ข้อดีของการแอบรักคือสามารถมีความสุขได้เฉพาะในพื้นที่ของเรา ใครจะไปคิดว่าตัวเองจะแอบรักคนคนหนึ่งได้นานขนาดนี้ล่ะคะ
ในตอนนั้นฉันไม่รู้หรอกว่าความรักคืออะไร รู้แค่ว่าฉันชอบเขา! ใช่แหละฉันชอบเขา แค่ได้เห็นหน้า แค่ได้แอบมองก็มีความสุขมากแล้ว มันเป็นความรู้สึกที่ยิ้มได้โดยไม่ต้องคาดหวังมากกว่า
“อย่างมึงก็ได้แค่มองแหละ เลิกเพ้อเจ้อได้แล้ว! เอาเวลาไปลดน้ำหนักเหอะ ฮ่า ๆ”
กลายเป็นประโยคเจ็บ ๆ ที่ฝังใจฉันมาตลอด อ้วนแล้วทำไม? อ้วนแล้วสวยไม่ได้เหรอ? เป็นคำถามที่วนเวียนอยู่ในหัวฉันมาตลอด และคนที่คอยตอกย้ำประโยคพวกนี้ก็คือเพื่อนสนิทของฉันเอง ไม่รู้ว่าพวกมันหวังดีหรือกำลังหลอกด่ากันแน่
ฉันชื่อน้ำตาลค่ะ กำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่หนึ่ง เป็นน้องเล็กของโรงเรียนเลยก็ว่าได้ ขอเท้าความก่อนว่าเป็นคนมีเพื่อนเยอะ ในกลุ่มเดียวกันมีสิบคนค่ะ เพื่อนต่างห้องก็มีบ้าง ฉันไม่ใช่คนสวยเลย อ้วนแถมยังผิวคล้ำอีกด้วย พูดง่าย ๆ ไม่มีจุดไหนน่าสนใจนั่นแหละ
ฉันแอบชอบรุ่นพี่คนหนึ่งเขาอยู่มอสี่ห้องสองค่ะ เรียนสายวิทย์คณิต เขาชื่อพี่ทิวเป็นคนนิ่ง ๆ และบางครั้งเหมือนเขาจะไม่สนใจคนรอบข้างเลยด้วยซ้ำ
“ตาล คาบสุดท้ายเราเรียนอะไรวะ”
“...”
“ไอ้ตาล!! ไอ้ห่านี่คราวหน้ากูจะไม่พามึงเดินผ่านสนามบอลละ” ไอ้จูนมันว่าอย่างเหนื่อยหน่าย ในกลุ่มสนิทกับมันสุดแล้วค่ะ อ๋อ! ลืมบอกว่ามันเป็นทอมนะ
“โทษที กูมองอะไรไปเรื่อยเปื่อย”
“แก้ตัวชัด ๆ”
“แสนรู้นะมึงอะ”
“สัส! กูคนไม่ใช่หมา”
“อ้าวเหรอ ฮ่า ๆ”
กวนประสาทมันไปอย่างนั้นแหละค่ะ วันทั้งวันก็เข้าเรียนตามปกติ เข้าเรียนแปดโมงเลิกบ่ายสามโมงครึ่ง ยกเว้นวันศุกร์สุดสัปดาห์ที่ต้องเข้าประชุมในชั่วโมงสุดท้ายก็จะเลิกช้าหน่อย
ในแต่ละวันฉันจะแอบมองพี่ทิวเสมอเรียกได้ว่ามองทุกครั้งที่มีโอกาสเลยถึงจะถูก ไม่เคยคาดหวังเลยนะคะว่าจะต้องเป็นแฟนกับเขาหรือว่าเขาจะต้องแสดงความรู้สึกกลับมา ฉันก็แค่มีความสุขในพื้นที่ของตัวเองก็เท่านั้น
เคยได้ยินประโยคที่ว่า ไม่ต้องไปตามหาหรอกความรัก ปล่อยให้ความรักออกตามหาเราเอง ... เพิ่งจะเข้าใจความหมายของมันก็ตอนนี้แหละ แอบชอบก็คือแอบชอบ วันหนึ่งเราต่างก็ต้องแยกย้ายกันไปเติบโตอยู่ดี แต่ใครจะไปรู้ล่ะคะว่าการเจอกันอีกครั้งของเราสองคนจะทำให้ชีวิตฉันไขว้เขวมากขนาดนี้ ...
“ยอมเปลี่ยนตัวเองเพียงเพราะผู้ชายคนเดียว มันต้องทำขนาดนี้เลยเหรอ” คำถามแกมด่าเอ่ยขึ้น แต่คนถูกตั้งคำถามอย่างฉันนี่หน้าชาไปเลย ฉันก็แค่อยากให้ตัวเองดูดีขึ้นมาบ้างก็เท่านั้น
“ใคร ๆ เขาก็อยากให้ตัวเองดูดีขึ้นกันทั้งนั้นไม่ใช่เหรอคะ”
“แต่มันใช้ไม่ได้กับเธอ”
“พี่คิดว่าตัวเองเป็นใครถึงได้พูดจาหยาบคายแบบนี้ใส่คนอื่นน่ะ ถึงหนูจะเคยชอบพี่แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมายืนให้พี่ด่าหรือพูดพูดจาถากถางยังไงก็ได้นะคะ”
“...” ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยของเขา ฉันไม่รู้เลยว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“ใจเย็น มึงไม่เคยได้ยินเหรอว่าให้เก็บคำดูถูกไว้เป็นแรงผลักดันน่ะ”
“ผลักดันเหี้ยไรมึง กูสวนกลับหมดแหละ”
“นั่นพี่ทิวเชียวนะ”
“เออ!”
“ขอโทษ”
“ขอโทษทำไมเราไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัวสักหน่อย พี่ไม่ได้เป็นอะไรกับหนูแล้วหนูก็ไม่ได้เป็นอะไรกับพี่ ไม่ต้องห่วงว่าหนูจะทำอะไรให้พี่รู้สึกอับอายแบบนี้อีกเพราะหนูจะไม่ยุ่งกับพี่อีกแล้ว” ฉันพูดออกไปตามความรู้สึกของตัวเอง การไม่ต้องพูดคุยกัน ไม่ต้องทักทายกันอีกมันน่าจะดีที่สุดเพราะมันปลอดภัยต่อความรู้สึกของฉันมาก
“ไม่จำเป็นต้องอายนะ พี่ไม่ได้กำลังคุยกับใครและไม่มีแฟน” มันน่าแปลกที่ตอนนี้ฉันไม่ได้รู้สึกดีกับประโยคนี้เลยสักนิด ทั้งที่ความจริงฉันต้องดีใจสิที่เขายังไม่มีแฟน
“แล้วมาบอกทำไม? ถ้าจะจีบก็รอหนูสวยก่อนแล้วกันจะได้ไม่ต้องมีใครมาว่าอีก!”
“มึงชอบแบบนี้เหรอ?”
“...”
“ถ้าผอมนะน่ารักมากเลย”
“ถ้าไม่ผอมคือไม่สวยเหรอ? ชอบก็คือชอบไม่ผอมก็ยังชอบอยู่ดีนั่นแหละ”
“คำพูดคำจาพระเอกฉิบหาย! เมื่อเช้ากูยังเห็นเหล่สาวอยู่เลย”
“มึงชี้ให้ดูกูก็ดูแล้วผิดตรงไหน?”
“มึงมันเป็นแบบนี้ไงถึงได้มีคนเข้าหาเยอะ”
“...”
“ไม่เคยได้ยินเหรอวะ เสน่ห์ของผู้ชายบางคนก็คือความมั่นคงในรักเดียว”
“ใครใช้ให้ผอม?”
“แค่ผอมลงไม่ได้แปลว่าผอมแล้ว”
“เถียงเก่งตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ตั้งนานแล้วค่ะ!”