“ปิดเทอมแล้วโว้ยยยยยยยยยย!!!!!!!!!” เสียงตะโกนแหกปากดังลั่นโรงเรียนจาก ‘กรณ์’ เพื่อนสนิทผู้ที่แสนจะกะโหลกกะลาของผม ใช่ ปิดเทอมแล้ว ลาก่อนชีวิตม.ปลายที่แสนวิบาก ลาก่อนชีวิตการเป็นนักเรียน...
“กรณ์มึงจะตะโกนทำไมเนี่ย” ผมบ่นอุบพลางถอนหายใจกับอากัปกิริยาของเพื่อนตั้งแต่สมัยประถมต้น ใครจะรู้ว่าไอ้เพื่อนบ้าของผมคนนี้มันเรียนเก่งเป็นที่ 1 ของชั้นตลอด ถึงมันจะบ้าๆบอๆไป(ไม่)หน่อย เอ๊ะ หรือมันบ้าเพราะอ่านหนังสือเยอะไปกันแน่?
“กูปริ่มไงพีท กูเป็นไทแล้ว ลาก่อนหนังสือ ลาก่อนห้องเรียน” นี่ครับคำตอบ พ่อแม่อุตส่าห์ส่งมาเรียนทำอย่างกับถูกส่งมาเป็นทาส
“มึงติดแล้วมึงก็พูดได้ดิวะ” เสียงอีกเสียงแทรกเข้ามาบ้างหลังจากเงียบมานาน ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่านั่นคือเสียงของ ‘ตั้ม’ เพื่อนสนิทของผมอีกคนหนึ่งซึ่งเดินตามผมกับไอ้กรณ์มาพักใหญ่
“มึงไม่ต้องเครียดน่าตั้ม ยังมีโอกาสอีกทั้งเอนท์ทั้งแอด” เอาแล้วไงครับ พวกมันเริ่มเถียงกันอีกแล้ว ผมต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อห้ามทัพไอ้เพื่อนที่เคารพรักทั้งสองก่อนที่คนทั้งโรงเรียนจะหันมามองพวกมันฆ่ากันเอง
“พอๆๆ พอเลยพวกมึงพอ จบเรื่องสอบแล้วก็พอเถอะกูเอียนจะตายแล้ว ไปหาอะไรกินกันดีกว่า” ไม่ว่าเปล่า ผมรีบกระชับเป้บนบ่าแล้วกึ่งจูงกึ่งลากไอ้ตั้มไอ้กรณ์ออกจากรั้วโรงเรียน
กรณ์กับตั้มเป็นเพื่อนสนิทของผมมาตั้งแต่สมัยประถมต้น ทั้งๆที่เราทั้ง 3 คนไม่มีอะไรเหมือนกันเลยแม้แต่นิดเดียว กรณ์เป็นคนเฮฮาร่าเริง ออกจะเพี้ยนนิดๆแต่ใครจะรู้ว่ากรณ์นี่แหละคือนักเรียนที่คว้าตำแหน่งเรียนดีอันดับ 1 ของสายวิทย์คณิตมาตลอด 3 ปีที่เรียนม.ปลาย ส่วนตั้มเป็นคนเงียบๆนิ่งๆ มีเหตุผลแต่ขี้กังวลไปบ้าง มันคงเป็นปกติของเด็กศิลป์คำนวณที่ต้องคิดและไตร่ตรองเรื่องต่างๆ อย่างละเอียดล่ะมั้ง... อ้อ พูดมาตั้งนานผมแนะนำตัวซะได้ ผมชื่อ ‘พีท’ ... ก็พีทแหละครับพีท ไม่มีอะไรมาโฆษณาตัวเองเพราะผมก็เป็นแค่ไอ้พีท เด็กสายจีน-สังคมผู้ที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากวันๆก็เรียน ท่องศัพท์แล้วก็ไปทำงาน
กริ๊ง...
กระดิ่งแขวนประตูส่งเสียงกังวานใสหลังจากที่ผมดันประตูเปิดเข้าไปในร้านกาแฟหอมกรุ่น มันเป็นความคุ้นเคยที่ไม่รู้จะบอกว่าคุ้นยังไง ก็ผมทำงานที่นี่มา 2 ปีแล้วนี่ ตั้งแต่...ตั้งแต่ที่ผมแอบชอบเจ้าของร้านแห่งนี้
“สวัสดีครับพี่นัท” ผมรีบกล่าวทักทายอย่างเสียมิได้เมื่อสบการกับสายตาที่มองรอดแว่นมาหา วันนี้ลูกค้าไม่เยอะเท่าไหร่ ถือเป็นเรื่องดีที่ผมจะเอาไอ้ลิง 2 ตัวมาปล่อยไว้ในนี้ แต่คงไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเจ้าของร้านสักเท่าไหร่
“ไงพีท สอบเป็นไงบ้าง” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยออกมาถามถึงเรื่องการสอบของผมในขณะที่ผมเอากระเป๋านักเรียนไปเก็บไว้ที่ล็อคเกอร์แล้วจัดการสวมผ้ากันเปื้อนให้เรียบร้อย
“ก็ดีครับ” ผมตอบปัดๆ ไปเพราะไม่อยากพูดถึงเรื่องสอบ แค่นี้ก็เอียนจะแย่แล้ว ยิ่งนึกถึงตัวอักษรจีนยึกยือที่ลอยไปลอยมาในหัวยิ่งทำให้ผมรู้สึกคลื่นไส้!
“พี่นัท โกโก้ปั่นแก้วนึงครับ” ไอ้กรณ์กระโดดโหยงมาเกาะเคาเตอร์ส่งสายตาวิ้งๆสั่งเครื่องดื่มที่เป็นเมนูประจำของมัน คิดว่าตัวเองแบ๊วมากนักหรือไง
“นั่งรอเดี๋ยวนะกรณ์ พีทเอากาแฟไปเสิร์ฟลูกค้าที” สิ้นเสียงคำสั่งผมก็รีบตรงดิ่งไปรับถาดที่มีกาแฟช็อตแก้วเล็กอยู่ทันที มันเป็นภาพที่คุ้นตามากเหลือเกิน ฟองกาแฟสีน้ำตาลทำหน้าที่ปกปิดของเหลวสีนิลกลิ่นหอมฟุ้งได้อย่างดี
“เอสเพรสโซ่ช็อตครับลูกค้า” ว่าพลางยกจานรองแก้ววางโต๊ะกระจก เสร็จแล้วผมก็ผละตัวถอยออกมาตามมารยาทเพราะเขากำลังคุยโทรศัพท์อยู่ คงไม่ใช่เรื่องดีถ้าผมจะยืนปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ตรงนั้นแล้วถามว่า ‘รับอะไรเพิ่มไหมครับ?’
“ถ้าต้องการอะไรเพิ่มก็เรียกผมนะครับคุณลูกค้า” ผมถอยออกมาอีกก้าวแล้วโค้งอย่างสุภาพก่อนจะเดินเอาถาดสีครีมไปเก็บ แต่...
“พีท ตามพี่มาหลังร้านหน่อยสิ” พี่นัทเรียกผมก่อนที่เขาจะกลับตัวเดินนำไปหลังร้าน ผมลังเลเล็กน้อยเพราะยังคงห่วงเพื่อนทั้งสอง แต่เมื่อมองไปเห็นพวกมันกินขนมกันแบบมืดฟ้ามัวดินก็คลายความกังวลลงได้ มันคงไม่ว่างมาทะเลาะกันจนสร้างความรำคาญให้ลูกค้าหรอก
...แล้วผมก็เดินตามที่นัทไปหลังร้าน...
กึก...
ทันที่ที่ประตูหลังร้านปิดลง ข้อมือของผมก็พลันถูกกระชากเหวี่ยงลงไปบนเตียงแคบๆที่ปกติพี่นัทใช้นอนพักช่วงบ่ายแก่ๆ ที่ไม่ค่อยมีลูกค้า แต่นี่มัน…?!
“พี่นัท!!!” ผมร้องดังลั่นเมื่อหลังกระแทกลงบนฟูกนุ่ม ไม่ทันขาดคำร่างสูงกว่าที่ทาบทับลงมาบนตัวผม เกิดอะไรขึ้น? พี่นัทจะทำอะไร?!
“พีทชอบพี่ไม่ใช่หรือไง? หืม?” ข้อนิ้วแข็งแรงเลื่อนมาบีบปลายคางของผมจนรู้สึกเจ็บ ร่างกายสั่นเทาเพราะความกลัวอย่างควบคุมไม่ได้ ฝ่ามือร้อนๆ ที่ไล้ลูบตามตัวยิ่งทำให้ผมหวาดหวั่น ทำให้ยิ่งรู้สึกกลัวทั้งๆ ที่ผมควรจะรู้สึกดีกับสัมผัสที่ถวิลหามาโดยตลอด
“.....” ริมฝีปากที่เผยอออกของผมไม่ได้ให้คำตอบใดออกไปแม้แต่คำเดียว ที่จริงหัวสมองผมตื้อมึนจนคิดอะไรไม่ออกแล้วด้วยซ้ำ ยิ่งมืออันจาบจ้วงคู่นั้นกระชากทึ้งชายเสื้อของผมออกจากกางเกงจนหลุดลุ่ยก่อนจะสอดเข้ามาสัมผัสหน้าท้องของผม
“ไม่!!!!” น้ำขมๆที่คลอหน่วงกลิ้งผ่านหางตาของผมตกลงบนหมอนใบเขื่องแล้วซึมหายไปหยดแล้วหยดเล่า ผมตวาดโพล่งออกไปพร้อมกับที่ผลักร่างที่คร่อมอยู่ให้พ้นตัวแล้วรีบตะกายตัวลุกขึ้นวิ่งไปหาประตูที่ดูเหมือนมันห่างไกลเหลือเกิน
หมับ!
“ปล่อยผม! พี่นัทปล่อย! ช่วยด้วย!!!” พี่นัทคว้าข้อมือผมไว้ เพราะความกลัวและความตกใจเลยทำให้ผมตะโกนออกไปสุดเสียง กรณ์กับตั้มคงยังไม่กลับไป ปลายมือซีดๆของผมเริ่มชาเพราะแรงบีบ
“จะไปไหน?!” เสียงนุ่มทุ้มที่ทำให้ผมเคลิ้บเคลิ้มทุกครั้งที่ได้ฟังคือเสียงเดียวกันกับเสียงตวาดอันเกรี้ยวกราดของชายผู้โหดร้าย ความหวังของผมริบหรี่ลงทุกทีเมื่อโดนลากกลับไปที่เตียง ประตูห่างไกลออกไปอีกครั้ง สายตาของผมพร่าเบลอหนักขึ้นเพราะน้ำตาที่เอ่อไหลออกมาไม่หยุด
“กรณ์!!! ตั้ม!!!” แรงเฮือกสุดท้ายของผมถูกใช้ไปกับการตะโกนขอความช่วยเหลือจากความหวังสุดท้ายของผม แต่ความหวังนั้นริบหรี่ลงเหมือนเปลวเทียนกลางสายฝน...เพื่อนๆผม...คงกลับไปกันหมดแล้ว...
โคร่ม!!!!!
“ปล่อย เพื่อน กู !!!!” บานประตูไม้กระแทกผนังเสียงดังกึกก้อง กรณ์พุ่งเข้ามากระชากคนใจร้ายให้ห่างจากตัวผมก่อนระดมหมัดซัดเข้าที่ใบหน้าที่ผมเคยหลงใหลจนถอนตัวไม่ขึ้น
“พีท พีทมึงไม่เป็นไรใช่ไหม? พีทมึงตอบกู มึงมองกูสิเพื่อน!!!” น้ำเสียงสั่นๆของตั้มมันทำให้ผมรู้สึกผิด ผมทำให้พวกมันเป็นห่วงอีกแล้วใช่ไหม... ม่านน้ำตาที่ไหลอยู่พรากสติของผมให้หลุดออกจากหัวสมอง แรงที่มีหายไปไหนตัวผมเองก็ยังหาคำตอบไม่ได้ ไม่สามารถประคองตัวเองให้ยืนได้อีกต่อไป ไม่แม้แต่จะเค้นเอาคำพูดออกมาจากลำคอ แล้วผมก็ทรุดตัวลงกับพื้นเย็นเฉียบ...
“พีท!! พีท มึง!!!!!!!!” มือของตั้มจับแขนผมแล้วเขย่าเพื่อเรียกสติ ตั้มอยู่ตรงนี้ กรณ์กำลังล็อคตัวพี่นัทไปกับกำแพง แล้วผมกำลังนั่งอิงใครอยู่ล่ะ?...
หัวใจของผมเต้นถี่ขึ้นเรื่อยๆ ฝ่ามือเริ่มมีเหงื่อผุดซึม ผมได้ยินเสียงตั้มเรียกผมพลางเขย่าตัวผมไม่หยุด ทันใดนั้นก็เหมือนมีแสงสว่างวาบพุ่งมาที่ตัวผม แล้วผมก็หมดสติลง...!