ร่างนี้ชื่อนี้ยุคนี้ไม่ใช่สิ่งที่อรัญญิกาในร่างของเซี่ยอิงลั่วคุ้นเคย แต่นั่นก็ไม่ร้ายเท่ากับต้องแต่งเข้าวังปีศาจ เป็นพระชายาของอ๋องปีศาจ
พบนางครั้งแรก นางนั่งหลับอยู่บนเกี้ยวเจ้าสาว สัปหงกจนเครื่องประดับศีรษะกระแทกเกี้ยวไม่หยุด ดูท่าทางแล้วช่างผิดแผกแตกต่างจากคำเล่าลือยิ่งนัก ว่ากันว่าคุณหนูสามแห่งจวนตระกูลเซี่ยนั้นเพียบพร้อมด้วยกิริยามารยา จรรยาคัมภีร์สตรีล้วนไม่มีบกพร่อง เชี่ยวชาญพิณ หมาก อักษร ภาพวาด ร่ายรำอ่อนช้อยไม่เป็นสองรองใคร เรียกได้ว่าเป็นคุณหนูอันดับหนึ่งของเมืองหลวงที่องค์ชายทุกพระองค์ในแคว้นรวมถึงเหล่าบุรุษมีชื่อล้วนอยากแต่งให้นาง แต่ดูเหมือนคำเล่าลือเหล่านั้นคงเป็นเพียงคำโกหกพกลมกระมัง เพราะการพานพบนางครั้งที่สองแทนที่จะนั่งรอเขาเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวเฉกเช่นเหล่าสตรีของเมืองหลวง แต่นางกลับนอนหงายเหยียดตัวยาวอยู่บนเตียง ส่วนผ้าคลุมหน้านั้นถูกโยนทิ้งไปไหนแล้วก็ไม่รู้ บัดนี้เหลือเพียงใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยสีสันกับเครื่องประดับหนักอึ้งเอียงกะเท่เร่
ดวงตาดำเข้มดุจบ่อน้ำลึกของจิ่นอ๋องฉายแววกราดเกรี้ยวเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นก็บันดาลโทสะกับคนหลับใหลไม่ลง เขาทำได้เพียงทอดสายตามองเครื่องหน้าของสตรีที่นั่งตำแหน่งพระชายาของตนเท่านั้น
คิ้วโก่งราวคันศร จมูกเชิดขึ้นรับกับริมฝีปากบางเฉียบสีชมพู ดวงตานั้นถูกเปลือกตาบอบบางปิดสนิทเผยให้เห็นเพียงขนตาโก่งโค้ง สองแก้มก็ดูเนียนนุ่มประดุจผิวของดอกเหมยในยามหิมะโปรยปราย ผิวพรรณตั้งแต่ลำคอลงมาดูเรียบรื่นราวกับหิมะแรกฤดู คราแรกเว่ยจิ่นอิ่งกำลังจะยื่นมือสัมผัสความเนียนละเอียด ทว่าสุดท้ายกลับทำเพียงดึงเครื่องประดับบนศีรษะของนางออกอย่างเชื่องช้า และในยามที่นางครางคล้ายรำคาญเขาก็ได้แต่กลอกตาไปมาอย่างเหนื่อยหน่าย มาถึงยามนี้ยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสตรีผู้นี้จะเป็นสตรีที่เสด็จพ่อกับฮองเฮาเลือกให้แต่งเข้าวังอู่เทียนของเขา
เพียงถอดเครื่องประดับบนศีรษะออกหมด เส้นผมดำขลับของนางก็พลันทิ้งตัวลงสยายเต็มหมอน แม้จะสัมผัสถูกเส้นผมนุ่มลื่นประดุจม่านไหมแผ่วเบา ทว่าความนุ่มนิ่มกับกลิ่นหอมราวกับดอกไม้ในยามเช้ากลับทำให้จิ่นอ๋องไม่อาจละสายตาจากเจ้าสาวในชุดแดงเพลิงได้เลยแม้แต่น้อย เขาแทบจะไล้ปลายนิ้วไปกับแก้วเนียนนุ่มทว่าสุดท้ายก็รั้งมือกลับแล้วเอ่ยเพียงประโยคหนึ่งออกมา
“เซี่ยอิงลั่ว เจ้าเป็นคนเช่นไรกันแน่”