กล่าวนำ...นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายที่ผู้แต่ง แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง..มิได้มีเจตนาจะบิดเบือนประวัติศาสตร์ชาติแต่อย่างใด..บุคคลในเนื้อเรื่องอาจมีบุคคลจริงและอิงประวัติศาสตร์เพื่อความสนุกสนานและให้เห็นภาพเด่นชัด..หากเกิดการผิดพลาดประการใด ต้องกราบขออภัย ณ ที่นี้ด้วย..
"พ่อเฒ่า ท่านคิดอ่านการใด ไฉนจึงคิดช่วยผู้ไม่รู้หัวนอนปลายตีน..มันผู้นี้น่าสงสัยยิ่งนัก..ช่วงนี้บ้าน เมืองหน้าสิ่วหน้าขวาน
ข้าเกรงว่ามันคงเป็นไส้ศึกเป็นแน่..ข้าว่า.. กุดหัวมันให้ตายเสียเถิด..ท่านผู้เฒ่า.."เสียงที่พันได้ยินนั้น..น้ำเสียงห้าวๆ ..ดุดัน พูด
ออกมาด้วยภาษาแปร่งๆออกโบราณ พันสงสัยมันพยายาม ที่จะพลิกกายแต่มันรู้สึกปวดร้าวไปทั้งตัว..มันครุ่คิด..".รึว่าเราหลับฝัน
ไป.." พันมันพยายามฝืนพยุงกาย ลุกขึ้นนั่ง..อีกครั้ง..แต่มันกลับรู้สึกปวดหัวอย่างรุนแรงเหมือนหนึ่งว่าหัวของมันจะระเบิดออกเป็น
เสี่ยงๆ มันไม่สามารถพยุงกายลุกได้ "เราเป็นอะไรไปหรือนี่.." มันพยายามจะคิดทบทวนเรื่องราว..แสงแดด ที่ส่องแยงตาจน
มันต้องหยีตาค่อยๆเผยอเปลือกตาลืมขึ้น ภาพที่เห็นลางๆค่อยๆชัดเจนขึ้น..กลุ่มชายฉกรรจ์ มีอยู่ห้าคนนั่งล้อมวงหารือกับชายชรา
ลักษณะคล้ายผู้นำ.."..กูเชื่อตามคำทำนายของผีฟ้าว่าจะมีคนมาจากทางไกล..มาช่วยพวกเราให้พ้นภัย ..เอาละหากพวกมึงมิไว้ใจ
มัน กูนี่แหละขอเอาหัวของกู.. เป็นประกันหากแม้นมันเป็นไส้ศึกแล้วไซ้ร์ กูจักมอบหัวแก่ๆที่ไร้ค่ามอบแก่มึง ไอ้หนานคง.."
เสียงของท่านพ่อเฒ่าแม้ฟังดูชราภาพบ้างแต่แฝงด้วยอำนาจ น่าเคารพยำเกรงยิ่งนัก พันกลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผาก มันสุดแสน
จะยากเย็นยิ่งนัก..ตามร่างกายอ่อนร้าไร้สิ้นเรี่ยวแรง..."..มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่..แล้วเราอยู่ที่ไหน..คนพวกนี้คือใครกัน..ทำไมเราจึง
รู้สึกว่าเราเหมือนคุ้นเคยกับคนเหล่านั้น..แต่นึกไม่ออกว่าพบเห็นที่ไหน.."พันครุ่นคิด..มันพยายามพลิกกายอีกครั้ง..พลันมีมือที่ขาว
ผ่อง นิ้วเรียวงามดั่งลำเทียนอีกทั้งอ่อนนุ่มผลักมันเบาๆบริเวณหน้าอก พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงกังวลห่วงใย.."..เจ้านอนพักสัก
ประเดี๋ยวเถิดเพิ่งรีบร้อนลุกขึ้น.เจ้าเพิ่ง จะรู้สึกตัว อย่ารีบร้อนลุกเลย ข้าจะไปเอายามาให้.." นางกล่าวจบแล้วนางก็หันไปทางกลุ่ม
ชายฉกรรจ์ที่หารือเบื้องล่าง..แล้วร้องบอกกลุ่มคนเบื้องล่าง.. "ท่านพ่อใหญ่แสงหล้า หนุ่มผู้นี้มันรู้สึกตัวแล้วประเดี๋ยวข้าจะไปเอา
ยาและน้ำมาให้มันกินสักประเดี๋ยว.." หล่อนพูดพลางลุกเดินออกไปหล่อนแต่งกายด้วยผ้าซิ่นที่ทอด้วยผ้าฝ้ายสีมอๆมองคล้ายผ้า
ซิ่นตีนจกของไทยทรงดำก็ปาน ใช้ผ้าผืนเดียวพันกายผูกเป็นปม ดั่งสาวหลุดจากวรรณคดีอะไรทำนองนั้น.. ทุกคนที่นี่แต่งกาย
แปลกๆผู้ชายไว้หนวดยาวครึ้มไม่สวมเสื้อหน้าอกสักอักขระขอมโบราณน่าเกรงขาม ทุกคนดูล่ำสันบึกบึนกล้ามเป็นมัดๆ แววตา
กังวล แฝงด้วยแววแห่งความมุ่งมัน พันขมวดคิ้วที่ดกหนาครุ่นคิด.."เราฝันไปหรือเปล่า เรามาอยู่ในยุคไหนกันแน่ หรือ
เรามาอยู่ในกองถ่ายหนังถ่ายละคร.." นึกทบทวนเหตุการณ์ต่างที่เกิดขึ้น พยายามนึกอย่างไรก็นึกไม่ออกยิ่งนึกยิ่งทำให้มันปวดหัว
อย่างรุนแรง มันจำได้แต่เพียงชื่อพัน เป็นทหารทำงานเกี่ยวกับการเก็บกู้ทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรม...แล้วเหตุใดมันจึงมาอยู่
ณ.ที่แห่งนี้ แล้วที่นี่คือที่ไหน ทำไมผู้คนที่นี่จึงดูแปลกตาไม่ว่าสำเนียงการพูดจา การแต่งกาย ดูเหมือนละครประวัติศาสตร์
ย้อนยุค..เราคงฝันไปแน่ เราครุ่นคิดไปพลางมองสำรวจบริเวณรอบๆ ร่างกายเรายังอยู่ในชุดเครื่องแบบ บนร่างกายมีผ้าห่มที่ทอ
จากผ้าฝ้ายสีมอๆยัดด้วยฝ้ายหนาห่มห่อหุ้มร่างกายที่เหน็บหนาวสั่นสะท้านไปทั้งกาย เรานอนบนเรือนยกเสาสููงหนุนหมอนไม้ซึ่ง
รองด้วยผ้าฝ้ายพอไม่รู้สึกเจ็บหัวเวลานอน ผู้เฒ่าพร้อมกลุ่มชายฉกรรจ์ที่ล้อมวงคุยกันเดินขึ้นมาบนเรือน พร้อมหญิงสาวร่างกาย
แบบบางสมส่วนเดินถือชามคล้ายทำจากกะลามะพร้าวมีควันลอยล่องส่งกลิ่นฉุฉกึกคล้ายน้ำต้มยาหม้อ หล่อนนั่งลงข้างกายพัน
พร้อมยกชามกะลามะพร้าวที่มีน้ำต้มควันลอยล่อง "เอา..เจ้าค่อยๆยกตัวลุกขึ้นกินยาเสียหน่อยจะได้หาย อ้ายหนานมั่นมาช่วย
ข้าเจ้ายกประคองอ้ายคนนี้ขึ้นกินยาที " ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาบึกบึนสักลายพร้อยเต็มตัว..อายุราว 30 ปี รีบกุรีกุจร...เข้ามา
ประคองพันให้ลุกนั่ง พลางมีชามกะลาจ่อที่ปากอันแห้งผากของพันแล้วกล่าว.. "กินยาเสียก่อนเถิดอ้าย จะได้หายเร็วๆ อ้ายเป็น
ไข้ป่า ปล่อยไว้อาจไม่รอด กินเสียให้หมดนี่เลยยากำลังอุ่นๆ พ่อเฒ่าท่านปรงต้มกับมือเชียว" พัน..มันอ้าปากซดน้ำยาหม้อ
เข้าไป..เต็มอึก แทบจะพ่นยาออกจากปากเสียให้ได้ มันขมเผื่อนติดลิ้นยิ่งกว่าบรเพ็ดเสียอีก มันรู้สึกพะอืดพะอมขมที่ปากและ
ลำคอ.. จนไม่อยากจะดื่มยาถ้วยนี้เลย "อีกหน่อยเถิดอ้าย อดทนเป็นชายชาตรีกลัวอันใดเล่ากับรสเฝื่อนฝาดของยา" หญิงสาว
กล่าวยิ้มดันชามกะลาเข้าปากอีกครั้ง สาบานได้มันขมสุดๆยิ่งกว่าขม..รสเฝื่อนขมและเค็มปะแล่ม พันมันกลั้นใจฝืน..อ้าอมกลืน
ลงคอจนหมดชาม..ที่ว่ายาควินินที่เขาว่าขมยังคงยอมแพ้ศิโรราบ...ไม่นานเพียงชั่วอึดใจเหงื่อเม็ดเป้งผุดเต็มใบหน้าและร่างกาย
จากอาการหนาวสั่นเทิ้มเริ่มอบอุ่นร้อนขึ้น. อากาปวดหัวแทบระเบิดหายแทบปลิดทิ้ง คอแห้งผากเกิดความชุ่มชื่น พันกลืนน้ำลาย
ลงคออีกครั้ง ยังมีอาการขมเฝื่อนอยู่บ้างแต่ชุ่มคอ พันนั่งเหยียดขา...มันเอาหลังพิงราวไม้กั้นลมเย็นพัดกระทบผิวกาย..พันรู้สึก
สบายโล่ง ทุกคนล้อมวงมาที่พัน.จ้องมองมัน..อย่างตัวประหลาดและสงสัยซึ่งไม่ต่างจากพันเองมันก็สงสัยเหมือนกัน..บรรยากาศ
ที่นั่นคล้ายเป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่กลางป่าเขาเพียงแต่การแต่งกายดูแปลกตา "เอาละพ่อหนุ่มอาการเจ้าเป็นเยี่ยงไรบ้าง เจ้าชื่อเสียง
ใด..เป็นคน..เมืองใดการแต่งกายเจ้าใยแปลกยิ่งนัก..แล้วเหตุใดจึงมานอนสลบไสลที่ชายป่าทางเข้าหมู่บ้าน." พ่อเฒ่าผู้อาวุโส
คงเป็นผู้นำหมู่บ้านยิงคำถามพร้อมขมวดคิ้วย่นจ้องมองเราตาไม่กระพริบ พันเองก็มองสบตาพ่อเฒ่าผู้เปรี่ยมด้วยเมตตา หากท่าน
พ่อเฒ่าไม่รับรองมันเอาไว้เชื่อแน่ว่ามันคงไม่รอดจากที่นี่แน่นอน ใบหน้าเหี่ยวย่นนัยตาสีเหล็กแววตามุ่งมั่นแฝงเมตตา..น้ำเสียง
เข้มแข็งมีพลังอำนาจ..คิ้วหนาเข้มจมูกโด่งเป็นสัน..ผมสั้นเกรียนสีดอกเลาหนวดเคี้ยวโง้งสีเดียวกับผม..ปากเรียวยาวเม้ม เราคล้าย
พบเจอที่ไหนมาก่อน ใช่แล้ว..เหมือนมากท่านหัวหน้าชาติที่ทำงานเคียงบ่าเคียงใหญ่กันมาตลอดเวลาไม่เคยหวั่นดอยสูงผาชัน
ฝ่าฟันกันมาตลอด ต่างกันแก่หนวดและเวลาสถานที่ที่พบเจอแม้น้ำเสียงท่าทางแววตาเหมือนถอดแบบออกมาอย่างคนๆเดียวกัน
พันยิ้มกล่าว.."ผมชื่อพันเป็นทหารไทยมาปฏิบัติหน้าที่แถบชายแดนไทยพม่า ผมก็ไม่ทราบว่ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรรู้ตัวอีกทีผมก็อยู่
ที่นี่แล้ว..คุณลุงครับไม่ทราบที่นี่คือที่ไหนหรือครับ.. "..ทุกคนนิ่งอึ้ง...มองหน้ากันไปมาแล้วหันมามองหน้าพันอย่างแปลกใจและ
เหมือนพยายามจะจับผิดหรือจับโกหกในคำพูดของมัน..."เอ็งว่ากระไรนะ..เอ็งนั่นรึ..คือทหารไตรึ...เอ็งปดพวกข้า...ทหารไตที่ข้า
พบเห็นมิแต่งตัวเยี่ยงเจ้า..สำเนียงแล้วยิ่งมิใช่ หากคิดว่าพวกข้าโง่เง่าอย่างที่เอ็งคิดละก็เอ็งคิดผิดข้าจะทรมานเจ้าดูซิจะมีน้ำอด
น้ำทนได้เพียงใด..หากแม้พวกเราไม่ต้องการกำลังเพื่อต้านพม่ารามัญ.แลเห็นแก่พ่อเฒ่าปรามไว้เจ้าคงเป็นผีเฝ้าป่าแน่แท้ ตกลง
เอ็งเป็นผู้ใดกันแน่.."ชายวัยกลางคนผมหยิกหยักศกยาวเครียบ่าตาโตถลนดุดันน้ำเสียงปานฟ้าถล่มตะคอกเสียงใส่เราพร้อม
ถลึงตาดูน่ากลัว ร่างกายกำยำล่ำสันน่าจะสูง ราว160 หากเดาไม่ผิด จากคำพูดและน้ำเสียงเป็นคนมุทะลุแต่จริงใจ..พันขมวดคิ้ว
ครุ่นคิด.." ตายจริง...พับผ่า..นี่เราฝันหรือหลงมาในยุคของไทยรบพม่าวะเนี่ยเรา " มันคิดในใจเอาวะลองเสี่ยงเป็นไงเป็นกันวัดดวง
มันคิดในใจเอาความได้เปรียบในการล่วงรู้ประวัติศาสตร์เป็นทุนในการเอาตัวรอดไป..ก่อนค่อยหาทาง "..แล้วข้าจะเชื่อได้อย่างไร
ว่าพวกท่านเข้ากับอโยธยา...."พันกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง..ในใจกลับลอบเสียวสันหลัง..มันไม่รู้ว่าสำเนียงมันจะใช้ได้หรือไม่..
"หึ..เอ็งอยู่ในกำมือพวกข้า..เหตุใดเล่าข้าจักกล่าวปด..มีอันใดที่พวกข้าต้องกลัวเจ้า.มึงรีบบอกมาเสีย..มึงเป็นผู้ใดกันแน่..ก่อนที่กู
จะทนมิได้บั่นหัวมึงแหวะท้องให้แร้งกากิน..."ชายคนเดิมนั้นกล่าวพร้อมกระชับดาบในมือถลึงตา.กล่าว..พันยิ้มๆกล่าว..."เอาล่ะ..ข้า
บอกก็ได้เห็นแก่พวกท่านช่วยชีวิตข้า..มิใช่เกรงกลัวพวกท่านไม่.."มันถลึงตา..กระชับดาบทำท่าจะชักดาบออก.."ประเดี๋ยว..ช้า
ก่อน..ให้มันเอ่ยมาก่อนก็มิสายไม่ใช่รึ.."เสียงเค้าเมตตาของชายชรากล่าวออกมา..ก่อนที่เจ้าตาโปนนั่นจะชักดาบออกมา.."พ่อ
เฒ่า..จะเก็บมันไว้เพื่อการอันใด..ดูมันแล้ว..หาน่าไว้ใจไม่.." พ่อเฒ่าหันหน้าไปหาเจ้าตาโปนแล้วหันมาทางพันกล่าว.. "เมื่อมึงมิ
เชื่อคำกู..มึงก็อย่ามาเรียกกูว่าพ่อเฒ่า..เอ้า..มึงว่ามาไอ้หนุ่ม..กูรอฟังคำมึง..พันขยับกายบิดไปมา..ก่อนกล่าว..".ข้าเป็นทหารอยู่
ทางเมืองอู่ผึ้ง.." "อู่ผึ้ง..."เสียงอุทานของคนเหล่านั้น..เอ่ยขึ้นพร้อมกัน..พันพยักหน้ากล่าว.. "ใช่..อู่ผึ้ง.. บิดาข้าให้นำใบบอกมา
ทูลพระนเรศทรงอย่าหลงเชื่อเจ้ากรุงหงสาร่วมตีเมืองอังวะเนื่องเหตุพม่ารามัญคิดมิซื่อจักทำการทุรยศลอบปลงพระชนม์ทำร้าย
แสร้งให้มาทัพอโยธยามาช่วยศึก..หามีความจริงใจไม่...แต่ด้วยเหตุด้วยระหว่างทางข้ารอนแรมมานาน..จนเป็นไข้ป่าจนสิ้นสติ
ไป..พอรู้ตัวมาก็มาอยู่ที่นี่.." ทั้งหมดได้ฟังคำกล่าวของพันถึงกับนิ่งอึ้งครุ่นคิด สักครู่ชายฉกรรจ์ หนวดเขี้ยวท่าทางสุขุมองอาจ
ผ่าเผยจึงถามด้วยความสงสัย "เมืองอู่ผึ้งที่เจ้าว่าอยูทิศทางใดติดเมืองใดเล่าเหตุใดข้าจึงมิเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน" เอาละสิงานนี้
เอาวะเป็นไงเป็นกัน..เคยได้ฟังปู่เล่าให้ฟังครั้งเป็นเด็กถึงประวัติความเป็นมาอยู่บ้างจึงจับมายำใส่กันเพื่อเอาตัวรอด "อันตัวข้าชื่อ
พัน บิดาเบื่อราชการทหารออกมาค้าขายเล็กๆน้อยๆต้นตระกูลข้าเป็นนักรบพอมีชื่ออยู่บ้าง..เมืองอู่ผึ้งอยู่เลยเมืองพิมายไกลโข
เจ้าเมือง ได้แยกตัวออกจากเมืองจำปาสักที่ขึ้นต่อล้านช้างสีสัตนาคนหุตโดยมีทหารหารเอกคู่ใจเพี้ยเมืองซ้าย แลเพี้ยสีหาคัง
รวบรวมไพร่พลสองหมื่นกว่าย้ายมาตั้งถิ่นฐานติดลำน้ำชี "พันกล่าวอย่างเล่านิทาน..จนพวกนั้นนั่งนิ่งฟัง.."...เหตุใดบิดาเจ้าทราบ
เรื่องมังสามเกียดคิดทุรยศต่อพระนเรศในเมื่อเจ้าอยู่ไกลถึงเพียงนี้ "ชายหนวดเขี้ยวถามต่อด้วยความสงสัย ด้วยเหตุเพราะความ
กะล่อนหรือปฏิภานก็หารู้ได้เรารีบตอบเร็วปรื๋ออย่างไม่ทันคิด "ท่านจำไม่ได้รึเราเคยกล่าวแต่ต้นแล้วนี่ บิดาเราทำการค้าขายจึง
ล่วงรู้เหตุให้เรานำใบบอกเร่งคืนวันมาเพื่อทูลพระนเรศในกาลนี้" "555ท่านมาช้าไปเสียแล้วกระมังๆ นี่เพลาใดแล้ว..พระองค์ดำ
ทรงรู้ความแจ้งแล้วเนื่องจากพระยาเกียรติแลพระยารามเกลอเก่าครั้งเป็นองค์ประกันหงสาเมื่อวันขึ้นหนึ่งค่ำเดือนหกพร้อมเรียก
แม่ทัพนายกองทั้งหลายร่วมหารือข้อราชการที่เมืองแครง ประกาศตัดขาดจากกรุงหงสาโดยหลั่งน้ำลงสู่แผ่นดินประกาศแก่เทพ
ยาดาฟ้าดินว่าด้วยพระเจ้าหงสาวดีมิได้อยู่ในครองมิตรภาพขัติยราชประเพณีเสียสามัคคีรสธรรมประพฤติพาลทุจริตคิดจะทำ
อันตรายแก่เราตั้งแต่บัดนี้สืบไป อโยธยาขาดไมตรีกับกรุงหงสาวดี มิได้เป็นมิตรรุวมสุวรรณปฐพีเดียวกันดุจดัวแต่ก่อนสืบไป แล
ยกทัพจากเมืองแครงไปหงสาเพื่อบดขยี้ให้เป็นจุล..เสียดายยิ่งนัก..." มันหยุดกล่าว..กัดฟันกรอด...พันขมวดคิ้ว..แกล้งกล่าว..
"เสียดายอันใด..." มันหันหน้ามามองพัน..แล้วกล่าวต่อ... "..ติดที่พระพี่นางเธอ..ยังทรงเป็นองค์ประกันพระองค์ทรงเปลี่ยนพระทัย
แลสืบเนื่องจากทัพหงสา มีชัยต่อกรุงอังวะเตรียมยกทัพกลับเข้าเมือง..หากกระทำการใดไซร้ คงมิสามารถยึดหงสาได้เป็นแน่แท้
จึงชักชวนกวาดต้อนคนอโยธยาที่ตกเป็นเชลยแก่หงสาในครานั้นกลับอโยธยา " พันมันทำท่าตกใจ...และรู้โล่งใจที่คำพูดของมัน
ทำให้คนเหล่านั้นเชื่อและไว้วางใจ"แล้วเหตุใดพวกท่านจึงได้มาอยู่ที่นี่เล่า ไฉนไม่ช่วยพระนเรศทำศึกต้านพม่ารามัญ หากพวกมัน
ตามมาทันใยไม่เสียทีเล่า"พันขมวดคิ้วถามทั้งๆที่ทราบอยู่แล้วว่าในการศึกครั้งนี้ผู้ใดเป็นฝายไ้ด้เปรียบ.."แรกๆเราก็คิดเยี่ยงท่าน
แต่หากพวกเราเป็นเสือหมอบแมวเซา พระองค์ทรงพระปรีชายิ่งทรงอ่านแผนการว่าหากทัพหลวงหงสาเสร็จศึกอังวะครานี้คงไล่
ติดตามเป็นแน่แท้.." พันขมวดคิ้ว..กล่าว.." ด่านเจดีย์สามองค์ เป็นเส้นทางที่ใกล้..พระนครที่สุด..เดินทัพไม่กี่เพลา..ก็จะถึง..
อโยธยา..พระองค์จะทรงกระทำเยี่ยงใด.."ทั้งๆที่พันเองก็รู้ว่าศึกครานั้น..พระนเรศทรงพระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตง..สังหาร
สุระกำมาตายคาคอช้าง..ด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์ในครานั้น..แต่มันก็แกล้งถามให้พวกนั้นตายใจ.."ก็ด้วยพระปรีชา
สามารถของพระองค์ดำไงเล่า..ถึงวางกลลวง..ให้ทางพม่ารามัญหลงทาง..มิสามารถติดตามได้ทันท่วงที...จึงเปลี่ยนแผนให้พวก
ข้ามาล่อหลอกพม่ารามัญว่าจะข้ามฝั่ง...กลับอโยธาทางด่านแม่ละเมา..แต่จริงทัพของ....พระนเรศจะตัดออกทางด่านเจดีย์สาม
องค์ผ่านหัวเมืองมอญลงทางใต้ซึ่งทางด้านหัวเมืองมอญหามีข้อขัดข้องไม่.."มันหยุดกล่าว..แล้วมองมาที่พัน..พันหันมองพวกมัน
แล้วยิ้มกล่าวต่อว่า.."แล้วพวกท่านจะเตรียมการณ์ลงมือเมื่อใด..."..ณ เพลานี่ก็ใกล้เพลาถือฤกษ์ตามโบราณประเพณี..สมเด็จพระ
นเรศจะทรงเชิญสมเด็จพระพี่นางเสร็จสู่พระนครพร้อมจัดกองทัพเที่ยวบอกพวกชาวเมืองไพร่ฟ้าให้อพยพกลับอโยธยาพร้อมกัน
แต่ขัดที่การเดินทางคงล่าลง เพราะภาระการเดินทางครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก พระมหาอุปราชมังสามเกียดที่รักษาพระนคร คงจัดทัพ
ติมตามเป็นแม่นมั่น..พระองค์จึงกำชับหนักหนาให้จัดขบวนให้ดี เจ้ามีคิดอ่านประการใด" เราขมวดคิ้วครุ่นคิด ตามประวัติศาสตร์ที่
เรียนมาพระองค์ทรงกระทำสำเร็จจึงเอ่ยไปว่า"ในความเห็นของข้า..ขณะนี้ทัพสงหาเสร็จศึกเมืองอังวะรบได้ชัยเยี่ยงนี้กำลังฮึกเหิม
ด้วยแล้วหากทัพพระเจ้าหงสาวดียกมาสมทบทันกับทัพมังสามเกียดแล้วไซร้กองทัพ อโยธยาเห็นทีจะลำบากเป็นแน่ แต่หาก
ภายในสองเดือนนี้กระทำการสำเร็จควรอดจากการตามติดแลเชื่อเถิดว่ามังสามเกียดต้องใช้สุรกรรมาเป็นทัพหน้าโดยแท้แลตนเอง
เป็นทัพหลวงไล่ตาม อย่างไรก็ดีหากทัพพระนเรศข้ามแม่น้ำสะโตงทันเพลาคงพ้นภัยอย่างง่าย"555เจ้ากล่าวมีเหตุผลพ่อหนุ่ม
ฉนั้นพวกข้าจึงนำกำลัง500นายจัดกลุ่มลาดตระเวณหน้ารบต้านพม่ารามัญมิให้ตามติด และยังคอยสอดแนมกองทัพของนันทสูราช
สังครำที่ตั้งมั่นอยู่เมืองกำแพงเพชร์คงตีตะหลบหลังเป็นแน่แท้..ไหนเราก็พวกเดียวกันเจ้าจะร่วมกับเราช่วยกันต้านทัพหงสาทาง
ด่านแม่ละเมาจนถึงเมืองด่านเมืองฝาง ทั้งแถบยาวมากจนจรดเมืองกำแพง".