“มาทำงานกับฉันมั้ย?”
“สงสาร?”
“ทำไมคิดแบบนั้น” หัตถรัญญ์ถามอีกฝ่ายเขาอยากรู้คำตอบว่าร่างบางกำลังคิดอะไรกับคำชวนของเขา เพราะในเมื่อสิ่งที่เขาเสนอคือความหวังดีจริงๆ
“แล้วใช่มั้ยล่ะ ถ้าเป็นแบบนั้นรบกวนอย่าทำให้ผมดูแย่เลย” หรั่งมองสบตาชายหนุ่มอย่างตัดพ้อ แค่กว่าจะทำให้ตัวเองกลับมายืนได้ก็ลำบากอยู่แล้ว กว่าจะยอมรับสิ่งที่เผชิญอยู่มันก็หนักหนาพอแล้ว
“แล้วจะทำตัวเข้มแข็งทำไม ทั้งๆ ที่นายเปราะบางขนาดนั้น...” เขาดูปราดเดียวก็รู้แล้ว ว่าอีกฝ่ายไม่ได้เข้มแข็งอะไรมากมาย
“คุณจะมารู้ดีกว่าผมได้ยังไง ผมไม่ต้องการความสงสารหรือความเห็นใจจากใคร หลีกไปผมจะกลับบ้าน” ร่างบางรู้ตัวเองว่าเขามันก็แค่คนอื่นแอคนหนึ่ง แต่หากเขาไม่ยืนหยัดด้วยตนเองชีวิตนี้ก็คงจะทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง
“ทำไมดื้อ...” ร่างสูงเข้าไปยื้อมือเรียวบางของอีกฝ่ายเอาไว้ เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายยังคงเสียใจอยู่เขาแค่อยากให้อีกฝ่ายระบายออกมาให้หมด ขืนขับรถกลับทั้งอย่างนี้มีหวังก็คงร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่บนรถ ตาฝ้าฟางจากการร้องไห้เดี๋ยวก็เกิดอุบัติเหตุอีก
“อ๊ะ...คุณปล่อย” หรั่งที่กำลังเอื้อมมือไปจับที่เปิดประตูรถ ก็โดนมือแกร่งของชายหนุ่มกระชากจนร่างบางไม่ทันตั้งตัวเซถลาเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดชายหนุ่มเสียแล้ว
“อยากร้องก็ร้องซะ สูทฉันหนาซับน้ำตาให้นายได้อยู่แล้ว” หัตถรัญญ์เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายอยู่ในอ้อมกอดเขาแล้วก็เลยเอื้อมมือไปรั้งศีรษะอีกฝ่ายให้แนบชิดกับอกแกร่งของตนเองมากขึ้น
“ปล่อย...ผมไม่ร้องแล้ว ไม่มีปัญญาหาเงินค่าซักอบรีดเสื้อสูทให้คุณหรอกนะ” ร่างบางได้แต่ยื้อตัวเองให้ออกห่างจากอ้อมกอดนี้ แต่ทำได้ยากยิ่งเมื่ออีกฝ่ายกดหัวเขาให้แนบไปกับอกแน่นขนาดนี้ จะโงหัวขึ้นมายังไม่ได้เลย
“หึ...ปากดีอีกนะ โอเคแล้วแน่นะ” ชายหนุ่มยกยิ้มเล็กน้อยที่อีกฝ่ายพูดจาแบบนี้ได้ อย่างน้อยเขาก็เบาใจว่าอีกฝ่ายจะไม่เศร้าจนเกินไป
“อื้อ...ขอบคุณ แต่ช่วยปล่อยก่อนได้ไหม มัน...” ร่างบางพูดอู้อี้ภายใต้อกแกร่งเพราะชายหนุ่มไม่ยอมปล่อยเขาสักทีจะกอดทำไมไม่รู้
“มัน...ทำไม?” หัตถรัญญ์ยอมคลายอ้อมกอด แต่ยังคงจับข้อมือร่างบางเอาไว้ตีหน้าทำมึนชวนสงสัยที่อีกฝ่ายพูด
“จิ๊...ปล่อยก่อนสิ” หรั่งเองก็บิดข้อมือที่ร่างสูงยื้อเอาไว้ทำหน้าค้อนเคืองให้กับอีกฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด นี่มันที่สาธารณะจะมายืนโอบยืนกอดกันมันได้ที่ไหน อีกอย่างเขากับชายหนุ่มก็ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวด้วยซ้ำ
“ปล่อยแล้ว ตอบมาสิมันทำไม?” หัตถรัญญ์ยอมปล่อยคนตรงหน้าดีๆ แล้วจ้องแต่จะเอาคำตอบเขาอยากรู้ว่าแค่กอดปลอบใจมันทำไมนักหนา
“แค่รู้สึกแปลกๆ แต่ถึงยังไงก็ขอบคุณ แล้วก็ช่วยลืมเรื่องของผมที่เกิดขึ้นวันนี้ได้ไหม อย่าใส่ใจเลยนะ ผม...รับมือได้” ร่างบางที่เป็นคนเสียใจได้ไม่นานก็รู้สึกดีขึ้น เพราะเขาชินอย่างที่พูดจริงๆ นั่นแหละ มันโดนมาตั้งแต่เด็กจะมีก็แค่เสียใจเป็นเรื่องธรรมดา
“อืม...จะกลับบ้านใช่ไหม เดี๋ยวไปส่ง” ชายหนุ่มพยักหน้าไม่อยากเซ้าซี้เพราะกลัวร่างบางจะซึมและพาลร้องไห้ขึ้นมาอีก
“ผมขับรถมา กลับเองได้” หรั่งเลิกคิ้วเรียวบางได้รูปมองชายหนุ่มอย่างงงงวย นี่เขาอยู่ลานจอดรถนั่งแอบร้องไห้ข้างรถตัวเองอยู่เนี่ย จะไปส่งเขาทำไม
“เดี๋ยวขับรถตามจะได้รู้ว่าปลอดภัยอย่าดื้อ...” หัตถรัญญ์ไม่ชอบให้ใครขัดใจ เขาอยากขับตามไปส่งจะได้รู้ว่าอีกฝ่ายปลอดภัยก็แค่นั้น
ร่างบางงุนงงหนักกว่าเดิมเป็นร้อยเท่า เจอกันแค่แป๊บเดียวอยากจะมาทำตัวเป็นพลเมืองดีอะไรตอนนี้ อีกอย่างเขาก็แค่ร้องไห้ในเรื่องครอบครัวของตัวเอง อีกฝ่ายไม่น่าจะเป็นห่วงเป็นไยเขาเกินเหตุ เจ้าตัวรีบขึ้นไปนั่งบนรถตัวเองเตรียมสตาร์ทรถพร้อมกับค้นหาบัตรจอดรถ แล้วก็บ่นพึมพำถึงอีกคนที่บอกจะขับตามไปส่ง
“อะไรของเขา ผีเข้าไงวะ?” ร่างบางส่ายหน้าก่อนจะสะดุ้งตกใจเพราะเขามัวรื้อค้นหาบัตรจอดรถได้ยินเสียงแตรรถข้างหน้า พอเห็นรถคันดังกล่าวลดกระจกลงมาถึงได้รู้ว่าคือชายหนุ่ม
ร่างบางถอดใจจะตามไปส่งจริงๆ เหรอเนี่ย เกิดมาครั้งแรกเพิ่งจะเจอคนแปลกๆ แบบนี้ คนบ้าอะไรรู้จักกันก็เปล่าแต่จะตามไปส่งถึงบ้าน