แม้เลือดไหลหมด  จนหยดสุดท้าย
1
ตอน
34
เข้าชม
0
ถูกใจ
0
ความคิดเห็น
1
เพิ่มลงคลัง
พันธสัญญา หน้าที่และหัวใจรัก คนเรามีสิทธิ์ที่จะได้มันทั้งหมดหรือไม่ ชีวิตที่ต้องเติบโตและเปลี่ยนแปลงไปตามคำบงการของคนอื่น การดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้นจากพันธนาการเหล่านั้น

บทที่ 1 เมื่อหายนะมาเยือน 

 

ไกลออกไปในดินแดนแห่งลุ่มแม่น้ำไนล์ตอนใต้  ท่ามกลางความมืดแห่งรัตติกาล เวิ้งฟ้านั้นกระจ่างใสด้วยแสงแห่งหมู่มวลดารกาดารดาษประหนึ่งม่านดำอันพราวพรายด้วยอัญมณีสูงค่า แสงพราวนั้นกระจัดกระจายระยิบระยับ เป็นคืนที่ฟ้านั้นไร้ทั้งหมู่เมฆและแสงจันทร์ 

เมนอส ก้าวออกสู่เฉลียงของห้องพัก ราชองครักษ์แห่งกษัตริย์เฟอร์ราติหยัดยืนไพล่มือไว้เบื้องหลัง  เขาแหงนหน้ามองแผ่นฟ้าอันกว้างใหญ่  เบื้องล่างพุ่มพฤกษ์ที่ชอุ่มเขียวครึ้ม อากาศช่วงนั้นหนาวเหน็บแต่ปลอดโปร่งดวงหน้าคร้ามด้วยนั้นมัวหม่น อาการทอดถอนใจปรากฏให้เห็นเป็นครั้งคราว   

ตลอดช่วงเวลาปลายฤดูแห่งวสันต์ จวบจนเหมันต์เริ่มกรายมาเยือน  การปราบปรามอริราชศัตรูยังมิอาจจบลงได้ ชนเผ่านอกรีต ฮิตไตท์ ที่เร่ร่อนในทุ่งกว้างแต่ทว่าแข็งแกร่งในการศึก  ยังคงส่งกำลังเข้ามาประชิดติดชายแดน  การลอบส่งกลุ่มกองทหาร ในรูป “ กองโจรป่า” เข้ามาระรานริมชายเขต ยังมีอยู่มิเว้นวัน  ราชาทมิฬแห่งแคว้นฮิตไตท์ไม่เคยเปลี่ยนใจ แม้กาลเวลาจะผ่านมาช้านาน ยังคงพยายามที่จะทำลายล้างราชวงศ์ไมตานนีให้สิ้นซากไปจากแผ่นดินทองแห่งนี้ให้จงได้   

 มันก็เพื่อการยึดครอง  ความอุดมสมบูรณ์และมั่งคั่งแห่งนครไมตานนี นั้นล่อใจให้ไม่อาจหยุดยั้งการเข้าบุกรุกเพื่อครอบครอง  การตามรังควานมิเคยสิ้นสุด 

ในขณะที่แผ่นดินอียิปต์ล่างที่ห่างไกลออกไป นครธีบีสอันรุ่งเรือง ณ ลุ่มปากแม่น้ำไนล์แห่งองค์กษัตริย์ อเมนโฮเทป แผ่นดินนั่นยังคงอยู่เป็นปกติสุข   

อียิปต์บนเยี่ยงแคว้นไมตานนี  แคว้นที่คั่นกลางดั่งหนึ่งเป็นเมืองหน้าด่านระหว่างอียิปต์ล่างต้องโรมรันพันตูกับชนเผ่าฮิตไตท์ เผ่าเร่ร่อนที่กระหายสงคราม  ไมตานนีกำลังโกลาหลกับการดับไฟที่รุกลอบเข้ามาอย่างเต็มกำลัง  องค์กษัตริย์เฟอร์ราติ ถึงกับต้องทรงออกบัญชาการรบด้วยพระองค์เองควบคู่กับขุนพลเฒ่าคู่พระทัย ” รามเสส”  

การศึกครั้งนี้หนักหนานักด้วยราชาแห่ง ฮิตไตท์เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับพวกฮิกโซส ชนเผ่า เร่ร่อนที่มาจากที่ราบแห่งเอเชีย  ทั้งสองชนเผ่าผนึกกำลังกันเข้าทำสงครามเพื่อโค่นล้มราชวงศ์ไมตานนี  

   

 ทันทีที่องค์กษัตริย์ เฟอร์ราติทรงเดินทางออกสู่สมรภูมิรบ พิราบสื่อสารพร้อมราชสาส์นลับส่วนพระองค์ก็ถูกส่งออกไปทันทีตามพระบัญชา  ข่าวการศึกครั้งนี้ถูกส่งตรงไปยังองค์พระเชษฐภคินี  พระนางเจ้าไทยี พระวรราชเทวีในองค์ อเมนโฮเทป ฟาโรห์ แห่งอียิปล่างอันอยู่ไกลโพ้น  ความช่วยเหลือควรจะมาได้โดยด่วน เพราะหากแผ่นดินไมตานนี ต้องเสียทีแก่พวกฮิตไตท์  ภัยนั้นย่อมลุกลามไปถึงธีบีสได้เช่นกัน 

ในการศึกที่ ยืดเยื้อกินเวลากว่าช่วงฤดู ด้วยไม่มีใครเพลี่ยงพลั้งแก่กัน ทั้งสองฝ่ายต่างระดมไพร่พลทั้งรถศึกและม้าฝีเท้าเยี่ยมเข้าประหัตประหารกันอย่างโหดเหี้ยม  การผสานกันระหว่างความเร็วกับอานุภาพการยิงโดยนายฉมังธนูบนรถศึกเทียมม้าที่ปราดเปรียว มันเป็นการยิงทำลายแนวรบของศัตรูเพื่อเปิดทางที่ได้ผลรวดเร็วทันตา ทหารหาญทั้งสองฝ่ายต่างล้มตายร่วงหล่นดุจผงคลี   

ถ้าไม่ฆ่า ก็ต้องถูกฆ่า นั่นคือ สิ่งที่รัวระทึกอยู่ในใจ   

เมนอสเชื่อว่า ไม่มีทหารฝ่ายใดมีความสุขกับการฆ่าแม้จะอยู่กันคนละฝ่าย  หากแต่หน้าที่แห่งทหารหาญที่เกิดมาต้องปกป้องแผ่นดินแห่งบ้านเกิดเมืองนอนบังคับให้ต้องกระทำ  อาวุธในมือนั้น มีไว้เพื่อปกป้องพระราชวงศ์ และแผ่นดิน ในยามนี้  ราชองครักษ์จึงได้แต่ทอดถอนใจ  เมื่อไหร่หนอ สวรรค์จึงจะบัญชาให้ภารกิจนี้จบสิ้น  การสู้รบเพื่ออุดมการณ์ที่ต่างกัน 

................................................................   

เพลาค่อนรุ่งคืนนั้นในค่ายทหารแห่งไมตานนี ราชรถศึกแห่งองค์กษัตริย์เฟอร์ราติอันมีราชองครักษ์ เมนอสเป็นสารถีก็พร้อมที่จะออกสนามรบอีกครา องค์ราชาทรงประกาศพระปณิธานที่แน่วแน่ต่อหน้าเหล่าขุนศึก   

   “ ถ้าจะจบศึกนี้ในเร็ววัน  ต้องเปิดฉากบุกก่อนในยามที่ข้าศึกคาดไม่ถึง “    

และก่อนที่จะทรงก้าวขึ้นประทับบนราชรถศึกพร้อมพระแสงศรคู่พระหัตถ์  ทรงมีรับสั่งกับราชองครักษ์คู่ใจ “ เมนอส วันนี้  เราจักปลิดชีพราชาแห่งฮิตไตท์ให้จงได้  การศึกนี้จะต้องจบก่อนที่วายุแห่งเทพี 

เซคเมตจะพัดผ่าน ไพร่พลเราอ่อนล้ามากแล้ว  เจ้าจงพาเราเข้าใกล้ราชาทมิฬให้จงได้ เราจะบุกทะลวงนำหน้าไป  ขุนพลรามเสส จะนำกองกำลังใหญ่ตามหนุน “ 

คืนนั้น  กองทัพทหารแนวหน้าแห่งไมตานีก็พุ่งทะยานเข้าสู่สมรภูมิรบเบื้องหน้า  องค์กษัตริย์เฟอร์ราติ  ทรงนำทัพลอบเข้าโจมตีกระโจมพักของกองทหารแห่งฮิตไตท์ที่ตั้งอยู่เรียงรายเพื่อตัดกำลังข้าศึก    

เมนอส พารถศึกแห่งกษัตริย์เฟอร์ราติ ไล่ล่าบุกตะลุยรุดหน้าเข้าหาข้าศึกที่กำลังล่าถอยแตกพ่าย จุดหมายอยู่ที่ธงประจำตัวแห่งราชาแห่งฮิตไตท์มองเห็นไหวๆอยู่ไม่ไกล  ในขณะที่องค์ราชันย์เฟอร์ราติทรงประทับอยู่เบื้องหลังบนราชรถศึกอย่างองอาจ  ท่ามกลางเสียงโรมรันพันตูอันอลหม่าน ผงคลีคละคลุ้งปนเสียงโห่ร้องทั้งสองฝ่ายอื้ออึง เสียงปะทะกันของสรรพาวุธนั้นครึกโครมกึกก้องทั่วสนามรบ  ดาบในมือแห่งขุนศึกที่รายล้อมรถศึกแบบเคียงบ่าเคียงไหล่องค์ราชาต่างกระหวัดกวัดแกว่งดั่งจักรผัน  มิคาดว่าเพียงชั่วพริบตาการศึกก็พลิกผัน ห่าฝนแห่งลูกธนูพรั่งพรูเข้ามาทุกทิศทุกทาง  เหล่าทัพทหารแห่งฮิกโซสส่งกำลังหนุนเนื่องโอบล้อมเข้ามาทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง  

เมื่อยามที่ผงคลีแห่งม้าศึกจางลง  เหล่าทหารหาญแห่งกษัตริย์เฟอร์ราติ จึงพบว่าเพราะความประมาทที่เร่งจะเผด็จศึกด้วยเห็นว่าชัยชนะอยู่แค่เอื้อม มิคาดว่าศัตรูจะสู้แบบพลีชีพเพื่อรักษาค่ายที่มั่นแห่งตนเช่นกัน   

กลศึกดั้งเดิมที่ทัพกองหน้าแสร้งทำเป็นเพลี่ยงพล้ำ พลางร่นถอยหนีเข้าสมทบกับกองทัพฝ่ายตนเพื่อเปิดโอกาสให้ทัพหนุนที่ซุ่มอยู่โอบล้อมเข้าขนาบตีในภายหลัง นั้นยังใช้ได้ดี 

อรุณรุ่งเริ่มรางแล้วในยามนั้น ทัพหน้าแห่งองค์กษัตริย์เฟอร์ราติบัดนี้จึงได้ถลำลึกเข้าไปในวงล้อมแห่งกองทหารแห่งฮิตไตท์  ด้วยไพร่พลที่กำลังบุกไปข้างหน้าทำให้ยากที่จะถอยกลับ เพียงชั่วอึดใจของการปะทะกันของพลรบ  การตะลุมบอนเข่นฆ่าโกลาหลก็บังเกิดขึ้น ณ เบื้องหน้า 

เมนอส ตกใจจนแทบสิ้นสติ เมื่อปรายตามาเห็นประกายวาบแห่งลูกธนูดอกหนึ่ง พุ่งดิ่งแหวกอากาศปักเข้าสู่เบื้องพระอุระแห่งองค์ราชา  พระวรกายสูงใหญ่ผวาขึ้นสุดองค์  คาดว่าศรอันทรงอานุภาพดอกนั้นต้องถูกยิงมาด้วยความเร็วเหนือปกติ จึงสามารถแทรกผ่านเกราะทรงเข้าสู่กลางเบื้องพระอุระได้อย่างถนัดถนี่ 

องค์กษัตริย์ เฟอร์ราติทรงขบพระทนต์แน่น  พระองค์สะกดกลั้นความเจ็บปวดไว้เต็มพระกำลัง ขณะเบือนพระพักตร์มาหาขุนศึกข้างกาย  พระเนตรหรี่ลงกว่าครึ่งคล้ายจะทรงบรรทมหลับ พระหัตถ์ที่กำดาบแน่นยังคงกวัดแกว่งใส่ข้าศึกไม่ลดละ  พระโอษฐ์เอ่ยรับสั่งกับราชองครักษ์คู่พระทัยข้างกาย ที่กำลังพยายามประคองรถศึกให้ห้อตะบึงหนี ทหารฮิตไตท์ที่ตามติดรอบล้อมอยู่ทุกทิศทาง   

“ เมนอส  ฝาก องค์เนวาร์ตี กับลูกเราด้วย  ” สิ้นพระดำรัส วรกายก็ซวนซบลงกับราชอาสน์บนรถศึกที่ซึ่งยังคงวิ่งตะบึงรุดไปข้างหน้า  กว่าที่เหล่าขุนศึกเดนตายจะช่วยกันตีฝ่าวงล้อมเหล่าศัตรูแหวกทางให้พระราชรถศึกทะยานออกมาได้ พระวิญญาณแห่งองค์กษัตริย์เฟอร์ราติ ก็ล่องลอยไปสู่สัมปรายภพเสียแล้ว   

กองทัพแห่งแคว้นไมตานนีเริ่มระส่ำระสาย เกาะกลุ่มกันไม่ติด ต้านสู้อยู่ได้มินานก็ต้องถอยร่นไม่เป็นกระบวน  กองทหารแห่งฮิตไตท์ไล่ล่าตามติดกระชั้นชิด พวกที่หนีไม่ทันก็ถูกฆ่าตายดุจดังใบไม้ร่วง ความปราชัยอันเกิดจากความประมาทเพียงตัวเดียว   

เพียงชั่วครู่เมื่อฝุ่นผงคลีที่คละคลุ้งค่อยจางลง  กลางสมรภูมิรบนั้นก็ท่วมท้นไปด้วยซากศพทหารทั้งสองฝ่าย สรรพอาวุธเกลื่อนกระจายอยู่ระเนระนาด  เมื่อทัพแห่งไมตานีถอยร่นกลับเข้าค่ายริมชายเขตแดนไปแล้ว  จอมทัพราชาแห่งฮิตไตท์จึงมีสัญญาณให้หยุดยั้งการไล่ล่าด้วยความเสียหายแห่งฝ่ายตนก็มิใช่น้อย หากในพระหฤทัยราชาทมิฬก็หมายมั่น ไม่เกินสามราตรี จักกรีทาทัพบุกตะลุยเข้ายึดนครหลวงไมตานนีอันมั่งคั่งให้จงได้ 

................................................................       

ณ พระราชวังหลวง แห่งแคว้นไมตานี  ท้องฟ้ายามย่ำรุ่งที่ดาวประกายพรึกยังเปล่งแสงเจิดจรัส ดาวสีแดงจ้าดวงหนึ่งพลันกระจ่างวาบขึ้นเคียงคู่ ไม่นานก็บังเกิดเมฆฝนปกคลุมไปทั่วพร้อมเสียงครั่นครืนและแสงแปลบปลาบแห่งสายฟ้า   

ฟ้าเริ่มรุ่งราง หากแต่ก่อนที่ลำแสงสีทองแรกของดวงอาทิตย์ในยามเช้าจะสาดไปทั่วบริเวณ พลันเสียงมโหรีพลิ้วหวานก็ดังแว่วกังวาน ตามมาด้วยเสียงทุ้มเบาของกลองมโหระทึกและบัณเฑาะว์จากเขตพระราชฐานชั้นใน รุ่งอรุณวันนั้น  ชาวแคว้นไมตานนีก็ได้รับรู้ถึงข่าวอันน่ายินดีกันถ้วนหน้า  พระราชกุมารีได้อุบัติแล้วภายใต้เศวตฉัตรแห่งองค์กษัตริย์เฟอร์ราติและพระนางเนวาร์ตี องค์อัครมเหสี  แม้จะมิใช่พระกุมารดั่งที่ตั้งใจหวัง แต่ความยินดีก็มิได้ลดน้อยถอยลงเลยเพราะในอดีตกาล องค์กษัตรีย์ที่เก่งกล้าก็มีให้เห็นอยู่หลายพระองค์ 

 แม้ความมืดแห่งท้องฟ้าเหนือ นครไมตานนีจะค่อยจางลงแล้วด้วยแสงอรุณแห่งสุริยเทพ  แต่ภายในห้องบรรทมแห่งพระนางเนวาร์ตี ยังคงมืดสลัวด้วยแสงจากอัจกลับโคมแก้ว  พระนางทอดวรกายอยู่บนพระที่บรรทม พระพักตร์อ่อนระโหยหากยังเต็มไปด้วยรอยยิ้มหวานละมุน  พระเนตรเรียวงามนั้นรื้นไปด้วยน้ำตาแห่งความปลื้มปิติ สายพระเนตรส่อแววรักใคร่อย่างเปี่ยมล้นขณะทรงเอื้อมพระหัตถ์ไปแตะหน้าผากพระธิดาองค์น้อยที่รอบพระวรกายมีพระภูษาห่อหุ้ม  เว้นไว้แต่วงพักตร์กลมเล็กราวกับตุ๊กตาในอ้อมแขนนางกำนัลอย่างแผ่วเบาพร้อมประทานพระเสาวนีย์    

“ เนเฟอร์ตีติ ”  

“ พระบิดาเจ้าแม้มิประทับอยู่ ณ ที่นี้ แต่ก็ได้ประทานพระนามแห่งเจ้าไว้แล้ว เจ้าคือ เจ้าหญิง เนเฟอร์ตีติ แห่งไมตานนี  ”   

โศลกลำนำสำหรับพระราชกุมารีก็ขับขานขึ้นหวานแว่ว 

โอ้ ...... เนเฟอร์ติตี 

ราชกุมารีโฉมงาม 

ทั่วประเวศน์ เขตคาม 

ชาวประชาร่วมยินดี 

ดั่งมณีจันทร์ อันคู่ฟ้า 

กระจ่างหล้า ทั่วแผ่นดิน   

ขณะนั้นในพระหทัยแห่งพระนางเจ้าทั้งเข้มแข็งและยึดมั่น ‘ อีกไม่นานหรอก เนเฟอร์ตีติของแม่  เมื่อเสร็จศึกปราบอริราชไพรีแล้ว  พ่อเจ้าจักกลับมารับขวัญ ’  

 ไม่ช้านานพระเนตรแห่งพระนางก็ปรือหลับลงด้วยความอ่อนเพลีย  รอยยิ้มยังประดับอยู่เหนือพระโอษฐ์อันพริ้มเพรา  แสงไฟวับวาวจากชวาลาในพระตำหนักเริ่มหรี่ดับ เหล่านางกำนัลค่อยล่าถอยออกไปคงเหลือเพียงพระพี่เลี้ยงถวายงานดูแลพระราชกุมารีองค์น้อย  ในไม่ช้า ห้องพระบรรทมก็กลับเงียบสงัดลงพร้อมรัตติกาลที่เข้ามาเยือน นับเป็นอีกวันวารที่ผ่านไป 

.............................................  

 ยามวิกาลนั้นในมหาวิหารแห่งไมตานี ท่ามกลางความมืดสลัว  ร่างชราอวบอ้วนในชุดขาวแห่งพระมหาสังฆราช เทมีอา ผุดลุกขึ้นนั่งด้วยความตระหนกจากนิมิตประหลาด …… 

ในนิมิตนั้นพระมหาสังฆราชรู้สึกคลับคล้าย ว่า ตนเองยืนอยู่ในทุ่งโล่งกว้างท่ามกลางค่ำคืนอันมืดสนิท ไม่มีแม้แสงจากจันทร์และดวงดารา แต่แล้วในบัดดล ทั่วท้องฟ้ากลับพลันนั้นสว่างจ้าขึ้นด้วยแสงสีแดงฉาน  ความแดงเจิดจ้านั้นมากเสียจนไม่อาจจะลืมตาสู้ได้ แต่เมื่อเขม้นมองอีกทีจึงพบว่า แสงนั้นโชติช่วงมาจากดาวดวงหนึ่งที่ปรากฏขึ้นบนพื้นฟ้าทางทิศตะวันออก  ความแดงฉานนั้นอาบไปทั่วทุกสิ่ง   

มิทันจะได้คิดการณ์ใด  พลันเกิดประกายสายฟ้าแปลบปลาบ พร้อมเสียงอสุนิบาตฟาดเปรี้ยงออกมาจากดาวดวงนั้น  ประกายแห่งแสงฟ้านั้นกระจายวาบไปทั่ว  ดาวดวงนั้นจึงค่อยพลันดับวูบหายไป   

ในนิมิตนั้น  พระมหาสังฆราชกลับพบว่าตนเองนั้นยืนอยู่หน้าเทวรูปแห่ง องค์เทพสุริยะ ในมหาวิหารใหญ่ แต่ที่น่าตกใจอย่างยิ่งคือ  มีเพลิงกองใหญ่กำลังลุกโชติช่วงท่วมองค์เทวรูปแห่งมหาเทพ  ทุกอย่างรอบตัวในมหาวิหารนั้นล้วนแต่กลับกลายเป็นซากปรักหักพัง   

พระมหาสังฆราชสะดุ้งตื่นด้วยใจที่เต้นรัว รุ่มร้อนจนเหงื่อกาฬไหลท่วมตัว ในช่วงชีวิตที่ยาวนาน ร้อยวันพันปีไม่เคยสักครั้งที่จะมีนิมิตที่ชวนตระหนกได้เท่าครั้งนี้  

เมื่อทอดตาออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าเริ่มสลัวรางหากเป็นเพราะใกล้หน้าหนาว  ดาวประกายพรึกจึงยังเกาะเกี่ยวทอแสงนวลกระจ่างอยู่ริมฟ้า  ผู้เป็นใหญ่แห่งเขตสงฆ์ค่อยหลับตาก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาเป็นเฮือกใหญ่ ช่างเป็นความฝันที่น่ากลัวยิ่งนัก 

สายลมยามค่อนรุ่งรำเพยมาแผ่วเบาบังเกิดเป็นเงาไหววูบวาบหน้าพระแท่นบูชาแห่งองค์เทพสุริยะ กลิ่นกำยานกรุ่นกำจาย ท่ามกลางความเงียบเสียงสาธยายมนต์ดังแว่วอยู่ไม่ไกล  พระมหาสังฆราชทรุดกายลงค้อมศีรษะพร้อมจรดปลายนิ้วทั้งสิบแทบพระบาทแห่งองค์เทพเอมุล - รา น้อมประณตคารวะแด่จอมเทพผู้ปกปักแผ่นดิน  หูพลันแว่วเสียงมโหรี ดังขับขานขึ้นแผ่วเบารับแสงรุ่งอรุณแห่งวันใหม่  ภิกษุณีนางหนึ่งเคลื่อนกายมาคุกเข่าลงข้างองค์พระมหาสังฆราช พร้อมกล่าวถ้อยความเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นถอยออกไปอย่างเงียบเชียบ   

องค์สังฆราช เทมีอา เงยหน้าขึ้นมองพระพักตร์เทพเบื้องบนก่อนแว่วเสียงสาธยายมนตร์ดังกระหึ่มขึ้นทั่วพระอารามหลวง .......... 

“ โอ .... พระแม่เจ้าเนวาร์ตี ทรงมีพระประสูติกาลเป็นพระราชธิดา   

ขอองค์พระสุริยเทพ ทรงโปรดช่วยอำนวยพร   

ขอพระบารมีจงคุ้มครองแคว้นไมตานิและพระราชวงศ์เฟอร์ราติ   

ขอจงทรงพระเมตตาด้วยเถิด ” 

อัคคีแห่งการบูชาโชติช่วงขึ้นอีกครั้งหนึ่งเบื้องหน้าองค์มหาเทพ  แสงแห่งไฟบูชาเรืองรองขึ้นจับพระพักตร์แห่งเทวะเทพผู้เป็นใหญ่  พระมหาสังฆราชเทมีอาเงยหน้าขึ้นสบพระเนตรแห่งเทวะ ในดวงจิตพลันกระตุกวาบกระหวัดถึงนิมิตเมื่อยามย่ำรุ่งโดยไม่ตั้งใจ 

ฤานิมิตนั่นจะเกี่ยวพันถึงพระราชวงศ์   

พระมหาสังฆราชรำพึงด้วยความกังวลใจ จะมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับราชวงศ์หรืออย่างไร มันคือนิมิตหมายที่ดีหรือร้ายกันแน่  พระมหาสังฆราชครุ่นคิดก่อนจะค่อยผ่อนลมหายใจ ร่างอ้วนเตี้ยปราดไปที่ตู้พระคัมภีร์ใกล้ซุ้มชวาลา  มืออวบอูมลูบไล้ไปตามมหาคัมภีร์โบราณเก่าแก่ที่วางอยู่เรียงราย  ไม่นาน ปูมโบราณอันเก่าคร่ำคร่า  คำทำนายอนาคตแห่งแคว้นไมตานนีก็ปรากฏอยู่ในมือ  

ฤาจะถึงกาลวิบัติแห่งแคว้นไมตานนี  

ฤาแผ่นดินจะลุกเป็นไฟ  

.................................. 

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว