คำสัญญา 22 [ตอนเดียวจบ]
0
ตอน
4.25K
เข้าชม
138
ถูกใจ
1
ความคิดเห็น
4
เพิ่มลงคลัง

 

 

 

 

“คุณเคยคิดถึงอะไร...ที่มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณเลย...บ้างไหม?

อะไรสักอย่างที่...แม้จะไม่ได้เห็นมันมานาน...นานกระทั่งจนถึงตอนนี้...

แต่คุณก็ยังไม่ลืมมัน...”

 

สมัยตอนที่ฉันยังเป็นเด็ก ครอบครัวของฉันมักจะมีเวลาให้กันเสมอ ทุกๆ วันหยุด...พ่อและแม่มักจะพาพวกเราสองคนพี่น้องไปเที่ยวสวนดอกไม้ของจังหวัดเสมอ ซึ่งพวกเราก็ชอบ และไม่เคยงอแงที่จะไปที่อื่น มีบ้างที่พี่ชายของฉันอ้อนแม่ว่าอยากไปเที่ยวสวนสัตว์ นั่นจึงทำให้วันหยุดบางวันพ่อกับแม่ต้องพาพวกเราไปเที่ยวที่สวนสัตว์ ไม่ใช่ว่าฉันไม่ชอบสัตว์นะ แต่...

ถ้าเกิดว่าเราไปเที่ยวสวนสัตว์...

เส้นทางที่พ่อขับรถไป ก็อาจจะไม่ผ่านบ้านหลังนั้น...

บ้านร้างหลังสีขาวที่หลบอยู่หลังแมกไม้อันรกร้าง...

ฉันจำได้ว่าตลอดทางที่ฉันเดินชมสัตว์ไปพร้อมๆ กับครอบครัว ฉันเอาแต่เดินเหม่อมองไปอย่างนั้น ความรู้สึกเหมือนสำนึกผิดและมันก็ทำให้ฉันซึมไปทั้งวัน จนพ่อและแม่ต้องหันมาถามฉันว่าไม่ชอบหรือ? ฉันที่ไม่อยากให้พวกท่านไม่สบายใจก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมา หากสีหน้าที่เอาแต่เบ้ปากมันฟ้องว่าฉันไม่อยากมาที่นี่ นั่นพ่อกับแม่จึงได้หันมาบอกกับฉันยิ้มๆ ว่า อาทิตย์หน้าจะพาไปสวนดอกไม้อีก ฉันที่ได้ยินนี่ก็ฉีกยิ้มกว้างเลย เข้าไปกอดพวกท่านราวกับว่าพวกท่านกำลังจะมอบของขวัญชิ้นโตให้ฉันในอีกไม่กี่วัน

และแล้ววันนั้นก็มาถึง...

วันที่พ่อกับแม่บอกว่าวันนี้จะพาไปเที่ยวสวนดอกไม้

วันที่ฉันรอคอยมานานแสนนานว่าจะได้เห็นบ้านหลังนั้นอีกครั้ง

หากมัน...ก็เป็นวันที่พ่อแม่ฉัน...ประสบอุบัติเหตุด้วยเหมือนกัน

ณ ตอนนั้นที่ฉันได้ยินข่าวจากป้า ฉันตกใจและกลัวจนลืมบ้านหลังนั้นไปเสียสนิท ร้องไห้แต่อยากจะไปหาพ่อกับแม่ที่โรงพยาบาล พี่ชายของฉันก็ร้องไห้จ้าเหมือนกัน เอาแต่เขย่าแขนป้างอแงว่าอยากไปพาพ่อแม่ ป้าที่ทนต่อแรงเร้าไม่ไหวก็จำต้องพยักหน้าเออออแล้วพาพวกฉันไปในวันรุ่งขึ้น

และเมื่อฉันกับพี่ได้มาเยี่ยมพ่อแม่จริงๆ พวกฉันก็รีบวิ่งปรี่เข้าไปพ่อกับแม่ทันที พ่อที่นอนอยู่บนเตียง กับแม่ที่นั่งเฝ้าอยู่ข้างๆ แม่ไม่เป็นอะไรมาก เพียงแค่แขนหักข้างหนึ่ง กับหัวแตก ส่วนพ่อนั้นหนักกว่าตรงที่ขาหัก แล้วก็ได้รับการกระแทกตรงช่วงอก แต่นั่นพ่อก็ยังยิ้มได้อยู่ ป้าบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง เพราะอีกไม่กี่เดือนเดี๋ยวพ่อของฉันก็ออกจากโรงพยาบาลได้ ส่วนแม่ก็คงจะหายเร็วกว่าพ่อนิดหนึ่ง พวกฉันที่ได้ยินว่าพ่อกับแม่กว่าจะออกจากโรงพยาบาลได้ก็ตั้งหลายเดือน เลยโอดครวญกันใหญ่ อ้อนว่าออกพรุ่งนี้เลยไม่ได้หรือ? พ่อกับแม่ก็ยิ้ม บอกว่าไม่ได้ ต้องรอให้อาการมันดีขึ้นก่อนถึงจะออกได้

ครั้นเมื่อถึงเวลาที่พ่อแม่ต้องออกจากโรงพยาบาล ฉันก็รีบไปอ้อนพวกท่านทันทีว่าอยากให้พาไปเที่ยวสวนดอกไม้วันนี้เลย แต่พวกท่านก็บอกว่ารอให้ถึงวันหยุดก่อนได้ไหม แล้วเดี๋ยวจะพาไป ฉันที่ได้ยินอย่างนั้นก็เลยจำต้องเดินคอตกกลับมานั่งเหม่ออีกครั้ง แม้วันหยุดนั้นจะอีกเพียงไม่กี่วัน แต่มันกลับทำให้ฉันรู้สึกว่า...

ฉันอาจจะไม่ได้เจอบ้านหลังนั้นอีกแล้ว...

 

และก็จริง เพราะก่อนวันหยุดนั้น...ฉันได้รับข่าวร้ายจากพ่อแม่ว่าเราต้องย้ายบ้านไปในวันอาทิตย์นี้ เพราะหัวหน้าฝ่ายของพ่อสั่งให้พ่อย้ายไปประจำอยู่ที่อีกจังหวัดหนึ่ง ซึ่งมันไม่ไกลมากจากจังหวัดที่ฉันอยู่นี้

แต่...มันกลับไกลมากในความรู้สึกของฉัน เพราะนั่นอาจหมายความว่าพ่อและแม่อาจไม่พาฉันไปเที่ยวสวนดอกไม้อีกแล้ว

ใช่แล้วล่ะ หลังจากนั้นเป็นต้นมา ฉันก็ไม่ได้ไปเที่ยวสวนดอกไม้อีกเลย...จนถึงตอนนี้

พูดถึงเวลามันก็ผ่านมานานจนถึง 14 ปีแล้วนะ ตอนนี้ฉันอายุยี่สิบสองแล้วล่ะ เรียนจบแล้ว ส่วนเรื่องงานนี่ไม่ต้องห่วงเพราะว่าฉันมีตั้งแต่ตอนเรียนปีสี่ งานที่ฉันทำนี่คืองานแปลนิยาย ฉันและทีมจะได้รับมอบหมายให้แปลในส่วนของตัวเองซึ่งต้องส่งให้ทางสำนักพิมพ์ภายในสองอาทิตย์ ที่นี่ทำงานอย่างเป็นระบบ นักแปลมีเพียงพอสำหรับงานที่เข้ามาเรื่อยๆ นั่นจึงทำให้นักแปลทุกคนมีช่วงทำงานและช่วงหยุดที่เท่าๆ กัน ฉันที่ถึงแม้ว่าจะเรียนจบแล้วหากก็ไม่คิดที่จะย้ายไปทำที่ไหน เพราะว่าที่นี่ดีสุดแล้ว เพื่อนร่วมงานก็ดี สวัสดิการก็ดี และที่ดีที่สุด คือมีช่วงหยุดที่แสนยาวนานหลายวัน มันมากพอที่จะทำให้ฉันวางแผนทำอะไรๆ ได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องงาน

ที่ผ่านมาในช่วงหยุดของงานนั้นฉันมักจะทุ่มให้กับเรื่องเรียนเสมอ เพราะมันอยู่ในช่วงที่ต้องเรียนให้จบ อยู่ในช่วงที่ความสำเร็จอยู่ใกล้เพียงเอื้อม และในที่สุดฉันก็คว้ามันมาได้...ใบปริญญาที่ทำให้ทุกคนในครอบครัวภูมิใจ

หากในตอนนี้ฉันได้เรียนจบแล้ว ได้เป็นนักแปลของที่นี่อย่างเต็มตัวแล้ว ฉะนั้นช่วงวันหยุดของฉันจึงไม่ใช่เรื่องเรียนอีกต่อไป มันคือช่วงเวลาที่ดีที่สุดของฉันที่จะทำให้ฉัน...ได้กลับไปหาอะไรบางอย่างที่มันเองก็คงรอฉันอยู่

ฉันมีเพื่อนที่เป็นผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง เธอนิสัยดี และมีน้ำใจกับฉันเสมอ เราต่างพึ่งพาอาศัยกัน ลุยไหนลุยกัน จนกลายมาเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก พวกเราคบกันตั้งแต่ตอนเรียนปีหนึ่งจนถึงตอนนี้ ไม่ว่าฉันอยากจะไปไหนเธอก็พร้อมที่จะพาฉันไปด้วยความเต็มใจเสมอ และสงสัยว่าโชคชะตาจะลิขิตให้เราเป็นเพื่อนแท้ต่อกัน จึงทำให้เธอได้เข้าทำงานที่สำนักพิมพ์ที่ฉันทำอยู่นี้ทันทีที่เรียนจบ เพราะว่ามีพี่นักแปลคนหนึ่งในทีมของฉันขอลาออกไปทำงานที่บริษัทใหญ่ในต่างประเทศ ฉันจำไม่ได้ว่าบริษัทอะไร จำได้แค่ว่าพี่เขาต้องไปเป็นล่ามของที่นั่นเพราะพี่แกเก่งมาก พูดฟังอ่านเขียนพี่แกเก่งทั้งหมด ตอนแรกฉันยังอิจฉาแกเลย เพราะว่าได้ไปตั้งต่างประเทศแน่ะ แต่พอมาคิดๆ ดู...ถ้าฉันได้ไปบ้าง แล้วฉัน...จะหาโอกาสไหนไปเยี่ยมบ้านสีขาวหลังนั้นกันล่ะ?

เพราะฉะนั้นมันก็ดีแล้วล่ะที่ฉันได้ทำงานสบายๆ อยู่บ้าน ถึงเวลาก็แค่เอางานไปส่งที่สำนักพิมพ์ ที่เหลือสิบกว่าวันนี่คือวันหยุดของพวกฉัน ซึ่งเดือนนี้ฉันวางแพลนไว้แล้วว่าจะต้องไปเยี่ยมบ้านสีขาวหลังนั้นให้ได้!

“ฮัลโหล หมิวเหรอ วันหยุดเดือนนี้แกว่างไหม...ใช่...คือฉันอยากจะให้แกพาไปเที่ยวสวนดอกไม้หน่อยน่ะ”

 

และในที่สุด วันที่ฉันรอคอยมานานแสนนาน...ก็มาถึง

รถเก๋งสีขาวของหมิวจอดลงที่หน้าประตูรั้วของบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งมันติดกับถนนใหญ่ขนาดสองเลน โชคดีที่มีรถผ่านมาทางถนนเส้นนี้น้อยคัน รถที่จอดเกยขอบถนนเล็กน้อยของหมิวจึงไม่เป็นปัญหาของผู้ที่ใช้ถนนเส้นนี้เท่าไร

ฉันเปิดประตูรถก่อนจะค่อยๆ ก้าวลงมาเหยียบพื้นดินที่โรยด้วยหินก้อนเล็กๆ สีหม่นเต็มไปหมด หากมองให้ละเอียดจะเห็นว่าบางจุดนั้นมีต้นหญ้าเล็กจิ๋วขึ้นแซม สดบ้าง แห้งบ้าง ทว่าฉันก็ละสายตาจากพวกมันขึ้นไปมองยังประตูรั้วเหล็กบานหนาสีเข้ม ที่ถึงแม้ว่ากาลเวลาจะทำให้มันถูกสนิมกัดกินจนแทบมองไม่เห็นสีเดิมก็จริง แต่ครั้นพอฉันได้เดินเข้าไปดูใกล้ๆ ถึงได้รู้ว่าเดิมทีแล้วบานประตูหนานี้เคยเป็นสีน้ำเงินมาก่อน

“เอิ้น ฉันว่าแกรีบขึ้นรถเถอะนะ นี่ฝนก็ตั้งเค้ามาแล้ว เดี๋ยวจะไม่ได้เที่ยวสวนดอกไม้นะ”

เสียงหมิวที่ดังมาจากทางด้านหลังทำให้ฉันต้องหันไปมอง แล้วก็พบว่าหมิวไม่ยอมลงมาจากรถเลย ภาพที่หมิวยื่นตัวโผล่หน้าออกมาจากหน้าต่างรถด้านข้างคนขับพลางพยักหน้าเรียกให้ฉันขึ้นไปเสียทีกลับทำให้ฉันขำแทนที่จะสนใจและเชื่อฟัง

สิ่งที่ฉันตอบรับหมิวไปมีเพียงแค่เสียงหัวเราะเท่านั้น ก่อนที่ฉันจะตัดสินใจเดินไปกดกริ่งใกล้ๆ กับประตูเหล็กบานใหญ่ที่ไม่รู้ว่าใช้งานได้หรือเปล่า ฉันลองกดไปหนึ่งครั้ง และนั่นก็ทำให้หมิวร้อนใจจนต้องลงมาจากรถแล้วลากแขนให้ฉันขึ้นรถทันที หากฉันก็ยื้อแขนตัวเองไว้ ก่อนจะแกะมือของหมิวออกไป เธอหันมาทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ฉันก็ไม่รอช้าที่จะพูดแทรกขึ้นเพื่อให้เธอเข้าใจ

“หมิว ฉันขอร้อง ฉันรอวันนี้มานานแล้ว นะ...นะหมิวนะ แค่ครั้งเดียว วันนี้วันเดียว”

ไม่รู้ว่าสีหน้าของฉันมันดูอ้อนวอนดูเศร้าขนาดไหน หมิวถึงได้ยอมพยักหน้าตกลงทั้งที่ไม่เต็มใจเลยสักนิด ฉันยิ้มกว้างขอบคุณเธอหลายครั้งก่อนที่จะหันไปสนใจกริ่งหน้าประตูรั้วอีกครั้ง

คราวนี้ฉันลองกดติดๆ กันไปสามที หากบรรยากาศหลังบานประตูเหล็กนั้นก็เงียบกริบเสียจนหมิวต้องมาบอกให้ฉันรีบขึ้นรถไปอีก

“เอิ้นนน ฉันว่าเรารีบขึ้นรถกันเถอะนะ แกกดไปกี่ครั้งก็ไม่มีใครเขามาเปิดให้หรอก นี่มันบ้านร้างนะแก เชื่อสิ ฉันว่าเรา...”

แกร็ก!

          “เฮือก!”

ฉันและหมิวต่างสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ เมื่อยู่ดีๆ เสียงสลักของแม่กุญแจที่คล้องประตูเหล็กทั้งสองบานก็ลั่นขึ้นก่อนที่มันจะร่วงหล่นลงสู่พื้นไปต่อหน้าต่อตาพวกเรา

“เอิ้น...”

หมิวครางเสียงสั่น เธอเข้ามาเขย่าแขนฉันหลายครั้ง หากไม่รู้ว่าเพราะอะไร คนที่กลัวผีอย่างฉันถึงได้จับมือเธอแล้วยิ้มให้อย่างปลอบใจ หมิวสั่นหน้าไปมาเป็นเชิงบอกว่าอย่านะ...อย่าทำอะไรบ้าๆ นะ! แต่มีหรือที่ฉันจะปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดมือไป นี่เธอจะรู้บ้างไหมว่าฉันรอคอยวันที่จะได้เข้าไปในบ้านหลังนี้มานานเท่าไร...มันนานถึง 14 ปี!

“หมิว แกรอฉันอยู่ตรงนี้ก่อนก็ได้ ฉันจะเข้าไปแป๊บเดียว” ฉันบอกยิ้มๆ พร้อมแกะมือหมิวออก แต่หมิวที่ไม่อยากให้ฉันเข้าไปก็รีบรั้งแขนฉันไว้อีกครั้งพลางพยักหน้าให้กลับขึ้นรถด้วยกัน ฉันยิ้มกว้างปนหัวเราะ

“นี่ แป๊บเดียวจริงๆ...อ่า งั้นเอางี้ ฉันให้แกจับเวลาเลยอ่ะ ถ้าเกิดว่าเกินสิบนาทีแล้วฉันยังไม่ออกมา แกก็โทร. ตามฉันได้เลย”

“แล้วถ้ามันโทร. ไม่ติดล่ะ?” หมิวถามหน้าเสีย

“บ้า ติดสิ ดูนี่ เห็นไหม สัญญาณขึ้นเต็ม”

ฉันล้วงหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาโชว์ให้หมิวดูว่าสัญญาณโทรศัพท์เต็มไม่ขาดแม้แต่ขีดเดียว หมิวที่คงไม่ได้กลัวแค่เรื่องสัญญาณก็ขมวดคิ้วมุ่นขณะดูที่หน้าจอ เธอฉกโทรศัพท์ของฉันไปแล้วเอาไปชาร์ตแบตฯ สำรองในรถ ก่อนเธอจะล้วงหยิบเอาโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมายื่นให้ฉัน

“อ่ะ เราแลกกันใช้ไปก่อน มะกี้ฉันเห็นแบตฯ แกมันเหลือแค่ครึ่งเดียว ส่วนของฉันเหลือเก้าสิบกว่าเปอร์เซ็นต์ เงินในโทรศัพท์ก็มีอยู่สามร้อยกว่าบาท สัญญาณครบ”

ฉันรับมมากดเช็คๆ ดูก็พบว่าจริง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นยิ้มกว้างให้กับความรอบคอบของยัยหมิว

“แกนี่ระวังไปซะทุกอย่างเลยนะ”

“เอ้า ก็ต้องระวังสิ นี่แกกำลังจะเข้าไปในบ้านร้างนะ ไม่ได้เข้าห้าง จะให้ฉันวางใจได้ไง”

หมิวว่าหน้ามุ่ย เธอคงไม่เห็นด้วยอย่างมากที่ฉันกำลังจะเข้าไปข้างในนั้น

“อ่า จ้ะๆๆ งั้นวางใจเถอะนะ อีกสิบนาทีแกได้เห็นหน้าอันแป้นแล้นของฉันแน่น่ะ” ฉันบอกยิ้มๆ ส่วนหมิวนี่ก็หน้าถอดสีลงไปเห็นชัดเจนเลย

“สิบนาทีนะเอิ้น สิบนาที ฉันจะต้องได้เห็นหน้าแกนะ”

หมิวเข้ามาจับแขนทั้งสองข้างของฉันแล้วบีบแน่นจนฉันเจ็บ ซึ่งนั่นก็ทำให้ฉันรู้ว่าเธอห่วงฉันแค่ไหน

ฉันยิ้มก่อนจะพยักหน้าหนักแน่นเพื่อให้เธอเชื่อใจ และนั่น...ฉันถึงได้แกะมือเธอออกแล้วค่อยเดินไปหยุดอยู่ตรงบานประตูเหล็กดัดสีน้ำเงินเก่านั้น...

ฉันก้มลงดูแม่กุญแจที่อยู่ตรงปลายเท้าอย่างชั่งใจ หากอะไรบางอย่างที่ดลใจฉันอย่างแรงให้เงยหน้าขึ้นแล้วผลักบานประตูเข้าไปทันที

“เอิ้น! สิบนาทีนะ!”

“จ้า”

ฉันบอกขณะที่เท้าข้างหนึ่งได้ก้าวเหยียบบนพื้นคอนกรีตของทางเข้าที่ทอดลึกไปถึงไหนไม่มีทางรู้ เพราะแมกไม้แห้งบ้างเขียวบ้างนั้นบดบังหนทางข้างหน้าและตัวบ้านไว้จนเกือบมิด มันรกร้างเสียจนฉันอยากจะหาอะไรมาตัดกิ่งไม้พวกนี้ให้ออกไปพ้นๆ ทาง ทว่าสิ่งที่ฉันทำได้ในตอนนี้นั่นก็คือค่อยๆ แหวกมันออก เพราะฉันไม่รู้ว่าเจ้าของบ้านเขาจะหวงต้นไม้เขาหรือไม่ เพราะแค่นี้ฉันก็ว่าเข้ามาลบหลู่เขาแล้ว และยิ่งถ้าฉันอาจหาญหักกิ่งไม้ของเขา มีหวังฉันคงไม่ได้กลับออกไปพบยัยหมิวแน่

“เอิ้น...”

เสียงเรียกชื่อของฉันดังแว่วเข้ามาจนฉันต้องหันกลับไปด้านหลัง

“โธ่ หมิว ฉันบอกแล้วไงว่าสิบนาที แกไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่า” ฉันบอกยิ้มขำๆ เพราะคุณเธอช่างขี้กลัวเสียเหลือเกิน

“อะไร? ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ”

หมิวบอกหน้าเหวอๆ แม้มันจะเป็นประโยคที่ไม่ยาว แต่นั่นก็ทำให้ฉันค่อยๆ หุบยิ้มลงจนเหลือเพียงใบหน้าซีดเผือด หมิวเองก็เช่นกัน

“เอิ้น ฉะ...ฉัน...ฉันว่าแกรีบๆ ออกมาเถอะนะ ขอร้องล่ะ” หมิวบอกเสียงสั่นเหมือนคนจะร้องไห้ ฉันที่เห็นว่าบรรยากาศมันชักจะยังไงๆ แล้วจึงได้ตัดสินใจหมุนตัวกลับทันที พอหมิวเห็นดังนั้นก็รีบกลับเข้าไปในรถเพื่อสตาร์ทรถเตรียมรอ

“เราไม่ให้เอิ้นไป!!!”

หากยังไม่ทันที่ฉันจะเอื้อมมือไปจับบานประตู เสียงทุ้มดุดันก็ดังขึ้นพร้อมกับที่ประตูเหล็กทั้งสองบานประกบปิดเข้าหากันอย่างแรง! ฉันเบิกตากว้าง ถลาตัวเข้าไปเอามือเขย่าๆ ประตูเหล็กให้มันเปิดออก แต่ทว่ามันกลับปิดสนิทแน่นทั้งที่ไม่มีอะไรมาล็อก!

หมิวที่ยังนั่งอยู่ในรถ พอเห็นว่าฉันติดอยู่ในนี้ก็รีบเปิดประตูออกมาหน้าตาตื่น เราทั้งสองคนช่วยกันเขย่าประตูแรงๆ จนเล่นเอาเหนื่อยทั้งคู่

“เอิ้น รอเดี๋ยวนะ แกอย่าเพิ่งไปไหนนะ รออยู่ตรงนี้นะ” หมิวย้ำให้ฉันยืนอยู่ที่เดิม ส่วนเธอก็รีบวิ่งกลับไปที่รถ แม้กระจกรถของหมิวจะเป็นสีดำ แต่เพราะแสงที่ส่องลอดเข้ามาทำให้ฉันพอจะมองเห็นว่าเธอดึงโทรศัพท์ฉันออกมาจากที่ชาร์ตสำรอง แล้วเอามาโทร. ตรงหน้าฉัน หมิวเลื่อนรายชื่อลงมาจนเห็นเบอร์ของพ่อฉัน เธอจึงได้กดโทร. ออก แต่ทว่า...

“โอ้ยยย พ่อเอิ้นนน ขอร้องเถอะค่ะ รับสายทีเถอะนะคะ...รับเถอะ...รับเถอะ...”

หมิวทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ที่ไม่มีคนรับ ฉันจึงได้บอกให้เธอโทร. หาพี่ชายฉัน หมิวก็รีบกดตัดสายแล้วเปลี่ยนมาโทร. หาพี่ชายฉันแทน หากสีหน้าคล้ายกับคนจะร้องไห้ของเธอก็ทำให้ฉันเดาออกว่าคงไม่มีคนรับสายอีกเช่นกัน

“เราไม่ให้เอิ้นไป!!!”

ฉันจะดุ้งเฮือก

เสียงนั้น...เสียงนั้นอีกแล้ว คราวนี้ฉันแน่ใจแล้วว่ามันไม่ใช่เสียงของหมิว แต่มันเป็นเสียงของผู้ชาย! และถึงฉันจะไม่รู้ว่าเขารู้ชื่อฉันได้ยังไง แต่นั่นมันก็ไม่สำคัญเท่ากับที่เขาไม่ยอมให้ฉันไป!

“อ๊ะ รับแล้ว พี่อั้นคะ”

“กรี๊ดดดดดด!!!!!!!!!!!!!!! หมิว!!! หมิวช่วยฉันด้วย! พี่อั้น!!! พี่อั้นช่วยเอิ้นด้วย!!!! พี่อั้นนนนน!!!!!”

ยังไม่ทันที่ฉันจะได้ดีใจที่พี่อั้นรับสาย ความรู้สึกที่เหมือนถูกใครกระชากคอเสื้อแรงๆ ก็ทำให้ร่างฉันหล่นก้นกระแทกไปด้านหลังอย่างแรง หมิวหันมาเบิกตากว้างใส่ฉัน ตะโกนโหวกเหวกจะเข้ามาช่วยแต่ก็ทำได้เพียงแค่เขย่าประตูและร้องเรียกเสียงดัง ส่วนฉันที่ถูกมือลึกลับเอาแต่กระชากคอเสื้อแรงๆ ก็เลื่อนตัวครืดๆ ไปกับพื้นคอนกรีตหนานั่น นี่มันก็โชคดีแค่ไหนแล้วที่วันนี้ฉันสวมกางเกงยีนส์ขายาวมา ไม่งั้นฉันว่าพื้นคอนกรีตในตอนนี้คงต้องอาบไปด้วยเลือดของฉันแน่! แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผ้ายีนส์หรือจะสู้ความขรุขระของพื้นคอนกรีตเก่าๆ ตอนนี้ฉันไม่แน่ใจว่ากางเกงมันขาดไปหรือยัง เพราะยิ่งไอ้มือลึกลับนั่นมันกระชากคอเสื้อฉันไปเรื่อยๆ ไม่หยุด ฉันก็ยิ่งรู้สึกเจ็บสะโพก เจ็บขา เจ็บข้อเท้า และมันก็จุกที่คอจนหายใจไม่ออก

ไม่นะ ฉันต้องไม่มาตายที่นี่ ไม่...ไม่!!!

“เอิ้นนนน!!!!! เอิ้นนนนนนนน!!!!!!!!!!!!!!!”

ฉันพยายามเพ่งมองใบหน้าของหมิวที่ค่อยๆ เบลอเลือนและห่างออกไปทุกที และเสียงเรียกนั้นก็คงเป็นเสียงสุดท้ายของหมิวที่ฉันได้ยิน เสียงเรียกแทบจะเป็นกรีดร้องของเพื่อนรัก...

“เอิ้นเคยหนีเราไปครั้งหนึ่ง...ต่อไปนี้...เราจะไม่ให้เอิ้นหนีเราไปไหนอีกแล้ว”

 

เสียงทุ้มกังวานพูดอย่างเย็นชาอยู่ใกล้ๆ ก่อนที่เขาจะกระชากคอเสื้อฉันอย่างสุดแรง! แม้ฉันจะเจ็บและจุกที่คอ หากนั่นมันเพียงไม่ถึงเสี้ยววินาที เพราะหลังจากนั้นสติของฉันก็ดับวูบลงพร้อมกับที่ทุกสิ่งทุกอย่างในหัวสมองก็หายวับไป...

 

 

 

“เอิ้น...เอิ้นกลับมาหาเราแล้วจริงๆ”

เสียงทุ้มน่าฟังของใครบางคนดังอยู่เหนือใบหน้าของฉันขึ้นไป แม้ตอนนี้ฉันจะยังหลับตาอยู่ แต่ฉันก็พอจำได้ว่าเสียงนี้มันเป็นเสียงของคนที่กระชากคอฉันอย่างไม่ปรานี!

สัมผัสอันนุ่มนวลที่ฉันคิดว่าเป็นมือกำลังเกลี่ยเส้นผมระเกะระกะของฉันให้พ้นไปจากใบหน้าอย่างอ่อนโยน มัน...มันผิดกับตอนที่เขาทำกับฉันก่อนหน้านี้ลิบลับ!!!

ฉันพยายามจะลืมตา อยากจะมองเขาให้เต็มตา อยากจะรู้ว่าเจ้าของเสียงอันดุดันและเสียงที่ทุ้มนุ่มน่าฟังนี้จะเป็นยังไง เขา...จะเป็นคนๆ เดียวกัน หรือว่าที่บ้านร้างหลังนี้มีอยู่กี่คนกันแน่?

ทว่าพอฉันลืมตาขึ้น สิ่งที่ฉันเห็นกลับมีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น...ในห้องนี้ไม่มีใครอยู่นอกจากฉัน...เพียงคนเดียว!

ฉันพยายามยันตัวให้ลุกขึ้นนั่ง ถึงจะปวดไปทั้งตัวไม่น้อย แต่ถ้าเทียบกับความสงสัยในตอนนี้แล้วฉันแทบจะลืมความปวดไปเสียสนิท

ฉันนั่งผ่อนลมหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนอยู่ชั่วครู่ สะบัดหน้าไปมาเพื่อไล่ความมึนก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองสำรวจห้องนี้ที่ฉันกำลังนอนอยู่

และนั่นเอง...ทันทีที่สายตาของฉันปรับสภาพได้หลังจากที่หลับไปนานเท่าใดไม่รู้ วินาทีนี้ภาพทุกอย่างชัดเจน! ของทุกอย่างภายในห้องนี้ทำเอาฉันถึงกับช็อก...

มัน...มันคือห้องร้างของแท้! ทั้งสภาพและกลิ่นไอที่เหม็นสาบจนอยากจะอาเจียน

ฉันพยายามกลั้นใจสำรวจห้องนี้อย่างพะอืดพะอมผสมกับความกลัวก็พอจะประมวลผลได้คร่าวๆ ว่าห้องนี้เป็นห้องสีขาว หากแต่ตรงผนังกลับเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบสิ่งสกปรกที่เกาะอยู่ตามผนังด้านล่าง...มันไล่ลามมาเรื่อยๆ จนทั่วทุกแผ่นของพื้นไม้ปาเก้ ข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างที่อยู่ในห้องนี้ล้วนมีสภาพไม่ต่างกัน สภาพที่เปรอะไปด้วยคราบฝุ่นคราบสกปรกไม่เว้นแม้แต่เตียงที่ฉันนอนอยู่นี้ก็มีทั้งฝุ่นและคราบสีน้ำตาลเป็นจุดเล็กๆ แต้มอยู่ตามผ้าห่ม ผ้าปูเตียงและหมอนเก่าๆ อีกใบที่วางอยู่ใกล้กับโต๊ะวางของข้างหัวเตียง

เอ๊ะ? บนโต๊ะนั่น...กรอบรูปหนิ...

ฉันที่สะดุดตาเข้ากับกรอบรูปบนโต๊ะข้างหัวเตียงนั้นอดไม่ได้ที่จะรีบคลานไปยังอีกฝั่งของเตียงเพื่อหยิบกรอบรูปนั้นมาดู

ฉันใช้หลังมืออีกข้างหนึ่งเช็ดๆๆ คราบฝุ่นที่ปิดบังรูปนั้นให้ออกไป จนฉันได้เห็นภาพใบหน้าของบุคคลสองคนที่ถ่ายคู่กันในนั้น!

ฉะ...ฉันจะไม่ตกใจเลยถ้าเกิดว่าในรูปนั้นมันไม่มีฉันยืนอยู่...และแถม...แถมฉันยังยืนอยู่ในอ้อมแขนของผู้ชายคนหนึ่งอยู่ด้วย!

นี่มันอะไรกัน!?

ฉันแทบจะโยนกรอบรูปนั่นทิ้ง หากแรงที่มีอยู่ตอนนี้มันน้อยเสียจนทำให้กรอบรูปนั้นเพียงแค่กระเด็นไปไม่ถึงปลายเตียง

ฉันค้างมืออันสั่นระริกไว้อย่างนั้น อาการอึ้งตะลึงจนขากรรไกรค้าง ตาค้าง แทบขยับตัวไม่ได้!

อะไรกัน...ทำไมฉัน...ถึงอยู่ในรูปนั้นได้!?

“ทีนี้เอิ้นก็จำเราได้แล้วใช่มั้ย?”

ควับ!

ฉันหันควับไปตามเสียงทุ้มที่ดังมาจากทางด้านหลัง ก่อนที่ฉันจะเบิกตากว้างแหกปากร้องลั่นด้วยความกลัวสุดขีด

“เอิ้น”

เสียงทุ้มเรียกอีกครั้ง พร้อมกับนั่งลงบนเตียงของฝั่งนั้น ฉันส่ายหน้าไปมาราวกับคนบ้าพลางส่งเสียงกรี๊ดลั่น รีบถดตัวหนีไปนั่งกอดตัวเองแน่นอยู่ชิดหัวเตียง ทั้งเนื้อทั้งตัวสั่นสะเทือนไปด้วยความกลัวจนแทบจะเป็นบ้า!

“เอิ้น...”

เสียงทุ้มเรียกอีกครั้ง คราวนี้เสียงของเขาอ่อนลงมากจนแทบจะเป็นคราง

“เอิ้นกลัวเราขนาดนี้เลยเหรอ?”

“ฉัน...ฉันขอโทษนะคะที่เข้ามาตามอำเภอใจแบบนี้ อภัยให้ฉันด้วยนะคะ ทีหลังฉันจะไม่เข้ามาลบหลู่คุณอีกแล้ว ฉันจะไม่มาอีกแล้ว จะไม่ทำอีกแล้ว...ฮือ...ยก...ยกโทษให้ฉันด้วยนะคะ อย่าฆ่าฉันเลยนะคะ ฉัน...ฉันขอร้อง...ฮือ...ฉันขอโทษ อย่า...ฮึก....อย่าฆ่าฉันเลยนะคะ อย่าฆ่าฉันเลยนะคะ...ฮือ...อย่าฆ่าฉันเลย...ฮือ...ฮือๆๆ”

ฉันที่พนมมือขอขมาพูดรัวจนแทบจะไม่เป็นภาษาผสมกับเสียงร้องไห้ที่ห้ามไม่อยู่ ตอนนี้ฉันไม่กล้าแม้แต่จะลืมตาขึ้นดูอะไรทุกอย่างในห้องนี้ด้วยซ้ำ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว และเพราะอย่างนี้เอง ฉันถึงไม่รู้ว่าเขามานั่งอยู่ตรงหน้าฉันตั้งแต่เมื่อไหร่

“เอิ้นไม่ต้องขอโทษเราหรอก เราไม่ได้โกรธเอิ้น เราไม่มีทางฆ่าเอิ้นแน่ เราอยากให้เอิ้นกลับมาหาเราตั้งนานแล้วรู้ไหม...เรารอเอิ้นมานานมากนะ...”

เสียงทุ้มก้องกังวานสั่นเครือเหมือนกำลังจะร้องไห้

สัมผัสเย็นๆ จาก “คน” ตรงหน้าที่ค่อยๆ จับมือที่พนมอยู่ของฉัน เล่นทำเอาฉันแทบจะชักออกทันที ก่อนจะเงยหน้าขึ้นด้วยสัญชาตญาณและภาพนั้น...ภาพของคนตรงหน้าที่ทำเอาฉันถึงกับตะลึงงัน...ภาพใบหน้าเศร้าๆ ของผู้ชายคนหนึ่งที่จัดว่าหน้าตาดีคนหนึ่งเลย คือ...คือมันต่างจากเมื่อกี้ลิบลับ ต่างกันแบบเปรียบเทียบกันไม่ได้!

“เอิ้นอย่ากลัวเราเลยนะ...ขอร้องล่ะ...”

เสียงทุ้มสั่นเครือพูดก่อนที่เขาจะขยับตัวมาแล้วดึงฉันเข้าไปกอด ณ วินาทีนี้ฉันทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากเสียจากเบิกตากว้างอย่างอึ้งๆ สัมผัสอันเย็นเฉียบจากอ้อมแขนนั้นไม่ได้ทำให้ฉันรีบสะบัดออก หากได้แต่นั่งนิ่งๆ พลันน้ำตามันก็รื้นขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

“เรารักเอิ้นนะ”

เสียงทุ้มก้องพูดอยู่ใกล้ริมหู มันใกล้มากจนสะท้อนเข้าออกราวกับไม่มีวันจบ น้ำตาที่ฉันกักเก็บไว้ก็พลันไหลออกมา ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองจะต้องร้องไห้ ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้รู้สึกสงสารเขาถึงขนาดนี้ และทันทีที่เขาบอกรักฉัน...ฉันก็ทนเก็บน้ำตาไว้ไม่ไหว มันเหมือนกับฉันรอคอยคำนี้จากเขามานาน...

นานเสียจนฉันแอบคิดว่า...ฉันเคยรักกับเขามาก่อน...จริงๆ แต่...ถ้าเอาตามจริงฉันกลับจำอะไรไม่ได้สักอย่าง ฉันจำไม่ได้แม้กระทั่งชื่อของเขา

“ขอโทษนะคะ คือฉัน...ฉันจำอะไรไม่ได้จริงๆ”

ฉันสารภาพเสียงเบาหวิวเกือบจะเป็นกระซิบ และเจ้าของอ้อมแขนอันเย็นเฉียบนั้นก็ค่อยๆ คลายกอดออก เขาสบตากับฉันแล้วคลี่ยิ้มบาง...

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราจะทำให้เอิ้นจำเราได้เอง”

ฉันขมวดคิ้วมุ่น

“คะ?”

“นอนลงสิ”

เสียงทุ้มบอกอย่างอ่อนโยน ฉันที่เห็นว่าเขามีสภาพที่เหมือนคนปกติแล้ว และไหนจะน้ำเสียงที่ทุ้มนุ่มดูใจดีนั้น มันทำให้ฉันยอมเชื่อฟังเขาง่ายๆ ความรู้สึกกลัวสุดขีดนั้นแทบมลายหายไป ถึงตอนนี้แวบหนึ่งฉันก็ยังแอบคิดนะว่า ที่ฉันหายกลัวเขาเพราะว่าเขาหล่อเหรอ?

ไม่ใช่หรอก มันมากกว่านั้น...ฉันรู้สึกคุ้นหน้าเขาจนอยากที่จะจำอะไรให้ได้ทั้งหมด

ฉันยอมขยับตัวนอนลงตรงนั้นดีๆ

“หลับตา”

ฉันค่อยๆ หลับตาลง หากเพียงไม่นานหรือแทบจะเป็นทันทีที่ฉันหลับตาลง...มันก็รู้สึกเหมือนว่าเขา...ได้เข้ามานอนอยู่ข้างๆ ฉันแล้ว

ฉันฝืนมือเล็กน้อยเมื่อรู้สึกว่าเขาจะเอาอะไรบางอย่างมาสวมไว้ที่นิ้วนางข้างซ้ายของฉัน ถ้าฉันเดาไม่ผิด...

แหวนงั้นเหรอ...?

แล้วฝ่ามือเย็นเฉียบก็ค่อยๆ สอดประสานเข้ามารับกับฝ่ามืออุ่นๆ ของฉัน หากไม่เพียงแค่นั้น ฉันยังรู้สึกอีกว่าเขาได้เอาใบหน้ามาซุกไว้ตรงซอกคอ...

“เอิ้น...เราอยากให้เอิ้นจำได้ว่าเราคือใคร...เราอยากให้เอิ้นจำได้ว่าเรารักกันมากแค่ไหน...เราอยากให้เอิ้นจำทุกๆ อย่างที่เกี่ยวกับเราสองคนได้...เราอยากให้เอิ้นรู้ไว้...ว่าเราอยากอยู่กับเอิ้นตลอดไป...”

เท่านั้น ครั้นเสียงทุ้มก้องกังวานได้พูดประโยคสุดท้าย ความรู้สึกที่เหมือนกับว่าภาพเป็นล้านๆ ภาพได้ฉายรัวเร็วเข้ามาในหัวมันก็ทำให้ฉันพยายามสะบัดหน้าหลายครั้งอย่างทรมาน เสียงเหมือนใครหลายคนกำลังพูดคุยกันหากมันฟังไม่ชัดไม่รู้เรื่องเพราะดูเหมือนจะปะปนกันมั่วไปหมด ทว่า...ความสับสนพวกนั้นก็ค่อยๆ คลี่คลายออกจนเป็นแสงสว่างจ้าที่สาดเข้ามาจนฉันต้องเบือนหน้าหนีในความรู้สึก...

และแล้ว...ภาพของเหตุการณ์หนึ่งก็ค่อยๆ ฉายชัดขึ้นตรงหน้า มันเป็นภาพของคู่รักชายหญิงคู่หนึ่งที่ใส่ชุดนักศึกษากำลังนั่งพูดคุยหยอกล้อกัน ใบหน้าของคนทั้งสองนั้นฉันคุ้นมากเสียจน...

ใช่แล้วล่ะ ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าฉันนี้เป็นคนเดียวกับที่ไม่ยอมให้ฉันหนีเขาไป และผู้หญิงที่กำลังส่งยิ้มให้เขานั้น...เธอคนนั้น...ก็คือฉันเอง...!!!

“เราสัญญานะเอิ้น ว่าถ้าเราเรียนจบกันเมื่อไหร่ เราจะขอเอิ้นแต่งงานทันที”

ใบหน้ายิ้มแย้มดูมีความสุขของคนพูดนั้นทำให้ฉันรู้สึกดีตามไปด้วย ซึ่งในความรู้สึกนั้นเหมือนมันจะเป็นความรู้สึกเดียวกับของผู้หญิงตรงหน้า ที่ฉันเชื่อว่า...นั่นคือฉันเอง...แต่จะให้เรียกเธอคนนั้นว่าเป็นฉันก็คงไม่ได้ เพราะที่จริงตัวจริงของฉันกำลังยืนมองภาพเหตุการณ์ของพวกเขาอยู่ เธอคนนั้นอาจเป็นฉัน..แต่ไม่ใช่ตัวฉันในชาตินี้...

หญิงสาวตรงหน้าคลี่ยิ้มกว้างด้วยความดีใจ โผเข้ากอดร่างสูงเต็มแรงจนเขาเซไป เสียงทุ้มหัวเราะสดใส

“ขอบคุณนะ...ซี”

ซี...

ซี.....

ซี...งั้นเหรอ? เขาชื่อซีงั้นเหรอ?

ไม่ทันไรภาพตรงหน้าก็ดูดกลืนหายไปกลายเป็นภาพอีกเหตุการณ์หนึ่ง ภาพที่ทั้งซีและเอิ้นในชาตินั้นนั่งพับเพียบให้ผู้ใหญ่มารดน้ำสังข์ ทั้งสองยิ้มให้กันด้วยสายตาที่มีความรักความผูกพันมากล้น เพียงแค่ฉันได้มองเห็นสายตาของคนทั้งคู่ที่มองให้กันมันก็ทำให้ฉันเผลอยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

ทุกอย่างถูกดูดกลืนหายไปและแทนที่ด้วยภาพเหตุการณ์ในห้องนอนของพวกเขาทั้งคู่...ซึ่งถ้าฉันจำไม่ผิด ห้องนี้มันคือห้องที่ฉัน...กำลังนอนอยู่ ก่อนหน้านั้นห้องนี้มีแต่ความสกปรกและแฝงไปด้วยกลิ่นไอความเศร้าความเสียใจ กลิ่นสาบเลือดก่อนหน้านี้ที่ทำเอาฉันเกือบจะอาเจียน ทว่าห้องนอนชวนพะอืดพะอมในตอนนั้นกลับต่างกันกับห้องนอนที่ฉันกำลังยืนอยู่ในตอนนี้อย่างลิบลับ...

ห้องนอนสีขาวสะอาดตา ถูกประดับประดาด้วยเครื่องตกแต่งสีสวยหวานเข้ากัน ผ้าม่านสีโอลด์โรสที่พลิ้วไหวยามต้องลมยามเช้า พัดพลิ้วล้อกับแสงแดดอ่อนสีเหลืองอมส้มที่ทำให้ห้องนี้ดูอบอุ่นขึ้นมาถนัดตา...ที่โต๊ะข้างหัวเตียงนั้น...ดูใหม่เอี่ยม สีน้ำตาลอ่อนของมันขับให้ดอกไม้ที่อยู่บนแจกันดูหวานขึ้นไปอีก บนโต๊ะนั้นยังคงมีกรอบรูป...ทว่ามันดูใหม่กว่ามาก ฉันไล่สายตาไปจนกระทั่งเห็นภาพของเอิ้นที่นอนอยู่บนเตียง โดยมีซี...ที่นอนอยู่ข้างๆ คอยหยอกล้อหยิกจมูกหยิกแก้มอย่างมันเขี้ยว ภาพนั้นดูน่ารักเสียจนฉันหน้าร้อนอดยิ้มตามไม่ได้

หลายสิ่งหลายอย่างที่คนที่ชื่อซีพยายามจะให้ฉันได้รู้เรื่องราวในอดีตและจำมันได้ ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ว่าฉันในชาตินี้อาจลืมเรื่องทุกอย่างไปแล้ว แต่เขาก็ยังมีความเชื่อที่ว่าฉันจะต้องจำได้ในที่สุดโดยมีเขาเป็นคนช่วยรื้อฟื้นมันขึ้นมา ยิ่งซีรื้อฟื้นมากเท่าไร หัวใจฉันที่ได้ตามดูภาพเหตุการณ์พวกนั้นก็ยิ่งอบอุ่นลึก...มันยิ่งผูกพันและเหมือนตัวเองกำลังจะได้เป็นเอิ้นในชาตินั้นเข้าทุกที...ฉันรู้สึกว่าหัวใจของฉันมันกำลังเข้าใกล้หัวใจของซีมากขึ้น...มากขึ้น...และมากขึ้นไปอีก

ภาพทุกภาพที่เขาพยายามนำมาให้ฉันดูมันทำให้ฉันรู้ว่าซีและเอิ้นรักกันมากแค่ไหน แม้ในชีวิตคู่ของคนทั้งสองจะไม่มีใครมากีดขวาง ไม่มีใครมาคอยทำลายล้างความสัมพันธ์ หากเป็นร่างกายของเอิ้นเอง...ที่กำลังจะฆ่าพวกเขาทั้งสองคน...

ภาพทุกอย่างถูกดูดกลืนเข้าไปรวมด้วยกันก่อนจะคลี่คลายมาเป็นภาพของใบหน้าซีที่ก้มมองสบตาฉันอยู่ข้างเตียง ฉันที่ตอนนี้เหมือนจะไม่ใช่เพียงผู้ยืนดูเหตุการณ์ หากแต่เป็นเอิ้นคนนั้น...ฉันเป็นเอิ้นคนนั้นที่กำลังนอนอยู่ในห้องคนไข้ ภายในห้องนี้บรรยากาศเงียบ...มีเพียงเสียงสะอื้นเบาๆ ของซีเท่านั้นที่เขาพยายามสุดกำลังไม่ให้ร้องออกมา หากฉันก็ยังเห็น และรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้เขาอย่างแผ่วเบาและพร้อมที่จะร่วงลงได้ทุกเมื่อ แต่ซีไม่ยอมให้มือของฉันห่างจากใบหน้าเขาไป ตอนนี้ฉันรับรู้ได้ว่าเขากลัวแค่ไหน ฝ่ามืออันอบอุ่นของเขารีบรับมือข้างนั้นของฉันมากุมไว้แล้วพาไปแนบไว้ข้างแก้มของเขา เสียงสะอื้นดังขึ้นเรื่อยๆ พาลทำให้น้ำตาฉันรื้นไหลอาบแก้มด้วยความสงสารเขาจับหัวใจ ฉันทนไม่ได้ที่เห็นเขาร้องไห้ขนาดนี้ ฉันไม่อยากให้เขาร้องไห้เพราะฉัน ฉันไม่อยากทำให้เขาเป็นอย่างนี้เลย

“เอิ้น...” เสียงทุ้มปนสะอื้นครางนี้ฉัน

“เอิ้นอย่าทิ้งเราไปนะ เอิ้นต้องอยู่กับเรานะ ฮือๆ”

ฉันแทบไม่มีแรงพูดปลอบใจเขา หรือแม้กระทั่งลมหายใจที่ค่อยๆ ผ่อนเบาลงทุกที

ฉันเหนื่อย...เหนื่อยเต็มทีแล้ว...แต่ฉัน...ฉันยังไม่อยากจากเขาไป...

“เอิ้นจ๋า...ฮือๆๆ เราอยู่ไม่ได้ถ้าเกิดว่าไม่มีเอิ้น ถ้าเอิ้นหนีเราไปแล้วเราจะอยู่ยังไง ฮือๆๆ เอิ้น...ฮือๆๆ”

“ซี...”

เสียงแหบแห้งของฉันฟังแทบไม่ได้ยิน มันดังแค่ในลำคอที่แห้งผากจนรู้สึกเจ็บ ฉันไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร สิ่งเดียวที่ฉันรู้ว่ากำลังจะเกิดขึ้น...คือ...

มันใกล้แล้ว...ใกล้ถึงเวลาของเอิ้นแล้ว...

“ซี...ไม่ต้องร้องนะ เราจะไม่ไปไหน เราจะไม่ทิ้งซีไปไหน เราจะอยู่กับซีตลอดไป...เราสัญญา...”

“เอิ้น...”

“และถึงเราจะจากซีไปแล้ว...แต่ยังไงเราก็สัญญา...ว่าจะกลับมาหาซี...กลับมาอยู่กับซี...ซีรอเรานะ อย่าคิดทำอะไรอย่างนั้นเด็ดขาด...”

ความทรงจำที่เข้ามาในตอนนี้ทำให้ฉันรู้ว่าคนอย่างซี...ถ้าไม่มีฉันแล้วเขาก็จะไม่คิดที่จะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป

ซีไม่รับปาก หากเขาร้องไห้หนักขึ้นพลางเอาใบหน้าคลอเคลียกับมือฉันด้วยความรักและเพราะคงกลัวว่าเขาจะไม่ได้จับมือของฉันอีก...

“สัญญาสิ”

สิ่งที่ฉันกลัวทำให้ฉันสั่งเขาด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด แม้ว่าความจริงแล้วเสียงตัวเองที่ฉันได้ยินจะเป็นแค่เสียงแหบของคนใกล้หมดลมหายใจ หากซีก็รู้ว่าฉันจริงจัง และต้องการให้เขารับปากสัญญา

“ได้ เราสัญญา เราจะรอเอิ้น จะไม่ไปไหนทั้งนั้น เราจะรอให้เอิ้นกลับมานะ แต่เอิ้นต้องสัญญานะ ว่าเอิ้นจะกลับมาหาเรา...เอิ้นต้องกลับมานะ” ซีขอร้องเสียงหลงเพราะในตอนนี้เขากลัวมากว่าฉันจะไม่อยู่อีกแล้ว

และตัวฉันเอง...ก็รู้ว่าถึงเวลาแล้ว...ที่จะต้องไป

ฉันพยายามฝืนตามองใบหน้าของคนตรงหน้า พยายามคลี่ยิ้มสุดท้ายให้เขา...ก่อนที่เปลือกตาของฉัน...จะปิดสนิทไปนิจนิรันดร

 

และทุกอย่างก็ถูกดูดกลืนเข้าไปรวมกันอีกครั้งพร้อมเสียงของซีที่ตะโกนเรียกชื่อฉันสุดเสียงด้วยความเจ็บปวดทรมาน

และทุกอย่างก็กลับมานิ่งอีกครั้ง...แสงสว่างค่อยๆ ลดหรี่ลงเรื่อยๆ จนฉันที่ยังหลับตาอยู่ ก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นอีกครั้ง...

ภาพของซีที่นั่งอยู่ข้างๆ ขอบเตียง ภาพที่เขาก้มหน้าร้องไห้มันทำให้ฉัน...เจ็บหัวใจเหลือเกิน...

“เราขอโทษ ขอโทษที่ผิดสัญญา...แต่เราอยู่ไม่ได้จริงๆ เราอยู่ไม่ได้จริงๆ ถ้าไม่มีเอิ้น ฮือๆๆ”

ฉันยันกายให้ลุกขึ้นนั่ง มือทั้งสองโอบประคองใบหน้านั้นให้เงยขึ้นมามองกัน

“ไม่เป็นไรนะ ยังไงวันนี้เราก็กลับมาหาซีแล้ว เราจะไม่ทิ้งซีไปไหนอีกแล้วนะ”

ฉันพูดยิ้มๆ นั่นจึงทำให้ซีเบิกตากว้าง ดวงตาพราวระยับดูดีใจมากจนเขาอดหัวเราะไม่ได้

“จะ...จริงๆ นะ? อิ้นพูดจริงนะ?”

ฉันยิ้มกว้าง หัวเราะเสียงใส

“จริงสิ เราไม่ได้เป็นคนขี้ลืมเหมือนซีซะหน่อย เราจำได้...ว่าเคยสัญญาอะไรไว้กับซี”

เสียงโหวกเหวกโวยวายที่อยู่นอกห้องนี้ไปไม่ทำให้ฉันหันไปสนใจหรือพยายามตะโกนเรียก ตอนนี้สายตาของฉันเอาแต่จับจ้องใบหน้าคมที่ยิ้มไม่หุบ เขาดูดีใจดูมีความสุขมากจนฉันต้องดึงร่างหนานั้นมากอดให้เขาสบายใจที่มีฉันอยู่ตรงนี้แล้ว

ปัง!!!

เสียงประตูห้องถูกยันเข้ามาเสียเต็มแรง พร้อมกับการปรากฏตัวของพี่อั้น หมิว และพ่อแม่ของฉัน  ฉันและซีต่างหันไปมองพวกเขาเหล่านั้นแล้วยิ้มให้ ทุกคนเบิกตากว้าง...ครางชื่อฉันราวกับรู้แล้วว่าฉันคิดจะทำอะไร

“เอิ้นรักซีค่ะ และเอิ้นก็จะรักษาสัญญาที่เคยให้ไว้กับซี เราทั้งคู่...จะได้อยู่ด้วยกันอีกครั้ง เอิ้นขอบคุณสำหรับทุกๆ อย่าง เอิ้นดีใจที่ได้เกิดมาเจอทุกคน ได้เกิดมาเป็นลูกของพ่อแม่...ได้เกิดมาเป็นน้องของพี่อั้น และหมิว...ฉันดีใจนะที่ได้เกิดมาเป็นเพื่อนรักของแก ฉันขอบใจที่แกคอยช่วยเหลือฉันมาตลอด โชคดีนะ ฝากลากคนอื่นด้วย...”

“อะ...เอิ้น...”

ทุกคนต่างครางชื่อฉันไม่ต่างกัน แม้ฉันจะรู้ว่าเรื่องนี้อาจทำให้ใครหลายคนต้องเจ็บ แต่คำมั่นสัญญาที่ฉันเคยให้ไว้กับซีก็เปรียบเสมือนสายใยผูกพันที่ฉันจะทิ้งเขาไปซ้ำสองไม่ได้อีกแล้ว

“ลาก่อนค่ะ...หวังว่าชาติหน้า...เราจะยังเป็นอย่างนี้เหมือนเดิม”

“เอิ้น...เอิ้น! เอิ้นนนนนน!!!!!!!”  

         

ฉันจากทุกคนมาได้หลายปีแล้ว จากมา...เพื่อมาใช้ชีวิตคู่ที่สมบูรณ์กับซี เขารอคอยช่วงเวลานี้มานาน เวลาที่เราสองคนจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไปโดยไม่มีอุปสรรคหรือสิ่งใดที่จะมาพรากเราให้จากกันได้อีก

บ้านหลังนี้กลับมาสวยอีกครั้ง ทุกอย่างดูสมบูรณ์แบบจนฉันไม่อยากจากไปไหน ฉันอยากจะอยู่อย่างนี้ตลอดไป อยู่กับเขา...อยู่อย่างนี้...ชดเชยเวลาที่ขาดหายไประหว่างเราสองคน ชดเชยให้กับความเสียใจที่ซีต้องทนทุกข์ทรมานมากว่ายี่สิบปี

เอาล่ะ...ฉันเชื่อว่าการตัดสินใจของฉันอาจจะสร้างความไม่พอใจของใครหลายคน แต่เชื่อเถอะค่ะว่า...ทางเลือกของความรัก มันไม่มีทางไหนผิดทางไหนถูกหรอก...อย่าคิดให้มาก หากก็อย่าคิดให้น้อย...ขอแค่ให้คิดเสียเพียงว่า...ทางที่เราเลือกนั้น...จุดมุ่งหมายของเรามันคือสิ่งที่สวยงามหรือไม่ ถ้าหากใช่...คุณก็อย่าลังเลที่เดินไปหามัน คุณต้องมั่นใจ และพร้อมที่อ้าแขนรอรับสิ่งสวยงามนั้นมาโอบกอดไว้ให้เนิ่นนานที่สุด อย่าเสียใจหากได้เลือกมา แต่จงมีความสุขกับมันให้มากที่สุดเท่าที่เวลาจะมอบให้

นาทีนี้ฉันและซีก็ไม่รู้จะพูดอะไรเกี่ยวกับความรักได้อีก นอกซะจาก...

 

“โชคดีค่ะ / โชคดีครับ”

 

 

 

 

 

 

 

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว