คนทรยศ
โดย...ล. วิลิศมาหรา
ฉันพยายามลากขาที่อ่อนเปลี้ยเสียจนแทบก้าวเท้าเดินต่อไปไม่ไหวเข้าหาร่มไม้ ใหญ่ริมถนนลูกรังแคบ ๆ ทันทีที่ได้ยินเสียงรถจักรยานยนต์สองคันแผดเสียงดังสนั่นมุ่งหน้าตรงมาหา นึกไปถึงพาหนะของตัวเองที่จอดทิ้งไว้ข้างทางไกลกว่าสี่กิโลเมตรก่อนตัดสินใจ เดินเท้า ซึ่งก็คือรถจักรยานยนต์ญี่ปุ่นขนาด 400 ซีซี. ที่ฉันขึ้นควบขับขี่หนีออกจากโรงเก็บรถในที่พักหรูกลางเมืองของตัวเองทันที หลังเกิดภาวะฉุกเฉิน ทันสวมชุดเซฟตี้เพื่อการเดินทางไกลด้วยพาหนะสองล้อ กับคว้าเงินสดติดมือมาด้วยจำนวนหนึ่ง ก่อนตัดสินใจบ่ายหน้าเข้าสู่เส้นทางคุ้นชินสายนี้ มุ่งตรงสู่จุดหมายปลายทางที่จากมากว่ายี่สิบปี โดยไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าจะต้องกลับไปหามันอีก
และบัดนี้พาหนะของฉันที่จอดแอบอยู่ข้างทางเพราะน้ำมันหมดหลังจากแวะเติม น้ำมันครั้งสุดท้าย รวมทั้งที่บรรจุใส่ภาชนะมาในช่องเก็บของทั้งหมด คงถูกพบเจอโดยคนขับจักรยานยนต์ทั้งสองคันนั่นเข้าให้แล้ว ระยะทางกว่าหนึ่งพันกิโลเมตรทำให้ฉันกะน้ำมันไม่ถูก กะผิดไปเกือบสิบกิโลเมตรทีเดียว
พระเจ้า! ใจฉันตกไปอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเสียบกุญแจรถคาเอาไว้ก่อนสละรถ หนึ่งในเสียงเครื่องยนต์ที่ได้ยินจึงเป็นเสียงพาหนะคู่ใจของฉันเอง หันตัวเข้ากำบังหลังต้นไม้ใหญ่ สายตาจ้องไปทางเสียงเครื่องยนต์ครางกระหึ่มที่ดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ภาวนาขอให้คนขับขี่ที่ต้องมีไม่ต่ำกว่าสองคนเป็นชาวบ้านแถวนี้ที่ฉันคุ้นเคย ด้วยใจอันเต้นระทึก
ถนนสายเปลี่ยวทอดยาวคดเคี้ยวท่ามกลางขุนเขาน้อยใหญ่เส้นนี้ตัดตรงไปหาหมู่ บ้านเล็ก ๆ ติดขอบชายแดนมลรัฐที่ฉันอาศัยอยู่ ซึ่งเมื่อก่อนฉันเคยมาทำงานเป็นแพทย์อาสาให้กับองค์กรเอกชนในค่ายผู้อพยพลี้ ภัยจากประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงที่มีพรมแดนอยู่อีกฟากแม่น้ำหลังหมู่บ้าน นั้น ค่ายผู้อพยพตั้งอยู่ไม่ไกลนัก คนในหมู่บ้านจึงพลอยได้รับอานิสงส์ด้านการรักษาพยาบาล คนเจ็บไข้ได้ป่วย สตรีมีครรภ์ตลอดจนลูกเด็กเล็กแดงพากันมารับการช่วยเหลือจากทีมแพทย์และ พยาบาลอาสาสมัคร ซึ่งพวกเรายินดีอนุเคราะห์ ก็ในเมื่อแม้แต่คนต่างแดนเรายังช่วย นี่คนประเทศเดียวกันแท้ ๆ ที่ไหนจะปฏิเสธพวกเขาได้ลงคอ มิหนำซ้ำเรายังพากันไปเยี่ยมคนป่วยในหมู่บ้านอยู่บ่อย ๆ จึงรู้จักกับหลายคนโดยเฉพาะคนเป็นผู้นำ มิตรไมตรีของชาวบ้านต่อแพทย์อาสาฯจึงมีแต่ความน่าประทับใจ
ทว่าวันเวลาที่ผ่านมาเนิ่นนานก็ไม่แน่นักว่าจะเป็นดังหวัง แต่ถึงอย่างไรอะไร ๆ คงไม่เลวร้ายไปกว่าที่เป็นอยู่ และฉันเชื่อว่าถ้าสามารถบุกบั่นมาจนถึงที่นี่ได้อย่างปลอดภัย เรื่องอื่นก็คงไม่หนักหนาสาหัสไปกว่านี้อีกแล้ว
แม้จากไปนานแต่ฉันจำทางได้ดีเพราะถนนเส้นนี้ก็ยังมีสภาพ เดิม ๆ ไม่ค่อยเปลี่ยนไปเลย สองข้างทางยังเป็นป่าละเมาะ มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นบ้างประปรายไม่แน่นหนา บ้านเรือนผู้คนตามรายทางเริ่มเบาบางตั้งแต่แยกจากถนนสายหลัก แต่ยิ่งเข้ามาลึกเท่าใดบ้านเรือนเหล่านั้นก็ยิ่งเว้นช่วงห่างจนกระทั่งขาด หาย ไม่พบที่อยู่อาศัยของใครอีก ไม่มีเรือกสวนไร่นาใด ๆ ทั้งสิ้นนอกจากความเปล่าเปลี่ยวของป่าละเมาะ เห็นไกลออกไปบนภูเขาตั้งตระหง่านกระหนาบเส้นทางซ้ายขวาคือป่ารกชัฏ ไม่พบผู้คนหรือสิ่งมีชีวิตอื่นใดอีกนอกจากเจ้าของเสียงเครื่องยนต์รถปริศนา ที่ฉันกำลังรอลุ้นอยู่ว่าจะเป็นใครในตอนนี้เท่านั้น
ทันทีที่เห็นหน้าคนขี่ยานพาหนะนำหน้า หัวใจของฉันก็พองโตลิงโลดขึ้นด้วยแรงปรีดา ปล่อยมือจากบางสิ่งที่กำแน่นอยู่ในกระเป๋าเสื้อชุดนักบิด วันเวลาที่ผ่านอาจสร้างริ้วรอยขึ้นบนใบหน้าคร้ามจัดรูปสี่เหลี่ยมนั้น รวมทั้งรูปร่างสันทัดที่ดูล่ำใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมาก แต่ฉันก็จำคีรูฟได้ จำดวงตาเรียวแต่คมเฉียบบ่งบอกถึงสติปัญญาอันเฉลียวฉลาดกว่าคนอื่น ๆ อีกมากในหมู่บ้าน จำท่าทางทะมัดทะแมงว่องไวแต่อ่อนน้อมถ่อมตนอย่างที่สุดของเขาต่อ“หมอจีซัส ติ”แพทย์หญิงอาสาสมัครอย่างฉัน และยังจำคำพูดสุดท้ายก่อนลาจากกันเมื่อกว่ายี่สิบปีก่อนได้จนขึ้นใจ ซึ่งมันทำให้ฉันตัดสินใจหนีมาหลบภัยในช่วงเวลาฉุกเฉินที่นี่
“ถ้ามีอะไรให้พอรับใช้ หมออย่าลืมผม”
คีรูฟให้ความนับถือฉันอย่างสูงหลังผ่านคืนวันอันสุดแสนเลวร้ายวันนั้นมาได้ วันที่เขาขับจักรยานยนต์พา อีธอว์ ภรรยาท้องแก่ใกล้คลอดซึ่งนั่งตรงกลาง ขนาบปิดท้ายด้วยชายฉกรรจ์อีกคนมาหาฉันถึงในค่ายผู้ลี้ภัย เขาผ่านจุดตรวจทั้งหลายเข้ามาถึงในแค้มป์พยาบาลได้ ก็เพราะความเห็นอกเห็นใจในชะตากรรมเพื่อนมนุษย์ของเจ้าหน้าที่ประจำจุดตรวจ อีธอว์ครบกำหนดคลอดและพยายามเบ่งแต่เธอคลอดลูกไม่ได้ หมอตำแยในหมู่บ้านหมดปัญญาหลังขย่มท้องเธออยู่นาน ในที่สุดหญิงสาวผู้น่าสงสารก็ตกเลือดและกำลังจะสิ้นใจ
คีรูฟตัดสินใจพาตัวเมียรักเข้ามาขอความช่วยเหลือในศูนย์แต่ทว่าช้าไป ขณะที่ฉันกำลังผวาเข้ามาช่วย อีธอว์ก็ได้สิ้นลมไปแล้ว และตอนนั้นเองที่พึ่งรู้ว่าลูกในท้องของเธออยู่ในท่าขวาง คีรูฟพอแน่ใจว่าตัวเองได้เสียภรรยาไปแล้วเขาก็ประคองร่างเธอร่ำไห้ ก่อนเงยหน้าจ้องตาแดงก่ำมายังฉัน เมื่อเสียเมียไปแล้วชายผู้โชคร้ายไม่อยากเสียลูกไปอีกคน เขาขอร้องฉันด้วยเสียงสั่นสะท้าน
“หมอ...ช่วยลูกผมด้วย”
วินาทีแห่งความเป็นความตายของอีกหนึ่งชีวิตในท้องอีธอว์ ฉันไม่มีเวลาหยุดคิดอะไรมากไปกว่าหันไปคว้ามีดผ่าตัดขึ้นมาถือ ในขณะที่คีรูฟวางร่างภรรยาลงบนเตียงผ่าตัดสนาม
และในตอนนี้ เมื่อเห็นว่าเป็นคีรูฟนั่นเองที่ขี่เจ้ารถญี่ปุ่นของฉันนำหน้าผู้ชายวัยรุ่น อีกสองคนบนรถจักรยานยนต์อีกคันขับขี่ตามกันมา ฉันก็ผวาออกไปยืนข้างทางให้เห็นเด่นชัด รถทั้งสองคันเบรกทันทีที่เห็นร่างในชุดนักบิดข้างทาง ฉันถอดหมวกกันน็อคออกเผยให้เห็นใบหน้า ฉับพลันดวงตาเรียวคมใต้คิ้วดกหนาของเขาก็เบิกกว้างขึ้น
“หมอจีซัส”
ในความทรงจำอันลึกซึ้งของบุคคลที่ผูกพันกัน พึ่งได้ประจักษ์ในวินาทีนี้เอง คีรูฟก็จำฉันได้ทันที เขาอุทานเสียงดังพร้อมดับเครื่องยนต์ก่อนป่ายขาลงจากอานรถ พลอยทำให้รถอีกคันต้องดับเครื่องตามไปด้วย
“เป็นหมอจริง ๆ ด้วย หมอกลับมาทำอะไรที่นี่อีกครับ แล้ว...นี่รถหมอใช่ไหม”
ตาคมมองสำรวจไปทั่วตัวฉันซึ่งอยู่ในชุดเซฟตี้ของนักบิด คีรูฟคงเดาเหตุการณ์ออก เขาฉลาดเสมอ ใบหน้าคร้ามจึงหันไปทางพาหนะสองล้อคันงามที่เขาไปพบเข้ากลางทาง ก่อนหันกลับมารอฟังคำตอบ
“ขอบคุณพระเจ้าที่เป็นเธอ คีรูฟ ใช่ รถหมอเอง กะเตรียมน้ำมันติดรถมาไม่ถูกเลยน้ำมันหมดกลางทาง โชคดีจริง ๆ ที่พบเธอเข้า นึกว่าต้องเดินไปอีกตั้งหกกิโลเสียแล้ว” ฉันยังไม่ตอบคำถามทั้งหมด สายตาแลเลยไปยังสองหนุ่มที่นั่งคร่อมอานรถอีกคัน
“ครับ โชคดีที่เป็นพวกผมไปพบเข้า นึกแปลกใจว่าใครมาทิ้งรถสวย ๆ แบบนี้ไว้กลางป่า ตรวจดูถึงรู้ว่าน้ำมันหมดผมเลยใช้สายยางดูดน้ำมันจากรถผมเติมขับมา หมอคงจำอิซาสไม่ได้เพราะตอนหมอไปจากที่นี่เขายังไม่ถึงขวบ ส่วนนั่น...เบดูอาไงครับ เจ้าเด็กวายร้ายที่หมอเคยช่วยจากจมน้ำ”
ซึ่งคีรูฟก็เข้าใจทันทีถึงสายตาของฉัน เขาเล่าว่าจัดการกับรถหมดสภาพของฉันยังไง แล้วจึงเอ่ยแนะนำตัวอิซาสลูกชายผมทองหน้าตาเข้าทีของเขา ที่ฉันช่วยผ่าเอาตัวออกมาจากท้องของแม่ที่ตายไปแล้วได้ทันเวลา กับชายหนุ่มผิวคล้ำผมดำตาดำอีกคนหนึ่ง ซึ่งอายุแก่กว่าอิซาสสักเจ็ดหรือแปดปี หนุ่มคนนี้ฉันจำได้ว่าคือเด็กผู้ชายจอมซนในอดีตที่มักเข้ามาแอบขโมยของใน แค้มป์พยาบาลบ่อย ๆ แต่เพราะเป็นเด็กจึงไม่มีใครเอาเรื่อง มีครั้งหนึ่งที่เบดูอาไปลงเล่นน้ำแล้วเกิดเป็นตะคริวจมน้ำเกือบตาย โชคดีที่มีคนเห็น ช่วยเอาตัวขึ้นมาจากน้ำได้ทันและฉันผ่านมาพบเข้าพอดี เบดูอาจึงรอดชีวิต ชายหนุ่มทั้งสองยิ้มให้ฉัน เบดูอาทำท่าระลึกได้ แต่อิซาสคงได้ยินเรื่องของฉันมาจากผู้เป็นพ่ออีกที
“ท่าทางหมอคงเหนื่อยมาก ไปพักบ้านผมทานข้าวปลา อาบน้ำอาบท่าให้สดชื่นเสียก่อนดีกว่า”
หนุ่มใหญ่ไม่ซักถามอะไรต่ออีก เขาเอ่ยชวนซึ่งฉันมีหรือจะขัดศรัทธา ขึ้นซ้อนท้ายทันทีโดยไม่อิดเอื้อนเลยแม้แต่น้อย...พระเจ้าอยู่ข้างฉัน แล้ว...
บ้านของคีรูฟที่อาศัยอยู่กับลูกชายเพียงสองคนก่อด้วยอิฐหยาบ ๆ หลังเล็ก กั้นเป็นห้องนอนเพียงหนึ่งห้อง แล้วต่อเพิงสังกะสีออกไปด้านหลังทำเป็นห้องน้ำกับห้องครัว บ้านหลังนี้อยู่ท้ายสุดของหมู่บ้าน ห่างไกลจากบ้านหลังอื่นและไม่มีไฟฟ้าใช้
รู้จากปากของเขาว่าตั้งแต่เมียตายเขาก็ไม่คิดหาแม่ใหม่มาให้อิซาส สู้อดทนเลี้ยงดูลูกชายตามลำพังจนลูกโต แต่ถ้าหากลูกชายแต่งงานมีครอบครัวไปก็ไม่แน่ เขาถือว่าหมดภาระ อาจมองหาใครสักคนที่เข้าใจกันเอาไว้คอยดูแลยามแก่ชรา แต่ก็รำพันว่าลำบากใจ เพราะเคยได้ให้สัญญาไว้กับอิธอว์ว่าจะรักเธอเพียงคนเดียว...
คำบอกเล่าของเขากระแทกแผลเหวอะกลางใจเข้าอย่างจัง เจ็บปวดจนทำเอากลืนข้าวฝืดคอ หวนนึกถึงคำสัญญาสาบานของผู้ชายใจคดอีกคนซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสามีของตัวเอง แล้วก็ต้องก้มหน้าลงซ่อนน้ำตา ชายคนนั้นความรู้สูงอีกทั้งรูปร่างหน้าตาดี แต่น้ำใจไม่ได้แม้สักกระผีกของชายบ้านป่า
ผ่านมาหลายวัน ป่านนี้ศพของชายโฉดหญิงชั่วที่ถูกฉันกระหน่ำยิงด้วยปืนติดที่เก็บเสียง ซึ่งอุตส่าห์ซื้อหามาเตรียมไว้เพื่อพวกเขาโดยเฉพาะก่อนจะลากศพซ่อนไว้ใต้ เตียง แต่ศพคงถูกค้นพบในไม่กี่วันเพราะกลิ่นมันฟ้อง ฉันวางแผนฆ่าคนทรยศทั้งคู่ทิ้งทันทีที่แม่เพื่อนตัวดีส่งภาพนอนกกกอดกันกับ ผู้ชายที่ฉันยอมร่วมนามสกุลด้วยบนเตียงของฉันเองมายั่ว หล่อนนึกว่าฉันจะทะเลาะจนเลิกร้างกันกับคามิลเพื่อจะได้ขึ้นเป็นเบอร์หนึ่ง แทน แต่หล่อนคิดผิด!
เพราะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางไกล หลังทานอาหารมื้อเย็นฉันจึงผล็อยหลับไปตรงมุมหนึ่งภายในบ้านหลังเล็กของคีรูฟ ทั้งที่ยังไม่ได้เล่าอะไรให้เจ้าของบ้านฟังทั้งนั้นว่าทำไมจึงมาที่นี่ ตั้งใจว่าจะเล่าและกะจะขอร้องเขาคืนนี้ คีรูฟคือคนที่ฉันเคยมีบุญคุณ เขาคงหาทางช่วยเหลือให้ข้ามฟากไปยังพรมแดนของประเทศเพื่อนบ้านสำเร็จ ที่นั่นไม่มีกฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนและเป็นสวรรค์ของเหล่ามิจฉาชีพที่ มักหนีไปกบดานซ่อนตัว ฉันจะไปชุบตัวที่นั่นพร้อมทรัพย์สินที่ยักย้ายไปรอท่า ซึ่งมันมากพอให้เริ่มต้นชีวิตใหม่ รวมทั้งวิชาชีพที่มีติดตัวนี้ด้วย
รู้สึกตัวอีกทีเมื่อค่ำไปแล้วและทั้งบ้านก็เงียบสนิท แปลกใจที่คีรูฟไม่จุดตะเกียงให้แสงสว่าง บ้านทั้งหลังเวลานี้จึงมืดทึบและเงียบเชียบไร้ผู้คน คีรูฟกับลูกชายไปไหนกันหมด อาจเป็นไปได้ว่าพากันออกไปข้างนอกแล้วยังไม่กลับมา แต่ก็เกิดฉุกใจคิด...แล้วพวกเขาไปไหนกันล่ะ
ด้วยความสงสัยผสมกับเริ่มหวาดระแวงฉันจึงผุดลุกขึ้นยืน เมื่อสายตาชินกับความมืดและอาศัยแสงสว่างจากจันทร์ดวงโตข้างนอกหน้าต่างทำ ให้พอมองเห็นสิ่งต่าง ๆ รอบตัวได้บ้าง จึงสาวเท้าตรงไปยังประตูหน้าบ้านที่ปิดสนิท แง้มเปิดมันออก
พลันนั้นก็ต้องชะงักมือค้างก่อนรีบงับบานประตูปิดลงตามเดิมพร้อมกับใจหายวาบ ต่อภาพที่เห็น ครั้นตั้งสติได้จึงค่อย ๆ แง้มบานประตูไม้ออกดูใหม่เพียงนิด พอให้ใช้ตาแอบส่องดูได้
ภาพชายสามคนกำลังยืนพูดคุยปรึกษาหารืออะไรบางอย่างอยู่ข้างนอกบ้านไม่ไกลนัก แสงจันทร์สาดส่องทำให้เดาได้ไม่ยากว่าร่างคนเหล่านั้นคือคีรูฟกับลูกชายและ เบดูอา ในมือของหนุ่มผมดำถือสิ่งของเรืองแสงบางอย่างอยู่ในมือ และทั้งหมดกำลังก้มลงมองดูมัน เจ้าสิ่งนั้นคือโทรศัพท์มือถือ!
บัดซบ! ถึงแม้หลบหลีกเจ้าหน้าที่บ้านเมืองมาได้จนถึงชายแดน และอีกนิดเดียวก็จะข้ามฟากหนีพ้นเงื้อมมือกฎหมายไปได้อยู่แล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าเจ้าเครือข่ายใยแมงมุมจะชักใยจนครอบคลุมไปทั่วแม้ในหมู่บ้าน ห่างไกลแร้นแค้น ข่าวคราวของแพทย์หญิงคนดังลงมือสังหารโหดสามีดอกเตอร์กับหญิงชู้ที่ทางการ กำลังตามล่าตัวอยู่ พร้อมเงินรางวัลค่าหัวล่อใจจากทั้งทางการและญาติของผู้ตายทั้งคู่ ซึ่งรวมกันแล้วคงมากโข ข่าวจึงปรากฏหราส่งมาตามไลน์อากาศกระทั่งถึงที่นี่จนได้ และบัดนี้คนสารเลวทั้งสามก็กำลังปรึกษากันเพื่อการนั้นอย่างคร่ำเคร่ง
ฉันล้วงเอาอาวุธคู่ใจจากกระเป๋าเสื้อขึ้นมาถือ แง้มประตูให้กว้างอีกนิดแล้วแทรกตัวออกมา อาศัยความมืดกำบังตัวลัดเลาะไปตามเงาไม้ กระทั่งเข้าใกล้ร่างทั้งสาม กุญแจรถสมรรถภาพแรงอยู่ที่คีรูฟ ต้องแย่งเอามาให้ได้เสียก่อนแล้วขับหนีไปเพื่อหาทางข้ามฟากเอาใหม่ในหนทาง ข้างหน้า ช่วงแคบของแม่น้ำคงพอมี
และแล้วก็ได้โอกาสดีเมื่อเบดูอากับอิซาสผละไปคนละทาง เชือกเส้นใหญ่ในมือของคีรูฟทำให้เจ็บจี๊ดถึงขั้วหัวใจ...ไอ้คนทรยศ
คีรูฟหันหลังเดินกลับบ้าน ฉันเล็งปืนตามร่างล่ำสันของเขา รอจนผ่านหน้าไปจนเกือบถึงประตูบ้านจึงลั่นไก
ฟุบ!
ทันทีที่ร่างเจ้าคนทรยศล้มคว่ำลงฉันก็ปรี่เข้าใกล้ พลิกตัวเขาให้หงายขึ้นเพื่อเสาะหากุญแจรถ พลันมือใหญ่ของเขาก็ตะปบเข้าที่ข้อมือฉัน
“หมอ...รีบ หนี ไป” เสียงกระท่อนกระแท่นของเขาร้องบอกเมื่อดวงตาเบิกโตคู่นั้นเห็นหน้าฉันถนัด
“เบ ดูอา ทรยศ...มันคงรู้แล้วว่าเราจะช่วยหมอ...มันยิงผมแล้วจะไปบอกให้ คน มาจับหมอ ”
อะไร...ฉันชะงัก
“ผม...ติดต่อเรือได้...ลงไปที่ตลิ่ง...หลังบ้าน อิซาสจะพาหมอข้ามฟากไป มันลืมเชือกผูกเรือ เอานี่ไปให้มันด้วย...รีบไป ไม่ต้องห่วงผม”
อะไร...เขาพูดถึงเรื่องอะไรกัน ฉันถามตัวเองในใจอย่างมึนงง
คีรูฟ...ฉันประคองตัวเขาขึ้นมา ยื่นหน้าเข้าไปใกล้พลางเรียกชื่อเขาเบา ๆ
คีรูฟ...เรียกเขาซ้ำอีกทีเพราะอยากรู้ว่าทั้งหมดนี้หมายความว่าอย่างไร ฉันเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า...ทว่าเปลือกตาคู่นั้นของเขาปิดสนิทลงแล้ว เขาไม่ตอบรับและคนทรยศก็ไม่ได้อธิบายอะไรให้ได้ยินอีก
ฉันยังนั่งประคองร่างคีรูฟมึนงงอยู่อย่างนั้น ตราบจนรู้สึกว่าเชือกที่ตกอยู่ข้างตัวกำลังถูกใครบางคนหยิบมันขึ้นมาพันธนาการรอบตัวฉันอย่างแน่นหนา...
จบบริบูรณ์