เสน่หาสามีแดนเถื่อน
โดย
พิณแห่งรัก
ทิวากร
นายหัวปากร้ายผู้ไม่เคยสนใจในเรื่องความรัก ต้องมาตกหลุมรักลูกสาวของคนที่ทำร้ายพ่อของตน
เขาใช้การแก้แค้นเพื่อบังหน้า เขาครอบครองเรือนร่างของเธอโดยไม่ต้องใช้กำลัง
ศิศิกร
หญิงสาวผู้มากด้วยเล่ห์กลและฉลาดล้ำ เธอจะทำทุกอย่างเพื่อเอาชนะใจนายหัวจอมเถื่อนคนนี้ให้จงได้
เมื่อตกเป็นของเขาแล้วมีหรือที่เธอจะยอมเสียตัวฟรีๆ
ความรักที่มาพร้อมกับการแก้แค้น เพราะการเข้าใจผิดเกือบทำให้เขาต้องเสียเธอไป
.....................
คำโปรย
“ว้าย! ปล่อยฉันนะ คุณเข้ามาได้ยังไงกัน!”
ศศิกรร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อร่างกายของตนถูกรวบเข้าไปกอดโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว
“ปล่อยก็โง่สิ! ลืมไปหรือเปล่านี่มันบ้านของฉัน เธอจะดิ้นขัดขืนไปทำไม ไหนว่าจะยอมชดใช้แทนพ่อยังไงล่ะ”
คนตัวโตพูดจาเอาแต่ได้พร้อมทั้งพยายามจูบไซ้ซอกคองามระหงอย่างหิวกระหายในรสสวาทที่ไม่เคยได้ลิ้มลองมาก่อนในชีวิต
“นายหัวขา... ถ้าอย่างนั้นไปที่เตียงกันนะคะ ตรงนี้มันจะสนุกอะไร”
ศศิกรยอมที่จะตามใจเขา เธอเบียดกายเปลือยเปล่าให้แนบชิดเพื่อยั่วยวนและไม่นึกอาย ก็เขาเห็นหมดแล้วนี่นา ซึ่งทิวากรจะต้องรับผิดชอบเธอไปตลอดชีวิตเพราะเรือนกายงามนี้ไม่เคยมีชายใดเคยได้เชยชมและยลโฉม เขาจะไม่มีวันสลัดเธอทิ้งง่ายๆ เหมือนดอกไม้ริมทาง ตราบใดที่มีแรงเธอจะเกาะติดหนึบเหมือนปลิงเลยทีเดียวเชียวล่ะ
“คงช่ำชองมากสิท่า แต่เอาเถอะเมื่อเธอเสนอฉันก็จะสนอง”
จบวลีดูแคลนร่างอรชรจึงถูกรวบขึ้นแล้วพาไปยังเตียงนอน เขาวางเธอลงเบาๆ พร้อมกวาดสายตาสำรวจทั่วทั้งเรือนกาย ก่อนจะโน้มตัวลงทาบทับแล้วบดจูบอย่างรุนแรงปนเร่าร้อน มือหนาบีบเคล้นทรวงอกอิ่มหนักหน่วง ศศิกรแอ่นอกรับสุขกับสัมผัสอย่างล้นเหลือ เธอล้วงมือเข้าไปภายใต้อาภรณ์ก็ต้องพบกับบางอย่างที่เกินตัว รอยยิ้มแห่งความพึงพอใจเผยขึ้นก่อนจะทำการออกแรงบีบแล้วหักงออาวุธลับของเขาสุดกำลัง
“โอ๊ย!
ทิวากรร้องเสียงหลงเมื่อรู้สึกจุกและเจ็บตรงกล่องดวงใจ เท่านั้นยังไม่สาแก่ใจ คนตัวเล็กออกแรงถีบเขาจนกระเด็นตกไปกองอยู่ที่พื้นไม่เป็นท่า
“ยัยตัวแสบ กล้าดียังไงมาทำร้ายฉันฮะ!”
เจ็บถึงเพียงนี้แล้วยังจะชี้หน้าต่อว่าเธออีก ช่างปากดีนักนะ
“ใครใช้ให้คุณมาฉวยโอกาสกับฉันก่อนล่ะ”
เธอพูดเยาะพร้อมก้าวขาลงจากเตียงเดินเปลือยกายโชว์ส่วนเว้าส่วนโค้งอวดสายตาชายหนุ่มอย่างไม่นึกอาย
“แต่พ่อของเธอทำร้ายพ่อฉันเกือบตาย ดังนั้นเธอต้องชดใช้แทน!”
“ได้! แต่ไม่ใช่วิธีนี้ คุณจะใช้ฉันเหมือนวัวเหมือนควายยังไงก็เชิญ ฉันไม่เกี่ยง ส่วนเรื่องบนเตียงสำหรับสามีในอนาคตเท่านั้น เข้าใจไหม!”
ผลงานที่วางขายทั้งหมดในรุปแบบอีบุ๊คและรูปเล่ม
.........................
1
เสียงฟ้าคำรามครืนครั่นดังสนั่น ลำแสงสีเงินแลบเป็นประกายทั่วท้องนภาลัยและมืดลงเป็นอยู่อย่างนี้สลับไปมา พายุฝนเม็ดใหญ่โหมกระหน่ำลงสู่พื้นธรณี หญิงสาวรูปร่างเพรียวบางกับชายสูงวัยตัวผอมโซคล้ายขี้โรคแทบจะปลิวไปตามกระแสแรงลม เธอโอบประคองบิดาไว้มั่น ดวงตาคู่กลมโตหรี่ลงเพราะเม็ดฝนทำเอาตาของเธอแสบไปหมด
ศศิกรพยายามมองหาเส้นทางที่จะพาตนกับพ่อก้าวเดินไปยังเหมืองแร่ทองคำอันโตนจากคำบอกเล่าของคนขับรถสองแถวน่าจะใช่ถนนลูกรังดินแดงเป็นหลุมเป็นบ่อเส้นนี้ ยิ่งฝนตกหนักทำให้การเดินทางมีอุปสรรคมากขึ้น อีกทั้งพรมันยังดูอ่อนแรงและหนาวสั่น
ระยะทางนั่งรถจากกรุงเทพฯ มาลำปางใช่ว่าจะใกล้จึงรู้สึกเหนื่อยล้าเป็นธรรมดา ครั้นมาถึงก็มืดพอดีแถมฟ้าฝนยังไม่เป็นใจเทลงมาซ้ำเติมความยากลำบากให้มากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว
“อดทนหน่อยนะคะพ่อ อีกไม่นานก็น่าจะถึง” ศศิกรบอกด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ไหล่บางห่อลงเพราะรู้สึกเย็นเยือกจับขั้วหัวใจ
“พะ...พ่อไม่ไหวแล้วเดือน หนาวเหลือเกิน”
พรมันฝืนบังคับน้ำเสียงให้เป็นปกติขณะที่พูดแต่ก็ทำได้ไม่ดีนัก ริมฝีปากหนาสั่นระริก มือเหี่ยวย่นโอบกอดกายตนไว้แน่นร่างสั่นเทาด้วยความหนาวจากสายฝนที่เทลงมา
“ต้องไหวสิคะ!” เธอกล่าวอย่างหนักแน่นเพื่อเรียกความแกร่งในตัวบิดาออกมา ถึงแม้จะรู้ดีว่าท่านไม่สู้มานานแล้ว
“พ่อขอโทษ... ” และก็เป็นเช่นนั้นเมื่อเจ้าของร่างอิดโรยทรุดตัวนั่งลงกับพื้นดินที่เจิ่งนองไปด้วยขี้โคลน
“โธ่ พ่อคะ!” เธออุทานออกมาพร้อมกับย่อตัวนั่งลงข้างๆ บิดา
ขณะที่สองพ่อลูกโอบกอดกันเพื่อคลายหนาว ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างจากรถยนต์ตบไฟสูงส่องมาแต่ไกลจนแสงไฟแยงตาศศิกร รอยยิ้มแห้งๆปรากฏบนใบหน้าซีดขาวอย่างมีความหวัง
ปื๊น! ปี๊น!
เสียงบีบแตรรถดังขึ้นถึงสองครั้งแล้วชะลอจอดเมื่อคนขับมองเห็นรางๆ ว่ามีคนนั่งกอดกันอยู่ริมถนน
“จอดทำไม รถติดหล่มเหรอ”
ชายหนุ่มเจ้าของเรียวปากรูปกระจับถามขึ้นอย่างสงสัย นัยน์ตาสีเทาเป็นประกายเข้มขึ้นเมื่อเกิดความสงสัย
“เปล่า! แกมองดูตรงริมถนนด้านหน้าสิ เอาไงดี”
ธานินกล่าวพร้อมชี้นิ้วไปยังสองพ่อลูกที่ตอนนี้จ้องมองมายังรถเป็นตาเดียวกัน
“ถามได้ ก็ไปช่วยสิวะ”
ทิวากรไม่รอช้ารีบเปิดประตูรถลงไปหาคนทั้งสองโดยไม่สนใจว่าตัวเองจะเปียก ซึ่งนิสัยชอบช่วยเหลือคนอื่นติดตัวเขามาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ช่างแตกต่างจากบุคลิกที่ห่ามๆ ใจร้อนและโมโหร้ายอย่างรุนแรง แต่เขาก็ไม่เคยทำร้ายใครถ้าไม่มีคนมากระตุกหนวดเสือเข้า
“คุณรีบไปขึ้นรถเถอะ! พายุแรงมากมันอันตรายรู้ไหม” เขาตะโกนแข่งกับเสียงของลมและฝนโดยไม่สนใจที่จะซักถามก่อน
“ขอบคุณค่ะ คือพ่อของฉันอ่อนแรงมาก รบกวนคุณช่วยพยุงได้หรือเปล่าคะ”ศศิกรยังไม่ลืมที่จะยกมือไหว้แม้จะมองเห็นใบหน้าพลเมืองดีไม่ชัดนักแต่เธอก็พอเดาได้ว่าเขาน่าจะอายุมากกว่าหลายปี
“ไปครับลุง ผมช่วย”
คนตัวโตตอบรับคำขอก่อนจะโน้มตัวลงเพื่อพยุงร่างของพรมันให้ลุกขึ้น ทว่าขานั้นช่างไร้เรี่ยวแรงและเป็นตะคริวจึงไม่สามารถยืนเองได้ พรมันคงรู้สึกปวดจนใบหน้าเหยเกหากแต่ไม่มีน้ำเสียงหลุดลอดออกมาให้ได้ยินเลยทิวากรไม่คิดนานเขาย่อตัวนั่งยองๆเพื่อให้ชายสูงวัยขึ้นขี่หลังแล้วแบกไปยังรถโดยมีธานินลงมาเปิดประตูรอ ครั้นสายตาคู่เล็กไปประสานกับศศิกรเข้าหัวใจดวงน้อยก็เต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก
‘นี่มันนางฟ้าตกสวรรค์ชัดๆ’
ธานินคิดในใจพลางลอบยิ้มอย่างนึกเอ็นดู ขนาดเนื้อตัวมอมแมมยังดูดีได้ถึงเพียงนี้ผิดจากศศิกรซึ่งไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ
แต่กับชายตัวโตรูปร่างบึกบึน สูงราว180 เซนติเมตรที่นั่งข้างๆ บิดาของเธอนี่สิ ทำไมยิ่งแอบเหล่ตามองหัวใจก็ยิ่งสั่นไหวพิลึก บรรยากาศภายในรถกระบะวีโก้สี่ประตูสีดำสมบุกสมบันช่างเงียบจนน่าอึดอัด และศศิกรก็อดไม่ได้ที่จะเป็นฝ่ายเปิดการสนทนาก่อน
“เอ่อ... รบกวนช่วยไปส่งฉันกับพ่อที่เหมืองแร่อันโตนได้หรือเปล่าคะ”
ในที่สุดเธอก็พูดออกมาจนได้ ถ้าไม่ใจกล้าหน้าด้านพวกเขาจะรู้หรือว่าเธอต้องการลงตรงไหน
“จะไปทำไมที่เหมืองนั่น รู้ไหมว่ามันเถื่อนและน่ากลัวมาก”
ทิวากรกล่าวเสียงเข้มพลางปรายตามองเธอแวบหนึ่งก่อนที่จะนั่งเงียบเหมือนกำลังใช้ความคิด สายตาคมยังคงจดจ้องไปยังเบื้องหน้าเฉกเช่นเดิม
“ฉันกับพ่อจะไปขอพึ่งใบบุญจากคุณทินกรเจ้าของเหมืองค่ะ”
เธออธิบายอย่างตรงไปตรงมาไม่คิดปิดบัง
“แล้วรู้จักนายหัวทินกรได้ยังไง?”คราวนี้น้ำเสียงของเขาเข้มขึ้นกว่าเดิมเมื่อได้ยินชื่อของคนที่หญิงสาวเอ่ยถึง
“พ่อฉันเป็นเพื่อนของคุณลุงค่ะ แต่ท่านทั้งสองขาดการติดต่อกันมานานแล้ว”
“อ้อ แบบนี้นี่เอง พวกเราก็ว่าจะไปที่เหมืองพอดี”ทิวากรกล่าวเสียงเรียบผิดจากเดิม แต่ในใจยังคงนึกสงสัยอยู่ไม่น้อย
‘ทำไมเราไม่เคยรู้เรื่องสองพ่อลูกนี้มาก่อนนะ!’
คิ้วเข้มย่นเข้าหากันเมื่อพยายามนึกว่ารู้สึกคลับคล้ายคลับคลาบ้างหรือเปล่า
“อันทำไมแกไม่บอกไปล่ะว่าเหมืองนั่นเป็น...”
“เป็นแดนเถื่อน คนงานในเหมืองมีแต่ชายฉกรรจ์กล้ามใหญ่บึกบึนหนวดเคราผมเผ้ารุงรัง เนื้อตัวก็มอมแมม ถ้าเธอกับพ่อคิดจะไปทำงานที่นั่นฉันว่าคงจะลำบากเอาการอยู่นะ”
ยังไม่ทันที่ธานินจะได้พูดจนจบวลี ทิวากรก็แทรกขึ้นทันทีกลัวว่าเพื่อนจะเปิดเผยความจริงที่เขายังไม่คิดอยากจะบอกให้สองพ่อลูกได้รู้
“จะโหดขนาดไหนเราก็ไม่มีทางเลือกหรอกค่ะเพราะบ้านไม่มีให้อยู่แล้ว หนำซ้ำยังถูกพวกหนี้นอกระบบตามข่มขู่ไม่หยุดหย่อน ฉันยอมตายเพราะทำงานดีกว่าตายอย่างหมาข้างถนนเพราะถูกยิงทิ้ง”
ศศิกรเชิดหน้าขึ้นสูงอย่างหยิ่งทะนงไม่มีความหวาดหวั่นให้เห็นเลยสักนิด ช่างเป็นผู้หญิงตัวเล็กแต่หัวใจใหญ่ซะจริงเชียว
“ก็ตามใจนะ แต่ขอถามได้ไหมว่าทำไมถึงเป็นหนี้” ถึงแม้จะเป็นคำถามที่ไม่ควรเอ่ยในเวลานี้ แต่ทิวากรก็อยากรู้เหตุผลที่แท้จริง
“เอ่อ... คือ” เธออ้ำอึ้งไม่กล้าตอบกลัวผู้เป็นพ่อจะรู้สึกแย่
“เป็นเพราะผีการพนันเข้าสิงจึงทำให้ลูกต้องลำบากถึงเพียงนี้”
พรมันยอมรับว่าตนเป็นต้นเหตุ น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาแผ่วเบาและฟังดูเจ็บปวดอย่างที่สุด
“เอาเถอะครับผมจะไม่ถามอะไรมากไปกว่านี้ ถึงที่นั่นแล้วผมจะช่วยฝากฝังกับคุณเชอรี่ภรรยาของนายหัวทินกร พวกคุณคงยังไม่รู้ว่านายหัวไม่เหมือนปกติที่เคยเป็น ท่านใช้ชีวิตอยู่บนรถเข็นมานานถึงสามสิบห้าปีเต็ม เพราะอุบัติเหตุ ซึ่งผมก็ไม่รู้รายละเอียดมากนัก”
“โธ่ไอ้ทิน... ไม่คิดว่าแกจะเป็นถึงเพียงนี้”
“ลุงพูดราวกับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น” ทิวากรเอ่ยถามอย่างใคร่รู้เมื่อได้ยินประโยคแสนเบาของชายผอมโซที่นั่งอยู่ข้างๆตนหลุดปากพูดออกมา
“มะ...ไม่รู้อะไรเลย ฉันกับไอ้ทินไม่ได้เจอกันมานานแล้ว” คนถูกจับผิดร้อนตัวรีบปฏิเสธทันควัน
“จะเป็นการเสียมารยาทไหมถ้าฉันจะถามว่าคุณเกี่ยวข้องอะไรกับคุณลุงทินกรคะ”
ศศิกรนั่งฟังและจับผิดอยู่นาน เธอมั่นใจเต็มร้อยว่าชายมาดดีหน้าตาหล่อเหลาคมเข้มคนนี้ต้องมีอะไรปิดบังอยู่แน่ๆ เพราะเธอมองคนไม่เคยพลาดสักครั้งถึงจะเรียนจบแค่มัธยมปลายก็เถอะ แต่เรื่องความฉลาดไหวพริบดีศศิกรก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าใคร
“แล้วเธอคิดว่ายังไงล่ะสาวน้อย! ยินดีต้อนรับสู่ดินแดนเถื่อนนะครับ”
เขาพูดจาอย่างมีเลศนัยพลางเผยยิ้มในหน้าเมื่อเครื่องยนต์รถดับลง ครั้นมองออกไปด้านนอกศศิกรจึงรู้ว่าได้มาถึงที่หมายแล้ว เธอเปิดประตูลงไปเพื่อรอรับบิดา ดวงตาคู่สวยจ้องมองยังทัศนียภาพรอบๆ ตัว แม้ท้องฟ้าจะมืดสนิทไร้แสงดาวและเดือนเคืองคู่และมีละอองฝนโปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย หากแต่แสงนีออนจากหลอดไฟที่ถูกติดตั้งไว้รอบๆ พื้นที่เกือบห้าไร่ช่วยทำให้เธอรู้ว่า
“สวยจังเลย...”
ถ้อยคำชื่นชมหลุดลอดออกมาเหมือนดังคนต้องมนต์สะกดของธรรมชาติ สวนดอกไม้ขนาดใหญ่ถูกจัดและตกแต่งไว้อย่างลงตัว อีกทั้งต้นไม้สูงใหญ่หลายสิบต้นแผ่กิ่งก้านเป็นเงามืดแต่เธอดูออกว่าอายุน่าจะมากซึ่งผิดจากที่วาดภาพไว้ก่อนมาโดยสิ้นเชิง
“นี่คือเรือนของนายหัวทินกรกับครอบครัว ส่วนเหมืองที่เธอกับพ่อต้องไปทำงานไม่ได้เหมือนสวรรค์แบบนี้หรอกนะ ตรงกันข้ามที่นั่นทั้งร้อนและชื้นเพราะเป็นเหมืองใต้ดิน หรือจะเรียกว่า Underground Mining ก็ได้”
“ค่ะฉันเข้าใจ ขอแค่มีที่ซุกหัวนอน มีงานให้ทำฉันกับพ่อไม่เกี่ยงอยู่แล้ว”
“ก็ดี เอาเป็นว่าขึ้นไปพบคุณเชอรี่กันเลยดีกว่า”
เมื่อทำความเข้าใจกันเรียบร้อยแล้วชายหนุ่มกับธานินจึงเดินนำหน้าไปยังบ้านไม้ทรงไทยหลังใหญ่ตั้งเด่นตระหง่านอยู่ตรงเนินไม่สูงมาก ศศิกรมองอย่างนึกทึ่งในความงามของรูปทรงตัวบ้าน ส่วนบิดาของเธอดูมีท่าทางประหม่าและลนลานผิดปกติเหมือนกำลังกลัวอะไรบางอย่าง
“พ่อคะทำไมตัวสั่นนัก หรือว่าหนาว”
“ปะ...ปะ...เปล่า พ่อว่าเราไปที่อื่นกันดีกว่าไหมลูก คือพ่อไม่กล้าสู้หน้าเชอรี่”
พรมันรั้งแขนศศิกรไว้ พร้อมพยายามบ่ายเบี่ยงเลี่ยงที่จะเข้าไปซึ่งเธอเองชักจะไม่แน่ใจแล้วล่ะสิว่าบิดาเป็นเพื่อนรักกับเจ้าของเหมืองจริงหรือทำไมถึงดูกังวลกับการเผชิญหน้านักราวกับเคยทำเรื่องไม่ดีไว้
“พ่อมีอะไรจะบอกหนูหรือเปล่าคะ”
เธอถามเสียงเข้มเพื่อคาดคั้นบิดา หมดตัวขนาดนี้แล้วยังคิดมีความลับกับเธออยู่อีกหรือ
“มะ...ไม่มี”
“ถ้าอย่างนั้นก็เข้าไปข้างในกันเถอะค่ะ เราเดินหน้าแล้วจะถอยหลังกลับไปตายไม่ได้เด็ดขาด”
ศศิกรจุดประกายความกล้าให้ผู้เป็นพ่อ แล้วประคองท่านเดินขึ้นบันไดไปบนบ้าน แต่ละย่างก้าวที่เดินช่างหนักอึ้งประหนึ่งว่ามีโซ่ตรวนล่ามไว้ ส่วนพรมันเริ่มหัวใจเต้นรัว ร่างกายสั่นไหวแรงขึ้น
กลัวเหลือเกิน กลัวการเผชิญหน้ากับสองสามีภรรยาในรอบสามสิบห้าปี แต่ไม่ว่าจะกังวลสักเพียงใดเพื่อบุตรสาวที่น่าสงสารเขาจึงต้องจำใจขอความเมตตาจากครอบครัวอันโตน ครอบครัวที่เคยได้กระทำไม่ดีกับเขาไว้เมื่อครั้งสมัยก่อนเก่า...