นิยายเรื่องสาปรักจอมนางบัลลังก์เลือดนี้ ตัวละครและเมืองต่าง ๆ ที่ใช้ดำเนินเรื่องผู้เขียนสมมุติขึ้นมาทั้งสิ้น นอกเหนือจาก 34 หัวเมืองใหญ่ที่มีอยู่จริง โดยอิงหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของแคว้นไทใหญ่ก่อนถูกรวมเข้าเป็นประเทศพม่า
สาปรักจอมนางบัลลังก์เลือด
โดย...ล. วิลิศมาหรา
ตอนที่ 1
จุดนัดพบ
...กรุงเทพมหานคร ปี พ.ศ. 2530...
เจ้านางคำหยาดฟ้าหญิงสาวแสนสวยผู้สูงศักดิ์จากแคว้นสิบสองปันนา เธอผู้มีชีวิตอยู่เหนือกาลเวลา บัดนี้นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงนอนในห้องนอนของคอนโดมิเนียมหรูใจกลางกรุง มือสองข้างวางบนเท้าแขนเก้าอี้ ไหล่และคอตั้งตรง ใบหน้างามยามนี้สงบนิ่ง ดวงตาวาวโรจน์ดุจตานางสิงห์จ้องตะครุบเหยื่อคู่นั้นอ่อนแสงลงแล้ว ยามเมื่อจับจ้องไปยังร่างของบัวตองบ่าวหญิงผู้ภักดี ซึ่งค่อย ๆ คลี่ผ้าแพรเพลาะห่มคลุมร่างจนถึงหน้าอกให้แก่ชายหนุ่มผู้เคยเป็นยอดดวงใจของนายสาว ข้ารับใช้คนสนิทยกสองมือของเขาขึ้นวางประสานกันไว้เหนือยอดอก เสร็จแล้วจึงหันมาหานายหญิงเพื่อรอคำสั่ง
“กลับไปเก็บของที่ห้อง เราจะออกจากเมืองนี้ภายในยี่สิบนาที”
ทันทีที่เจ้านางสาวลุกขึ้นจากเก้าอี้ งูเห่าสีดำมะเมื่อมตัวใหญ่ก็เลื้อยปราดกลับเข้าไปอยู่ในตะกร้าหวายข้างตัวเธอตามเดิมราวมันรู้ภาษาคน หญิงสาวก้มลงปิดฝาตะกร้าหวายให้แน่นสนิทก่อนหิ้วมันขึ้นมาถือไว้ในมือ พร้อมพยักหน้าเป็นสัญญาณให้บ่าวคู่ใจลุกขึ้นตาม
ก่อนเดินออกจากห้องนั้นไป เจ้านางคำหยาดฟ้าหันมามองร่างไร้วิญญาณของชายคนรักอีกครั้งหนึ่ง แววอาดูรในดวงตาคู่งามของเจ้าหญิงไทเขินทำให้บัวตองสะท้านในอก สงสารนายสาวจับใจ แต่เพียงครู่เดียวมันก็เลือนหายกลับมาเปล่งประกายเจิดจ้าตามเดิม ไม่นานสองนายบ่าวก็หิ้วตะกร้าหวายออกจากคอนโดมิเนียมใจกลางกรุงตรงขึ้นรถแล้วขับจากไป
ณท่าอากาศยานเชียงใหม่ที่ประตูผู้โดยสารขาออก หนานอินเฟือนบ่าวชายอีกคนของเจ้านางมีท่าทางดีใจเมื่อเห็นสองสาวปรากฏตัวขึ้นเขาปรี่เข้ามารับกระเป๋าเดินทางจากบัวตอง เจ้านางคนสวยยิ้มน้อย ๆ ให้บ่าวชาย บอกเขาด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ว่า
“กลับไปคุ้มคำหยาดฟ้า เฮาต้องรอใหม่อีกอย่างน้อยยี่สิบปี”
...เชียงใหม่ ปี พ.ศ. 2557...
ในเช้าวันหนึ่งของต้นเดือนเมษายน รถสองแถวสีแดงสัญลักษณ์ของรถที่วิ่งรับผู้โดยสารรอบเวียงเชียงใหม่วิ่งเข้ามาในหมู่บ้านไทลื้อ-ไทเขินแห่งหนึ่งในอำเภอดอยสะเก็ด หมู่บ้านนี้ตั้งอยู่บนยอดดอยสูงชื่อดอยก้อม ซึ่งอยู่ห่างออกไปนอกตัวเมืองเชียงใหม่ไกลจนเกือบติดอาณาเขตของจังหวัดเชียงราย ที่นี่เป็นชุมชนของคนเชื้อสายไทลื้อและไทเขินซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์ไทใหญ่1
ไทลื้อ-ไทเขินมีภาษาและศิลปวัฒนธรรมใกล้เคียงกับไทยวน ซึ่งเป็นกลุ่มชนส่วนใหญ่ของจังหวัดในล้านนาไทย คนเชื้อสายไทเหล่านี้อาศัยอยู่ที่นี่มานานตั้งแต่สมัยพระเจ้ากาวิละ“เทโค”หรือเทครัวมา และที่ทยอยอพยพหนีภัยสงครามมาจากแคว้นสิบสองปันนานับตั้งแต่เกิดสงครามมหาเอเชียบูรพาในปี พ.ศ. 2484-2488 จนกระทั่งถึงอาณาจักรใหญ่ที่เคยปกครองหัวเมืองไทใหญ่ทั้งปวงอย่างพม่าและจีน เข้าสู่ระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์
รถโดยสารคันนี้วิ่งเข้ามาจอดหน้าซุ้มประตูคุ้มทำด้วยแผ่นไม้หนาใหญ่สองบานซึ่งกำลังเปิดอ้าอยู่ ภายในขอบรั้วสูงใหญ่มีอาคารก่ออิฐทาสีขาวสองชั้นหลังมหึมาตั้งตระหง่านห่างจากซุ้มประตูพอสมควร อาคารหลังนี้ชั้นบนสร้างด้วยไม้ หลังคามีมณฑปทาสีทองหลดลั่นกันเป็นชั้น ๆ นับได้เจ็ดชั้น และมีอาคารลูกหลังย่อมกว่าอีกสองหลังสร้างประกบซ้ายขวา รอบคุ้มก่อกำแพงอิฐถือปูนเป็นแนวยาวล้อมรอบอาณาบริเวณกว้างไกลนับสิบไร่ บนตัวกำแพงข้างซุ้มประตูทางด้านซ้ายมีป้ายไม้ทาสีแดงชาด แกะสลักเป็นตัวอักษรฉาบด้วยสีทองขนาดใหญ่อ่านว่า“คุ้มคำหยาดฟ้า” ติดอยู่
คนขับรถจอดดูท่าทีอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนขับพาผู้โดยสารผ่านซุ้มประตูเข้าไปจอดหน้าอาคารหลังใหญ่สุดตรงกลาง ชายหนุ่มกับหญิงสาวคู่หนึ่งลงจากรถที่พวกเขาเช่าเหมาลำมาจากในเวียง พวกเขาคืออาจารย์สอนวิชาประวัติศาสตร์วัยยี่สิบเจ็ดปีเท่ากัน ของสถานศึกษาชื่อดังในกรุงเทพมหานคร ซึ่งเดินทางมาท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ไทใหญ่หรือที่คนท้องถิ่นเรียกตัวเองว่า“คนไต”แถบจังหวัดเชียงใหม่และลำพูนในช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อน
หนุ่มหล่อคมคายรูปร่างสูงใหญ่มีมัดกล้าม แววตาซุกซนขี้เล่นภายใต้คิ้วหนาเข้ม จมูกโด่งเป็นสันและมีริมฝีปากค่อนข้างหนาเป็นรอยหยักตรงริมฝีปากบนที่มักคลี่ยิ้มออกอย่างอารมณ์ดี เขาปล่อยผมหยักศกยาวระต้นคอ สวมกางเกงและเสื้อยีนส์พับแขนถึงข้อศอกคลุมทับเสื้อยืดสีเขียวขี้ม้าตัวใน แบะอกโชว์ข้อความสีขาวบนอกเสื้อหราว่า“โสด จีบได้” เขาชื่อ นพคุณ อรุณโรจน์
ส่วนหญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก ตัวเล็กแค่ครึ่งอกของชายหนุ่มข้าง ๆ เธอมีเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนถักเปียเดียว เผยใบหน้านวลผ่องกับแก้มป่องอมเลือดฝาด ริมฝีปากอิ่มเต็มสีชมพูตามธรรมชาติ ดวงตากลมโตสุกใสคู่นั้นแฝงแววกระตือรือร้น แต่งกายทะมัดทะแมงด้วยชุดยีนส์ทั้งชุดกับสวมรองเท้าผ้าใบ เธอคนนี้ชื่อพวงชมพู สุขสมปอง
หนุ่มสาวทั้งสองสะพายเป้สนามไว้บนบ่าเหมือนเตรียมพร้อมสำหรับการพักแรม พอจ่ายค่าโดยสารเสร็จทั้งคู่ก็เดินมาหยุดเมียงมองเข้าไปภายในตัวอาคารที่ประตูด้านหน้าเปิดอ้าอยู่
“ทำไมมันเงียบเชียบอย่างนี้ล่ะนพ ไม่เห็นมีนักท่องเที่ยวสักคน”
พวงชมพูหันซ้ายหันขวาสอดส่ายสายตามองไปรอบ ๆ แต่ทั่วทั้งบริเวณคุ้มเงียบสงบปราศจากผู้คน มีเพียงเธอกับเพื่อนชายเท่านั้นที่ยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ตรงหน้าประตูอาคาร ซึ่งมันดูผิดปกติมาก เพราะในแผ่นพับแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมของจังหวัดเชียงใหม่บอกเอาไว้ว่า คุ้มคำหยาดฟ้าแห่งนี้เป็นอาคารโบราณ สร้างเลียนแบบหอหลวงของเมืองเวียงแถน เมืองสำคัญเมืองหนึ่งของแคว้นสิบสองปันนา ตัวอาคารในคุ้มมีสถาปัตยกรรมศิลปะแบบมัณฑะเลย์ และเปิดให้บุคคลภายนอกเข้าเยี่ยมชมได้ทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการหรือวันหยุดนักขัตฤกษ์
“ไม่รู้เหมือนกันแฮะ อ้อ นั่น มีคนเดินมา เดี๋ยวฉันจะลองถามเขาดู” นพคุณบอกเพื่อนหญิงก่อนสาวเท้าเข้าไปหาสตรีนางหนึ่งที่กำลังออกจากอาคารหลังใหญ่เดินตรงมาหา แล้วเอ่ยปากสอบถาม
“เราปิดซ่อมแซมเรือนจ้าว เมื่ออาทิตย์ก่อนพายุมันพัดเอาหลังคากระเบื้องดินขอหลุดไปหลายแผ่น เราประกาศไว้ในเว็บไซต์การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พวกคุณคงไม่ได้เข้าไปอ่าน”
หญิงวัยกลางคนหน้าตาหมดจดท่าทางเรียบร้อย เกล้ามวยผมหลักโง (หลักวัว) ทัดดอกจำปีที่หูตอบคำถาม เธออยู่ในชุดเสื้อป้ายข้างหรือเสื้อปั้ดนุ่งซิ่นตีนเขียว ซึ่งเป็นชุดแต่งกายพื้นเมืองของหญิงชาวไทเขิน ขณะที่เธอผู้นั้นพูด พวงชมพูสังเกตเห็นเธอมองใบหน้าหล่อเหลาคมคายของนพคุณอย่างปิติยินดี
“แต่ในเมื่อพวกคุณมาแล้วก็ขอเชิญเข้าไปข้างในก่อนเถิดจ้าว2 มีส่วนอื่นของตัวเรือนที่ไม่ได้รับความเสียหายให้พวกคุณเยี่ยมชม” หญิงที่มาจากในอาคารผู้นั้นกวักมือเรียกหญิงสาวในชุดไทเขินอีกคนที่เดินผ่านหน้าให้เข้ามาหา
“จันทร์ตาไปเรียนเจ้าท่านว่าตะวันได้ขึ้นแล้ว พี่กำลังจะพาแขกแก้วไปที่เฮือนรับรอง” หญิงมาใหม่ผู้นั้นเหลือบตามองสองหนุ่มสาวอย่างทึ่ง ก่อนรับคำแล้วรีบเดินจากไป หญิงคนแรกเชื้อเชิญให้ทั้งคู่เดินตามมายังอาคารอีกหลัง ซึ่งสร้างเยื้องไปทางด้านซ้ายของอาคารหลังใหญ่ตรงกลางเล็กน้อย
เฮือนหรือเรือนรับรองหลังนี้เป็นอาคารก่ออิฐฉาบปูนสองชั้นทาสีขาวทั้งหลัง ตั้งอยู่ทางซ้ายมือของอาคารหลังใหญ่สุด เป็นหนึ่งในสองอาคารหลังย่อมที่สร้างขนาบซ้ายขวาอาคารหลังใหญ่ตรงกลาง หลังคาไม่มีมณฑป หน้าต่างเป็นแบบฝรั่งเศสยาวจดพื้นทุกบาน เมื่อเดินขึ้นบันไดหินอ่อนเตี้ย ๆ สี่ขั้นเข้าไปชั้นล่างก็พบห้องรับแขกขนาดใหญ่ ซึ่งตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์แบบยุโรป ด้านข้างมีประตูเปิดออกไปสู่เฉลียงหินอ่อนด้านนอก หญิงสาวชาวไทเขินเชิญให้ทั้งคู่นั่งรอบนเก้าอี้รับแขก
“โปรดรอสักครู่ ท่านเจ้าของที่นี่จะเป็นผู้พาคุณเยี่ยมชมคุ้มเองจ้าว”
หญิงสาวแต่งกายเช่นเดียวกับหญิงสองคนแรกนำน้ำต้นหรือคนโทพร้อมขันเงินใบเล็ก ๆ สองใบเข้ามาวางบนโต๊ะรับแขก หญิงคนเดิมเชิญแขกต่างถิ่นให้ดื่มน้ำจากในน้ำต้น
“เชิญดื่มน้ำก่อนจ้าว ที่นี่ไม่ดื่มน้ำจากตู้เย็น เราดื่มน้ำฝนที่รองเอาไว้”
เธอรินน้ำจากน้ำต้นใส่ขันเงินยื่นส่งให้ สองหนุ่มสาวรับมาถือไว้แต่ยังไม่ทันได้ยกขึ้นดื่ม เสียงทักทายหวานใสราวระฆังเงินของหญิงสาวคนหนึ่งก็ดังขึ้น
“สวัสดีค่ะ” ทั้งคู่หันไปทางต้นเสียงพร้อมกัน ต่างตกตะลึงเมื่อเห็นเจ้าของเสียงชัดเจน ผู้หญิงตรงหน้ายังอยู่ในวัยสาวและคงรุ่นราวคราวเดียวกับพวกเขา ร่างสูงระหงสวมเสื้อปั้ดและผ้าซิ่นเช่นเดียวกับหญิงคนอื่น ต่างกันที่ตัวเสื้อของเธอปักระบายชายเสื้อและแขนเสื้อด้วยดิ้นเงินดิ้นทองเป็นลวดลายวิจิตร ซึ่งของผู้หญิงคนอื่นเป็นเพียงเสื้อสีอ่อนและสีขาว ไม่มีลวดลายใด ๆ
ผ้าซิ่นที่เธอนุ่งอยู่ทำเอาพวงชมพูจ้องมองตาค้าง เพราะจำได้แม่นว่าผ้าซิ่นแบบนี้มันคือผ้าซิ่นไหมคำหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าซิ่นบัวคำ ซึ่งเป็นซิ่นของราชสำนักไทเขินอันลือชื่อเรื่องความงามและความโดดเด่นของลวดลายบนตัวผ้า ประกอบกับราคาที่แพงระยับเพราะใช้เส้นไหมทำจากทองคำแท้หรือเงินมารีดเป็นเส้นแบนยาว แล้วเอามาตีเกลียวกับเส้นใยที่ส่วนมากเป็นฝ้าย เสร็จแล้วจึงนำมาทอต่อกับส่วนล่างของซิ่นที่เป็นผ้าไหมจีนหรือกำมะหยี่สีเขียว ด้านบนของตัวซิ่นมักปักลายบัวคำด้วยเส้นไหมหรือโลหะมีค่า ส่วนล่างสุดของซิ่นติดด้วยแถบไหมของจีน กล่าวกันว่าสนนราคาผ้าซิ่นแบบนี้ บางผืนราคาเหยียบหลักล้านเลยทีเดียว
ส่วนนพคุณนั้นตะลึงมองใบหน้าสวยหยาดเยิ้มของหญิงที่ยืนเด่น โดยไม่ได้สนใจเครื่องแต่งกายของเธอสักนิด ชายหนุ่มเผลออุทานออกมาว่า
“นี่มันคนหรือนางฟ้ากันแน่วะเนี่ย” เธอผู้นี้มีเรือนร่างสูงโปร่งระหง ใบหน้ารูปไข่ขาวอมชมพูนวลเนียน ดูโดดเด่นเมื่อรวบผมเกล้ามวยไว้กลางศีรษะ สอดแซมมวยผมด้วยดอกพุดซ้อนสีขาวดอกใหญ่ ดวงตาดำขลับมีประกายหวานซึ้ง ช่างยวนใจเมื่อประกอบเข้ากับขนตายาวงอนงามภายใต้คิ้วโก่งราวพระจันทร์เสี้ยว ดวงตาหวานสวยคู่นั้น พอสบตากันทำเอาหัวใจชายหนุ่มชาวกรุงแทบหยุดเต้น ริมฝีปากอวบอิ่มแดงระเรื่อโดยไม่ต้องพึ่งพาลิปสติกคลี่ยิ้มมาให้เห็นฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ
“พี่บัวตองไปยกน้ำชาและอมเมี่ยงมาสู่แขกที” สิ้นน้ำเสียงไพเราะของเธอ หญิงที่พูดคุยกันแต่แรกกับทั้งคู่ก็รับคำแล้วค้อมตัวถอยออกไปจากห้อง
“ฉันชื่อคำหยาดฟ้าเป็นเจ้าของเรือน ไม่ทราบว่าพวกคุณมาจากที่ไหนกันคะ”
หญิงงามทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามสองหนุ่มสาวขณะเอ่ยถาม ต่อหน้าสาวสวยผู้มีสง่าราศีน่าเกรงขามเช่นนี้ ทำเอาหนุ่มขี้เล่นและเคยปากดีอย่างนพคุณเกิดอาการพูดอึกอักติดอ่างขึ้นมากะทันหัน พวงชมพูค้อนเพื่อนชายอย่างหมั่นไส้ ตอบแทนเสียเองว่า “เราสองคนเป็นครูสอนวิชาประวัติศาสตร์อยู่ที่กรุงเทพค่ะ สนใจประวัติศาสตร์ของชาวไทลื้อ ไทเขินและไทใหญ่ พอปิดเทอมเลยชวนกันมาศึกษาศิลปวัฒนธรรมของชุมชนชาวไทที่อาศัยอยู่ที่นี่ ฉันชื่อพวงชมพูส่วนคนนี้คือ...”
ครูสาวหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักเอาข้อศอกกระทุ้งสีข้างเพื่อนชาย นพคุณสะดุ้ง ยิ้มแหย ๆ ก่อนบอกว่า
“ผมชื่อนพคุณครับ เป็นเพื่อนผู้หญิงคนนี้” ชายหนุ่มเปลี่ยนมายิ้มหน้าเป็น แล้วรีบบอกสถานภาพของตัวเอง พร้อมพยักพเยิดไปทางเพื่อนสาวข้าง ๆ เหมือนกลัวสาวงามตรงหน้าเข้าใจผิด
เจ้าของคุ้มแสนสวยนิ่งมองนพคุณด้วยแววตาเปล่งประกายยินดีประหลาดอยู่ครู่หนึ่ง ณ วินาทีนั้นบรรยากาศรอบกายของคนทั้งหมดดูเหมือนหยุดนิ่งเงียบสงัดลง และแล้วรอยยิ้มน้อย ๆ ก็คลี่ออกให้ชายหนุ่มรูปหล่อ
“ข้าเจ้าดีใจนักแล้วเจ้าพี่” ทั้งนพคุณและพวงชมพูต่างพากันมองหน้าเจ้าของคุ้มอย่างงุนงงกับคำพูดนั้น
“ฉันหมายถึงยินดีที่ได้พบพวกคุณ ไทยสยามหรือไทใหญ่ต่างก็เป็นพี่น้องกันน่ะค่ะ” หญิงสาวอธิบาย ประกายประหลาดในแววตาเธอเลือนหายไปแล้ว ดวงตางามซึ้งคู่นั้นกลับมาหวานหยดดังเดิม
“อ้อ ยินดีและดีใจเช่นกันครับ” นพคุณหายสงสัย กลับมายิ้มหน้าเป็นอีกครั้ง
“คุ้มคำหยาดฟ้าสร้างโดยปู่ทวดของฉัน ท่านชื่อเจ้าฟ้ากองคำฟั่น ตัวคุ้มมีอายุราวเจ็ดสิบปี” หญิงสาวเจ้าของคุ้มใหญ่โตเริ่มต้นเล่าตำนานคุ้มคำหยาดฟ้าให้ทั้งคู่ฟัง และอาจเป็นเพราะน้ำเสียงไพเราะก้องกังวานของสาวเจ้า จึงทำให้หนุ่มกรุงต้องนั่งโน้มตัวมาข้างหน้าอย่างลืมตัว ชายหนุ่มตั้งใจฟังสิ่งที่เธอกำลังพูด สัมผัสบางอย่างในน้ำเสียงหวานใสเหมือนเคยได้ยินมาก่อน พลันนั้นนพคุณก็เกิดอาการมึนงง วิงเวียนศีรษะ
....“เจ้าพี่อย่าทิ้งน้องไป”...
หูแว่วแล้วเรา...หนุ่มหล่อสลัดศีรษะไล่ความมึนงง รู้สึกคล้ายจริงกับเสียงเพรียกหานั้นมาก หรือเป็นเพราะบรรยากาศของคุ้มโบราณทำให้เขาเคลิบเคลิ้มเหมือนดูหนังดูละคร...สงสัยอินกับหนังย้อนยุคมากไป นพคุณคิด สักพักทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ เสียงเล่าหวานใสยังดังกังวานต่อไป
“ท่านเป็นเจ้าหลวงของเมืองเวียงแถน เมืองไทเขินที่สำคัญเมืองหนึ่งของแคว้นสิบสองปันนาซึ่งมีเมืองบริวารมากกว่าสิบเมือง อาคารหลังใหญ่ตรงกลางเรียกว่าเรือนหลวง สร้างเลียนแบบหอหลวงของเมืองเวียงแถน เมื่อตอนอังกฤษเข้ายึดครองพม่าพวกนั้นต้องการยึดครองเมืองของชาวไทลื้อ ไทเขินและเมืองของไทใหญ่ทั้งปวงด้วย ปู่ทวดร่วมมือกับพม่าช่วยกันปลดแอกพม่าจากอังกฤษ ไม่นึกเลย รัฐบาลทหารของพม่าเองก็ต้องการล้มล้างระบอบเจ้าฟ้าของชาวเรา พวกเราโดนโจมตีทั้งจากฝรั่งต่างชาติและพวกม่าน เราแพ้สงคราม ปู่ทวดพาครอบครัวหลบหนีมาลี้ภัยอยู่กับเจ้าฟ้าเชียงใหม่ เจ้าพ่อเกิดที่นี่เราจึงได้สัญชาติไทย ตัวฉันเป็นรุ่นที่สี่ ตอนนี้ทั้งเจ้าพ่อเจ้าแม่สิ้นหมดแล้วเหลือฉันดูแลที่นี่เพียงคนเดียว”
หญิงสาวสูงศักดิ์เล่าอดีตยืดยาวด้วยท่าทีอันสงบ
“ที่แท้ท่านเป็นราชนิกุลของเจ้าฟ้าไทใหญ่ ถ้าอย่างนั้นฐานันดรศักดิ์ท่านก็ต้องเป็นเจ้านางสินะครับ เจ้าบอกว่าอยู่ที่นี่คนเดียวแสดงว่าเจ้ายังโสด” นพคุณโพล่งถามออกไปอย่างลืมตัว พวงชมพูจิกเล็บเข้าที่แขนเพื่อนหนุ่ม กระซิบลอดไรฟันดุเบา ๆ
“ไอ้นี่...เก็บอาการหน่อยเสียมารยาทแท้แก” แล้วรีบหันไปขอโทษเจ้านางสาว
“ดิฉันต้องขอโทษเจ้าด้วย หากเราสองคนทำอะไรรุ่มร่ามลงไป เอ้อ เราขอสนทนากับท่านด้วยคำพูดธรรมดาจะได้ไหมคะ” หญิงงามเบื้องหน้าหัวเราะเสียงใส ก้มศีรษะรับ
“ได้สิคะ ตอนนี้ดิฉันก็มีสถานะเช่นเดียวกับพวกคุณนั่นแหละค่ะ เพราะฐานันดรศักดิ์ที่คุณว่าได้ถูกยกเลิกไปนานแล้ว ถูกต้องค่ะฉันยังโสด ที่นี่แวดล้อมไปด้วยหมู่บ้านชาวไทลื้อไทเขินที่อพยพหนีภัยสงครามมาเมื่อครั้งกระโน้น พวกเขาคอยช่วยเหลือดูแลฉันเป็นอย่างดี” สาวสวยพูดกลั้วเสียงหัวเราะ สองหนุ่มสาวเมื่อเห็นท่าทีเป็นกันเองของสตรีสูงศักดิ์จึงค่อยคลายความเกร็งลง
“คุ้มคำหยาดฟ้าใหญ่โตกว้างขวางมาก เจ้าจัดการกับเรื่องภายในคุ้มอย่างไรคะ”ถามพลางเหลียวมองไปรอบ ๆ ครูสาวเกิดความสงสัยว่าทำไมเจ้านางไทเขินซึ่งเป็นหญิงอายุน้อย จึงดูแลบริหารจัดการเรื่องต่าง ๆ ภายในคุ้มใหญ่โตแห่งนี้คนเดียวได้
“ก็อย่างที่เล่าให้ฟัง รอบคุ้มคือพี่น้องชาวไทลื้อไทเขินทั้งสิ้น ขาดเหลือหรือต้องการความช่วยเหลืออะไรพวกเขายินดีทำให้ ส่วนภายในคุ้มก็ได้พี่บัวตองคนเมื่อกี้กับหนานอินเฟือนผู้จัดการคุ้มช่วยดูแลกำกับคนงานในคุ้มให้ค่ะ”
สองหนุ่มสาวผงกศีรษะรับเป็นทำนองว่าสิ้นข้อสงสัย ขณะนั้นบัวตองยกเอาชุดน้ำชาและเมี่ยงห่อใบตองเป็นคำเล็ก ๆ เข้ามาพอดี หญิงรับใช้ของเจ้านางคำหยาดฟ้ารินน้ำชาใส่ถ้วยกระเบื้องใบเล็กส่งให้สองหนุ่มสาว
“น้ำชาใส่เกลือของชาวเมืองเวียงแถน ลองชิมดูนะจ้าว” ทั้งคู่เอ่ยขอบคุณ รับถ้วยชามาจิบ รับรู้ถึงรสชาติที่ออกเค็มแปลกไปจากน้ำชาทั่วไปที่เคยดื่ม เมื่อพูดคุยกันได้พักใหญ่ ประมุขของคุ้มจึงเอ่ยชวนให้ทั้งคู่ลุกเดินตามเธออกไปจากห้องรับรองแขก “ฉันจะพาพวกคุณไปชมตัวอาคารและรอบ ๆ คุ้ม เชิญค่ะ”
วันนั้นทั้งวันสองหนุ่มสาวจึงตระเวนชมตัวอาคารหลังใหญ่ที่เจ้าของเรียกว่าเรือนหลวงและอาคารลูกอีกสองหลังซึ่งอยู่ติดกัน รวมทั้งบริเวณโดยรอบเรือนหลวงอันประกอบไปด้วย โรงรถ โรงครัว สวนกล้วยไม้ และสวนดอกไม้ที่ได้รับการตกแต่งอย่างสวยงาม
ประตูทางเข้า– ออกคุ้มมีทั้งหมดสามประตู คือประตูทางทิศเหนือที่มีซุ้มประตูขนาดใหญ่ซึ่งทั้งคู่พึ่งผ่านเข้ามา อีกประตูอยู่ทางทิศใต้ ประตูด้านทิศตะวันออกมีศาลเจ้าขนาดใหญ่เป็นที่อยู่ของ “นัต” หรือ “ผี” ที่คอยคุ้มครองเรือน มุมหนึ่งทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเรือนหลวงมีศาลาประดิษฐานพระพุทธรูป 8 องค์
ในสวนดอกไม้ด้านหน้าเรือนหลวงสวยร่มรื่นไปด้วยไม้ดอก ไม้ใบและต้นไม้ใหญ่ ด้านข้างสวนสวยมีสวนกล้วยไม้นานาชนิดตั้งอยู่ เมื่อเดินมาถึงตรงนี้นพคุณซึ่งชื่นชอบสะสมกล้วยไม้เป็นชีวิตจิตใจรู้สึกตื่นตาตื่นใจ ครูหนุ่มเอาแต่บันทึกภาพกล้วยไม้ไม่ยอมเคลื่อนย้ายไปไหนต่ออีก พวงชมพูได้แต่ยิ้มเจื่อน ๆ ให้เจ้าของคุ้มกับอาการปลื้มเกินเหตุของเพื่อนชาย
ถ่ายรูปจนพอใจแล้วชายหนุ่มก็เอ่ยขออนุญาตเจ้าของคุ้มทานมื้อเที่ยงภายในศาลาไทยกลางสวนสวย ซึ่งก็คือแซนวิชกับน้ำดื่มคนละขวดที่ฉวยมาจากเซเว่นข้างทางเมื่อเช้านี้
“เชิญตามสบายค่ะ” ประมุขหญิงคุ้มคำหยาดฟ้าอนุญาตโดยดี ขณะที่พูด ดวงตาเปล่งประกายหวานเป็นนิจคู่นั้นดูหม่นเศร้าลงอย่างประหลาด ราวท้องฟ้าครามใสกลายสียามอาทิตย์อัสดง
“สวนนี้จัดไว้รอคุณมาเยี่ยมชมนานแล้ว” เธอพูดทิ้งท้ายเป็นปริศนาอีกครั้งก่อนปล่อยสองหนุ่มสาวไว้ที่นั่นตามลำพัง
“ไอ้นพ แกง่ะ” พอเจ้านางคนสวยกับหญิงรับใช้ประจำตัวลับตาไปแล้ว พวงชมพูหันมาแหวใส่เพื่อนหนุ่มทันที
“อะไร” นพคุณก้มง่วนอยู่กับกล้องถ่ายรูปไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมอง
“มีมาดหน่อยได้ไหม แก คอ. ศอ. สอง แล้วนาเว้ย ทำตัวเป็นเด็กนักเรียนมาเที่ยวงานวันเด็กไปได้” เพื่อนสาวเอ็ดเขาเสียงเขียว พอเห็นชายหนุ่มไม่สนใจฟังจึงแย่งกล้องถ่ายรูปจากมือเขามาซ่อนไว้ข้างหลัง
“เฮ้ย ทำอะไร เอามา” นพคุณร้องเอะอะ พวงชมพูส่ายหน้ายิ้มอย่างผู้ชนะที่แกล้งเขาได้
“เอามานะเว้ย ฉันกำลังดูรูปถ่ายติดวิญญาณอยู่แกรู้ป่าว” ชายหนุ่มบอกด้วยสีหน้าขึงขัง กวักมือเรียกเอากล้องคืนยิก ๆ พวงชมพูทำตาโตห่อปากรูปตัวโอรีบยกกล้องขึ้นกดดู
“ไหน ภาพไหนไอ้นพ ที่แกว่าถ่ายติดวิญญาณน่ะ” นพคุณคว้ากล้องมาจากมือเธอ กดชัตเตอร์ใส่หน้าเพื่อนสาวรัว ๆ
“อ่ะ นี่ไงฉันถ่ายติดปีศาจนางแม่มดว่ะ ฮ่า ๆ ๆ” พวงชมพูถลึงตาใส่ ลุกขึ้นไล่ทุบเพื่อนชายไม่ยั้ง
“โอ๊ย ๆ ๆ กลัวแล้วแม่จ๋า ยอมแล้วจ้า” ครูหนุ่มหัวเราะชอบใจที่เห็นเพื่อนสาวเหนื่อยหอบจนตัวโยน แต่พอเธอเริ่มไอแค่ก ๆ เขาก็หน้าเสีย
“อ้าว ๆ หืดจับอีกแล้วสิเนี่ย เล่นอะไรไม่ดูสังขารตัวเองเล้ย ยัยแม่มดหนังเหนียว มานี่มา นพลูบหลังให้”
พวงชมพูทรุดนั่งลงข้างชายหนุ่มโดยดี หายใจหอบเหนื่อยไม่พูดไม่จา นพคุณเอามือจับศีรษะเพื่อนสาวให้พิงหัวไหล่ของเขาเอาไว้ อีกมือหนึ่งลูบหลังให้เบา ๆ
“ดีขึ้นหรือยัง” ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างห่วงใย ไร้แววขี้เล่นเหมือนก่อนหน้า หญิงสาวพยักหน้าบ่นงึมงำ
“แกชอบแกล้งฉัน ถ้าฉันตายจะเป็นผีมาหลอกให้หัวโกร๋น” เธอพูดด้วยน้ำเสียงอู้อี้ ศีรษะยังพิงไหล่ชายหนุ่มอยู่อย่างนั้น ไม่มีใครคิดผละห่างจากกัน
“ชอบพูดบ้า ๆ” ชายหนุ่มดุไม่จริงจัง
“ไม่มีชมพู นพจะอยู่ได้ยังไง” คำพูดของชายหนุ่มทำให้พวงชมพูรู้สึกหวิวหวามในใจ แอบแหงนหน้าขึ้นมองใบหน้าคมคายด้านข้างของคนพูด พอเขาก้มลงมามองบ้างก็รีบหลุบเปลือกตาลงต่ำ
“ใครจะช่วยฉันทำ คอ.ศอ. สาม ใครจะคอยด่าเวลาขี้เกียจสอน ฉันคงเฉาหูตายตาม” หนุ่มขี้เล่นพูดต่อทำหน้าตาย น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นกระเซ้าเย้าแหย่เพื่อนสาวตามเดิม
“ไอ้บ้า” คราวนี้พวงชมพูผงะออก เอามือยันตัวหนุ่มหล่อให้ห่าง ด่าเขาแล้วเบือนหน้าหนีแอบไปซ่อนยิ้ม
ใต้เงาไม้ไม่ไกลจากสองหนุ่มสาวเท่าใดนัก สายตาคู่หนึ่งเฝ้าจับจ้องกิริยาของคนทั้งคู่แทบไม่กระพริบ ขอบตาร้อนผ่าว ก้อนสะอื้นแล่นมาจุกอยู่ที่ลำคอจนตีบตัน เจ้านางคำหยาดฟ้าหันหลังเดินออกไปจากที่นั่นเงียบ ๆ
ด้านหลังของนายหญิง บัวตองและอินเฟือนบ่าวชายหญิงคู่ใจซึ่งยืนมองดูอยู่โดยตลอดต่างเหลียวมองหน้ากัน ทั้งสองทอดถอนใจยาว ในที่สุดก็แยกย้ายจากไปเช่นกัน
จนล่วงถึงเวลาบ่ายมากแล้ว เจ้าของคุ้มคำหยาดฟ้าให้บัวตองมาสอบถามสองหนุ่มสาวถึงที่พักแรม พอรู้ว่าทั้งคู่ยังไม่มีที่พักเธอก็เอ่ยปากชวนค้างคืนที่คุ้มและชวนร่วมรับประทานอาหารมื้อเย็นด้วยกัน ท่าทีเหมือนยังไม่อยากให้จากไปไหน
“คุณทั้งสองไม่ต้องเกรงใจ ห้องว่างเรือนเรามีหลายห้อง” เจ้านางสาวบอกอย่างมีไมตรีซึ่งทั้งคู่รีบรับข้อเสนอโดยเร็วแทบไม่ต้องคิด เมื่อเที่ยวชมจนทั่วคุ้มแล้วเจ้าของคุ้มคนสวยก็ให้บัวตองที่คอยตามดูแล พาแขกทั้งสองไปยังห้องนอนรับรองแขกชั้นล่างอาคารทางซ้ายมือของเรือนหลวง
ห้องนอนทั้งสองห้องเป็นห้องนอนขนาดใหญ่ตั้งอยู่ติดกัน ภายในตกแต่งผสมผสานระหว่างสไตล์โคโลเนียลและพม่า บริวารหญิงของเจ้านางพาแขกชาวกรุงไปแนะนำห้อง นพคุณกับพวงชมพูทำตาโต ชี้ชวนกันชมความสวยงามอลังการของเครื่องเรือนและสิ่งประดับตกแต่งแต่ละห้องอย่างตื่นตาตื่นใจ ทั้งคู่ทึ่งในความหรูหราและคลาสสิกของห้อง
ก่อนกลับออกไปโดยทิ้งสองหนุ่มสาวไว้ในห้องนอนรับรองแขกห้องหนึ่ง บัวตองแจ้งว่าเวลาอาหารคือหกโมงเย็น ครั้นลับร่างหญิงรับใช้ไปแล้ว สองสหายก็ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงนอนหนานุ่มอย่างลิงโลด พวงชมพูถามเพื่อนหนุ่มด้วยความสงสัยว่า
“เขาต้อนรับนักท่องเที่ยวดีอย่างนี้เชียวหรือแก”
“นั่นสิ ฉันก็งงเหมือนกัน ให้เข้ามาดูคุ้มทั้งที่ยังปิดอยู่ พาเที่ยวชมหนำซ้ำยังให้อาหารกับที่พักฟรี อะไรจะโชคดีปานนี้ แต่ว่าก็ว่าเถอะฉันชักเกรงใจเขาแล้วเนี่ย แกดูห้องนอนสิอย่างหรูเลย ฉันแทบไม่กล้านอน” นพคุณลูบไล้ผ้าปูที่นอนเนื้อเนียนที่คลุมเตียงไปมาอย่างทึ่ง
“ฉันว่าเฟอร์นิเจอร์พวกนี้ของนอกแน่ ๆ ห้องนี้มันช่างต่างจากห้องนอนชายโสดของไอ้นพที่กรุงเทพยังกะฟ้ากับดิน” ว่าแล้วก็ล้มตัวลงนอนเหยียดยาวบนเตียง คว้าหมอนสีสวยมากอดทำท่าเคลิ้ม
“ฉันจองห้องนี้นะ แกนอนห้องโน้น อืม...ช่างเป็นบุญหลังไอ้นพจริง ๆ หมอนนี่ก็นุ่มดีจังแม่คุณเอ๋ย” พวงชมพูเอากำปั้นทุบหลังเพื่อนชายเข้าให้อย่างหมั่นไส้
“หนอย ถึงเพ้อเชียวนะแก ที่บอกนุ่มน่ะ หมอนนุ่มหรือแกนึกไปถึงเจ้าของหมอน” นพคุณปล่อยหัวเราะก๊าก แซวเพื่อนสาวว่า
“ให้ฉันฝันหวานสักวันเหอะวะนาน ๆ ได้เจอนางฟ้าสักที ทุกวันเห็นแต่หน้านางแม่มดอย่างแกไม่เจริญหูเจริญตาเอาเสียเลย” สาวตาโตหน้าง้ำ ฟาดฝ่ามือเพียะเข้าที่ลำตัวชายหนุ่มอีกที
“ไอ้นพ ไอ้บ้า แกเห็นฉันเป็นแม่มดอย่างนี้ตลอดเลยใช่ไหม เออดี ต่อไปอย่ามาขอให้ช่วยทำนวัตกรรม ทำผลงานวิชาการอีกนะ แม่มดทำไม่เป็นโว้ย”
พูดจบก็สะบัดหน้าเดินกระฟัดกระเฟียดออกจากห้องไป นพคุณส่ายหน้ามองตามยิ้ม ๆ ขำท่าทางนั้นของเพื่อน ก่อนพริ้มปิดเปลือกตาลงชายหนุ่มนึกถึงแววตาหวานเศร้าและคำพูดปริศนาของเจ้านางคนสวย หนุ่มหล่อคิดเข้าข้างตัวเองว่าเขาคงบังเอิญหน้าตาไปเหมือนใครสักคนเข้า ใครคนนั้นคงเป็นคนรักของเธอ...ชักนึกอิจฉาเจ้าผู้ชายคนนั้นที่ต้องเป็นชายเหนือชายแน่ ๆ จึงสามารถกุมหัวใจสตรีสูงศักดิ์และเลอโฉมผู้นั้นเอาไว้ได้
พอนึกมาถึงตรงนี้ชายหนุ่มอดหัวเราะขำตัวเองที่คิดเพ้อเจ้อไม่ได้ ส่ายศีรษะสลัดความคิดนั้นทิ้งไปก่อนพลิกตัวลงนอนคว่ำ เอาใบหน้าซุกกับหมอนนุ่ม สักครู่เขาก็ระบายลมหายใจสม่ำเสมอ หลับไปอย่างมีความสุข
เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น บัวตองมาเชิญแขกทั้งคู่ให้ไปยังห้องอาหารของเรือนหลวง ที่นั่นเจ้าของคุ้มแสนสวยนั่งรออยู่ก่อนแล้ว เธอพิลาศล้ำด้วยเสื้อไหมโปร่งแขนยาวสีชมพูและเสื้อเกาะอกสีเดียวกัน เผยผิวนวลผ่องเป็นยองใยภายใต้ร่มผ้าบางเบา ผ้าซิ่นสีเดียวกับเสื้อ ปักลายป่าหิมพานต์แสนวิจิตร
บนโต๊ะอาหารที่ทำด้วยไม้มะฮอกกานีอย่างดีมีสำรับประกอบไปด้วยแกงฮังเล น้ำซุปถั่วลันเตา ผักกุ่มดอง แคบหมูกับน้ำพริกอ่องและข้าวเหนียววางอยู่ เจ้าของเรือนเชื้อเชิญให้ทั้งคู่นั่ง ดวงตาหวานซึ้งจ้องมองตามร่างอาคันตุกะหนุ่มไม่วางตา
“ที่เมืองเวียงแถน เราจะทำอาหารพวกนี้ไว้ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง พวกคุณคงทานได้” เธอแนะนำสำรับอาหารที่ตั้งอยู่ตรงหน้าด้วยกิริยาแช่มช้อย แล้วเอ่ยถามแขกต่างเมือง
“สบายมากครับ เพื่อนผมที่เชียงใหม่พาไปกินอาหารพวกนี้บ่อย ๆ ผมชอบแกงฮังเลกับน้ำพริกอ่องมาก ทานได้ทุกวันไม่มีเบื่อ” เมื่อได้ยินสิ่งที่ชายหนุ่มบอกดูเหมือนเจ้าของคุ้มสาวจะชะงักไปเล็กน้อย เธอยิ้มเยื้อนก่อนเชิญให้สองหนุ่มสาวลงมือทาน
ระหว่างมื้ออาหาร พวงชมพูสังเกตเห็นเจ้านางคนงามคอยบริการเพื่อนหนุ่มของเธอเป็นพิเศษ หญิงเจ้าของคุ้มตักแกงฮังเลให้ชายหนุ่มถี่ ๆ เลือกเอาแต่ชิ้นที่ติดมันนิด ๆ ผักแนมก็เลื่อนเฉพาะแตงกวามาให้ตรงหน้าเหมือนรู้ว่าเขาชอบ นพคุณเองก็ทำหัวร่อต่อกระซิกอย่างน่าหมั่นไส้ในสายตาของครูสาว เขายิ้มและขอบคุณเจ้าหญิงไทเขินทุกครั้งที่เธอบริการด้วยน้ำเสียงตลก ๆ ซื่อ ๆ ตามสไตล์
เจ้านางคำหยาดฟ้ายิ้มแย้ม หยิบจับโน่นนี่ด้วยกิริยาชดช้อย พลางชวนชายหนุ่มแดนไกลสนทนาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานเจื้อยแจ้ว แววตาคู่สวยสดใสเปล่งประกายแวววาว เจ้านางโฉมงามดูเหมือนมีความสุขมากตลอดมื้ออาหาร ในขณะที่พวงชมพูกลับรู้สึกกลืนข้าวแทบไม่ลงเหมือนข้าวติดคอ
........................................................................................................................
เชิงอรรถ
1ไทใหญ่ : นักมานุษยวิทยาใช้เกณฑ์ด้านวัฒนธรรมและประเพณีแบ่งกลุ่มชาติพันธุ์คนไทออกเป็นสามกลุ่มคือ ไทน้อย ไทใหญ่และไทยสยาม
ไทใหญ่หมายถึงกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีถิ่นฐานดั้งเดิมอยู่บริเวณฝั่งตะวันตกของแม่น้ำโขงเลยไปถึงลุ่มน้ำสาละวิน แม่น้ำอิระวดีและพรหมบุตร กลุ่มชาติพันธุ์ในตระกูลนี้ได้แก่พวกไทใหญ่ที่เรียกตัวเองว่าไตหรือไตโหลง(ไทหลวง) ส่วนคำว่าไทใหญ่นั้นเป็นชื่อในภาษาไทยเท่านั้นไม่ใช่ชื่อที่ใช้เรียกตัวเอง พวกไทเหนือ ไทเขินหรือไทขึน ไทลื้อและไทยวน (ลาวยวน) เป็นต้น ไทใหญ่ในรัฐฉานแบ่งการปกครองออกเป็น 34 หัวเมืองใหญ่ ๆ แต่ละหัวเมืองมีเจ้าฟ้าปกครอง
2จ้าว ลงท้ายของหญิงไทเขินและผู้หญิงทางภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย เหมือนคำว่า คะ ค่ะ