สายฝนแรกของฤดูเริ่มโปรยปราย เสียงฟ้าร้องครืนๆ ราวกับเสียงร่ำไห้ เมฆฝนก่อตัวเป็นก้อนดำทะมึน คงอีกไม่นานความมืดจะเข้าปกคลุมทั่วท้องฟ้า ใบไม้แห้งสีเหลืองที่เรียงรายแน่นิ่งบนลานดินถูกลมพัดขึ้นปลิวว่อนกระจัดกระจาย
ภายใต้ท้องฟ้าดำทะมึน ปรากฎคฤหาสน์หินอ่อนสีขาวหลังใหญ่ดูโอ่อ่าสง่างาม ตั้งบนเนื้อที่หลายสิบไร่ ในขณะนี้ดูอึมครึม เศร้าโศกไม่ต่างจากสภาพอากาศ ตัวคฤหาสน์ล้อมไปด้วยสนามหญ้ากว้างขวางที่ ข้างๆ เป็นต้นไทรคู่ขนาดใหญ่แผ่กิ่งก้าน ทอดร่มเงาไปกว่าครึ่งคฤหาสน์ ด้านหลังมีบ่อบาดาลและหอคอยขนาดย่อม หน้าต่างคฤหาสน์ปิดทุกบาน เว้นเสียแต่ประตูบานใหญ่ด้านหน้า ที่เปิดราวกับรอคอยการจากไปและมาเยือนของใครบางคน ด้านหน้าของบ้านปรากฎกำแพงหินศิลาแลงขนาดใหญ่ พร้อมป้ายโลหะสลักชื่อ อัครเดชโยธิน
"ภูมิ ขึ้นไปตามคุณพ่อมาทานข้าวหน่อยสิจ๊ะ สายมากแล้ว"
"ครับแม่" เด็กชายหน้าตาเกลี้ยงเกลาในชุดนักเรียนเรียบร้อยตอบรับ วิ่งขึ้นบันไดไปชั้นบน เพื่อปลุกบิดาตามคำสั่งมารดา
หญิงสาวกวาดสายตาไปรอบๆ บ้านด้วยแววตาหม่นหมอง แล้วถอนหายใจเบาๆ ด้วยความเศร้าโศก นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่หล่อนจะได้เห็นบ้านหลังนี้ บ้านที่หล่อนและสามีร่วมกันสร้างด้วยน้ำพักน้ำแรง หลังจากที่สามีแจ้งข่าวร้ายให้หล่อนทราบเมื่อคืน
นาฬิกาเรือนใหญ่สไตล์ฝรั่งเศษบอกเวลาแปดนาฬิกา พระอาทิตย์เริ่มสาดแสงร้อนแรงขึ้น แม้จะมีเพียงแสงน้อยนิดที่เล็ดลอดผ่านผ้าม่านเข้ามา แต่ภายในบ้านกลับสว่างไสวด้วยโคมไฟคริสตัลขนาดใหญ่ที่ห้อยระย้าอยู่บนเพดาน แสงไฟสาดกระทบเครื่องครัวบนโต๊ะอาหาร ดูหรูหรางดงามบอกได้ถึงรสนิยมของเจ้าของบ้านได้เป็นอย่างดี
ก๊อกๆๆ เด็กชายเคาะประตู
"พ่อครับ ทานข้าวได้แล้วครับ" เด็กชายร้องเรียกบิดาที่หน้าห้องอยู่นาน ไม่มีเสียงตอบรับออกมาแม้แต่น้อย
"พ่อครับ ทานข้าวได้แล้วครับ" เด็กชายส่งเสียงเรียกอีกครั้ง ทว่าไม่มีเสียงตอบรับเหมือนเคย เขาจึงผลักประตูห้องเข้าไปอย่างช้าๆ และเผ่วเบา
ภายในห้องมีแสงสลัวจากโคมไฟ เด็กชายกวาดสายตามองหาบิดาไปทั่วห้อง แต่กลับพบเพียงเตียงนอนว่างเปล่า เครื่องเล่นแผ่นเสียงยังคงเล่นเพลงเดิมซ้ำไปซ้ำมา แก้วไวน์ที่ว่างเปล่าใบหนึ่งวางเคียงข้างขวดไวน์สองสามขวด
มีแสงสว่างลอดมาจากประตูห้องน้ำที่เปิดแง้มไว้ เด็กชายยิ้มร่าเดินไปที่ประตู สิ่งที่เขาพบไม่ใช่ภาพบิดาที่กำลังโกนหนวด หรือแต่งตัวอย่างเช่นทุกวัน หากเป็นขาคู่หนึ่งลอยสงบนิ่งกลางอากาศใต้ราวผ้าม่านอาบน้ำ สายตาเด็กน้อยกวาดขึ้นไปตามขาทั้งสองจนประสานเข้ากับดวงตาเบิกโพลงของเจ้าของร่างที่จ้องมาทางเขา
"พ่อ พ่อครับ"
ชายหนุ่มตะโกนลั่น ก่อนสะดุ้งตื่นหลังจากเอนตัวนอนได้ไม่กี่ชั่วโมง นาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืน แม้ว่าอากาศภายนอกภายนอกจะเหน็บหนาว แต่เม็ดเหงื่อกลับผุดเต็มร่าง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาสะดุ้งตื่นกลางดึกเพราะฝันร้าย ภาพการตายของบิดายังตามหลอกหลอนเขาทุกคืนแม้เวลาจะผ่านมาถึงยี่สิบปีแล้วก็ตาม
เขาลุกจากเตียง กวาดสายตามองไปรอบๆ ห้อง ภายในห้องมีแต่ความมืดมิด มีเพียงแสงเล็กๆ ที่ลอดผ่านกระจกเข้ามาภายใน ทำให้พอมองเห็นสิ่งต่างๆ อยู่บ้าง เขาขยับเสื้อผ้าให้กระชับมากขึ้น ก่อนจะลุกไปกดสวิตซ์ไฟเชื่องช้า
ห้องพักขนาดกะทัดรัดไม่กี่ตารางวา ไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรมากมาย นอกจากเตียงและโต๊ะทำงาน บนโต๊ะมีหนังสือภาษาอังกฤษ "การจัดการธุรกิจและการลงทุน" วางเรียงรายเป็นระเบียบถึงสองสามตั้ง ข้างๆ เป็นหนังสือเดินทาง พร้อมตั๋วเครื่องบินแบบเที่ยวเดียว ถ้วยกาแฟวางระเกะระกะอยู่ที่ขาโต๊ะ ที่ผนังห้องทั้งสี่ปรากฎชิ้นส่วนหัวข้อข่าวภาษาไทย "หิรัญภักดี ผงาดเป็นผู้นำเข้าผ้าไหมใหญ่ที่สุดในเอเชีย" "องอาจเผยยอดขายหิรัญภักดีพุ่งกระฉูดเกินเป้า" ฯลฯ
ชายหนุ่มขยับตัวด้วยท่าทีอ่อนล้า เขาพับเสื้อผ้าก่อนจัดมันลงไปในกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่
"ลาก่อน.. อเมริกา"
เขารำพึง ก่อนจะวางเสื้อตัวสุดท้ายเข้าที่ รูดซิปกระเป๋าด้วยความระมัดระวัง
เสียงฝีเท้าของชายหญิงคู่หนึ่งย่ำไปตามพื้นฟุตบาทที่ปกคลุมด้วยหิมะ ทอดตัวยาวราวกับพรมสีขาวสุดลูกหูลูกตา ชายหญิงใบหน้าแดงก่ำ หญิงสาวหัวเราะคิกคัก ยกเหล้าในขวดขึ้นดื่ม ก่อนจะส่งให้ชายหนุ่มข้างๆ ที่ยื่นมีมารอรับอยู่แล้ว ชายหญิงหัวเราะดังลั่นพร้อมๆ กัน ก่อนจะวิ่งหลบไปในซอยเล็กๆ ข้างทาง
ใต้เงาของหอนาฬิกายักษ์ที่ตั้งตระหง่าน ท้าทายสายลมในค่ำคืนที่หนาวเหน็บ หนูสีดำกระโดดออกจากกองขยะที่มันกำลังขุ้ยหาอาหารอยู่บนถนนสายใหญ่ของนครลอนดอน ตามด้วยแมวขนยาวสีขาวที่วิ่งไล่ตามไปติดๆ
กริ๊ง กริ๊ง
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในกลางดึก ปลุกหญิงสาวที่กำลังหลับใหลให้ตื่นด้วยความรุ้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย หญิงสาวขยี้ตา ก่อนขยับตัวไปรับโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างๆ หัวนอน
"Hello, Risa speaking" หญิงสาวตอบรับด้วยสำเนียงอังกฤษชัดเจน
"นั่นคุณลุงมนตรีเหรอคะ ริสาพูดสายค่ะ" หญิงสาวทำหน้าแปลกใจระคนกังวล คิดว่าต้องมีเรื่องไม่ดีแน่ ลุงของหล่อนจึงติดต่อมาหาในเวลานี้
"โอ จริงเหรอคะ เมื่อไรคะ" หญิงสาวตาเบิกโพลงด้วยความตกใจไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ปากเรียวบางสั่นระริก ก่อนดวงตาคู่สวยจะเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา
"ค่ะ ริสาทราบค่ะ ริสาจะไปให้เร็วที่สุดค่ะ" ไม่ทันจบการสนทนา มือท้ังสองของหญิงสาวหมดเรี่ยวแรง โทรศัพท์หล่นลงบนพื้น หล่อนซบหน้าลงกับหมอน ปล่อยโฮออกมาราวกับคนเสียสติ น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด ภายใต้อากาศที่หนาวเหน็บ แว่วเสียงนาฬิกาตีบอกเวลาเที่ยงคืนดังมาแต่ไกล แต่เสียงนั้นถูกเสียงร่ำไห้ด้วยความเสียใจของหญิงสาวกลบสิ้น
"พ่อกับแม่ของหนูตายแล้วนะ พวกเขาขับรถชนประสานงากับรถสิบล้อ ตายคาที่ ลุงกำลังจะไปรับศพพวกเขาที่โรงพยาบาลพรุ่งนี้ พ่อของหนูเขียนพินัยกรรมไว้ให้หนูเป็นประธานของบริษัทหิรัญภักดีต่อจากเขา ลุงขอให้หนูกลับมาที่นี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เราจะได้จัดการกับพินัยกรรมที่เขียนไว้"
เสียงของลุงมนตรีดังกึกก้องอยู่ในหัวของมาริสา หลังจากที่หล่อนคุยกับเขาเมื่อคืน หญิงสาวทำใจให้เชื่อความจริงยาก หล่อนหวังว่านี่จะเป็นเพียงแค่ฝันร้ายที่จะหายไปทันทีที่ตื่น
เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ