กีต้าร์ล่าวิญญาณ
7
ตอน
2.7K
เข้าชม
26
ถูกใจ
2
ความคิดเห็น
3
เพิ่มลงคลัง

 

กีต้าร์ล่าวิญญาณ

 

โดย...ล. วิลิศมาหรา

 

กีตาร์นรกตัวนั้นสีแดงคล้ำเหมือนอาบด้วยโลหิตสดๆก่อนนำไปผึ่งแดดจนแห้งกรังเหมือนผีตายซากสภาพของมันคล้ายทำมาจากกระดูกท่อนใหญ่เล็กสั้นยาวถักสอดไขว้ร้อยประสานซับซ้อน  ผนวกเส้นเอ็นบูดเบี้ยวจนมีรูปทรงเป็นรูปตัวกีตาร์ชวนขยะแขยง  ลูกบิดเป็นรูปท่อนกระดูกหกชิ้นเสียบฝังเข้าไปในขมับของหัวกะโหลกยามสัมผัสให้ความรู้สึกเย็นชืดหยุ่นเหนียวชวนสยองแสยงดั่งห่อหุ้มด้วยหนังมนุษย์ยามกรีดนิ้วลงไปบนสายจะได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนคร่ำครวญบาดลึกเข้าไปในส่วนลึกที่สุดของจิตใจ

 

................................................................................

 


บทนำ
กรุงโรม...อิตาลี

 

ร้านขายของเก่าแห่งนี้ อัลแบโต้ เดสเต แน่ใจว่าไม่เคยเห็นมันมาก่อน ทั้งที่มันตั้งอยู่ในซอกตึกแคบๆ ใกล้กับอะพาร์ตเม้นต์ของเขา ห่างกันไม่เกินสามร้อยเมตรเท่านั้น เป็นร้านขนาดหนึ่งคูหา ตกแต่งหน้าร้านด้วยสไตล์ลอฟท์ที่ดูเถื่อนดิบทึมทึบ มองทะลุประตูกระจกใสบานใหญ่เข้าไปเห็นภายในวางสิ่งของระเกะระกะเต็มไปหมด

 

มันอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมถึงไม่เคยเห็น...ชายหนุ่มนึกสงสัย บางทีอาจเป็นเพราะเขาไม่เคยสังเกตมาก่อนก็ได้ เพราะส่วนใหญ่เขามักจะขับรถยนต์ของตัวเองไปกลับที่พักเลย ไม่ได้เดินออกมาริมถนนอย่างวันนี้ เป็นเพราะตื่นขึ้นมาเช้านี้พอแต่งตัวเสร็จจะออกไปซ้อมดนตรีกับวง ก็เจอเข้ากับเรื่องชวนหให้งุดหงิดเสียก่อน เจ้าเก๋งสปอร์ตคันเก่งเกิดสตาร์ทไม่ติดเอาดื้อๆ เขาไม่มีเวลาจัดการกับมันก็เลยต้องปล่อยทิ้งไว้คาลานจอด แล้วตัดสินใจเดินออกมาเรียกแท็กซี่ไปห้องซ้อมแทน จนมาเจอเข้ากับร้านขายของเก่าชวนฉงนร้านนี้ ด้วยความรู้สึกบางอย่างทำให้นึกสนใจอยากเข้าไปดูสิ่งของข้างใน แม้อีกใจหนึ่งค้านว่าเขากำลังจะสาย

 

ไม่เป็นไรน่า แค่แวะเข้าไปดูแป๊บเดียวเอง ไปสายนิดหน่อยไอ้พวกเพื่อนในวงไม่ว่าอะไรหรอก...

 

อัลแบโต้คิดเข้าข้างตัวเอง เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขารู้สึกเสมอว่าตัวเองไม่ใช่มือกีต้าร์คนสำคัญเท่ากับเคลาดิโอ เปโต มือกีต้าร์อีกคนของวง ที่เพื่อนๆ ให้ฉายาว่า ‘กีต้าร์เทพเจ้า’ เขานึกถึงนักกีต้าร์รุ่นน้องอย่างขุ่นเคือง...ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ไอ้หมอนั่นก่อนเข้าวงมามันยังเคยขอให้เขาสอนเล่นกีต้าร์ด้วยซ้ำ แต่เดี๋ยวนี้มันกลับแซงหน้าเขาไปไกลลิบ กลายเป็นนักกีต้าร์มือหนึ่งของวงไปแล้ว

 

ในที่สุดความสงสัยใคร่รู้ก็ชนะ เขาเดินเข้าไปใกล้หน้าร้าน หยุดสังเกตดูอีกทีก่อนเหลียวมองผู้คนเดินผ่านไปมา...ไม่ยักเห็นมีใครทำท่าสนใจมองมาทางร้านเลยสักคน...จะเข้าไปดีไหมนะ...คิดพลางยังยืนลังเลอยู่บริเวณหน้าร้าน

 

เมี้ยว...สะดุ้งน้อยๆ กับเสียงแมวไร้สังกัดสีดำตัวเขื่องที่หมอบดูท่าทีอยู่บนกำแพงข้างร้าน มันร้องขึ้นราวกับจะเร่งให้เขาเข้าไปข้างในไวๆ พร้อมจ้องตาสีเหลืองวาววามของมันมองมา แมวดำตัวนี้เขาก็ไม่เคยเห็นมาก่อน

 

อัลแบโต้พยักหน้ายิ้มให้สัตว์ตัวน้อย ก่อนหันมาเพ่งมองผ่านประตูกระจกเข้าไปในร้านใหม่ กวาดสายตาดูสิ่งของน้อยใหญ่กระทั่งมาสะดุดอยู่ที่กีตาร์สีแดงตัวหนึ่งบนฝาผนัง มันถูกเรียงรายล้อมรอบไปด้วยข้าวของแปลกตาน่าขนหัว เจ้าเครื่องดนตรีที่เหมือนถูกชโลมด้วยเลือดสดๆ สงบนิ่งอยู่บนนั้น คล้ายกำลังรอเขาอยู่อย่างเยือกเย็น

 

พอเห็นมันเข้าอัลแบโต้ก็คล้ายตกอยู่ในภวังค์ เขาผลักประตูขอบไม้สีดำสนิทติดบานกระจกใสเดินเข้าไปภายในอย่างเลื่อนลอย ก้าวผ่านกะโหลกศีรษะสัตว์นานาชนิด อาวุธโบราณประเภท มีด ดาบ โล่ หรืออะไรทำนองนั้น หนังสือเก่าแก่หน้าปกมีตัวอักษรที่ไม่เคยเห็นมาก่อน จอก ถ้วย แก้วรูปทรงประหลาด ซากสัตว์ตากแห้งพิกลพิการ และสิ่งของสยองอื่นๆ อีกมากมาย มีทั้งวางอยู่บนชั้น กองอยู่กับพื้น และที่ใช้ประดับผนังลานตาไปหมด แต่สิ่งของเหล่านั้นเหมือนมีเพื่อเป็นองค์ประกอบ ขับเน้นให้เห็นกีตาร์ตัวนั้นโดดเด่นขึ้นมาโดยเฉพาะ

 

กระทั่งเดินมาหยุดอยู่หน้าเครื่องดนตรีสีสันแปลกตา อัลแบโต้จ้องมองมันอย่างหลงใหลชื่นชม...ให้ตายเถอะ กีต้าร์ตัวนี้ทำไมยิ่งดูก็ยิ่งสวยงาม มันเป็นความงามที่สั่นประสาทคนมองไปพร้อมกัน เหมาะกับมือกีตาร์ประเภท เฮพวี่ เมทัล อย่างเขามาก

 

"คุณสนใจกีตาร์ตัวนั้น…" เสียงต่ำลึกแหบพร่าดังมาจากข้างหลัง ชายหนุ่มสะดุ้งโหยง หันไปมองชายชราผู้เก่าแก่พอๆ กับข้าวของในร้านซึ่งกำลังมองเขาอยู่เช่นกัน พอจะเดาออกว่าแกคงเป็นเจ้าของร้าน หรือไม่ก็อาจเป็นคนดูแลร้าน

 

"เอ้อ ครับ…ผมคิดว่ามันดูดีสำหรับผม คุณคือเจ้าของร้านใช่ไหมครับ"

 

"ผมเป็นคนดูแลร้าน คุณจะลองเล่นมันดูก็ได้นะ" ชายชราตอบแล้วพยักหน้าไปทางกีต้าร์ เอ่ยอนุญาตด้วยน้ำเสียงไร้ความรู้สึก อัลแบโต้มองใบหน้าชราพลางนึก ถ้าแกอยู่นิ่งๆ ไม่กระดุกกระดิก เขาก็พร้อมจะเชื่อว่าแกคือซากศพตากแห้งอย่างไม่ต้องสงสัย

 

"เยี่ยม…งั้นผมขอลองเล่นมันดูหน่อยนะครับ ทำไมผมรู้สึกว่ามันก็อยากให้ผมเล่นมันเหมือนกันก็ไม่รู้สิ"

 

นักดนตรีหนุ่มปลดกีต้าร์ลงมาโดยไม่รีรอ เขาลองสะบัดนิ้วเล่นโน้ตดูสองสามห้อง และทันทีที่เสียงกีต้าร์ดังขึ้น สรรพสิ่งรอบตัวก็คล้ายชะงักค้าง เสียงกีตาร์ที่โหนจากต่ำไปสูง หรือจากสูงลงไปต่ำ หวีดหวิวคร่ำครวญ บาดลึกถึงประสาทชั้นในสุดจนอึงอลไปทั้งศีรษะ แม้หยุดเล่นแล้วเสียงของมันก็ยังคงก้องกังวานคั่งค้างในความรู้สึกเนิ่นนาน

 

"โอ้…ว้าว" เขาอุทานอย่างลืมตัว

 

"มันเยี่ยมไปเลย คุณคิดราคามันเท่าไหร่ครับ" ดวงตาสีน้ำตาลเข้มแวววาว บ่งบอกถึงความพึงพอใจอย่างยิ่งยวด เขาบอกกับตัวเองว่านี่คือเครื่องดนตรีชิ้นวิเศษ โชคดีเหลือเกินที่เข้ามาเจอมันก่อนคนอื่น และเขาอยากครอบครองมันเป็นที่สุด สอบถามถึงราคามันทันที

 

"ผมยกมันให้คุณฟรีๆ" อัลแบโต้ตะลึง เขาเหลือบมองใบหน้าเหี่ยวย่นของคนพูดอย่างคาดไม่ถึง นึกว่าตัวเองคงหูฝาดไปแน่ๆ เพราะกีต้าร์ตัวนี้แม้จะดูเก่าไปสักหน่อย แต่ด้วยรูปทรงที่เพรียวสวย สีสันสะดุดตา พร้อมเสียงใสก้องกังวานอย่างน่ามหัศจรรย์ มันจึงไม่ใช่ของเก่าที่ควรโละทิ้งไปอย่างไร้ราคาค่างวด เขาทวนคำพูดของชายแก่ให้แน่ใจว่าไม่ได้ฟังผิด

 

"คุณว่าไงนะ คุณจะยกมันให้ผมฟรีๆ จริงเหรอครับ"

 

"ใช่ ผมยกมันให้คุณโดยไม่คิดเงินแม้แต่เหรียญเดียว ของบางอย่างมันก็เลือกคนไปอยู่ด้วย ผมคิดว่ากีต้าร์ตัวนี้มันชอบคุณ และมันน่าจะอยากไปอยู่กับคุณมากกว่าอยู่ที่นี่" แกยืนยัน

 

"วิเศษ...ขอบคุณมากครับ" ชายหนุ่มพึมพำขอบคุณ ตายังจ้องหน้าคนดูแลร้านด้วยความสนเท่ห์ แต่ถึงอย่างไรเขาก็ซาบซึ้งและทึ่งในน้ำใจ ใครจะไปนึกว่าชายแก่ท่าทางเหมือนไร้ชีวิตจิตใจคนนี้จะใจดี ถึงกับยกกีต้าร์สุดแสนมหัศจรรย์ตัวนี้ให้เขาฟรีอย่างง่ายดาย

 

"ไม่ต้องขอบคุณผมหรอก ผมเพียงแค่ทำตามหน้าที่เท่านั้น…ส่งมอบสิ่งของให้กับคนที่คู่ควร เพื่อทำให้เกมของ ‘เจ้านาย’ สนุกสนานมากยิ่งขึ้น"

 

"เกม…" ชายหนุ่มขมวดคิ้ว" เกมอะไรครับ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับกีต้าร์ตัวนี้"

 

"คุณไม่ต้องไปสนใจเรื่องนั้น" ชายชราตัดบท เดินไปนั่งเก้าอี้หลังโต๊ะโบราณตัวหนึ่ง ก้มหน้ารื้อหาอะไรบางอย่างง่วนอยู่ ก่อนหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งวางบนโต๊ะ หันมาบอกชายหนุ่มที่เดินตามมาด้วยท่าทางงุนงงว่า

 

"นักกีตาร์ส่วนมากจะมีปัญหาคล้ายๆ กัน ตรงที่ว่าฟังมากเกินไปแต่ฝึกน้อยเกินไป ทำให้ฝีมือของพวกเขาไม่พัฒนาเท่าที่ควร มักเสียเวลาไปกับสุรา นารี ยาเสพติด คุณก็อยู่ในข่ายนั้น…แต่นั่นล่ะ คุณสมบัติที่เจ้านายผมต้องการ"

 

"เจ้านาย" ชายหนุ่มพึมพำ เขาได้ยินคำนี้สองครั้งแล้ว เจ้านายของชายแก่คนนี้เป็นใครกัน เป็นคนหรือบริษัทห้างร้านที่ไหนกันแน่ คงร่ำรวยมหาศาลขั้นอภิมหาเศรษฐี ถึงมาตั้งร้านจ้างพนักงานชวนคนให้เมาล่นเกมด้วยของดีฟรีๆ แบบนี้ได้ มิน่า ร้านนี้จึงเกิดขึ้นรวดเร็วเหมือนเนรมิต สงสัยว่าคงไม่ได้มีเพียงร้านนี้ร้านเดียวเท่านั้น แต่คงมีอยู่อีกหลายสาขาในหลายประเทศ เพื่อเสาะหาคนมาเล่นเกมนั่นเอง ชายแก่ไม่เปิดโอกาสให้เขาถามต่อ แกหยิบกระดาษบนโต๊ะยื่นส่งให้

 

"ก่อนคุณจะได้มันไป เรามีข้อตกลงกันนิดหน่อย รายละเอียดอยู่ในสัญญาแผ่นนี้ คุณนั่งลงแล้วกรุณาอ่านดูอย่างละเอียด หากตกลงคุณก็จะได้เป็นเจ้าของมัน เชิญเอามันไปได้เลย" เขานั่งลงรับมันมาอ่านตามที่เจ้าของร้านบอก อ่านรวดเดียวจนจบด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยเคลือบแคลง ในที่สุดก็กล่าวช้าๆ

 

"ในหนังสือสัญญาบอกว่า ผมจะเป็นเจ้าของกีตาร์ เพียงแต่ผมเซ็นชื่อลงในสัญญาฉบับนี้เท่านั้น"

 

"ใช่…"

 

"สัญญามีเพียงข้อเดียวคือ ผมต้องยอมยกวิญญาณของผมให้กับซาตานในกรณีที่ผมทำลายกีตาร์ตัวนี้...ซาตานเหรอ?"

 

"ใช่"

 

ชายหนุ่มมองหน้าชายชรา แต่คราวนี้ดูเหมือนใบหน้านั้นดูเลือนรางชอบกล อาจเป็นเพราะแสงสว่างข้างในร้านไม่ค่อยพอก็ได้ เขาไม่ใส่ใจหน้าตาท่าทางของแกเท่ากับพยายามทำความเข้าใจกับสัญญาอันแปลกประหลาดในแผ่นกระดาษ

 

"ผมเคยอ่านเจอเรื่องประเภทนี้ในหนังสืออ่านเล่น" เขานึกไปถึงคำพูดของแกก่อนหน้าที่เอ่ยถึงการเล่น‘เกม’ บางทีเจ้านายของชายแก่คนนี้อาจกำลังแค่หาอะไรเล่นสนุกตามประสาคนแก่ขี้เหงา เจ้านายของแกก็คงเป็นตัวแกเองนั่นแหละ ไม่ใช่ใครที่ไหนอีก พอคิดแบบนั้นเขาจึงอ่านออกเสียงยิ้มๆ

 

"การขายวิญญาณให้ซาตานเพื่อแลกเปลี่ยนกับอะไรบางอย่าง เช่น ฝีมือการเล่นกีตาร์ ชื่อเสียง เงินทอง อืม...ในหนังก็มีเรื่องแบบนี้เหมือนกัน"

 

"ทุกอย่างจะเป็นไปตามที่คุณอ่านมาทั้งหมด…หลังจากคุณ‘ลงนาม’ยินยอม"

 

"ลงนามยินยอม...โอ้ คงไม่ต้องเซ็นชื่อด้วยเลือดนะครับ" อัลแบโต้เงยหน้าขึ้นกล่าวสัพยอก เก้อเล็กน้อยที่เห็นชายชรายังคงมีสีหน้าขรึมนิ่ง พูดด้วยเสียงราบเรียบไร้ความรู้สึกเช่นเดิม

 

"ไม่หรอกครับ ไม่ป่าเถื่อนขนาดนั้น แค่ลงชื่อเฉยๆ ก็เพียงพอแล้ว"

 

"เอาล่ะ…" เขาเหล่ตามองใบหน้าสงบนิ่งเพราะชักนึกหมั่นไส้ท่าทางเฉยชาของแกขึ้นมาหน่อยๆ ดึงปากกาออกมาจากกระเป๋าเสื้ออย่างตัดสินใจเด็ดขาด

 

"ผมไม่รู้หรอกว่าคุณกำลังเล่นเกมหรือกำลังพยายามทำอะไรอยู่ แต่ถ้าผมลงนามยินยอมมอบวิญญาณตัวเองให้กับซาตานแล้ว มันจะทำให้ผมได้กีตาร์ตัวนั้นล่ะก็…ผมยอม แต่ถามจริงๆ เถอะ ถ้าซาตานมีอำนาจจริง ทำไมไม่ตะครุบเอาวิญญาณคนไปดื้อๆ เลยล่ะ มันไม่ง่ายกว่าเหรอ"

 

"แล้วทำไมคุณไม่คิดบ้างว่า ถ้าพระเจ้าเก่งจริงทำไมไม่ดลบันดาลให้คนทั้งโลกเป็นคนดีหมดเลยล่ะโลกจะได้ไม่มีปัญหา" ชายชราย้อนด้วยน้ำเสียงแปลกประหลาด

 

"ก็จริง..." ชายหนุ่มอ้อมแอ้มยอมรับ ยามกะทันหันคิดเถียงแกไม่ออกเหมือนกัน

 

"บางทีมันอาจเป็นเกมอย่างที่คุณว่า"

 

"ถูกต้อง…มันเป็นเกม"

 

เมื่อเห็นเขาตวัดลายเซ็นลงในกระดาษ เจ้าของร้านก็หัวเราะในลำคอเป็นครั้งแรก พลันนั้นเขารู้สึกเหมือนได้กลิ่นกำมะถันกระจายอยู่ในห้องวูบหนึ่ง ข้างนอกท้องฟ้าคล้ายมีแสงจากสายฟ้าแลบ ตามมาด้วยเสียงกระหึ่มดังเลือนราง บรรยากาศรอบข้างเหมือนถูกกดดันด้วยมวลอากาศหนักอึ้ง

 

พับผ่าเถอะ! ท่าทางจะสายไปกันใหญ่ เห็นทีต้องได้ลุยฝนไปห้องซ้อมเสียก็ไม่รู้ เขาสบถในใจ

 

"ยินดีที่คุณมาร่วมเล่นเกมกับเรา" ชายชราดึงกระดาษแผ่นนั้นกลับทันทีที่เขาเซ็นชื่อเสร็จ

 

"ผมเกรงว่าต้องปิดร้านแล้วล่ะ ขอให้คุณสนุกกับกีตาร์"

 

"แน่นอนครับ" อัลแบโต้พึมพำ ชะเง้อมองออกไปข้างนอกอย่างเป็นกังวล ฝนคงกำลังจะตกในไม่ช้านี้แล้วชายแก่จึงจะรีบปิดร้าน ชายหนุ่มคิดพลางคว้ากีตาร์ที่วางข้างตัวขึ้นมาถือ และเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าว่าจะปิดร้านจริงๆ เขาก็รีบลุกขึ้นกล่าวอำลาสั้นๆ ก่อนเปิดประตูก้าวออกมายืนข้างนอก แต่แล้วก็ต้องยืนอึ้งอย่างประหลาดใจที่ท้องฟ้านอกร้านยังแจ่มใสสว่างจ้าดีอยู่ ไม่ได้มีทีท่าว่าฝนจะตกเหมือนตอนอยู่ข้างในร้าน

 

เขาหันกลับมามองดูร้านอีกครั้ง ประหลาดใจมากขึ้นเมื่อเห็นหมอกสีขาวลอยปกคลุมไปทั่วบริเวณที่ร้านตั้งอยู่ จนทั้งร้านถูกบดบังจากกลุ่มหมอกโดยสิ้นเชิง หมอกบ้านั่นมาจากไหน...อัลแบโต้มองพลางนึกอย่างสงสัย

 

แต่แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นแท็กซี่ว่างคันหนึ่งกำลังแล่นมาพอดี เขายักไหล่ หมอกจะมาจากไหนก็ช่างหัวมันประไร ตอนนี้ใจเขาอยู่ที่กีต้าร์สีแดงซึ่งเพิ่งได้มา อีกเดี๋ยวเขาจะเอามันไปเล่นในห้องซ้อมดนตรีกับเพื่อนในวง ให้เจ้าพวกนั้นได้ฟังเสียงกีตาร์อันน่าพิศวงหลงใหลตัวนี้ด้วย

 

 

 

ท่ามกลางกลุ่มควันบุหรี่  แสงไฟหลากสี ผู้คนสับสน เพลงแรกกระหึ่มขึ้นพร้อมกับเสียงแตกพร่าสนั่นของกีตาร์ เสียงร้องเซ็งแซ่ของฝูงชนที่อยู่ในร็อคผับฟิราเซ่ กระตุ้นให้นักดนตรีทั้งห้าบนเวทีเลือดฉีดพล่านไปทั่วร่าง ตอนนี้บริเวณภายในผับดูคับแคบไปถนัดตาจากแฟนเพลงซึ่งเข้ามาฟังเพลงจากนักดนตรีวงโปรด แม้เจ้าของร้านจะพยายามปรับขยายพื้นที่ให้รับคนมาเที่ยวได้มากขึ้น แต่ดูเหมือนมันก็ยังไม่พออยู่ดี

 

ร็อคผับแห่งนี้เป็นสถานที่สำหรับคนชอบเพลงร็อคอย่างจริงจังมาเป็นขาประจำ บางคนฟังเพื่อระลึกถึงความหลัง บางคนมาศึกษาการเล่น แต่อีกหลายคนมาฟังเพลงโดยเฉพาะ พวกเขาล้วนเบื่อหน่ายกับพวกนักร้องประเภทหน้าหล่อหน้าสวยทว่าร้องเพลงและฝีมือทางดนตรีไม่ได้เรื่อง การแต่งเพลงลวกง่าย อาศัยการโหมประโคมโฆษณาทางสื่อต่างๆ อย่างบ้าคลั่ง ยัดเยียดให้ผู้คนชินชาแล้วก็ดังไปเอง การฟังเพลงจึงกลายเป็นแฟชั่นอย่างหนึ่งสำหรับวัยรุ่น แทนที่จะเป็นการฟังเพราะซาบซึ้งกับดนตรีหรือบทเพลงนั้นๆและวงร็อคในผับแห่งนี้ก็ตอบโจทย์ได้อย่างยอดเยี่ยม พวกเขาร้องและเล่นได้อย่างที่คนฟังบอกต่อๆ กันว่าน่าอัศจรรย์

 

ความที่ดนตรีเป็นภาษาสากล ไม่มีชนชั้น แฟนเพลงในนี้จึงมีผู้คนตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงรุ่นคุณปู่ พวกเขาฟังเพลงอย่างที่อยากจะฟังจริงๆ ไม่ใช่ฟังตามแฟชั่น

 

ไอรอน แมน เพลงเก่าของคณะแบล็ค ซับบาธ ซึ่งถือว่าเป็นต้นตอแท้จริงของดนตรีประเภทเฮพวี่ เมทัล ความจริงมันก็เป็นเพลงที่วงเคยเล่นมาหลายครั้งแล้ว เพียงแต่คืนนี้เสียงกีตาร์มันมีมนต์ขลังและยอดเยี่ยมกว่าเดิมมาก ราวกับไอ้หนวดหิน โทนี่ ไอออมมี่ เจ้าของฉายาริฟฟ์มหากาฬมาเล่นเอง รีดดิกนักร้องนำหุ่นล่ำเคลื่อนไหวและกรีดเสียงในแนวเสียงของไอ้หมูปีศาจ ออซซี่ ออสบอร์น ผู้คนเริ่มบ้าคลั่งกับเสียงดนตรีอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

 

ในความดุเดือดเมามันของเสียงดนตรีคืนนั้น...อัลแบโต้มือกีตาร์ของวงตื่นตะลึงกับนิ้วของตัวเองที่ลื่นไหลไปเหมือนมีชีวิต เมื่อเขาเล่นเพลงของ แบล็ค ซับบาธ การเล่นของเขาดุดันไปกับเพนทาโทนิคสเกลอย่างเหลือเชื่อ พอเปลี่ยนไปเล่นแนวเพลงของไอ้ลมกรดอิงวี่ นิ้วของเขาพลิกพลิ้วไปตามคอกีตาร์อย่างรวดเร็วในรูปแบบของกีตาร์นีโอ-คลาสสิก เขาสามารถคอนโทรลสายได้อย่างน่าอัศจรรย์ แม้กระทั่งเสียงกีตาร์ก็เปลี่ยนไปเองโดยไม่ต้องปรับเอฟเฟคแม้แต่น้อย เพื่อนร่วมวงทั้งสี่คนดูและเจ้าของร็อคผับ ต่างตื่นตะลึงปากอ้าตาค้างไปกับการเล่นของเขา

 

มีเพียงอัลแบโต้เท่านั้นที่รู้ว่าเขาควบคุมการเล่นและอารมณ์ตัวเองไม่ได้ มันเป็นไปเองทุกอย่าง จิตใจของเขาคล้ายระเบิดกระเจิดกระเจิงไปตามแนวเพลงจนหมดสิ้น ความรู้สึกแสนวิเศษที่ไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นได้มันกำลังเกิดขึ้นแล้ว สะใจที่เจ้าเคลาดิโอมือกีต้าร์อีกคน ได้แต่ยืนตีคอร์ดทำหน้าทึ่งกับฝีมือยอดเยี่ยมระดับโลกของเขา ขนาดที่เจ้าตัวเองยังคิดว่ากำลังฝันไป ถ้าเขาเล่นได้แบบนี้ชื่อเสียงเงินทองก็กำลังรออยู่แค่เอื้อมแล้ว

 

อัลแบโต้กรีดนิ้วโซโลกีต้าร์ พร้อมสะบัดผมสีแดงเพลิงเข้ากับสีกีต้าร์ในมือด้วยท่าทีเมามันในอารมณ์ ตั้งใจว่าวันนี้จะทุ่มเทจิตใจเล่นให้เต็มที่…ให้มากกว่าทุกครั้ง บางทีอาจมีแมวมองมาซุ่มดูอยู่

 

พวกเขาเปิดฉากด้วยเพลงปานามา ของ แวน เฮเลน สำเนียงกีตาร์เต็มไปด้วยเทคนิคพิสดาร เคาะ จิ้มสาย ตลอดจนการดันสายอย่างมหาวินาศ ตามแบบฉบับของเอ็ดดี้ แวน เฮเลน เจ้าหนุ่มมหัศจรรย์ผู้มีรางวัลกีตาร์ร็อคยอดเยี่ยมห้าปีซ้อนเป็นประกันการเล่นแบบนั้นไม่มีปัญหาสำหรับผู้เพิ่งได้รับพรวิเศษอย่างอัลแบโต้ เพียงแต่ติดอยู่นิดหนึ่งตรงที่นิ้วของเขาแทบรับไม่ได้กับการเล่นเทคนิคอันสุดแสนแพรวพราว มันปวดล้าจนนิ้วแทบปะทุ

 

ดีที่เพลงจบลงก่อนให้พอมีเวลาตั้งหลัก เพลงต่อมา ร็อค แอนด์ โรล เพลงเก่าของคณะเลด เซปปลิน ตำนานบลูส์ร็อคที่ยิ่งใหญ่ นิ้วของเขามีโอกาสผ่อนคลายลงบ้าง แต่ทางเดินของนิ้วอันล้ำลึกแบบจิมมี่ เพจ ในช่วงโซโล ทำให้เขารู้สึกเจ็บตามข้อนิ้วขึ้นมาจับจิต แต่เขาหยุดมันไม่ได้ สีหน้าบ่งบอกความเจ็บปวดของเขากลับกลายเป็นว่ากำลังเล่นอย่างเข้าถึงอารมณ์ ทำให้แฟนเพลงกรีดร้องกันอย่างเมามัน

 

ต่อมาทางวงเปลี่ยนแนวเพลงเป็นเพลงของคณะเมกาเดธ นิ้วของเขาแทบลุกเป็นไฟจากการสบัดคอร์ดถี่ยิบในแบบสปีด เมทัล รู้สึกว่านิ้วตัวเองกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เลือดเริ่มไหลออกมาตามนิ้วมือ แต่นั่นล่ะ...ฝูงชนที่ดูอยู่ข้างหน้ากลับเห็นว่าเป็นการเล่นแบบได้อารมณ์อย่างแท้จริง

 

"ต่อไปเป็นเพลง วูดู ชายด์"

 

เสียงมือกลองร้องบอกแว่วมากระทบโสตประสาท ท่ามกลางเสียงดนตรีที่กำลังจะจบลง นิ้วของเขาก็เริ่มทำงาน มันไต่ไปตามคอกีตาร์ตามแบบฉบับของจิมมี่ เฮนดริกซ์ การเล่นที่แท้จริงแตกต่างจากการเล่นในห้องซ้อมโดยสิ้นเชิง อารมณ์ของพวกเขากระเจิดกระเจิงไปตามบทเพลง เสียงกีตาร์โหยหวนเจ็บปวด การรูดสายดังเฟี้ยว...แต่ละครั้งหมายถึงรอยฉีกบนปลายนิ้วเพราะความคมของสายกีตาร์  เลือดอาบคอกีตาร์เหมือนการเล่นของจิมมี่ เฮนดริกซ์จริงๆ ถึงอารมณ์จะพลุ่งพล่านตามกระแสดนตรี เขาก็ยังนึกถึงเรื่องราวของเจ้าของเพลงนี้

 

เฮนดริกซ์ คือนักกีตาร์ผิวดำผู้จบชีวิตความเป็นยอดนักกีตาร์ด้วยวัยยังไม่ถึงสามสิบปี จากการใช้สารเสพติด ทิ้งมรดกทางดนตรีไว้เป็นแนวทางแก่คนรุ่นหลังให้จดจำถึงการแสดงสดอันเร่าร้อน บนเวทีเขาจะเล่นฟิคแบ็ค พร้อมกับโยกปรับปุ่มแอมป์และเอฟเฟคต่างๆ อย่างบ้าคลั่ง บางครั้งลงท้ายด้วยการราดน้ำมันจุดไฟเผากีตาร์ พร้อมกับฟาดมันลงบนพื้นจนแตกเป็นชิ้นๆ

 

เหมือนอย่างที่อัลแบโต้กำลังทำอยู่ในขณะนี้…

 

ตอนจบเพลง เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังหวดกีตาร์ลงกับพื้นอย่างรุนแรง นรกช่วย...ไม่นะ กีต้าร์จะโดนทำลายไม่ได้...เขานึกถึงข้อความในสัญญา...ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยหยุดฉันที!

 

ทว่าเสียงร่ำร้องของมือกีต้าร์หนุ่มดังแค่เพียงในใจ อัลแบโต้ไม่สามารถเปล่งเสียงร้องออกมาได้ เหมือนกับมีฝ่ามืออันทรงพลังมาอุดปากเอาไว้ เขาตาเหลือกเมื่อกีตาร์แตกสลายไปตามการฟาดของตัวเองในแต่ละครั้ง มันส่งเสียงคร่ำครวญโหยหวนดั่งเจ็บปวดรวดร้าวสุดแสนทรมาน  ผสมผสานไปกับเสียงกรีดร้องของผู้คนแสงไฟเปลี่ยนเป็นสีแดง เขาเห็นสีแดงฉานของเลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว อยากจะหยุดการกระทำของตนเองแต่หยุดไม่ได้..หยุดไม่ได้...ราวกับโดนปีศาจดนตรีเข้าสิง

 

สองมือจับคอกีต้าร์ฟาด...ฟาด...และฟาด ลงไปไม่หยุดยั้ง...สุดท้ายเขาหน้ามืดล้มคว่ำลง

 

 

 

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว