บทที่ 1 เมื่อหายนะมาเยือน
ไกลออกไปในดินแดนแห่งลุ่มแม่น้ำไนล์ตอนใต้ ท่ามกลางความมืดแห่งรัตติกาล เวิ้งฟ้านั้นกระจ่างใสด้วยแสงแห่งหมู่มวลดารกาดารดาษประหนึ่งม่านดำอันพราวพรายด้วยอัญมณีสูงค่า แสงพราวนั้นกระจัดกระจายระยิบระยับ เป็นคืนที่ฟ้านั้นไร้ทั้งหมู่เมฆและแสงจันทร์
เมนอส ก้าวออกสู่เฉลียงของห้องพัก ราชองครักษ์แห่งกษัตริย์เฟอร์ราติหยัดยืนไพล่มือไว้เบื้องหลัง เขาแหงนหน้ามองแผ่นฟ้าอันกว้างใหญ่ เบื้องล่างพุ่มพฤกษ์ที่ชอุ่มเขียวครึ้ม อากาศช่วงนั้นหนาวเหน็บแต่ปลอดโปร่งดวงหน้าคร้ามด้วยนั้นมัวหม่น อาการทอดถอนใจปรากฏให้เห็นเป็นครั้งคราว
ตลอดช่วงเวลาปลายฤดูแห่งวสันต์ จวบจนเหมันต์เริ่มกรายมาเยือน การปราบปรามอริราชศัตรูยังมิอาจจบลงได้ ชนเผ่านอกรีต ฮิตไตท์ ที่เร่ร่อนในทุ่งกว้างแต่ทว่าแข็งแกร่งในการศึก ยังคงส่งกำลังเข้ามาประชิดติดชายแดน การลอบส่งกลุ่มกองทหาร ในรูป “ กองโจรป่า” เข้ามาระรานริมชายเขต ยังมีอยู่มิเว้นวัน ราชาทมิฬแห่งแคว้นฮิตไตท์ไม่เคยเปลี่ยนใจ แม้กาลเวลาจะผ่านมาช้านาน ยังคงพยายามที่จะทำลายล้างราชวงศ์ไมตานนีให้สิ้นซากไปจากแผ่นดินทองแห่งนี้ให้จงได้
มันก็เพื่อการยึดครอง ความอุดมสมบูรณ์และมั่งคั่งแห่งนครไมตานนี นั้นล่อใจให้ไม่อาจหยุดยั้งการเข้าบุกรุกเพื่อครอบครอง การตามรังควานมิเคยสิ้นสุด
ในขณะที่แผ่นดินอียิปต์ล่างที่ห่างไกลออกไป นครธีบีสอันรุ่งเรือง ณ ลุ่มปากแม่น้ำไนล์แห่งองค์กษัตริย์ อเมนโฮเทป แผ่นดินนั่นยังคงอยู่เป็นปกติสุข
อียิปต์บนเยี่ยงแคว้นไมตานนี แคว้นที่คั่นกลางดั่งหนึ่งเป็นเมืองหน้าด่านระหว่างอียิปต์ล่างต้องโรมรันพันตูกับชนเผ่าฮิตไตท์ เผ่าเร่ร่อนที่กระหายสงคราม ไมตานนีกำลังโกลาหลกับการดับไฟที่รุกลอบเข้ามาอย่างเต็มกำลัง องค์กษัตริย์เฟอร์ราติ ถึงกับต้องทรงออกบัญชาการรบด้วยพระองค์เองควบคู่กับขุนพลเฒ่าคู่พระทัย ” รามเสส”
การศึกครั้งนี้หนักหนานักด้วยราชาแห่ง ฮิตไตท์เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับพวกฮิกโซส ชนเผ่า เร่ร่อนที่มาจากที่ราบแห่งเอเชีย ทั้งสองชนเผ่าผนึกกำลังกันเข้าทำสงครามเพื่อโค่นล้มราชวงศ์ไมตานนี
ทันทีที่องค์กษัตริย์ เฟอร์ราติทรงเดินทางออกสู่สมรภูมิรบ พิราบสื่อสารพร้อมราชสาส์นลับส่วนพระองค์ก็ถูกส่งออกไปทันทีตามพระบัญชา ข่าวการศึกครั้งนี้ถูกส่งตรงไปยังองค์พระเชษฐภคินี พระนางเจ้าไทยี พระวรราชเทวีในองค์ อเมนโฮเทป ฟาโรห์ แห่งอียิปล่างอันอยู่ไกลโพ้น ความช่วยเหลือควรจะมาได้โดยด่วน เพราะหากแผ่นดินไมตานนี ต้องเสียทีแก่พวกฮิตไตท์ ภัยนั้นย่อมลุกลามไปถึงธีบีสได้เช่นกัน
ในการศึกที่ ยืดเยื้อกินเวลากว่าช่วงฤดู ด้วยไม่มีใครเพลี่ยงพลั้งแก่กัน ทั้งสองฝ่ายต่างระดมไพร่พลทั้งรถศึกและม้าฝีเท้าเยี่ยมเข้าประหัตประหารกันอย่างโหดเหี้ยม การผสานกันระหว่างความเร็วกับอานุภาพการยิงโดยนายฉมังธนูบนรถศึกเทียมม้าที่ปราดเปรียว มันเป็นการยิงทำลายแนวรบของศัตรูเพื่อเปิดทางที่ได้ผลรวดเร็วทันตา ทหารหาญทั้งสองฝ่ายต่างล้มตายร่วงหล่นดุจผงคลี
ถ้าไม่ฆ่า ก็ต้องถูกฆ่า นั่นคือ สิ่งที่รัวระทึกอยู่ในใจ
เมนอสเชื่อว่า ไม่มีทหารฝ่ายใดมีความสุขกับการฆ่าแม้จะอยู่กันคนละฝ่าย หากแต่หน้าที่แห่งทหารหาญที่เกิดมาต้องปกป้องแผ่นดินแห่งบ้านเกิดเมืองนอนบังคับให้ต้องกระทำ อาวุธในมือนั้น มีไว้เพื่อปกป้องพระราชวงศ์ และแผ่นดิน ในยามนี้ ราชองครักษ์จึงได้แต่ทอดถอนใจ เมื่อไหร่หนอ สวรรค์จึงจะบัญชาให้ภารกิจนี้จบสิ้น การสู้รบเพื่ออุดมการณ์ที่ต่างกัน
................................................................
เพลาค่อนรุ่งคืนนั้นในค่ายทหารแห่งไมตานนี ราชรถศึกแห่งองค์กษัตริย์เฟอร์ราติอันมีราชองครักษ์ เมนอสเป็นสารถีก็พร้อมที่จะออกสนามรบอีกครา องค์ราชาทรงประกาศพระปณิธานที่แน่วแน่ต่อหน้าเหล่าขุนศึก
“ ถ้าจะจบศึกนี้ในเร็ววัน ต้องเปิดฉากบุกก่อนในยามที่ข้าศึกคาดไม่ถึง “
และก่อนที่จะทรงก้าวขึ้นประทับบนราชรถศึกพร้อมพระแสงศรคู่พระหัตถ์ ทรงมีรับสั่งกับราชองครักษ์คู่ใจ “ เมนอส วันนี้ เราจักปลิดชีพราชาแห่งฮิตไตท์ให้จงได้ การศึกนี้จะต้องจบก่อนที่วายุแห่งเทพี
เซคเมตจะพัดผ่าน ไพร่พลเราอ่อนล้ามากแล้ว เจ้าจงพาเราเข้าใกล้ราชาทมิฬให้จงได้ เราจะบุกทะลวงนำหน้าไป ขุนพลรามเสส จะนำกองกำลังใหญ่ตามหนุน “
คืนนั้น กองทัพทหารแนวหน้าแห่งไมตานีก็พุ่งทะยานเข้าสู่สมรภูมิรบเบื้องหน้า องค์กษัตริย์เฟอร์ราติ ทรงนำทัพลอบเข้าโจมตีกระโจมพักของกองทหารแห่งฮิตไตท์ที่ตั้งอยู่เรียงรายเพื่อตัดกำลังข้าศึก
เมนอส พารถศึกแห่งกษัตริย์เฟอร์ราติ ไล่ล่าบุกตะลุยรุดหน้าเข้าหาข้าศึกที่กำลังล่าถอยแตกพ่าย จุดหมายอยู่ที่ธงประจำตัวแห่งราชาแห่งฮิตไตท์มองเห็นไหวๆอยู่ไม่ไกล ในขณะที่องค์ราชันย์เฟอร์ราติทรงประทับอยู่เบื้องหลังบนราชรถศึกอย่างองอาจ ท่ามกลางเสียงโรมรันพันตูอันอลหม่าน ผงคลีคละคลุ้งปนเสียงโห่ร้องทั้งสองฝ่ายอื้ออึง เสียงปะทะกันของสรรพาวุธนั้นครึกโครมกึกก้องทั่วสนามรบ ดาบในมือแห่งขุนศึกที่รายล้อมรถศึกแบบเคียงบ่าเคียงไหล่องค์ราชาต่างกระหวัดกวัดแกว่งดั่งจักรผัน มิคาดว่าเพียงชั่วพริบตาการศึกก็พลิกผัน ห่าฝนแห่งลูกธนูพรั่งพรูเข้ามาทุกทิศทุกทาง เหล่าทัพทหารแห่งฮิกโซสส่งกำลังหนุนเนื่องโอบล้อมเข้ามาทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง
เมื่อยามที่ผงคลีแห่งม้าศึกจางลง เหล่าทหารหาญแห่งกษัตริย์เฟอร์ราติ จึงพบว่าเพราะความประมาทที่เร่งจะเผด็จศึกด้วยเห็นว่าชัยชนะอยู่แค่เอื้อม มิคาดว่าศัตรูจะสู้แบบพลีชีพเพื่อรักษาค่ายที่มั่นแห่งตนเช่นกัน
กลศึกดั้งเดิมที่ทัพกองหน้าแสร้งทำเป็นเพลี่ยงพล้ำ พลางร่นถอยหนีเข้าสมทบกับกองทัพฝ่ายตนเพื่อเปิดโอกาสให้ทัพหนุนที่ซุ่มอยู่โอบล้อมเข้าขนาบตีในภายหลัง นั้นยังใช้ได้ดี
อรุณรุ่งเริ่มรางแล้วในยามนั้น ทัพหน้าแห่งองค์กษัตริย์เฟอร์ราติบัดนี้จึงได้ถลำลึกเข้าไปในวงล้อมแห่งกองทหารแห่งฮิตไตท์ ด้วยไพร่พลที่กำลังบุกไปข้างหน้าทำให้ยากที่จะถอยกลับ เพียงชั่วอึดใจของการปะทะกันของพลรบ การตะลุมบอนเข่นฆ่าโกลาหลก็บังเกิดขึ้น ณ เบื้องหน้า
เมนอส ตกใจจนแทบสิ้นสติ เมื่อปรายตามาเห็นประกายวาบแห่งลูกธนูดอกหนึ่ง พุ่งดิ่งแหวกอากาศปักเข้าสู่เบื้องพระอุระแห่งองค์ราชา พระวรกายสูงใหญ่ผวาขึ้นสุดองค์ คาดว่าศรอันทรงอานุภาพดอกนั้นต้องถูกยิงมาด้วยความเร็วเหนือปกติ จึงสามารถแทรกผ่านเกราะทรงเข้าสู่กลางเบื้องพระอุระได้อย่างถนัดถนี่
องค์กษัตริย์ เฟอร์ราติทรงขบพระทนต์แน่น พระองค์สะกดกลั้นความเจ็บปวดไว้เต็มพระกำลัง ขณะเบือนพระพักตร์มาหาขุนศึกข้างกาย พระเนตรหรี่ลงกว่าครึ่งคล้ายจะทรงบรรทมหลับ พระหัตถ์ที่กำดาบแน่นยังคงกวัดแกว่งใส่ข้าศึกไม่ลดละ พระโอษฐ์เอ่ยรับสั่งกับราชองครักษ์คู่พระทัยข้างกาย ที่กำลังพยายามประคองรถศึกให้ห้อตะบึงหนี ทหารฮิตไตท์ที่ตามติดรอบล้อมอยู่ทุกทิศทาง
“ เมนอส ฝาก องค์เนวาร์ตี กับลูกเราด้วย ” สิ้นพระดำรัส วรกายก็ซวนซบลงกับราชอาสน์บนรถศึกที่ซึ่งยังคงวิ่งตะบึงรุดไปข้างหน้า กว่าที่เหล่าขุนศึกเดนตายจะช่วยกันตีฝ่าวงล้อมเหล่าศัตรูแหวกทางให้พระราชรถศึกทะยานออกมาได้ พระวิญญาณแห่งองค์กษัตริย์เฟอร์ราติ ก็ล่องลอยไปสู่สัมปรายภพเสียแล้ว
กองทัพแห่งแคว้นไมตานนีเริ่มระส่ำระสาย เกาะกลุ่มกันไม่ติด ต้านสู้อยู่ได้มินานก็ต้องถอยร่นไม่เป็นกระบวน กองทหารแห่งฮิตไตท์ไล่ล่าตามติดกระชั้นชิด พวกที่หนีไม่ทันก็ถูกฆ่าตายดุจดังใบไม้ร่วง ความปราชัยอันเกิดจากความประมาทเพียงตัวเดียว
เพียงชั่วครู่เมื่อฝุ่นผงคลีที่คละคลุ้งค่อยจางลง กลางสมรภูมิรบนั้นก็ท่วมท้นไปด้วยซากศพทหารทั้งสองฝ่าย สรรพอาวุธเกลื่อนกระจายอยู่ระเนระนาด เมื่อทัพแห่งไมตานีถอยร่นกลับเข้าค่ายริมชายเขตแดนไปแล้ว จอมทัพราชาแห่งฮิตไตท์จึงมีสัญญาณให้หยุดยั้งการไล่ล่าด้วยความเสียหายแห่งฝ่ายตนก็มิใช่น้อย หากในพระหฤทัยราชาทมิฬก็หมายมั่น ไม่เกินสามราตรี จักกรีทาทัพบุกตะลุยเข้ายึดนครหลวงไมตานนีอันมั่งคั่งให้จงได้
................................................................
ณ พระราชวังหลวง แห่งแคว้นไมตานี ท้องฟ้ายามย่ำรุ่งที่ดาวประกายพรึกยังเปล่งแสงเจิดจรัส ดาวสีแดงจ้าดวงหนึ่งพลันกระจ่างวาบขึ้นเคียงคู่ ไม่นานก็บังเกิดเมฆฝนปกคลุมไปทั่วพร้อมเสียงครั่นครืนและแสงแปลบปลาบแห่งสายฟ้า
ฟ้าเริ่มรุ่งราง หากแต่ก่อนที่ลำแสงสีทองแรกของดวงอาทิตย์ในยามเช้าจะสาดไปทั่วบริเวณ พลันเสียงมโหรีพลิ้วหวานก็ดังแว่วกังวาน ตามมาด้วยเสียงทุ้มเบาของกลองมโหระทึกและบัณเฑาะว์จากเขตพระราชฐานชั้นใน รุ่งอรุณวันนั้น ชาวแคว้นไมตานนีก็ได้รับรู้ถึงข่าวอันน่ายินดีกันถ้วนหน้า พระราชกุมารีได้อุบัติแล้วภายใต้เศวตฉัตรแห่งองค์กษัตริย์เฟอร์ราติและพระนางเนวาร์ตี องค์อัครมเหสี แม้จะมิใช่พระกุมารดั่งที่ตั้งใจหวัง แต่ความยินดีก็มิได้ลดน้อยถอยลงเลยเพราะในอดีตกาล องค์กษัตรีย์ที่เก่งกล้าก็มีให้เห็นอยู่หลายพระองค์
แม้ความมืดแห่งท้องฟ้าเหนือ นครไมตานนีจะค่อยจางลงแล้วด้วยแสงอรุณแห่งสุริยเทพ แต่ภายในห้องบรรทมแห่งพระนางเนวาร์ตี ยังคงมืดสลัวด้วยแสงจากอัจกลับโคมแก้ว พระนางทอดวรกายอยู่บนพระที่บรรทม พระพักตร์อ่อนระโหยหากยังเต็มไปด้วยรอยยิ้มหวานละมุน พระเนตรเรียวงามนั้นรื้นไปด้วยน้ำตาแห่งความปลื้มปิติ สายพระเนตรส่อแววรักใคร่อย่างเปี่ยมล้นขณะทรงเอื้อมพระหัตถ์ไปแตะหน้าผากพระธิดาองค์น้อยที่รอบพระวรกายมีพระภูษาห่อหุ้ม เว้นไว้แต่วงพักตร์กลมเล็กราวกับตุ๊กตาในอ้อมแขนนางกำนัลอย่างแผ่วเบาพร้อมประทานพระเสาวนีย์
“ เนเฟอร์ตีติ ”
“ พระบิดาเจ้าแม้มิประทับอยู่ ณ ที่นี้ แต่ก็ได้ประทานพระนามแห่งเจ้าไว้แล้ว เจ้าคือ เจ้าหญิง เนเฟอร์ตีติ แห่งไมตานนี ”
โศลกลำนำสำหรับพระราชกุมารีก็ขับขานขึ้นหวานแว่ว
โอ้ ...... เนเฟอร์ติตี
ราชกุมารีโฉมงาม
ทั่วประเวศน์ เขตคาม
ชาวประชาร่วมยินดี
ดั่งมณีจันทร์ อันคู่ฟ้า
กระจ่างหล้า ทั่วแผ่นดิน
ขณะนั้นในพระหทัยแห่งพระนางเจ้าทั้งเข้มแข็งและยึดมั่น ‘ อีกไม่นานหรอก เนเฟอร์ตีติของแม่ เมื่อเสร็จศึกปราบอริราชไพรีแล้ว พ่อเจ้าจักกลับมารับขวัญ ’
ไม่ช้านานพระเนตรแห่งพระนางก็ปรือหลับลงด้วยความอ่อนเพลีย รอยยิ้มยังประดับอยู่เหนือพระโอษฐ์อันพริ้มเพรา แสงไฟวับวาวจากชวาลาในพระตำหนักเริ่มหรี่ดับ เหล่านางกำนัลค่อยล่าถอยออกไปคงเหลือเพียงพระพี่เลี้ยงถวายงานดูแลพระราชกุมารีองค์น้อย ในไม่ช้า ห้องพระบรรทมก็กลับเงียบสงัดลงพร้อมรัตติกาลที่เข้ามาเยือน นับเป็นอีกวันวารที่ผ่านไป
.............................................
ยามวิกาลนั้นในมหาวิหารแห่งไมตานี ท่ามกลางความมืดสลัว ร่างชราอวบอ้วนในชุดขาวแห่งพระมหาสังฆราช เทมีอา ผุดลุกขึ้นนั่งด้วยความตระหนกจากนิมิตประหลาด ……
ในนิมิตนั้นพระมหาสังฆราชรู้สึกคลับคล้าย ว่า ตนเองยืนอยู่ในทุ่งโล่งกว้างท่ามกลางค่ำคืนอันมืดสนิท ไม่มีแม้แสงจากจันทร์และดวงดารา แต่แล้วในบัดดล ทั่วท้องฟ้ากลับพลันนั้นสว่างจ้าขึ้นด้วยแสงสีแดงฉาน ความแดงเจิดจ้านั้นมากเสียจนไม่อาจจะลืมตาสู้ได้ แต่เมื่อเขม้นมองอีกทีจึงพบว่า แสงนั้นโชติช่วงมาจากดาวดวงหนึ่งที่ปรากฏขึ้นบนพื้นฟ้าทางทิศตะวันออก ความแดงฉานนั้นอาบไปทั่วทุกสิ่ง
มิทันจะได้คิดการณ์ใด พลันเกิดประกายสายฟ้าแปลบปลาบ พร้อมเสียงอสุนิบาตฟาดเปรี้ยงออกมาจากดาวดวงนั้น ประกายแห่งแสงฟ้านั้นกระจายวาบไปทั่ว ดาวดวงนั้นจึงค่อยพลันดับวูบหายไป
ในนิมิตนั้น พระมหาสังฆราชกลับพบว่าตนเองนั้นยืนอยู่หน้าเทวรูปแห่ง องค์เทพสุริยะ ในมหาวิหารใหญ่ แต่ที่น่าตกใจอย่างยิ่งคือ มีเพลิงกองใหญ่กำลังลุกโชติช่วงท่วมองค์เทวรูปแห่งมหาเทพ ทุกอย่างรอบตัวในมหาวิหารนั้นล้วนแต่กลับกลายเป็นซากปรักหักพัง
พระมหาสังฆราชสะดุ้งตื่นด้วยใจที่เต้นรัว รุ่มร้อนจนเหงื่อกาฬไหลท่วมตัว ในช่วงชีวิตที่ยาวนาน ร้อยวันพันปีไม่เคยสักครั้งที่จะมีนิมิตที่ชวนตระหนกได้เท่าครั้งนี้
เมื่อทอดตาออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าเริ่มสลัวรางหากเป็นเพราะใกล้หน้าหนาว ดาวประกายพรึกจึงยังเกาะเกี่ยวทอแสงนวลกระจ่างอยู่ริมฟ้า ผู้เป็นใหญ่แห่งเขตสงฆ์ค่อยหลับตาก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาเป็นเฮือกใหญ่ ช่างเป็นความฝันที่น่ากลัวยิ่งนัก
สายลมยามค่อนรุ่งรำเพยมาแผ่วเบาบังเกิดเป็นเงาไหววูบวาบหน้าพระแท่นบูชาแห่งองค์เทพสุริยะ กลิ่นกำยานกรุ่นกำจาย ท่ามกลางความเงียบเสียงสาธยายมนต์ดังแว่วอยู่ไม่ไกล พระมหาสังฆราชทรุดกายลงค้อมศีรษะพร้อมจรดปลายนิ้วทั้งสิบแทบพระบาทแห่งองค์เทพเอมุล - รา น้อมประณตคารวะแด่จอมเทพผู้ปกปักแผ่นดิน หูพลันแว่วเสียงมโหรี ดังขับขานขึ้นแผ่วเบารับแสงรุ่งอรุณแห่งวันใหม่ ภิกษุณีนางหนึ่งเคลื่อนกายมาคุกเข่าลงข้างองค์พระมหาสังฆราช พร้อมกล่าวถ้อยความเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นถอยออกไปอย่างเงียบเชียบ
องค์สังฆราช เทมีอา เงยหน้าขึ้นมองพระพักตร์เทพเบื้องบนก่อนแว่วเสียงสาธยายมนตร์ดังกระหึ่มขึ้นทั่วพระอารามหลวง ..........
“ โอ .... พระแม่เจ้าเนวาร์ตี ทรงมีพระประสูติกาลเป็นพระราชธิดา
ขอองค์พระสุริยเทพ ทรงโปรดช่วยอำนวยพร
ขอพระบารมีจงคุ้มครองแคว้นไมตานิและพระราชวงศ์เฟอร์ราติ
ขอจงทรงพระเมตตาด้วยเถิด ”
อัคคีแห่งการบูชาโชติช่วงขึ้นอีกครั้งหนึ่งเบื้องหน้าองค์มหาเทพ แสงแห่งไฟบูชาเรืองรองขึ้นจับพระพักตร์แห่งเทวะเทพผู้เป็นใหญ่ พระมหาสังฆราชเทมีอาเงยหน้าขึ้นสบพระเนตรแห่งเทวะ ในดวงจิตพลันกระตุกวาบกระหวัดถึงนิมิตเมื่อยามย่ำรุ่งโดยไม่ตั้งใจ
ฤานิมิตนั่นจะเกี่ยวพันถึงพระราชวงศ์
พระมหาสังฆราชรำพึงด้วยความกังวลใจ จะมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับราชวงศ์หรืออย่างไร มันคือนิมิตหมายที่ดีหรือร้ายกันแน่ พระมหาสังฆราชครุ่นคิดก่อนจะค่อยผ่อนลมหายใจ ร่างอ้วนเตี้ยปราดไปที่ตู้พระคัมภีร์ใกล้ซุ้มชวาลา มืออวบอูมลูบไล้ไปตามมหาคัมภีร์โบราณเก่าแก่ที่วางอยู่เรียงราย ไม่นาน ปูมโบราณอันเก่าคร่ำคร่า คำทำนายอนาคตแห่งแคว้นไมตานนีก็ปรากฏอยู่ในมือ
ฤาจะถึงกาลวิบัติแห่งแคว้นไมตานนี
ฤาแผ่นดินจะลุกเป็นไฟ
..................................