสือ” ไม่ใช่แค่หมู่บ้านธรรมดา มันคือที่ซึ่งสงครามโลกครั้งที่สองยังฝากร่องรอยไว้ ไม่ใช่แค่ในดิน ไม่ใช่แค่ในป่า แต่ในใจคน 

ฉันเป็นพราน เป็นพวกพรานที่คนว่ามันโหด มันไร้หัวใจ ก็น่าจะใช่ ฉันเห็นมามาก ฆ่ามามาก ตั้งแต่ที่ยังไม่มีใครคิดว่าจะเกิดสงคราม 

พวกเราอยู่ในป่า วันๆ ก็ล่า ล่าสัตว์กินบ้าง ขายบ้าง แล้วไง? แค่นี้มันผิดตรงไหน ถ้าพวกเขารู้ว่ามันต้องอยู่รอดยังไงในป่าใหญ่ที่เต็มไปด้วยหมูป่าบ้าระห่ำ พวกเขาจะเข้าใจ 

ไอ้ไกรสร นี่เป็นพรานหัวหน้ากลุ่ม มันเป็นคนหนุ่มแต่เก๋าเกม เก๋าเกมเพราะพ่อมันเป็นพวกหมอผีประจำหมู่บ้าน สอนมันทุกอย่าง ตั้งแต่จับตะขาบไปจนถึงการเสกคาถาลบหลู่พวกอำนาจมืด มันว่าเวทมนตร์มันช่วยให้รอดได้… อาจจะจริง แต่ฉันว่ามันก็แค่เรื่องงมงายของคนที่ยังเชื่อในของเก่าๆ 

ไอ้ขจร นี่สิ ตัวจริงของพวกพราน นิ่งเงียบเหมือนแมวป่า แต่ยิงปืนแม่นราวกับพระเจ้ายิงเอง แต่ไอ้ขจรนี่แหละ คนที่มีของ แต่กลับกลัวเสียงปืน ไม่ใช่เพราะมันไม่กล้าหรอกนะ แต่เพราะมันเคยเป็นทหาร ทหารที่กลับมาจากนรกแล้วต้องมาเจอเสียงนรกในใจมันอีก 

ไอ้ยอด นี่ตัวแสบแห่งวงการสร้างกับดัก เห็นว่ามันทำกับดักไว้ในป่าแล้วมีสัตว์ติดทุกรูปแบบ มันเป็นพวกชอบคิดอะไรแปลกๆ ในหัว มันบอกว่าสร้างกับดักที่ดีที่สุดคือการรู้ว่าสัตว์จะทำอะไรต่อไป คิดให้เหมือนสัตว์ นั่นแหละที่มันบอก 

วันนั้น พวกเราไม่ได้คิดอะไรมาก ฝูงหมูป่ามันเข้ามาใกล้หมู่บ้าน มันเข้ามากินพืชผักที่คนในหมู่บ้านปลูกไว้ พวกมันมากันเหมือนทหารอเมริกาบุกเวียดนาม เป็นพวกที่คิดว่ามันจะยึดทุกอย่างได้ 

“พวกเราไปกันเถอะ” ไอ้ไกรสร มันพูดเสียงเข้ม “พ่อหมอบอกแล้ว พวกมันมาอีกแล้ว คราวนี้เยอะกว่าครั้งที่แล้ว” 

“ก็ไปสิ” ไอ้ขจรพึมพำ แต่ยังมีแววกลัวในแววตา 

“กูจะสร้างกับดักใหญ่ให้มันติดกันจนออกไม่ได้” ไอ้ยอดพูดพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มันชอบทำ 

 

**ตอนที่ 2: รวมทีม** 

หมอกบาง ๆ คลุมป่าดงพญาเย็นเหมือนผ้าห่มที่ทอด้วยความลึกลับ แสงอาทิตย์ในยามเช้าค่อย ๆ เลื้อยผ่านแมกไม้สูงใหญ่ ไอ้ขจรยืนพิงต้นไม้ใหญ่ สูดลมหายใจลึก ๆ เพื่อสงบใจที่ยังคงเต้นระรัว มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ต้องไปเผชิญหน้ากับอันตราย แต่มันรู้ว่าหมูป่าไม่เหมือนศัตรูที่เคยเจอในสงคราม 

“ไกรสร พวกเราจะไปตายกันไหม?” ไอ้ขจรถามเพื่อนรัก เสียงมันต่ำเหมือนกับเสียงลมพัดผ่านใบไม้ 

ไอ้ไกรสรไม่ได้ตอบในทันที มันนั่งนิ่งอยู่ริมกองไฟที่เริ่มมอดดับ มองดูประกายไฟสุดท้ายก่อนจะตอบ “ถ้าตายก็ช่างมัน” น้ำเสียงของไอ้ไกรสรเยือกเย็น เหมือนน้ำที่ไหลผ่านหินผา ไม่ได้แสดงความหวาดกลัวหรือความกล้าหาญ มันรู้ดีว่าในงานนี้ ทุกคนมีหน้าที่ของตัวเอง ถ้าพลาด ก็คือตาย 

ไอ้ขจรพยักหน้าเบา ๆ มันรู้ว่าความกลัวเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของนักล่า เพราะความกลัวทำให้มันไม่ประมาท ไอ้ยอดที่นั่งอยู่อีกฝั่งของกองไฟ ลุกขึ้นยืนแล้วมองเพื่อนทั้งสอง มันหันหน้าไปทางป่า เหมือนจะฟังเสียงอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในความมืด 

“เราต้องหาคนเพิ่ม” ไอ้ยอดพูดขึ้น มือของมันกำลังกำด้ามมีดสั้นที่คาดอยู่ข้างเอว “พวกเรามีสามคน แต่หมูป่ามันไม่ได้มาคนเดียว และมันไม่ได้โง่ มันรู้ว่าเรากำลังล่ามัน” 

“ใครวะ ที่จะช่วยเราได้?” ไอ้ไกรสรหันมาถาม ไอ้ขจรหยิบมีดขึ้นมาเหลาไม้ในมืออย่างสงบ 

“ไอ้สิงห์ กับไอ้ดำ” ไอ้ยอดตอบทันที “ไอ้สิงห์ มันทำกับดักเป็น และแข็งแกร่งเหมือนกับสัตว์ป่า ไอ้ดำ มันยิงปืนไม่เคยพลาดสักครั้ง แม้แต่ในวันที่ท้องฟ้ามืดมิดที่สุด” 

ไอ้ไกรสรพยักหน้า “ไม่มีทาง ที่พวกมันจะร่วมกับเรา พวกมันเป็นคนขี้ขลาด” 

ทั้งสามคนเดินออกจากป่าลึก เข้าสู่หมู่บ้านที่เงียบสงบเหมือนกับไม่รู้ว่าอันตรายที่แท้จริงกำลังแอบซ่อนอยู่ในเงาของป่า ทุกก้าวของพวกมันเหมือนกับการก้าวเข้าสู่สนามรบที่ไร้เสียง เพียงแต่ครั้งนี้ พวกมันไม่ใช่ผู้ล่า แต่เป็นผู้ถูกล่าที่ต้องล่าเพื่ออยู่รอด 

 

**ตอนที่ 3: เตรียมพร้อม** 

ในวันที่ฟ้าปิด ดวงจันทร์ไม่โผล่พ้นหมอกหนา ไอ้ยอดนั่งอยู่ริมป่าลึก มือของมันกำลังทำงานอย่างชำนาญกับไม้ไผ่เส้นหนึ่งที่มันตัดมาจากป่า มันกะความยาวและความแข็งแรงของไม้แต่ละชิ้นอย่างละเอียด เพื่อลงมือสร้างกับดักที่ไม่ใช่แค่กับดัก แต่เป็นกับดักที่เหยื่อไม่มีวันรู้ตัวว่าติดอยู่ 

“กับดักที่ดีคือกับดักที่ทำให้เหยื่อมันไม่รู้ว่ามันติดกับดัก” ไอ้ยอดพูดออกมาเบา ๆ ราวกับเป็นคำสอนให้ตัวเอง ไอ้ขจรกับไอ้ไกรสรนั่งฟังอยู่ใกล้ ๆ โดยที่ไม่ตอบอะไร เพราะรู้ดีว่าคำพูดของไอ้ยอดนั้นมากกว่าคำแนะนำ แต่มันคือกฎที่ต้องจำขึ้นใจ 

ไอ้ยอดนั้นไม่ใช่แค่คนที่เก่งการทำกับดัก แต่มันยังรู้จักวิธีที่จะเข้าใจหัวใจของสัตว์ป่า มันเชื่อว่าถ้าคนคิดเหมือนสัตว์ คนก็จะเข้าใจว่าสัตว์คิดอะไร และถ้าคนสามารถคิดแบบนั้น ก็สามารถเอาชนะมันได้ทุกครั้ง 

ในความเงียบงันของป่าลึก ไม่มีใครพูดอะไรออกมาเยอะนัก พวกเขาทุกคนต่างก็มุ่งมั่นทำงานของตัวเอง ไอ้ขจรใช้มีดปลายแหลมเหลาไม้ให้คมเพื่อใช้เป็นหอก ไอ้ยอดกำลังเตรียมเชือกและเหล็กเพื่อทำกับดักใหม่ ส่วนไอ้ไกรสร กำลังทำความสะอาดปืนของมันอย่างละเอียดเหมือนกับเป็นพิธีกรรม 

พวกเขารู้ดีว่าหมูป่าพวกนั้นไม่ได้เป็นเพียงสัตว์ป่า แต่มันคือภัยร้ายที่ซ่อนอยู่ในเงามืด พวกมันอาจรู้ว่าพวกเขากำลังมองหา แต่พวกมันไม่รู้ว่า พวกเขากำลังเตรียมพร้อมสำหรับการเผชิญหน้าครั้งสุดท้าย ที่อาจจะไม่มีใครได้กลับมาอีก 

เมื่อทุกอย่างพร้อม พวกเขาไม่ได้พูดอะไรกันมาก ทุกคนเข้าใจในสิ่งที่ต้องทำ ในป่าที่เงียบสนิทเช่นนี้ คำพูดไม่ใช่สิ่งที่จำเป็น ความเข้าใจต่างหากที่เป็นเครื่องมือที่จะพาพวกเขาไปสู่ชัยชนะหรือความตาย 

 

**ตอนที่ 4: การเดินทาง** 

ป่าตะวันตกในยามกลางวันดูเหมือนป่าอื่นๆ ทั่วไป แต่พอเดินลึกเข้าไปในพุ่มไม้หนาและใบไม้ที่ปกคลุมผืนดิน คุณจะรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่มันผิดธรรมชาติ เหมือนความเงียบสงบที่กำลังถูกกลืนกินด้วยความมืดที่กำลังมาเยือน  

ไอ้ขจรเดินตามหลังไอ้ไกรสรอย่างเงียบๆ มันมองไปรอบๆ ด้วยสายตาที่ระแวดระวัง แต่ก็ปนด้วยความหวาดหวั่นในใจ "ไกรสร มึงคิดว่า... เราจะเจออะไรที่น่ากลัวกว่าฝูงหมูป่านั่นไหม?" มันถามเบาๆ เหมือนกับกลัวว่าป่าจะได้ยิน 

ไอ้ไกรสรหยุดเดินแล้วหันมามองหน้าไอ้ขจรอย่างนิ่งๆ "ในป่ามันมีสิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นเยอะ แต่ถ้าเรากลัว เราก็จะไม่รอด กูว่ามึงควรทิ้งความกลัวไว้ที่นี่ แล้วทำหน้าที่ของมึงให้ดีที่สุด" 

ไอ้ขจรพยักหน้าเบาๆ มันไม่พูดอะไรอีก แต่ในใจมันกลับยิ่งเต้นแรงขึ้น ความทรงจำจากสงครามทำให้มันเข้าใจว่าความกลัวไม่ใช่สิ่งที่ควรมองข้าม แต่ในสถานการณ์นี้ การรับมือกับความกลัวอาจเป็นเรื่องของชีวิตและความตาย 

"ไอ้ยอด... มึงคิดว่าเรามาถูกทางไหมวะ?" ไอ้ขจรเปลี่ยนเรื่องถามไอ้ยอดที่กำลังเดินตามหลังอยู่ 

ไอ้ยอดที่อยู่ในความคิดของมันเองหันกลับมามอง "มึงก็รู้นี่ว่าป่ามันไม่ได้มีทางที่ถูกหรือผิด มีแต่ทางที่เราเลือกเดิน มันอยู่ที่ว่าเราจะรับมือกับสิ่งที่เราเจอยังไงมากกว่า" 

การสนทนานั้นจบลงอย่างรวดเร็ว พวกเขายังคงเดินต่อไปข้างหน้า สองเท้าเหยียบย่ำผ่านพุ่มไม้หนาและรากไม้ที่พันกันยุ่งเหยิง แต่ยิ่งเดินลึกเข้าไป ความรู้สึกว่าอะไรบางอย่างกำลังจับตามองพวกเขาก็ยิ่งชัดเจนขึ้น  

"กูไม่ชอบความเงียบแบบนี้เลย" ไอ้ขจรพูดขึ้นเบาๆ  

"ก็อย่าทำให้มันดังขึ้นมาก็พอ" ไอ้ไกรสรตอบกลับ  

เสียงของไอ้ไกรสรทำให้ไอ้ขจรยิ่งตระหนักว่าพวกเขาอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากกว่าเดิม ทุกก้าวที่พวกเขาเดินเข้าไปในป่าเหมือนกับพวกเขากำลังเดินเข้าสู่ความมืดที่ไม่รู้จัก สิ่งที่พวกเขาต้องเจออาจจะไม่ใช่แค่ฝูงหมูป่าธรรมดา แต่บางสิ่งที่ใหญ่และน่ากลัวกว่านั้น 

"ถึงแล้ว" ไอ้ยอดพูดขึ้น มันชี้ไปยังพื้นที่โล่งที่ดูเหมือนจะเป็นที่ที่หมูป่ามันผ่านมา มันย่อเข่าลงสำรวจร่องรอยบนดิน "นี่คือที่ที่มันผ่าน" 

ไอ้ไกรสรก้มลงดูบ้าง มันพยักหน้า "ใช่ รอยเท้าใหญ่ขนาดนี้คงเป็นพวกหมูป่าที่โตเต็มวัย พวกมันน่าจะอยู่ใกล้ๆ นี้" 

"งั้นเราก็ต้องเตรียมพร้อม" ไอ้ขจรยกปืนขึ้นมา ตรวจดูว่ากระสุนในลูกโม่ยังอยู่ครบหรือเปล่า  

ไอ้ยอดเริ่มวางกับดัก มันใช้เชือกและไม้ไผ่ที่เตรียมมาจากหมู่บ้าน วางไว้ในที่ที่มันคิดว่าเหมาะสม "ถ้าพวกมันผ่านมา ก็จะไม่รอดจากกับดักนี้แน่นอน" 

การเตรียมตัวของพวกพรานทั้งสามเต็มไปด้วยความเงียบและความระวัง มันไม่ใช่แค่การล่าสัตว์ธรรมดา แต่มันคือการรบกับสิ่งที่อาจจะเหนือธรรมชาติกว่าที่พวกเขาคาดคิด 

 

**ตอนที่ 5: เผชิญหน้ากับหมูป่า** 

ในความเงียบสงบของป่าตะวันตกนั้นเองที่พวกพรานรู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่กำลังเคลื่อนไหว เสียงกรอบแกรบของใบไม้ที่ถูกเหยียบดังขึ้นจากที่ไกล แต่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ 

"มันมาแล้ว" ไอ้ขจรกระซิบอย่างตื่นเต้น มือของมันยกปืนขึ้นเตรียมพร้อม 

พวกพรานทั้งสามคนเตรียมตัวเผชิญหน้ากับสิ่งที่กำลังจะมา ความมืดที่เริ่มปกคลุมป่าทำให้ทุกอย่างดูน่ากลัวขึ้นกว่าที่มันเป็น  

เสียงกรอบแกรบดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนกระทั่งพวกเขาเริ่มเห็นเงาของมัน—หมูป่าขนาดมหึมา ตัวใหญ่เท่าควาย หัวที่มีขนดกดำราวกับมีดบาดที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น 

ไอ้ขจรหายใจลึก มันยกปืนขึ้นพร้อมเล็งไปที่หัวของหมูป่าตัวนั้น "ปัง!" เสียงปืนดังขึ้น หมูป่าตัวนั้นสะดุด แต่ไม่ล้ม มันวิ่งเข้ามาหาพวกเขาด้วยความเร็วที่ไม่น่าเชื่อ 

"ไอ้ยอด! กับดัก!" ไอ้ไกรสรตะโกน 

ไอ้ยอดกระโดดไปยังเชือกที่มันเตรียมไว้ก่อนหน้านี้ มันดึงเชือกขึ้น หมูป่าตัวนั้นล้มลงในหลุมที่มีกับดักหนามเต็มไปหมด เสียงร้องของมันดังสะท้อนกับความมืด 

"อย่าเพิ่งชะล่าใจ มันอาจจะยังไม่ตาย" ไอ้ไกรสรเตือน ขณะที่มันหยิบมีดขึ้นมาเตรียมตัวเผื่ออะไรที่อาจจะเกิดขึ้น 

หมูป่าตัวนั้นยังคงดิ้นรนในกับดัก เสียงหายใจหนักๆ ของมันดังขึ้นทุกครั้งที่มันพยายามจะลุกขึ้นมา แต่ร่างของมันถูกกับดักหนามจับไว้แน่น 

"กูว่าเราต้องจัดการให้แน่นอน" ไอ้ขจรพูดด้วยน้ำเสียงที่เริ่มมีความมั่นใจขึ้น มันยกปืนขึ้นอีกครั้งแล้วเล็งไปที่หัวของหมูป่า  

"ปัง!" เสียงปืนดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้หมูป่าตัวนั้นก็หยุดดิ้น เสียงหายใจของมันเงียบลงในที่สุด 

แต่ก่อนที่พวกพรานจะได้ผ่อนคลาย เสียงกรอบแกรบอีกครั้งดังขึ้นจากทางด้านหลัง ไอ้ไกรสรหันกลับไปเห็นฝูงหมูป่าที่เหลือกำลังวิ่งเข้ามาด้วยความดุร้าย 

"มันยังไม่หมด!" ไอ้ไกรสรตะโกน "เตรียมตัวไว้!" 

ฝูงหมูป่าที่เหลือวิ่งเข้ามาเหมือนคลื่นทะเลที่กระแทกเข้ามาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ไอ้ขจรยิงปืนออกไปเรื่อยๆ แต่พวกหมูป่าก็ยังคงวิ่งเข้ามาไม่หยุด 

"กูจะใช้เวทมนตร์!" ไอ้ไกรสรตะโกนบอก  

มันเริ่มสวดคาถาที่มันจำได้จากพ่อของมัน เสียงสวดมนตร์ของไอ้ไกรสรดังขึ้นพร้อมกับความเงียบที่แผ่ไปทั่วป่า พลังของคาถาทำให้พวกหมูป่าหยุดวิ่ง มันเหมือนกับพวกมันถูกสะกดไว้ด้วยบางสิ่งที่มองไม่เห็น 

ไอ้ยอดไม่รอช้า มันรีบจัดการกับดักที่เหลือแล้วดึงเชือกขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้หมูป่าสองสามตัวล้มลงไปในหลุมที่มีกับดักหนามเต็มไปหมด 

เมื่อพวกหมูป่าที่เหลือหยุดนิ่ง พวกพรานก็ใช้เวลาจัดการพวกมันให้หมด เสียงหายใจหนักๆ ของไอ้ขจรดังขึ้นเหมือนกับมันเพิ่งรอดจากการต่อสู้ในสงคราม 

"มันจบแล้วหรือยังวะ?" ไอ้ยอดถามอย่างเหนื่อยๆ 

ไอ้ไกรสรพยักหน้าเบาๆ "สำหรับตอนนี้... แต่กูคิดว่ามีอะไรบางอย่างที่เรายังไม่รู้ในป่านี้" 

 

**ตอนที่ 6: ความลับของป่า** 

หลังจากความเงียบสงบกลับคืนมา พวกพรานสามคนก็ยังคงเดินสำรวจป่าต่อไป พวกเขาต้องแน่ใจว่าฝูงหมูป่าได้ถูกกำจัดหมดแล้ว แต่ในใจพวกเขารู้ดีว่ายังมีบางสิ่งที่ไม่ชอบมาพากลในป่านี้ 

"พวกเราต้องสำรวจต่อ กูรู้สึกว่าเรายังไม่เจอทั้งหมด" ไอ้ไกรสรพูดอย่างกังวล มันรู้ดีว่าป่าตะวันตกนี้ยังมีความลึกลับมากมายที่ยังไม่ได้ถูกเปิดเผย 

ขณะที่พวกเขาเดินไปเรื่อยๆ ผ่านทางเดินที่ดูเหมือนจะไม่เคยถูกเหยียบย่ำมาก่อน พวกเขาก็เริ่มรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป มันเหมือนกับมีบางสิ่งที่มองไม่เห็นกำลังคอยจับตามองพวกเขาอยู่ 

"พวกมึงได้ยินอะไรไหม?" ไอ้ขจรถามอย่างระแวดระวัง มันหันซ้ายหันขวาเหมือนกับพยายามจับเสียงที่อยู่ไกลออกไป 

"ไม่ได้ยินอะไร แต่กูรู้สึกว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียว" ไอ้ไกรสรตอบ ขณะที่มือของมันจับมีดไว้แน่น 

พวกเขาเดินลึกเข้าไปในป่า จนกระทั่งพวกเขาเจอกับพื้นที่เปิดโล่งที่ดูเหมือนเป็นสถานที่ที่เคยมีบางสิ่งเกิดขึ้นมาก่อน กลางพื้นที่นั้น พวกเขาเห็นซากศพที่นอนอยู่บนพื้นดิน ซากศพนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่ซากคนธรรมดา แต่เป็นซากของพรานที่เคยออกล่ามาก่อนพวกเขา 

"นี่มัน... ซากของพรานที่หายไปเมื่อหลายปีก่อน" ไอ้ยอดพูดขึ้น มันจำได้ว่ามีพรานกลุ่มหนึ่งที่เคยเข้ามาในป่านี้แต่ไม่เคยกลับออกมา 

แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกประหลาดใจคือกล่องไม้โบราณที่วางอยู่ข้างๆ ศพนั้น กล่องไม้นั้นดูเหมือนเป็นของโบราณที่มีความสำคัญบางอย่าง 

"กูไม่ชอบใจเลย" ไอ้ขจรพูดอย่างระแวง มันรู้สึกได้ถึงความลึกลับและความอันตรายที่แฝงอยู่ในกล่องนั้น 

"มันอาจเป็นสิ่งที่ทำให้พวกพรานกลุ่มนั้นตาย" ไอ้ยอดเสริม มันเอื้อมมือไปหยิบกล่องนั้นขึ้นมา แต่ไอ้ไกรสรรีบห้าม 

"อย่าหยิบมัน! มันอาจมีอะไรบางอย่างที่เราไม่รู้ เราอาจปลดปล่อยบางสิ่งที่ไม่ควรปล่อยออกมา" ไอ้ไกรสรเตือนด้วยความกังวล 

แต่ไอ้ยอดก็ยังคงดึงดัน มันต้องการรู้ว่ามีอะไรอยู่ในกล่องนั้น "กูอยากรู้ว่ามันคืออะไร มันอาจเป็นกุญแจที่จะไขความลับทั้งหมดในป่านี้" 

ไอ้ไกรสรพยายามห้าม แต่มันรู้ดีว่าถ้ามันไม่เปิดกล่องนั้น มันก็อาจจะไม่รู้ว่าป่าตะวันตกนี้ซ่อนอะไรไว้อีกบ้าง  

ในที่สุด ไอ้ยอดก็ค่อยๆ เปิดฝากล่องไม้นั้นออก ภายในกล่องนั้นมีวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยพลังบางอย่างที่อธิบายไม่ได้  

แต่ทันทีที่ฝากล่องถูกเปิดออก ความรู้สึกที่เหมือนกับเวลาถูกหยุดนิ่งไว้ก็เกิดขึ้น ทุกอย่างรอบตัวพวกเขาดูเหมือนจะหยุดเคลื่อนไหว  

"กูว่า... พวกเราทำพลาดแล้ว" ไอ้ขจรพูดขึ้นอย่างตกใจ มันรู้สึกได้ว่าพวกเขากำลังเผชิญหน้ากับบางสิ่งที่พวกเขาไม่ควรยุ่งเกี่ยว 

ไอ้ไกรสรใช้เวทมนตร์ของมันปิดฝากล่องไว้อย่างรวดเร็ว แต่พวกเขารู้ว่ามันอาจสายเกินไป  

"เราต้องพากล่องนี้กลับไปที่หมู่บ้าน แล้วให้พ่อหมอจัดการ" ไอ้ไกรสรพูดอย่างหนักแน่น 

"แต่เราต้องระวังให้มากกว่านี้ เพราะเราไม่รู้ว่าพลังของมันจะส่งผลอะไรต่อไป" 

การเดินทางกลับหมู่บ้านของพวกเขาเต็มไปด้วยความเงียบและความระวัง แต่พวกเขารู้ดีว่าภารกิจของพวกเขายังไม่จบ ความลึกลับของป่าตะวันตกยังคงอยู่ และพวกเขาต้องหาทางรับมือกับมัน 

 

**ตอนที่ 7: คำสาปและการต่อรอง** 

การเดินทางกลับหมู่บ้านของพวกพรานทั้งสามเต็มไปด้วยความเงียบที่เต็มไปด้วยความระแวงและความตึงเครียด หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในป่าตะวันตก ความรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างกำลังคอยตามหลังพวกเขาก็ชัดเจนขึ้น 

“พวกเราจะทำยังไงกับกล่องนี้ดีวะ” ไอ้ขจรถามขึ้นในขณะที่พวกเขาเดินทางข้ามทุ่งนาใกล้หมู่บ้าน ขามันสั่นเล็กน้อยจากความตึงเครียดที่ยังคงไม่หายไป 

ไอ้ยอดที่แบกกล่องไม้อยู่บนบ่า หยุดเดินแล้วหันมามองหน้าไอ้ขจร มันรู้สึกได้ถึงความอันตรายที่แฝงอยู่ในวัตถุนี้ “กูว่าเราต้องไปหาพ่อหมอ ให้ท่านช่วยดูว่ามันมีอะไรอยู่ข้างใน หรือเราควรทำยังไงต่อไป” 

ไอ้ไกรสรเดินมาข้างๆ พวกเขา พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวล “มันไม่ได้เป็นแค่กล่องไม้ธรรมดา พลังที่กูรู้สึกได้จากมันเหมือนกับคำสาปที่เราพยายามหลีกเลี่ยงมาตลอด มึงจำได้ไหมว่าพวกพรานกลุ่มก่อนที่หายไปก็มาเพราะเหตุนี้แหละ” 

ไอ้ขจรหันไปมองทางหมู่บ้านที่อยู่ไกลออกไป “ถ้ามันเป็นคำสาปจริงๆ แล้วเราจะทำยังไง กูไม่อยากให้หมู่บ้านต้องรับกรรมไปด้วย” 

ไอ้ไกรสรถอนหายใจเบาๆ “เราคงต้องเจรจากับวิญญาณหรือสิ่งที่สิงสถิตอยู่ในกล่องนี้ ก่อนที่มันจะทำร้ายคนที่เรารัก ถ้าพ่อหมอไม่สามารถช่วยได้ เราคงต้องหาทางทำลายกล่องนี้” 

เมื่อถึงหมู่บ้าน พวกเขารีบไปหาพ่อหมอที่อยู่ปลายสุดของหมู่บ้าน พ่อหมอเป็นคนแก่ที่มีใบหน้าเคร่งขรึม สายตาของท่านจ้องมองพวกพรานทั้งสามเหมือนรู้ล่วงหน้าว่าพวกเขาเผชิญกับอะไรมา 

“พวกเจ้าเจอกล่องนั้นแล้วสินะ” พ่อหมอพูดขึ้นทันทีที่พวกเขาเข้าไปในกระท่อมที่เต็มไปด้วยควันธูปและเครื่องรางต่างๆ 

ไอ้ยอดวางกล่องไม้ลงเบาๆ แล้วถาม “พ่อหมอรู้ได้ยังไง” 

พ่อหมอไม่ตอบทันที แต่ท่านยืนเงียบไปสักพัก สายตาจ้องไปที่กล่องไม้ราวกับเห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน 

 “กล่องนี้ไม่ได้เป็นแค่กล่องธรรมดา มันเป็นที่กักเก็บวิญญาณของผู้ที่เคยทำบาป และคำสาปของมันจะถูกปล่อยออกมาถ้าผู้ที่ไม่เหมาะสมเปิดมัน” 

“แล้วเราจะทำยังไงดีพ่อหมอ” ไอ้ขจรถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกลัว 

 “ถ้าคำสาปถูกปล่อยออกมาแล้วเราจะหยุดมันได้ยังไง” 

พ่อหมอหลับตาแล้วพูดเบาๆ “พวกเจ้าต้องหาทางเจรจากับวิญญาณในกล่องนั้น บางทีอาจจะมีทางทำให้พวกมันสงบลงได้ แต่ต้องระวัง เพราะถ้าทำผิดพลาด อาจไม่มีโอกาสครั้งที่สอง” 

พวกพรานทั้งสามพยักหน้าอย่างเคร่งเครียด ก่อนที่พ่อหมอจะเริ่มสวดคาถา เสียงของท่านแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยพลังงานบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ สายลมในกระท่อมเริ่มหมุนเวียน และกล่องไม้เริ่มสั่นเบาๆ 

“ตอนนี้ล่ะ เจ้าพวกพราน พวกเจ้าต้องพูดกับวิญญาณนั้น และเสนอสิ่งที่มันต้องการ เพื่อให้คำสาปนี้สงบลง”  

พ่อหมอแนะนำ 

ไอ้ไกรสรที่มีความชำนาญในเวทมนตร์มากที่สุด เริ่มสวดคาถาเบาๆ ร่วมกับพ่อหมอ แล้วพูดกับกล่องไม้นั้น 

 “ข้าขอเจรจากับวิญญาณที่อยู่ในนี้ ข้าไม่ต้องการทำร้ายเจ้า 

 เพียงแค่อยากให้เจ้าสงบสุข ถ้ามีสิ่งใดที่เจ้าต้องการ บอกข้ามาเถิด” 

ในขณะนั้นเอง กล่องไม้เริ่มเปิดออกอย่างช้าๆ เสียงครางเบาๆ ที่เต็มไปด้วยความเศร้าและความโกรธดังออกมา พวกพรานทั้งสามและพ่อหมอรู้สึกได้ถึงพลังงานที่หนักอึ้งที่ปกคลุมอยู่ในกระท่อม 

“เจ้าพวกพรานที่ข้าขังไว้ก่อนหน้านี้ ไม่เคยทำตามคำสั่งของข้า พวกมันพยายามจะปลดปล่อยข้าโดยไม่ให้สิ่งที่ข้าต้องการ”  วิญญาณในกล่องพูดขึ้นด้วยเสียงที่แผ่วเบาแต่น่ากลัว 

ไอ้ขจรหันไปมองไอ้ยอดและไอ้ไกรสร แล้วพูดเบาๆ “พวกเราจะต้องเสนออะไรให้มันดีว่ะ“ 

ไอ้ไกรสรจ้องมองไปที่กล่องไม้ แล้วพูดด้วยความกล้า 

 “ข้าจะให้ความอภัยและการชำระล้างวิญญาณของเจ้า ให้เจ้าสงบสุขในโลกหน้า  

แล้วเราจะปลดปล่อยเจ้าจากคำสาปนี้” 

วิญญาณในกล่องเงียบไปสักพัก ก่อนที่มันจะพูดขึ้นอีกครั้ง 

 “ถ้าพวกเจ้าให้ข้าสงบสุข ข้าจะปลดปล่อยพวกเจ้า และหมู่บ้านนี้จากคำสาป” 

พ่อหมอยิ้มอย่างพอใจ แล้วเริ่มสวดคาถาชำระล้าง จนกระทั่งเสียงของวิญญาณนั้นเริ่มหายไป กล่องไม้ปิดลงอย่างช้าๆ และบรรยากาศในกระท่อมกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง 

พวกพรานทั้งสามถอนหายใจด้วยความโล่งอก พวกเขารู้ว่าความลึกลับในป่าตะวันตกยังคงมีอยู่ แต่พวกเขาก็รอดจากคำสาปที่อันตรายมาได้ในครั้งนี้ 

“พวกเจ้าโชคดีที่เจรจากับวิญญาณนั้นสำเร็จ” พ่อหมอกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความภูมิใจ 

 “แต่จำไว้ว่า ป่าแห่งนี้ยังคงมีความลึกลับที่พวกเจ้าไม่ควรยุ่งเกี่ยว หากไม่จำเป็นจริงๆ” 

ไอ้ขจร ไอ้ยอด และไอ้ไกรสรต่างก็พยักหน้า พวกเขาเรียนรู้แล้วว่าป่าตะวันตกไม่ใช่ที่สำหรับการล่าสัตว์ธรรมดาอีกต่อไป มันเป็นที่ที่เต็มไปด้วยความลึกลับและอันตรายที่ไม่ควรถูกท้าทาย 

และด้วยเหตุนี้ พวกเขาตัดสินใจว่าจะไม่กลับไปยังป่าตะวันตกอีกต่อไป... อย่างน้อยก็ในตอนนี้ 

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว