บทที่ 1
ย้อนกลับไปยังวันที่สิบสองธันวาคม ปีที่แล้ว นั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมด.....
“ไม่จริง...มันไม่ใช่เรื่องจริงใช่ไหม บอกฉันมาซิ...บอกฉันมา รักฉันบ้างหรือเปล่าเคยรักฉันบ้างไหม หา...เคยไหม ถ้าคุณรักฉันคุณห้ามตายนะ....ฮือๆ...ฮือๆๆ อย่าตายนะ คุณอย่าตายนะ ฉันไม่ยอม...ฉันไม่ยอม”
ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก ตื่นจากฝันร้ายที่ฉันไม่รู้ว่า มันคืออะไร ฉันนอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงอันอ่อนนุ่ม และล้อมรอบไปด้วยตุ๊กตานานาชนิด ฉันฝันถึงอะไร ในความฝันฉันพูดอยู่กับใคร ใครกันที่กำลังจะตาย ใครคนนั้นต้องมีความสำคัญต่อฉันมากแน่ๆ ใช่..ต้องสำคัญกับฉันมากแล้วเขาเป็นใครกัน...
ฉันยกมือขึ้นลูบหน้าก็ต้องพบกับรอยน้ำตาที่แห้งกรังติดอยู่บนใบหน้า ฉันประหลาดใจนิดๆ นี่ฉันร้องไห้เหรอเนี่ย ฉันร้องไห้ทำไม แล้วฉันร้องไห้ให้กับใคร
ฉันลุกขึ้นมานั่งกอดหมอนราวกับหาที่พึ่งแล้วก็จมอยู่กับความคิดในเรื่องความฝันนั้นอีกครั้ง..จนกระทั่งเช้าวันใหม่ ทุกวันฉันออกจากอพาร์ทเม้นท์ตั้งแต่เช้ามืดเพื่อคอยเก็บเกี่ยวเหตุการณ์ และความรู้สึกดีๆ ที่เกิดขึ้นให้มาเป็นต้นทุนสำหรับความฝันดียามค่ำคืน แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องการ ฉันฝันร้ายอีกครั้ง..แน่นอน มันยังคงเป็นเรื่องๆเดิม เรื่องที่ฉันไม่รู้ และไม่อาจรู้ได้ ฉันรู้สึกเหนื่อยที่ต้องมาเผชิญหน้ากับความฝันที่..ที่แย่จริงๆ ฉันไม่กล้าเล่าเรื่องความฝันบ้าๆบอๆนี้ให้ใครฟังแม้แต่เพื่อนสนิทที่มหาวิทยาลัย
“สามวันแล้วนะ” ฉันตะโกนดังลั่นในห้องน้ำ (หวังว่าห้องข้างๆคงไม่ได้ยินนะ) “พอกันที ฉันไม่กลัวนายหรอก เอ๊ย..ไม่ใช่ ฉันไม่กลัวแกหรอก ไอ้ฝันร้าย ฝันบ้าฝันบอ คืนนี้ฉันไม่มีทางฝันแน่ ทำไมเหรอ ฮา ฮา ฮา ฉันจะไม่นอน ฉันจะดูทีวีจนถึงเช้าและฉันจะได้ไม่ต้องมานั่งร้องไห้ ไม่ต้องมารู้สึกหดหู่อย่างที่เป็นอย่างทุกวันนี้” ฉันตะโกนใส่ฝักบัวในห้องน้ำก่อนที่จะเอื้อมมือไปตีมันราวกับว่ากำลังโต้เถียงกับใครสักคน
สี่ชั่วโมงผ่านไป....หลังจากที่ฉันจัดการกับอาหารเย็นอันจืดชืดที่ไปซื้อมาเมื่อตอนเย็นแถวๆ ย่านเรซซ์อเวนิว หนังท้องฉันก็เริ่มตึงหนังตาก็เลยค่อยๆหย่อนลงเรื่อยๆ “หาว...หาว...เอ๊ย...ตื่นซิ” ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมา “หาว..ฉันเผลอหลับไปได้ไงเนี่ย ดูทีวีดีกว่าจะได้ไม่หลับ หาว....“ ฉันเดินไปหาวไปขณะตรงไปที่กลางห้องเพื่อเปิดทีวีดู “หาว...ช่องสามสิบสอง รายการอะไรหว่า...โอ๊ะ...ทอล์กโชว์รายการโปรดนี่ อุ๊ยๆ..เรเน่ เซลเวเกอร์มาด้วย สวยจังเลย หาว...” ฉันฝืนนั่งดูไปพักใหญ่จนกระทั่งมารู้ตัวอีกทีก็...เช้าแล้ว
“อื้ม..อื้ม..” เสียงฉันขณะกำลังนอนบิดขี้เกียจอยู่บนเตียง เช้าแล้วนี่ ฉันคิดในใจ
“เอ..เมื่อคืนนี้เราเผลอหลับไปนี่นา แย่จริงๆ แต่เอ๊ะ..เมื่อคืนนี้..ฉันไม่ได้ฝันนี่.. ฮาๆๆ ดี..สมน้ำหน้าไอ้ฝันร้าย สมน้ำหน้ากะลาหัวเจาะ แกทำอะไรฉันไม่ได้ ฮาๆๆ”
ฉันรื่นเริงบันเทิงใจเป็นพิเศษหลังจากที่มั่นใจและแน่ใจว่าเมื่อคืนนี้ไม่ได้เผชิญกับฝันร้ายอย่างที่หลายๆ คืนประสบมา และฉันก็ลืมเรื่องราวต่างๆ ของฝันร้ายทันที “อะฮ้า..เช้านี้ท้องฟ้าแจ่มใสซะด้วยเหมาะแก่การออกไปเดินเล่นเป็นที่สุด“
ฉันรีบลุกขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็วเพื่อไปขัดสีฉวีวรรณในห้องน้ำ ระหว่างทางที่ไปหยิบผ้าขนหนูสายตาฉันก็เหลือบไปที่ปฏิทินแขวนรูปวัวเคี้ยวหญ้าที่ฉันตั้งใจทำให้เพื่อนแต่มันไม่ยอมเอา วันนี้..สิบสองธันวานี่ ต้องแวะไปที่หอสมุดกลางซักหน่อยแล้ว ว่าแล้วฉันก็รีบวิ่งเข้าห้องน้ำไปทันที
………………………………………………………...
“สวัสดีค่ะ...ป้าลิซ” ฉันแอบโผล่เข้ามาข้างในเคาน์เตอร์ยืม - คืนหนังสือเพื่อทักทายบรรณารักษ์ใจดีประจำหอสมุดอย่างประชิดตัว เธอร้องด้วยความตกใจก่อนหันหน้ามายิ้มทักทายฉันพร้อมกับบอกให้ไปดูหนังสือล็อตใหม่ที่ทางหอสมุดพึ่งสั่งซื้อเข้ามาทางล็อกที่แปด ว่าแล้วฉันก็ขอบคุณป้าแอลิซาบรรณารักษ์คนนั้น
“รู้ใจหนูจริงๆ” ฉันกล่าวยิ้มๆ ก่อนกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังล็อกที่แปดตามที่ป้าลิซบอกมา ปกติแล้วล็อกนี้ไม่เคยอยู่ในความสนใจของฉันเพราะว่า มันจะอัดแน่นไปด้วยเทพนิยาย นิทานเวทมนตร์ เรื่องราวที่น่าพิศวงต่างๆ แต่วันนี้ทำไมใจของฉันมันถึงได้ลอยไปยังล็อกที่แปดทันทีก่อนที่ตัวจะไปถึงซะอีก
“อยู่ไหนน้า...หนังสือล็อตใหม่ที่ว่า” ขณะที่ฉันก้มๆเงยๆดูหนังสืออยู่ สายตาฉันก็ไปสะดุดอยู่กับสมุดบันทึกเล่มหนึ่งที่ถูกเบียดด้วยนิยายมนตราเล่มยักษ์ บันทึกเล่มนี้มันมีสีชมพูระเรื่อแบบกลีบกุหลาบ ตรงขอบปกมีลายหัวใจเล็กๆ สีแดงอยู่ทั่วทั้งขอบบนและล่าง แนวสันปกมีอักษรนูนสีทองเขียนด้วยลายมือภาษาอังกฤษแบบโบราณว่า ลอร์ดวลาดิเมียร์มอร์ลิส หลังจากที่ได้อ่านชื่อนี้แล้วฉันก็ยิ้มขำๆพลางนึกในใจว่า แหม..ชื่อยังกับท่านลอร์ดในหนังเลย แต่ไม่รู้ว่า..ตานี้จะเป็นท่านลอร์ดใจดี หรือว่าจะเป็นลอร์ดชั่วๆ แบบลอร์ดโวลเดอเมอร์ กันแน่ แต่พอฉันเปิดพลิกบันทึกเพื่อดูภายในเล่มปรากฏว่า มีแต่หน้าว่างๆ ทั้งนั้น ไม่มีร่องรอยของตัวหนังสือใดๆ เลย ถึงแม้ฉันจะรู้สึกประหลาดใจกับบันทึกเล่มนี้มาก แต่ก็มีบางอย่างบางความรู้สึกที่ทำให้ฉันถูกชะตากับมันมากกว่าที่จะตัดใจเก็บเข้าที่เดิม ฉันจึงได้หยิบมันติดมือมาด้วยแล้วรีบเร่งเดินไปหาบรรณารักษ์ด้วยอาการที่ราวกับว่า กลัวจะมีคนมาชิงขอบันทึกเล่มนี้ตัดหน้าฉันไป
“คุณป้าค่ะ...สมุดบันทึกเปล่าเล่มนี้หนูเห็นที่ล็อกแปด มันสวยถูกใจหนูมาก ป้าลิซจะขายให้หนูได้ไหมค่ะ” ฉันพูดพลางโชว์บันทึกให้เธอดู เธอมีอาการอิดเอื้อนอยู่พักใหญ่เนื่องมาจากทางหอสมุดไม่มีนโยบายที่จะขายหนังสือหรืออะไรก็ตามภายในหอสมุดให้แก่บุคคลภายนอก และเธอก็อธิบายให้ฉันฟังถึงนโยบายนี่ซะยกใหญ่...แต่...ฉันไม่ยอม และยังคงปักหลักอ้อนวอนเธอต่อ และแล้ว..เธอก็ตอบตกลงในที่สุด ฉันยิ้มกว้างให้เธอพร้อมกับพึมพำขอบคุณอย่างไม่หยุดปาก และอีกหลายวันต่อมาเธอได้มาบอกกับฉันหลังจากนั้นว่า วันที่ฉันได้รับบันทึกเล่มนั้นไปดูท่าทางฉันมีความสุขมากจริงๆ
หลังจากที่ได้บันทึกมา ฉันก็ตั้งใจ และปฏิญาณกับตัวเองว่า จะบันทึกสิ่งที่พบเห็นมาในแต่ละวันลงไปในสมุดบันทึกเล่มนั้นให้ได้ ขณะที่ฉันนั่งละเลียดจิบกาแฟหอมกรุ่นที่ร้านกาแฟชื่อดังอยู่นั้น ฉันก็หยิบเอาบันทึกขึ้นมาพร้อมกับเริ่มลงมือเขียนหน้าแรกของบันทึกด้วยปากกาหมึกซึมสีดำว่า บันทึกลับ..เชอรีเบล แต่หลังจากที่คิดทบทวนกลับไปกลับมาแล้วก็รู้สึกว่า ชื่อนี้ดูท่าจะไม่เวิร์ก ออกแนวซ่องสุมกำลังหรือไม่ก็คงจะเป็นบันทึกของฆาตกรโรคจิตที่จดบรรยายวิธีการชำแหละเหยื่อ ไม่ไหวๆ...เอาเป็น บันทึก...เชอรีเบลดีกว่า หลังจากที่พูดเองเอ่อเองอยู่นานสองนานฉันก็ตกลงใจว่า จะใช้ชื่อบันทึกว่า บันทึก..เชอรีเบล สักพัก “เอ..เหมือนขาดอะไรไปน่ะ อ๋อ..“ ว่าแล้วฉันก็เขียนชื่อใครคนหนึ่งต่อจากชื่อของฉัน และเป็นใครไปไม่ได้นอกจากชื่อของลอร์ดที่ฉันเจอในบันทึกเล่มนี้ สุดท้ายชื่อของบันทึกเล่มนี้ก็กลายเป็น บันทึก...เชอรีเบล & วลาดิเมียร์ มอร์ลิส โดยที่ฉันไม่รู้เลยว่า ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าชื่อของคนคนนี้จะประทับอยู่ในใจของฉันตลอดกาล