ริษยาซ่อนร่าง
3
ตอน
2.71K
เข้าชม
40
ถูกใจ
0
ความคิดเห็น
6
เพิ่มลงคลัง

ริษยาซ่อนร่าง


 

โดย ล. วิลิศมาหรา

 

 

 

ตอนที่หนึ่ง

 

รักสามเส้าของเอกกวี แสงสินีและกวินตา

 

 

 

             "ว้าย! เต้ย ช่วยรับแก้มด้วย" เสียงหวีดร้องของแม่เพื่อนรักตัวดีดังขึ้นอีกแล้ว เด็กสาวถักผมเปียสองข้าง รูปร่างปราดเปรียวท่าทางคล่องแคล่วว่องไวชะงักเท้าที่กำลังวิ่งอย่างเร่งรีบให้หยุดลง เธอเหลียวใบหน้าสวยเข้มคมขำไปดูต้นเสียง แล้วก็ต้องหันหลังกลับมาหยุดยืนรอ ยกมือกอดอก เอียงคอ ขยับยืนกางขาในท่าพัก พร้อมส่ายหน้าอย่างระอาใจต่อภาพที่เห็น

 

เฮ้อ นังแก้มนี่ทำไมมันอ่อนแอ เหยาะแหยะ เยิ่มเหยย อย่างนี้นะ เด็กสาวตาคมชื่อฝนหรือชื่อจริงคือแสงสินีบ่นพึมในใจ ขณะยืนดูเด็กหนุ่มหน้าตาคมสัน ซึ่งกำลังช่วยดึงแขนสองข้างของเด็กสาวร่างอรชร มัดผมม้าหน้าตาสะสวย ไม่ให้ร่วงตกลงไปในท้องร่องที่มีน้ำขังอยู่เต็ม

 

ลำพังแค่โดดข้ามท้องร่องในสวนมะม่วงกว้างไม่ถึงวา เพื่อนสาวที่ชื่อแก้มหรือกวินตาคนนี้ไม่เคยโดดข้ามเองได้สักที ตั้งแต่สมัยเรียนประถมจนตอนนี้จะจบมัธยมหกกันอยู่แล้ว หล่อนต้องคอยเรียกเต้ยหรือเอกกวีให้ช่วยรับหล่อนทุกครั้ง ซึ่งเพื่อนหนุ่มก็ต้องหยุดรอเพื่อช่วยรับและคอยดึงมือแม่นางคนสวยเอาไว้ ไม่ให้ร่วงหงายท้องลงท้องร่องไปเสียก่อน

 

เอกกวีกับเพื่อนสาวทั้งสองเป็นสมาชิกของแก๊งค์หกซุบเปอร์ฮีโร่X-Mensซึ่งสมาชิกประกอบไปด้วยเอกกวี แสงสินี กวินตาและเพื่อนชายหญิงห้องเดียวกันอีกสามคน คือพาฝัน ลักขณาและบุรินทร์ทั้งหมดเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/1 ของโรงเรียนมัธยมศึกษาประจำจังหวัด พวกเขาตั้งชื่อเรียกกันเองเพราะต่างคลั่งไคล้ตัวละคร Mutant (ผู้มีความสามารถเหนือมนุษย์) ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่พาเหรดกันเข้ามาฉายให้เด็กไทยดูจนติดงอมแงมเหมือน ๆ กัน

 

เอกกวีตั้งตัวเป็น Professor Xหัวหน้าแก๊งค์ แสงสินีอยากมีพลังจิตเคลื่อนย้ายวัตถุแบบPsylocke ส่วนกวินตาชื่นชอบRogue นัยว่าอยากดูดกลืนพลังงานและความทรงจำของทุกคนที่ได้สัมผัส บอมหรือบุรินทร์อยากยิงแสงออกจากตาได้เหมือนกับCyclopsลักขณาหรืออุ้มอยากควบคุมฟ้าดินแบบ Storm ส่วนพาฝันหรือแพม สาวสายตาสั้นนั้นแปลกกว่าใครเพื่อน เธออยากมีกรงเล็บเหล็กและแข็งแกร่งอดทนเหมือนWolverine

 

เป็นเรื่องธรรมดาของเด็กและวัยรุ่นทั่วไปที่จะชื่นชอบและมีไอดอลเป็นคนเก่ง ยิ่งเก่งเหนือมนุษย์ก็ยิ่งชอบ ซึ่งเหตุผลลึก ๆ ทางด้านจิตวิทยานั้น เด็ก ๆ กลุ่มนี้อยากมีพลังวิเศษเพื่อนำไปใช้แก้ไขอุปสรรคขวากหนามในชีวิตของพวกตนนั่นเอง แต่ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มสาวทั้งสามในสวนมะม่วงสนิทกัน นั่นก็คือบ้านของพวกเขาสร้างอยู่ติดกันอีกด้วย

 

แสงสินียืนมองแล้วนึกค่อนขอดเพื่อนในใจ

 

...ฮึ ดูเต้ยสิ รับยายแก้มข้ามท้องร่องมาได้แล้วไม่ยักกะปล่อยมือ จับมือกันไว้อย่างนั้นตั้งนานสองนาน...

 

ยิ่งนานวันยิ่งขัดตา สาวตาคมอดส่งค้อนให้เพื่อนทั้งสองไม่ได้

 

"นี่ ปล่อยมือกันได้แล้ว รีบเดินเข้าสายแล้วนะ เดี๋ยวโดนอาจารย์ปีศาจหน้าประตูโรงเรียนเล่นงานเอาหรอก แน่ะ เสียงรถมาแล้ว"

 

สั่งเสียงเข้มพลางชะเง้อมองไปทางถนนใหญ่ที่ตัดผ่านสวนมะม่วงหน้าบ้านของพวกตน สวนมะม่วงนี้มีเนื้อที่หลายสิบไร่ ความจริงในสวนปลูกทั้งมะม่วง ลำไย และมะพร้าว แต่ส่วนใหญ่เป็นมะม่วง เด็กหนุ่มสาวทั้งหมดเป็นลูกโทนของคนงานสามครอบครัว ซึ่งมารับจ้างดูแลสวนให้กับเจ้าของสวนที่มีบ้านพักอยู่ในตัวเมือง

 

ทิพย์วิภาเจ้าของสวนเป็นหญิงโสดวัยกลางคนผู้แสนใจดี ซึ่งเด็กทั้งสามเรียกเธอสนิทปากว่าป้าทิพย์อย่างเคารพนับถือเสมือนเป็นญาติผู้ใหญ่ของพวกตน  สาวใหญ่ปลูกบ้านให้คนเฝ้าสวนทั้งสามและครอบครัวอยู่คนละหลัง ให้เงินเดือนใช้ แถมยังส่งเสียลูก ๆ ของคนดูแลสวนทั้งหมดให้เรียนหนังสืออีกด้วย เด็ก ๆ รักป้าทิพย์เช่นเดียวกับพ่อแม่ของพวกเขาซึ่งรักและต่างสำนึกในบุญคุณ จึงช่วยกันดูแลสวนและรักษาผลประโยชน์ให้ทิพย์วิภาเป็นอย่างดี ทั้งสามครอบครัวไม่คิดจะย้ายไปเฝ้าสวนให้ใครที่ไหนอีก

 

แสงสินีกับเพื่อนสนิททั้งสองเกิดและเติบโตขึ้นมาในสวนแห่งนี้ ครอบครัวของทั้งสามอาศัยอยู่ที่นี่มานานเป็นสิบปีและคงจะอยู่ตลอดไป เพราะป้าเจ้าของสวนออกปากบอกว่าจะยกที่ดินตรงที่ปลูกบ้านให้พ่อแม่ของพวกเธอ หญิงโสดเจ้าของสวนตัวคนเดียวไม่มีพี่น้องและลูกหลานที่ไหนอีก ทิพย์วิภาเคยพูดว่า เธอนับครอบครัวคนเฝ้าสวนทั้งสามเป็นเหมือนญาติสนิทไปแล้ว

 

บ้านไม้ชั้นเดียวใต้ถุนสูงหลังกะทัดรัดสามหลัง ซึ่งปลูกเรียงรายกันอยู่ในสวนมะม่วงของสามครอบครัวประกอบไปด้วย หลังแรกเป็นของครอบครัววิชัยกับสายหยุด พ่อและแม่ของกวินตา หลังถัดมาเป็นบ้านของทรงศักดิ์กับรำเพย ซึ่งเป็นพ่อแม่ของแสงสินี ส่วนหลังที่อยู่ท้ายสุดเป็นบ้านของอำนาจกับจรุงจิต พ่อและแม่ของเอกกวี

 

บ้านไม้สามหลังนี้อยู่ลึกเข้าไปเกือบถึงท้ายสวน เวลาจะไปโรงเรียนหรือออกมาหาซื้อของในร้านชำข้างนอก ต้องลัดเลาะเดินผ่านสวนใช้เวลานานโขอยู่ เจ้าของสวนทำถนนเอาไว้เหมือนกัน แต่คนในสวนชอบมาทางลัด เพราะมันย่นระยะทางให้สั้นลงตั้งเยอะ ลำบากหน่อยตรงต้องคอยกระโดดข้ามท้องร่องสำหรับปล่อยน้ำใส่ต้นไม้ในสวนนี่แหละ

 

แสงสินีเร่งเพื่อนให้รีบเดินแล้วตัวเองออกวิ่งนำหน้า เธอเป็นเด็กสาวที่ทะมัดทะแมงว่องไวอย่างนักกีฬา เพราะมีดีกรีเป็นถึงนักวิ่งระยะสั้นของโรงเรียน ส่วนกวินตาเพื่อนสาวสุดแสนจะเรียบร้อยของเธอรำไทย พูดถึงเพื่อนสาวคนสนิทที่โตมาด้วยกัน...เฮ้อ...แสงสินีเหนื่อยใจ เรียบร้อยนี่หมายถึงต้วมเตี้ยมเฉื่อยชาด้วยไหม ยายแก้มมักทำท่าแบบนี้จนสาวใจร้อนนึกรำคาญ

 

แต่กวินตาเป็นคนสวย...รูปร่างอ้อนแอ้นอรชรอย่างนางละคร ดวงหน้าหวานปานจะหยดและเธอภูมิใจในใบหน้างดงามนี้มาก ท่าทีก็อย่างที่บอก เหมาะสมเป็นกุลสตรี เดินเหินหยิบจับแช่มช้าอ่อนช้อย บุคลิกนางเอกหนังไทยชัด ๆ การันตีด้วยเกียรติบัตรนักเรียนมารยาทงามสามปีซ้อนเลยทีเดียว ส่วนแสงสินีได้เป็นนักกีฬาดีเด่นของโรงเรียน บุคลิกท่าทางของสองสาวจึงแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แน่นอน แสงสินีแข็งกระด้าง ห้าวและห่ามได้ที่ เปรียบเทียบกันแล้ว เด็กสาวสองคนราวน้ำตาลกับพริกขี้หนูเม็ดเล็ก คนหนึ่งอ่อนหวานเรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้ อีกคนดุเด็ดเผ็ดมัน แก่นแก้วซนเป็นลิง

 

"เดี๋ยว ๆ รอด้วยสิฝน" เสียงเพื่อนชายเพียงคนเดียวในที่นี้ร้องเรียกเอะอะตามหลังมา เพื่อนคนนี้เรียนเก่งได้เกรดสี่รัว ๆ ทุกวิชา เวลามีแข่งขันทักษะวิชาการ เอกกวีมักไม่พลาด เขาได้เป็นตัวแทนของโรงเรียนเข้าร่วมแข่งขันทุกครั้ง อีกอย่างที่ทำให้เพื่อนคนนี้โดดเด่นก็คือ เด็กหนุ่มมีดีตรงรูปหล่ออีกด้วย รูปร่างหน้าตาของเขาถ้านึกไม่ออกว่าหล่อยังไงให้ดูเอาที่...ณ เดช อืม...นั่นแหละ แสงสินีแอบคิดว่านี่คือสาเหตุที่ยายแก้มมันหกล้มหกลุกบ่อย ๆ เวลาไปไหนมาไหนด้วยกันสามคน

 

สาวแสนซนหันหลังกลับออกวิ่งอ้าวไม่สนใจรอ นึกรำคาญเพื่อนสองคนนั่นมากขึ้นเรื่อย ๆ แถมด้วยหมั่นไส้!

 

ตอนยังเล็ก ๆ เวลาเล่นด้วยกัน แสงสินีอดนึกอิจฉาเพื่อนหญิงไม่ได้ ที่กวินตามักถูกห้อมล้อมเอาอกเอาใจ เดี่ยวถูกอุ้มเดี๋ยวถูกหอม ส่วนเธอน่ะเหรอ...

 

"ฝน แกปีนขึ้นไปเก็บมะม่วงลูกนั้นที ดูสิ ลูกโต๊โต น่ากิน"

 

ตอนนั้นเด็กหญิงแก่นแก้วไม่เข้าใจผู้ใหญ่เลยจริง ๆ เด็กผู้หญิงเหมือนกัน อายุเท่ากัน ทำไมชอบอุ้มชอบหอมแต่ยายแก้ม ทีเธอถูกไล่ให้ไปปีนเก็บมะม่วง

 

...ไอ้เต้ยก็เหมือนกัน คอยประคองแต่แก้มเดิน ปล่อยฝนให้กระฟัดกระเฟียดเดินดุ่ย ๆ คนเดียว...

 

แสงสินีเปล่างอน แค่น้อยใจ

 

มาถึงถนนใหญ่รถประจำทางก็จอดเทียบข้างทางพอดี ไม่จอดได้ไง เด็กสาวนักกีฬาวิ่งไปกางแขนขวางทางรถอยู่กลางถนน เพราะเจ้าประคุณทั้งคู่ยังจูงมือพากันวิ่งอย่างแช่มช้ามาไม่ถึงสักที แสงสินีไม่อยากไปโรงเรียนสาย เห็นกระโดกกระเดกอย่างนี้ก็กลัวไม้เรียวอาจารย์ปีศาจหน้าประตูโรงเรียนเป็นเหมือนกัน

 

ตอนนี้เด็กทั้งสามเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกกันแล้ว กำลังเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยพร้อมเพื่อน ๆ ในแก๊งค์ พ่อกับแม่ของเด็กทุกคนพอมีเงินเก็บเพราะไม่ค่อยมีค่าใช้จ่าย บ้านไม่ต้องเช่าข้าวไม่ต้องซื้อ ค่าน้ำค่าไฟเจ้าของสวนใจดีออกให้ทั้งหมด เด็ก ๆ ได้ยินผู้ใหญ่คุยกันว่าพวกเขามีกำลังใจส่งเสียลูก ๆ ให้เรียนจบสูง ๆ เพราะเด็กทั้งสามมีความประพฤติดีและตั้งใจเรียน เอกกวีเรียนเก่งมาก ส่วนแสงสินีกับกวินตาก็เกรดเฉลี่ยไม่เคยน้อยกว่าสามจุดแปด

 

ในที่สุดสาวผมเปียก็สามารถพาทั้งหมดมาถึงโรงเรียนได้ทันเวลาโรงเรียนเข้า เมื่ออยู่ในห้องเรียน แน่นอน เอกกวีนั่งคู่กับกวินตาส่วนแสงสินีนั่งคู่กับพาฝัน เพื่อนสาวอีกคนที่บุคลิกแทบจะก็อปปี้กันมากับกวินตา คือเรียบร้อยเชื่องช้า ค่อย ๆ พูดจา ยามหันมาเห็นเพื่อนสาวทั้งสองซึ่งต้องมานั่งใกล้กัน แสงสินีได้แต่ถอนใจด้วยความอึดอัด แต่ถึงเพื่อนสนิททั้งสองจะเป็นแบบนี้ เธอก็รักและหวังดีกับพวกเขา สาวห้าวมักคอยช่วยเหลือเพื่อนอยู่เสมอ

 

          พักเที่ยงของทุกวันในโรงอาหารที่โรงเรียน นอกจากสามสหายในสวนมะม่วงแล้วก็ยังมีสาวเนิร์ดสวมแว่นสายตาสั้นอย่างพาฝันที่มักมานั่งทานข้าวด้วยกัน แม้ไม่ทุกวันแต่ก็บ่อยอยู่ วันไหนสองกุลสตรีอยู่ครบทั้งเอกกวีและแสงสินีก็ต้องทำหน้าที่บริการหนักหน่อย เพราะสองสาวมารยาทงามขยับตัวทำอะไรเชื่องช้า ส่วนบุรินทร์กับลักขณานั้นเพื่อนเยอะ บางครั้งก็มาร่วมวงด้วย

 

วันนี้พาฝันไม่มานั่งทานข้าวด้วยจึงเหลือเพียงสามสหาย แสงสินีเหล่ตามองเพื่อนรักคนสนิทสองหนุ่มสาว

 

"ขอบใจจ้ะเต้ย"

 

...แหม ยิ้มหวานเชียวนะ น่าหมั่นไส้แท้ ๆ พักเที่ยงในแต่ละวันยายแก้มยิ้มแบบนี้ทุกครั้งที่เต้ยลุกไปบริการซื้อข้าวซื้อขนมมาให้ เต้ยนะเต้ย ทีฝนให้เดินไปซื้อเองฮึ!

 

คับข้องอยู่ในใจ แต่เรื่องอะไรจะแสดงออกให้เสียฟอร์ม

 

"จะเอาอะไรเพิ่มมั้ย เดี๋ยวฉันจะเดินไปซื้อน้ำ" ถ้าหัดสังเกตมั่งก็คงรู้ว่าแอบน้อยใจ แต่สองคนนั่นมัวแต่สวีทกัน ไม่มีใครสนใจเพื่อนคนนี้หรอก สาวห้าวรู้สึกเหมือนเป็นเศษติ่งส่วนเกินของความสัมพันธ์

 

ยิ่งใกล้เรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายก็ยิ่งชัดเจนว่าพวกเขาคงจีบกันเป็นแฟนแน่ อีกหน่อยพอเรียนจบมหาวิทยาลัยและมีงานทำก็คงแต่งงานมีลูกมีเต้าด้วยกัน เฮ้อ...ทำไมยิ่งคิดยิ่งหดหู่ นี่ฝนกำลังอกหักหรือเปล่า ไม่นะ...ฝนไม่ได้รักเต้ยแบบชู้สาว...เสียเมื่อไหร่ล่ะ...ฮือ พระเจ้า ฝนรักเขาค่ะ

 

หญิงสาวท่าทางก๋ากั่นไม่เคยกลัวใครได้แต่คร่ำครวญน้ำตาตกใน เธอเข้มแข็งแค่ภายนอก แท้จริงข้างในแสนอ่อนไหว พอนึกถึงเรื่องเพื่อนสองคนนี้รักกันและคงขยับฐานะขึ้นเป็นแฟนกันในไม่ช้าทีไรแทบรับไม่ได้ แสงสินีแอบหลงรักเอกกวีข้างเดียวมานาน โดยสองคนนั่นไม่เคยรับรู้...แบบนี้ไม่เรียกอกหักแล้วจะให้เรียกว่ายังไง สาวนักกีฬารู้ตัวดีว่าความรักครั้งนี้เป็นรักคุด เธอคงต้องผิดหวังหัวอกหัวใจพังยับเยินแน่นอน

 

"ไม่เอาแล้วจ้ะฝน ตัวนั่งลงเหอะให้เต้ยไปซื้อก็ได้ เต้ยจัดการทีจ้ะ"

 

บอกเสร็จกวินตาก็แจกยิ้มหวานให้เพื่อนทั้งคู่ เอกกวีรับคำอย่างเอาใจ หันมาพยักพเยิดกับแสงสินีแล้วชี้มือให้เธอนั่งลง

 

"รออยู่นี่เดี๋ยวเต้ยจัดการเอง" คงจะดีกว่านี้ถ้าเขาทำอะไรเพื่อเธอโดยไม่ใช่คำสั่งจากกวินตา สาวน้อยแก่นแก้วทรุดตัวลงนั่ง ทำหน้าเรียบเฉยทั้งที่ในใจสุดช้ำเธอถูกพิษร้ายรักเขาข้างเดียวกระทำเอาจนหัวอกกลัดหนอง แต่ยังฝืนทำหน้าชื่นอกตรม ทุกวันที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันทั้งที่บ้านและในรั้วโรงเรียนมันทรมานอย่างที่สุด

 

"ไม่ต้องหรอกเต้ย ฝนไปซื้อเองดีกว่า ว่าจะเดินหาซื้อพวกลูกอมมาอมวิชาสังคมของอาจารย์นครด้วย"

 

อ้างส่งไปถึงวิชาที่อาจารย์มักมายืนอ่านหนังสือให้ฟังหน้าชั้นจนนักเรียนพากันง่วงทั้งห้องแล้วยิ้มเจื่อนให้เพื่อนทั้งสอง ก่อนรีบเดินตัวปลิวจากมา ปล่อยโอกาสให้พวกเขาจีบกัน...ฮือ แสงสินีพยายามข่มใจอิจฉาอย่างแสนยากเย็น

 

 

 

เป็นภาพชินตาผู้คนละแวกนี้ที่ทุกวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ จะเห็นเด็กหนุ่มสาวสามคนพากันขับมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างออกมาจากสวนมะม่วง เพื่อตระเวนรับซื้อของเก่าแถวโรงงานอาหารกระป๋องใกล้ ๆ กับพวกตึกแถวในตลาด ซึ่งเป็นแหล่งรับซื้อแหล่งใหญ่ของพวกตน โรงงานนี้ตั้งอยู่ห่างจากสวนมะม่วงออกไปประมาณสิบกิโลเมตรเห็นจะได้ ของเก่าพวกนี้อย่าได้ดูถูก มันสามารถทำรายได้ให้เด็กทั้งสามมีเงินเก็บสะสมอยู่มากโข ยิ่งวันไหนโชคดีหาได้มากก็ยิ่งมีกำลังใจ เพราะมันหมายถึงมีทุนรอนในการศึกษาเพิ่มมากขึ้น หนุ่มสาวทั้งหมดคิดเหมือนกันคืออยากแบ่งเบาภาระของพ่อแม่และป้าทิพย์วิภา ดังนั้นจึงปรากฏภาพเด็กวัยรุ่นรูปร่างหน้าตาดีสามคน ผู้ชายเป็นคนขี่มอเตอร์ไซค์ล้อพ่วง มีเด็กสาวหน้าตาคมขำซ้อนท้าย ส่วนเด็กสาวสะสวยอีกคนนั่งอยู่ในล้อพ่วงข้าง ขับขี่ออกตระเวนรับซื้อของเก่า โดยคนทั้งสามไม่มีใครแสดงท่าทีอับอายในการประกอบอาชีพที่หลายคนคิดว่าต่ำต้อยนี้เลย

 

"ร้อนไหมแก้ม เปลี่ยนมานั่งซ้อนท้ายเถอะ สลับที่กันกับฝน" จะมีเรื่องให้ต้องขัดใจก็เพราะห่วงใยกันจนออกนอกหน้านี่แหละ ที่ทำให้บรรยากาศการทำงานร่วมกันชักไม่ราบรื่น แสงสินีหน้างอลงทันควัน แย้งเสียงเข้ม

 

"นั่งตรงไหนก็ร้อนทั้งนั้นแหละ แดดมันเปรี้ยงออกอย่างนี้ ห่วงแก้มจะร้อน ไม่กางร่มให้เสียเลยล่ะ"

 

น้ำเสียงห้วนของเธอเป็นเอกลักษณ์อยู่แล้วแต่ไม่ใช่สะบัด ๆ แบบนี้ เป็นเพื่อนกันมาทั้งชีวิตทำให้เอกกวีจับความรู้สึกจากน้ำเสียงได้ ชายหนุ่มคิดว่ามีบางอย่างผิดปกติ หมู่นี้เพื่อนสาวแสนห้าวมักทำสุ้มเสียงแบบนี้เข้าใส่เขาบ่อย ๆ หนุ่มหน้าเข้มหันมามองหน้าคนซ้อนท้ายก็เห็นเธอขมวดคิ้วยุ่งจ้องมาเหมือนกัน ยังไม่ทันเอ่ยอะไรเพื่อนสาวในรถพ่วงก็พูดขึ้น

 

"กางร่มทำไมให้เกะกะ แก้มสวมหมวกปีกกว้างแถมเอาผ้าพันหน้าเหลือแต่ลูกตาอย่างนี้ไม่ร้อนเท่าไหร่หรอกจ้ะเต้ย ฝนสิ ตัวสวมหมวกใบนิดเดียว น่าจะหาใบใหญ่ ๆ หน่อย เดี๋ยวหน้าเสียหมด"

 

ดวงตาโตแจ่มใสที่โผล่พ้นจากผืนผ้าซึ่งใช้คลุมหน้าและลำคอ แล้วมีหมวกปีกกว้างสวมทับอีกทีของอีกฝ่ายบอกถึงความภูมิใจที่เพื่อนชายอาทร แถมเตือนเพื่อนสาวอีกคนอย่างหวังดี ซึ่งหารู้ไม่ว่ามันทำให้จุดเจ็บในดวงใจของแสงสินีขยายใหญ่ขึ้นทุกที

 

ใช่สิ...เพราะเธอไม่ค่อยห่วงสวย ทำตัวป้า ๆ จึงไม่เข้าตาคนใกล้ตัว แต่ต่อให้สวยกว่านี้เขาก็คงไม่มองอยู่ดี เพราะผู้หญิงเพียงคนเดียวที่อยู่ในสายตาเอกกวีคือกวินตา ไม่ใช่เธอ คิดแล้วต้องถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายปนสมเพชตัวเอง ความรู้สึกผสมปนเปกันไปหมดทั้งหงุดหงิด สับสน น้อยใจ รวมทั้งผิดหวังสุด ๆ ที่แย่กว่านั้นก็คือเธอมีสิทธิอะไรจะไปรู้สึกแบบนั้น

 

แสงสินีเลือกที่จะไม่ตอบ ทำเมินมองไปที่อื่น ส่วนกวินตาพูดแล้วก็ไม่เห็นใส่ใจรอฟังเพื่อนสาวตอบกลับ สายตาหลังผ้าคลุมหน้าเปล่งประกายหวานซึ้งส่งให้แค่คนขับสามล้อพ่วงรูปหล่อ ปล่อยให้เพื่อนสาวคนซ้อนท้ายนั่งทำหน้าตึงอยู่ข้างหลังเขาต่อไป

 

ขี่รถหาซื้อของเก่าจนมาถึงปากซอยเข้าบ้านพาฝัน สามหนุ่มสาวเห็นเพื่อนหญิงร่วมชั้นเรียนยืนเก้กังอยู่หน้าปากซอย

 

"อ้าว แพม มายืนทำไมแถวนี้คนเดียว" สาวแว่นซึ่งยืนหันรีหันขวางเหมือนตัดสินใจไม่ถูกว่าจะไปทางไหนดีหันมามองเพื่อน ๆ บนรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง สายตาหลังแว่นหนาดูหม่นหมอง

 

"ว่าจะไปหลบอยู่ที่ร้านขายกล้วยแขกป้าฉวีสักพัก ตอนนี้บ้านแพมพึ่งองค์ลง"

 

"ลุงประกอบเมาอีกแล้วเหรอ" แสงสินีอุทานออกมาอย่างเห็นใจ เพื่อนสาวคนนี้มีชีวิตอยู่ในบ้านที่เหมือนขุมนรก โดยมีพ่อของเธอเป็นซาตานประจำขุมนรกแห่งนั้น โดยเฉพาะเวลาพ่อเธอเมาเหล้า พาฝันพยักหน้ารับเศร้า ๆ

 

"แล้วป้าไพล่ะแพม" เอกกวีถามถึงมารดาของเพื่อนหญิงผู้กำลังเดือดร้อน พาฝันเริ่มทำตาแดง ๆ สูดจมูกฟุดฟิด ทำท่าเหมือนจะร้องไห้

 

"แม่อยู่ในบ้าน ยังทำกับข้าวให้พ่อกินไม่เสร็จ แม่เร่งให้แพมออกมาก่อน"

 

เด็กหนุ่มสาวทั้งสามได้แต่อึ้ง ป้าประไพคุณแม่ของพาฝันนั้นคือยอดหญิงผู้เป็นที่สุดของความทรหด เธอทนสามีผู้โหดร้ายได้อย่างน่าทึ่งแม้โดนทุบตีด่าทอรุนแรงไม่เว้นแต่ละวัน ผู้หญิงบางคนช่างน่าแปลกและเข้าใจยาก พวกเธอยอมอดทนอยู่กับสามีใจร้ายแถมยังกลัวถูกเขาทิ้งไปเสียอีกแน่ะ

 

"ให้เราไปส่งไหมล่ะ ขึ้นมาเลยแพม" กวินตาขยับตัวบนล้อพ่วงข้าง เว้นที่ให้มีที่ว่างพอนั่ง แต่เพื่อนสาวสายตาสั้นสั่นหน้า

 

"เราเดินไปเองได้ แค่นี้เอง"บอกแล้วพาฝันก็เดินผละตรงไปทางร้านขายกล้วยแขกซึ่งตั้งอยู่ติดกับอู่ซ่อมรถหน้าปากซอยอย่างไม่อยากสนทนาด้วยอีก

 

"น่าสงสารแพมจริง ๆ เมื่อไหร่ลุงแกจะเลิกกินเหล้านะ จนลูกโตเป็นสาวแล้วก็ยังต้องคอยวิ่งหนีพ่อไปหลบซ่อนอยู่บ้านคนอื่น ท่าทางแพมคงอายมาก"

 

แสงสินีบ่นพลางมองตามหลังสาวแว่น

 

"ตามไปอยู่เป็นเพื่อนดีไหม" หารือเพื่อนสองคนอย่างเป็นห่วง

 

"อย่าเลยฝน แพมเขาคงไม่อยากให้ใครมาเวทนาเขามากไปกว่านี้หรอก"

 

เอกกวีแย้ง สายตามองหน้าแสงสินีมีแววชื่นชมในน้ำใจ แต่ชายหนุ่มมีเหตุผลซึ่งน่ารับฟัง

 

"โชคดีจริง ๆ ที่พ่อแม่พวกเราไม่มีใครกินเหล้า"กวินตาเอ่ยบ้างอย่างรู้สึกภูมิใจ บรรดาผู้ปกครองของพวกเธอทั้งสามนับเป็นตัวอย่างที่ดี พ่อแม่ของพวกตนตั้งใจทำงานและมีนิสัยประหยัดอดออม ซึ่งนิสัยส่วนนี้ยังส่งมาถึงลูก ๆ ของพวกเขาด้วย

 

"ก็เพราะพ่อแม่เราไม่แตะต้องของมึนเมาและการพนันนี่ล่ะ ป้าทิพย์แกถึงชอบและใจดีกับพวกเราแบบนี้ เป็นโชคดีของเราจริง ๆ นั่นแหละ เอาล่ะ วันนี้คงพอแค่นี้ก่อน ไปอาบน้ำอาบท่าเตรียมทำการบ้านส่งพรุ่งนี้กันเถอะพวกเรา"

 

          เอกกวีสรุป เมื่อสองสาวพยักหน้าเห็นด้วย ชายหนุ่มจึงเลี้ยวรถกลับไปทางบ้านสวนของตัวเอง

 

 

จบตอน

 

 

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว