ไรต์มีนิยายเรื่องใหม่มาฝากค่ะ เรื่องนี้เป็นไทยอีสานนิด ๆ บวกแฟนตาซีหน่อย ๆ ฝากทุกคนกดหัวใจกดติดตามด้วยนะคะ
วานากาฝาก เป็นเรื่องราวของหญิงสาวขอทานคนหนึ่งที่ชีวิตในชาติปัจจุบันไม่เหลือใครสักคน ไม่มีแม้แต่ที่ซุกหัวนอน ในวันที่เธอป่วยหนักมีผู้ชายคนหนึ่งยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเธอไว้แต่ทุกอย่างก็ช้าเกินไป ในที่สุดเธอก็จากไปอย่างสงบ จิตสุดท้ายเธอขอพรว่าหากชาติหน้ามีจริงขอให้มีครอบครัวที่อบอุ่น มีอยู่มีกินไม่อดอยากเท่าชาติเดิม และขอให้ได้ตอบแทนบุญคุณผู้ชายคนที่เคยช่วยชีวิตเธอไว้ ชีวิตที่ย้อนกลับไปเกิดใหม่ของเธอจะสมหวังหรือไม่ ไปติดตามอ่านกันได้เลยค่ะ
............................
“อุแว้! อุแว้! อุแว้!”
ดอมชะงักเท้าเมื่อได้ยินเสียงเด็กดังแว่วมาแต่ไกล เขาเงยหน้าขึ้นแล้วตั้งใจฟังอีกครั้ง เสียงเด็กก็ร้องไม่ยอมหยุด คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อย เพื่อไขข้อข้องใจเขาเดินไปตามเสียงที่ได้ยิน เขาคิดว่าตัวเองคงหูฝาด เด็กเล็กที่ไหนจะมาร้องอยู่กลางทุ่งนาเช่นนี้ ฝนก็ยังโปรยปรายลงมาบาง ๆ ตลอดเวลาทำให้บรรยากาศโดยรอบเย็นจัดจนถึงขั้นหนาว ถ้ามีเด็กจริงก็คงหนาวไม่น้อย
เขาได้ยินเสียงเด็กร้องดังขึ้นเรื่อย ๆ และมองไปยังต้นตะโก ตรงนั้นมีจอมปลวกขนาดใหญ่ขึ้นอยู่รอบโคนต้นและจอมปลวกนั้นยังใกล้กับถนนที่มุ่งสู่หมู่บ้านออกไปยังถนนใหญ่ที่เชื่อมระหว่างอำเภอ
ดอมสาวเท้าให้เดินเร็วขึ้นอีก ยิ่งเดินเข้ามาใกล้เสียงเด็กร้องก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น พอเดินมาถึงใต้ต้นตะโกต้นใหญ่ร่างของเขาถึงกับผงะ เด็กทารกตัวสีแดงที่ห่อหุ้มด้วยผ้าซิ่นไหมลายสวยกำลังดิ้นกระแด่ว ๆ อยู่บนลานจอมปลวกพร้อมส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ตัวของเด็กเริ่มมีริ้วสีเขียวคล้ำ มดคันไฟที่หนีน้ำขึ้นมาบนจอมปลวกกำลังรุมกัดทารกตัวน้อยคนนั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย ดอมทิ้งจอบไปอย่างไร้ทิศทาง ปรี่เข้าหาร่างเด็กทารกที่นอนอยู่บนจอมปลวกนั้นโดยเร็ว ใครนะช่างกล้านำเด็กมาทิ้งในวันที่ฝนตกเช่นนี้ได้ ใจคอช่างโหดร้ายนัก
นิ้วหยาบกร้านทั้งปัดทั้งหยิบตัวมดออกจากผิวบอบบางของเด็กราวยี่สิบตัวอย่างรวดเร็ว เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะหยิบแหวนที่ร้อยด้วยด้ายสีขาวที่ห้อยอยู่ที่คอเด็กขึ้นมาดู ตอนนี้ชีวิตเด็กสำคัญยิ่งกว่า ดอมกอดเด็กแนบอกแล้วรีบวิ่งฝ่าฝนกลับไปหาเมียกับลูกที่กระท่อมท้ายหมู่บ้าน ดีที่นาของเขาติดกับถนนแต่กระนั้นก็ยังเป็นถนนลูกรังตลอดทั้งสาย