เรื่องนี้ก่อนลงมือเขียน สองจิตสองใจว่าจะใส่คำว่า 18+ ดีหรือไม่?
แต่แล้วก็ตัดสินใจได้ว่า ไม่ดีกว่า เพราะใส่ไปยิ่งทำให้ใครที่ 18- ยิ่งเข้ามาอ่านเพิ่มขึ้น
และยืนยันได้ว่าเรื่องนี้เหมาะสำหรับคนชอบอ่านเท่านั้น แม้จะไม่ใช่เรื่องยาวแต่ตัวหนังสือนั้นมีเยอะแน่ และเห็นได้ชัดเจนว่ามันจะติดกันเป็นพรืดจนน่าตาลาย
คนเขียนก็ตาลาย แต่ก็บอกกับตัวเองว่าให้พยายามเล่าสั้น ๆ เขียนสั้น ๆ จะได้อ่านได้ง่าย ๆ
อีกทั้งยังต้องใส่คำว่า “โปรดใช้วิจารณญานในการอ่าน” ลงไปด้วย
เพราะเรื่องมันหวาดเสียวจริง ๆ
ให้ดิ้นตาย...
เริ่มเรื่องที่บ้านของผมก็แล้วกัน
มันเป็นบ้านสองชั้น อยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งแถวชานเมือง เป็นหมู่บ้านจัดสรรราคาไม่แพงมากนัก
เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ มีไม่กี่หลังคาเรือน แบ่งแยกด้วยถนนหลักเส้นใหญ่ผ่ากลาง
มีถนนซอยแบ่งเป็นตาราง ท้ายซอยจะมีถนนเชื่อมต่อถึงกันและกันให้เลือกเอาว่าจะออกหรือเข้าบ้านด้วยซอยไหน
บ้านผมเป็นหลังที่สามนับจากถนนหลัก มีเพื่อนบ้านรอบตัว
บ้านตรงข้ามเป็นครอบครัวใหญ่ มีลูกมีหลานยั้วเยี้ย..เด็ก ๆ ออกมาวิ่งกันที่ถนนหน้าบ้านส่งเสียงลั่นซอย
บ้านติดกันทางซ้ายเป็นหญิงชายแต่งงานใหม่ ผ่านไปแว่บเดียวเห็นผู้หญิงท้องโตซะแล้ว
บ้านติดกันทางขวา เป็นครอบครัวสูงอายุ มีคุณตาคุณยายอยู่กันสองคน ว่างขึ้นมาก็แบ่งมะม่วงที่ปลูกไว้มาให้แม่ผม ทั้งที่ผมเองก็แอบสอยของแกกินมาตั้งแต่ยังเด็ก ก็กิ่งมันยื่นเข้ามาบ้านผมถึงขนาดนั้น
ส่วนบ้านข้างหลังที่มีกำแพงติดกันนี้เป็นบ้านเช่า มีคนย้ายเข้าย้ายออกอยู่บ่อย ๆ เลยไม่ได้วิสาสะสนทนาอะไรกันมากนัก
บ้านหลังนี้แบ่งเป็นสามห้องน้ำสามห้องนอน แต่ผมกับแม่แบ่งกันนอนคนละห้อง ห้องนอนที่เหลือจึงเป็นห้องเก็บของไปโดยปริยาย
ห้องน้ำก็เช่นเดียวกัน ไอ้ที่อยู่ข้างบนสองห้องนั้นก็ไม่ได้ใช้ ที่ไม่ได้ใช้ก็เพราะน้ำมันไม่ไหล ที่น้ำไม่ไหลก็เพราะปั๊มน้ำมันเสีย
แม่เคยใช้ให้ผมลองซ่อม ผมเปิดดูแป๊บ ๆ แล้วก็ปิดตามเดิม ก็ผมซ่อมไม่เป็น
แม่มองผมด้วยสายตาเย็นชา..คือตาปรือ ๆ ครึ่งหลับครึ่งตื่น ยิ้มเหยียด ๆ เกาะที่ริมฝีปาก
"แม่ว่าแล้ว..."
ผมไม่ค่อยถือสาแม่ แม่มักจะไม่ค่อยเชื่อถือลูกคนนี้ซักเท่าไร
"แม่ถามหมอถึงสองรอบในวันที่แกเกิด เดี๋ยวแม่คงต้องไปถามใหม่?"
"ถามว่าอะไรเหรอแม่?"
"ว่าแกเป็นผู้ชายแน่รึ"
"แง๊ววววววววววว"
ผมเป็นผู้ชายจริง ๆ ครับ
สูงตามมาตรฐานชายไทย ผิวขาวเหมือนพ่อ คิ้วหนาเหมือนแม่
แต่ปากที่แดงตลอดนี่ไม่รู้เหมือนใคร
หน้าขาว ๆ คิ้วดำ ๆ ปากแดง ๆ มอง ๆ ไปเลยคล้ายผู้หญิงมากไปหน่อย
ทั้ง ๆ ที่ผมบอกกับตัวเองได้เต็มร้อยว่าผมเป็นผู้ชาย
สิ่งที่ยืนยันข้อความดังกล่าวได้เป็นอย่างดี ก็คือผมชอบผู้หญิง
ผู้หญิงสวย ๆ ขาว ๆ อายุอานามไล่เรี่ยกับผมที่บ้านฝั่งตรงข้ามนั่นไง ผมแอบมองเป็นประจำ
เธอชอบนุ่งสั้น นอนเล่นบนเปลที่สวนข้างบ้านของเธอให้เห็นอยู่บ่อย ๆ
บางครั้งบางทีเราก็ได้คุยกันบ้าง ยิ้มทักกันบ้าง เธอเองก็กล้าพอที่จะให้ผมสอนการบ้านให้เธออยู่เหมือนกัน
แต่เราก็ไม่สนิทกันนักหรอก อาจจะเป็นเพราะคำพูดของแม่ผมก็เป็นได้
"ระวังไว้หน่อยก็ดี ลูกเขาเป็นสาวเป็นแส้ ถึงอย่างไรเราก็เป็นผู้ชาย มันดูไม่ดี"
"ไม่ดีอย่างไงฮะ?" ผมไม่ได้แกล้งถาม แต่อยากรู้ความเห็นของแม่
"แกจะเสียท่าเขาน่ะสิ"
"แง้ววววววววววววว"
ตามปกติผมจะอยู่บ้านเสียเป็นส่วนใหญ่
พอเลิกเรียนก็เข้าบ้าน เว้นแต่จะไปเดินห้างฯ เล่นกับเพื่อน ๆ หรือบางทีก็ไปดูหนังเฉพาะเรื่องที่อยากดู (และแน่ใจว่าจะรอดูจากซีดีเถื่อนคงไม่สนุกเท่า)
ส่วนวันหยุดนั้นก็มักจะอยู่กับบ้านเป็นเพื่อนแม่
ทั้งบ้านมีแม่กับผมสองคน
อ้อ..มีเจ้ายูทูปอีกตัว มันเป็นหมาน่ะครับ
พันธุ์อะไรไม่รู้ ตัวเล็ก ๆ คนฟู ๆ
เพื่อนแม่เขาให้มา ด้วยเหตุผลเล็ก ๆ ว่า
"มันเห่าหนวกหู"
สิ่งที่พ่อทิ้งไว้ให้ก่อนแกจะจากไป ก็คือศาลาทรงไทยหลังบ้าน
มันยกพื้นสูง มีหลังคาคาร์บอเน็ต(เรียกถูกเปล่า?)สีขาวมุงกันแดดไว้ให้
ยังมีต้นอินทนนท์ซึ่งผมดูอย่างไงก็คือต้นตะแบกชัด ๆ แผ่กิ่งก้านหนาทึบคลุมอีกชั้นหนึ่ง
มันมีเนื้อที่พอที่จะปูเสื่อนอนเล่นหรือตั้งโต๊ะทำการบ้านท่ามกลางลมเย็น ๆ ได้
ผมมักจะนอนเล่นจนหลับผลอยไปบ่อย ๆ
โดยมีเจ้ายูทูปนอนอยู่บนพุง
มาวันหนึ่งบ้านที่ผมบอกว่าเป็นบ้านเช่าก็มีความเคลื่อนไหวอะไรบางอย่าง
ท่ามกลางการเห่าขรมของเจ้ายูทูปซึ่งนอนเล่นกันอยู่ดี ๆ กับผมบนศาลา ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะต้องลุกขึ้นดู
ในขณะที่มือหนึ่งบีบปากเจ้าหมาน้อยเอาไว้ ผมยืดคอมองข้ามกำแพง เห็นปิ๊กอัพสี่ประตูคันหนึ่งจอดที่หน้าบ้านหลังนั้น
มีชายคนหนึ่งลงมา น่าจะเลยวัยกลางคนไปไม่นานนัก แปะหนวดไว้นิดหน่อยพอสังเขป
อีกคนหนึ่งเป็นชายหนุ่มผมปะบ่า จมูกแหลมตาเข้ม เสื้อยืดขาวกางเกงยีนส์ ลงตามมา
และยังมีเด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆ แก้มยุ้ย ๆ ขาว ๆ ลงมาด้วย ส่งเสียงเจื้อยแจ้วตามประสา
แล้วผมก็เลิกสนใจ หันมาทำความตกลงกับเจ้ายูทูปที่กำลังใช้สองขาหน้าของมันแกะนิ้วของผมเป็นพัลวัน
ขณะที่หูก็เงี่ยฟังอย่างอดเผือกเรื่องชาวบ้านไม่ได้
ก็นะ เรื่องอย่างนี้มันฝังอยู่ในยีนตั้งแต่เกิดมาแล้วนี่นา
"ในเมื่อแกอยู่กับแม่ใหม่แกไม่ได้ แกก็ต้องอยู่คนเดียว ปีกกล้าขาแข็งแล้วนี่ รีบเอาของลงเร็ว ๆ ฉันมีธุระต้องไปทำ ไม่ได้เป็นคนไร้ประโยชน์อย่างแก.."
เป็นเสียงของชายวัยกลางคนคนนั้น
"ผมจะอยู่กับพี่ก้านคับคุณพ่อ"
เป็นเสียงของเด็กชายวัยห้าหกขวบคนนั้น
"ไม่ได้..ขึ้นไปรอที่รถนะลูก"
"ทำไมล่ะฮะ?" เด็กน้อยเสียงพร่า ผิดกับตอนแรกที่มาถึงอย่างเห็นได้ชัด
"แล้วพี่ก้านจะอยู่กับใคร ทำไมคุณพ่อไม่อยู่กับพี่ก้านล่ะฮะ?"
"แล้วคุณแม่จะอยู่กับใครล่ะลูก..ลูกไม่รักคุณแม่หรือ?" สำเนียงที่คนเป็นพ่อพูดกับลูกอีกคน ไหงมันคนละโทนอย่างงี้ เต็มไปด้วยความอาทรห่วงใยรักใคร่อย่างเต็มที่
"ไม่เป็นไรครับน้องต้น พี่อยู่ได้ แล้วพี่จะไปหาน้องต้นบ่อย ๆ นะ"
เป็นเสียงของเด็กหนุ่มคนนั้น
เสียงทุ้มนุ่มดีแฮะ
"ต้นรักพี่ก้าน ต้นอยากจะอยู่กับพี่ก้าน.." แล้วแกก็ร้องไห้ออกมา
"อ๋อง.."
ผมตบปากเจ้ายูทูปดังเพี๊ยะ
=====
การมีเพื่อนบ้านใหม่เป็นธรรมดาที่ใครก็คงจะตื่นเต้น
เอ๊ะ หรือไม่มีใครเขาตื่นเต้นกัน ยกเว้นผม?
ก็ทำไมล่ะ ดีเสียอีกจะได้มีคนคุยด้วย ดีเสียอีกจะได้มีเพื่อนผู้ชายในวัยเดียวกันที่มีบ้านอยู่ติดกัน มีปัญหาอะไรจะได้ปรึกษาซึ่งกันและกัน
ผมชะโงกดูหน้าตาหนุ่มคนนั้นอีกครั้งแว่บหนึ่ง
ดีเสียอีกที่มีเพื่อนหน้าตาดี ๆ อย่างนั้นไว้เป็นเพื่อน
อ๊ะ..ผมฉุกคิด..แล้วกลืนน้ำลายเอื๊อก..
ชักแปลก ๆ แล้วเว้ยเฮ้ย..!!
ผมยังยืนยันว่าทุกความรู้สึกและทุกอนูในร่างกายของผมเป็นผู้ชายและไม่ได้เป็นเกย์เป็นตุ๊ดอะไรทั้งนั้น
แค่รู้สึกดีเล็ก ๆ ที่ได้มองหน้าผู้ชายหน้าตาดี ๆ ก็เท่านั้น
ซึ่งก็ไม่น่าจะแปลกอะไร ผมเองก็ยังชอบณเดช ชอบมาริโอ้ ชอบเจมส์จิ ณ วังจุฯ เหมือนกับใครหลาย ๆ คน
และยังชอบญาญ่าขณะทำปากจู๋ยกสองนิ้วยิงพิ๊วช์ ๆ ตอนโฆษณา 9จีไปพร้อม ๆ กันด้วย
ไม่รวมคนที่คุณก็รู้วาใครที่ชอบทำนิ้วชี้กับนิ้วโป้งเป็นตัวแอลวางแหมะบนสันตะหมูกตัวเองอีกด้วย
มีอะไรน่าแปลกอยู่รึ??
ผมได้ยินเขาขนของเพียงคนเดียวอยู่นานหลายนาที
ตาก็มองเจ้ายูทูปที่บัดนี้ถูกเชือกรัดปากไว้เรียบร้อยแล้ว
ใจก็เต้นโครมครามขณะตัดสินใจว่าจะเข้าไปช่วยเขาดีหรือเปล่า
"ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมาก"
เป็นคำตอบของเขาหลังจากที่ผมลุกขึ้นถามเขาว่ามีอะไรให้ผมช่วยไหม?
"รอแป๊บนะ"
ผมขี่จักรยานอ้อมไปที่บ้านหลังนั้นทันที
"ไอ้ลูกคนนี้ แกล้งหมาทำไมเนี่ย??"
เสียงแม่ตะโกนไล่หลังมากแว่ว ๆ
====
ตอนนั้นผมใส่เสื้อยืดเหมือนกัน แต่สีเขียว
กางเกงบอลขาสั้นสีแดง มองไกล ๆ คงเหมือนต้นพริก
นึกเสียดายว่าทำไมไม่ใส่เสื้อยืดบาง ๆ สีขาวบ้าง
เวลาเหงื่อออกชุ่ม ๆ จะได้แนบเนื้อเห็นอะไรบาง ๆ เหมือนเขาคนนั้น
กล้ามอกพอมี กล้ามท้องพอใช้
สำคัญที่กล้ามแขน ใหญ่กว่าผมสองเท่าได้
เหงื่อพราวที่ใบหนา เกาะที่ขนตาวาววับ
แอ๋..ผมกำลังบรรยายอะไรเนี่ย
ก็แค่เพื่อนใหม่คนหนึ่งเท่านั้นเอง
หลังจากช่วยเขายกของเข้าบ้านเสร็จ ผมมานั่งหอบแฮ่กตรงโต๊ะหินอ่อนหลังบ้านของเขา
มันอยู่ใกล้กับศาลาพักใจของผม เพียงแต่มีรั้วปูนไม่สูงนักมากั้นไว้เท่านั้น
เขาออกจากบ้านมาพร้อมกับน้ำเย็นในมือ
มันไม่ใช่ใส่แก้ว แต่ใส่ถุงพลาสติก
เขาหายเงียบไปเพื่อไปซื้อมันมานี่เอง
ขี่จักรยานของผมไปเสียด้วย
"บ้านของนายร่มรื่นดีนะ"
ผมดูดน้ำจ๊วบใหญ่ มันชื่นใจดีแท้ เห็นเขาพยักเพยิดไปทางต้นอินทแบกของผม
"หลังนี้ก็ไม่เลวนะ.." ผมชี้ไปที่ต้นกล้วยใบเหี่ยวสองสามต้นที่อยู่ใกล้ ๆ
"ร่มรื่นอยู่บ้างหมือนกัน"
เขาหัวเราะ เสียงหัวเราะกวนใจดีเหลือเกิน
"มีเวลาเราต้องหาอะไรมาปลูกบ้างแล้วล่ะ.."
แล้วต่างคนก็ต่างเงียบ
ผมเป็นคนไม่ค่อยพูด แม้แม่จะบอกให้เงียบ ๆ เหมือนคนอื่นเสียบ้างในบางครั้ง แต่วันนั้นผมพูดไม่ค่อยออก
ส่งสายตาไปมาจนรำคาญตนเอง เลยชวนเขาคุยไปเรื่อย
"นายเล่นกีตาร์เป็นด้วยเหรอ? เราก็เล่นดนตรีเหมือนกันนะ"
เขาทำตาโต "จริงเหรอ เล่นกีตาร์เป็นเหมือนกันเหรอ?"
ผมส่ายหน้า ใจนึกถึงคีย์บอร์ดที่บ้านซึ่งตอนนี้ฝุ่นเกาะจนมองไม่เห็นแป้นคีย์
"คีย์บอร์ดน่ะ แต่ตอนนี้ไม่ค่อยได้เล่นแล้ว"
"จริงหรือเปล่า วงของเรากำลังขาดมือคีย์บอร์ดพอดีอยู่เลย..เรามาเล่นด้วยกันไหม?"
ผมได้แต่ส่งเสียงแหะ ๆ
หัดมาสิบปีกดได้แค่สามคอร์ด
"อย่าล้อเล่นน่า เราเอาจริงนะ" ผมพูดออกไปได้ยังไงก็ไม่รู้
เขายกมือให้จับ
นิ่มชะมัด อุ่น ๆ พิลึก
"ได้เลย..."
=====
แม่ถามถึงก้านอยู่บ้างเหมือนกัน
"ทำไมพ่อเขาให้มาอยู่คนเดียวอย่างนี้ พิลึกคน ถึงจะเข้ามหาลัยแล้วก็เถอะ แต่ก็ยังเป็นเด็กอยู่ จะดูแลตัวเองได้แค่ไหนกันนะ"
แกฟังที่ผมแอบได้ยินมาแล้ว
"ปัญหาครอบครัวตัวเองสร้างเองแท้ ๆ แต่มาลงที่ลูก นี่แหละหนาที่เขาเรียกว่าหลงหัวปักหัวปำ"
"มันอาจจะไม่เป็นอย่างที่เราคิดก็ได้นะแม่" ผมพยายามแย้ง ทั้งที่ใจก็เห็นด้วยกับแม่
"ทำไมจะไม่ใช่ นี่คงจะมีปากมีเสียงกับแม่เลี้ยงเข้าน่ะสิ ถึงอยู่ไม่ได้ แล้วแทนที่พ่อจะเข้าข้าง กลับมาเช่าบ้านให้ลูกมาอยู่คนเดียวซะนี่ พ่ออย่างนี้ก็มีด้วย แล้วนี่แม่แท้ ๆ เขาอยู่ไหนกันนะ? สงสัยจะตายไปแล้ว...ฯลฯ"
"ผมชวนเขามานั่งเล่นที่บ้านได้ไหมฮะ?"
ผมพยายามเปลี่ยนเรื่อง กลัวแม่จะวกเข้าละครก่อนข่าวหลังข่าวที่ติดงอมแงมแทบทุกช่อง
"ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ลูกเองก็ควรจะช่วยแนะนำเขาด้วยแหละ ร้านค้งร้านค้าร้านขายกับข้าวที่อร่อย ๆ วันไหนที่แม่ทำกับข้าวพิเศษก็ชวนเขามากินด้วย เฮ้อ..เห็นแล้วก็สงสาร เหมือนเรื่อง..."
"แม่ครับ..ผมหิวข้าว"
แกชะงักกึก ทำหน้านิ่ว
"วันนี้ทำไมหิวเร็ว ไปต้มมาม่ากินโน่นไป..."
แล้วแกก็กดรีโมทดูช่องละครของแกต่อไป
=====
นั่นเป็นเหตุการณ์หลังจากที่ก้านมาช่วยซ่อมเครื่องปั๊มน้ำให้บ้านเรา
ผมเห็นเขาใช้น้ำหยอดลงไปในรูที่เปิดฝาขึ้นมาจนล้น แล้วก็ปิดฝา จากนั้นให้ผมลองเปิดก๊อกดู
มันส่งเสียงครืดคราดสองสามครั้ง จากนั้นน้ำก็ไหลปริ๊ดดดด
เย้..ห้องน้ำชั้นบนของผมใช้ได้แล้ว
"เก่งจังเลยลูกก้าน รู้ได้ไงว่าต้องซ่อมอย่างนี้..??" แม่ผมถาม มองเขาด้วยสายตาที่ไม่เคยมองลูกตัวเองมาก่อนเลย
"ผมถามกูเกิ้ลครับ"
เป็นคำตอบที่เรียบง่าย แต่เจ็บจี๊ดเข้าไปในหัวใจของผม
ตบหัวตัวเองดังเพี๊ยะที่โง่เหลือเกิน
=====
เราสนิทกันได้ง่ายดาย..ตามประสาผู้ชายวัยเดียวกันและมีความชอบที่คล้ายกัน
ผมชอบตีแบดแต่เขาเตะฟุตบอล
เขาชอบกีตาร์แต่ผมชอบคีย์บอร์ด
เขาชอบแกงส้มแต่ผมชอบแกงจืด
เขาชอบผู้หญิงแต่ผมชอบ..เอ่อ..ผมก็ชอบผู้หญิง
โดยเฉพาะผู้หญิงคนนั้น..
"น่ารักดีนะ สนิทกับนายไหม?"
เขาถามถึงเธอคนที่อยู่บ้านตรงข้ามกับผม คนที่ชอบนุ่งสั้นนั่นน่ะ
"สนิทสิ มากด้วย" ผมตอบไปยังงั้นเอง
"นายจีบเธอเหรอ?"
"ป๋าว.." รีบปฏิเสธเสียงสูง เพราะอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน "แต่เธอคงจะมีแฟนแล้วล่ะ"
ผมตอบในสิ่งที่ตัวเองคิดไม่ถึง ผมจะไปรู้ได้ยังไงว่าเธอมีแฟนแล้วหรือยัง ก็ผมไม่เคยถามและเธอก็ไม่เคยบอก
หรือคล้ายกับว่า ผมต้องการให้เขาหมดความสนใจในตัวเธอให้ได้??
ผมทำอย่างนั้นเพื่ออะไร??
"ไม่เป็นไร อย่าเป็นแฟนนายก็พอแล้ว.." เขาทำตาวาว ๆ แปลก ๆ
"นายจะทำอะไร?"
"ลองจีบดู"
แง๊ววววววววววว
=======