นิทานเรื่องที่ สาม
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว นานมากๆ นานสุดๆ นานจนพ่อไม่อยากเล่า จ บ จบ”
เสียงเข้มแฝงไปด้วยความรู้สึกนึกขำที่ได้อำลูกสุดที่รักที่เป็นแก้วตาดวงใจก่อนนอน กลับกัน ผู้เป็นลูกกลับมองหน้าพ่อนิ่งเพื่อบ่งบอกให้ผู้เป็นพ่อนั้นรู้ว่า มุขที่เพิ่งเล่นไปเมื่อสักครู่แป็กสนิท
“อ่าๆ เดี๋ยวเล่าให้ฟังนะ” เขายิ้มเจื่อนๆกลบเกลื่อนมุขเมื่อสักครู่
นานมาแล้ว มีเจ้าชายผู้หล่อเหลาเป็นที่หมายปองของเหล่าหญิงสาวมากมายในอณาจักร เมื่อพระองค์ถึงวัยอันควรก็ต้องเลือกค้นหาเด็กสาว หรือ หญิงสาวผู้ที่จะมาเป็นคู่ครองของเขาและสืบทอดอำนาจในการดูแลบ้านเมืองต่อไป
เจ้าชายได้เลือกหญิงสาวสวยที่ได้จากการทอดพระเนตรด้วยตนเองจากการปลอมเป็นชาวไร่และ(ถ้ำ)มองมาตลอดสองปีที่ผ่านมา หญิงสาวเลอโฉมที่มีฐานะยากจนจากปลายไร่ แน่นอนว่าจะต้องมีนางอิจฉาตามมาด้วยอย่างแน่นอน
ลูกสาวของขุนนางอันร่ำรวยผู้อยากครองครองใจของเจ้าชายมาตลอดอีกทั้งการปลูกฝังให้เธอต้องแต่งกับเจ้าชายและชนะใจเจ้าชายจากผู้เป็นพ่อของนางผู้อยากครอลครองบัลลังก์แห่งกษัตริย์
และแล้วการหมั้นก็เริ่มขึ้นในอีกสามวันจะเป็นวันแต่งสองพ่อลูกจึงอยากจะหาวิธีการต่างๆเพื่อที่จะขัดขวางและบังคับให้เจ้าชายนั้นแต่งงานกับตนหรือลูกสาวของตน
“พวกเค้าจะทำยังไงน้า” ผู้เป็นลูกชายที่นั่งฟังด้วยความตั้งใจก็เอ่ยถามกับผู้เป็นพ่อ ผู้เป็นพ่อก็ส่งยิ้มเป็นการบอกให้ลูกชายของเขาลุ้นเอาเอง
คืนก่อนพิธีงานแต่งขุนนางได้ไปพบกับแม่มดผู้อยู่นอกอณาจักรและอาศัยอยู่ในป่าลึกเพื่อหวังว่าเธอผู้นั้นจะช่วยให้สิ่งที่เขาหวังนั้นเป็นจริง
“ข้าต้องการสิ่งใดก็ได้เพื่อให้งานแต่งงานในวันพรุ่งนี้พินาศ”ขุนนางกล่าวกับแม่มดผู้เลอโฉมอันต่างจากนิยายชนิดใดๆได้กล่าวไว้รูปโฉมภายนอกของเธอราวว่าเธอเป็นเพียงหญิงสาวอายุราวสิบแปดปีที่ไม่ควรต้องมาหลบในป่าเลย
“งั้นฉันก็มีสองสิ่งให้กับท่าน”เธอตอบกับขุนนางพร้อมยื่นของสองชิ้นในมือของเธอมาข้างหน้า
มือข้างขวานั้นคือขวดที่ใส่น้ำสีม่วงใสขวดเล็กๆขนาดเท่านิ้วโป้ง อีกมือหนึ่งคือผลไม้หน้าตาประหลาดขัดกับสีน้ำเงินที่วาววับสะท้อนแสงจันทร์ในยามราตรีของมัน
“มันคืออะไรกัน”
“ในมือขวาให้ลูกสาวของท่านดื่ม ลูกสาวของท่านก็จะมีหน้าตาและรูปลักษณะทางกายเช่นเดียวกับผู้ใดก็ตามที่เธอแตะต้องในตอนนั้น” แม่มดพูดขึ้น
“แล้วอีกอันหล่ะ” ขุนนางถามต่อ
“ในมือซ้ายให้ท่านกินหากแผนการปลอมตัวนั้นไม่สำเร็จ มันจะทำลายพิธีแต่งงานได้ในบัดนั้น” แม่มดพูดจบก็หัวเราะร่าเสียงสูง ครานั้นทั้งบ้านและตัวเธอก็หายไปทิ้งเพียงขุนนางให้อยู่ในป่าลึกพร้อมของทั้งสองสิ่ง
...........
“เอ้า สองพ่อลูกเนี่ย นอนได้แล้วนะ ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้ไม่ไปเรียนหรือไง” เสียงของหญิงวัยกลางคนขัดก่อนที่ผู้เป็นพ่อจะได้เล่าต่อไป
“เอาหน่า ใกล้จบแล้วแท้ๆ อีกหน่อยได้มั้ยหล่ะ แม่จ๊ะ” ผู้เป็นพ่อออดอ้อนภรริยาของตนแทนลูกชาย
“ไม่ได้” เสียงที่หนักแน่นของแม่ทำเอาสองพ่อลูกสะท้าน
“น้าแม่ อีกนิดเดียว อีกอย่าง” เด็กชายเสียงเศร้าลงก่อนจะพูดต่อ
“วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่พ่อจะอยู่นี้แล้วนะ” ความรู้สึกของเด็กน้อยที่ต้องจากพ่อไป เขาขอให้แค่ได้ฟังนิทานก่อนนอนครั้งสุดท้ายให้จบก็ยังดี ฉับพลันก็มีมืออุ่นๆมาลูบหัวของเขา
“ไม่เป็นไร ยังไงพ่อก็กลับมาเล่าให้จบอยู่แล้ว พ่อสัญญา”
พ่อ แม่ของเด็กหนุ่มก็ปิดไฟและจูบราตรีสวัสดิก่อนที่จะเดินออกจากห้อง
“ถึงเวลาต้องไปแล้วเหรอคะ”
ชายผู้เป็นสามียิ้มและพยักหน้าแม้ทั้งคู่จะโศกเศร้าแต่ก็เก็บอาการไว้ภายในเพื่อไม่ให้บรรยากาศแย่ลง ชายผู้เป็นสามีกอดเธอเป็นครั้งสุดท้ายแล้วเดินออกจากบ้าน แผ่นหลังของเขาทำให้ผู้เป็นภรรยารู้สึกเหมือนจะไม่ได้เจอกันอีก
“ผมรักษาสัญญาทีให้ไว้กับ เอ แน่นอน” ชายผู้เป็นสามีพูดทิ้งท้ายแล้วเดินจากไป
...........................................จบ.................................