นางมณิสร์ฐิตาเทวีลืมตาตื่นขึ้น แสงสว่างจ้าทำให้นางต้องหลับตาลงอีกครั้งแล้วค่อยเปิดเปลือกตาออกช้าๆ ดวงตานั้นจึงค่อยๆ ปรับเข้ากับแสงสว่างภายนอก
“นี่มันที่ไหนกัน” นางพึมพำเบาๆ แต่พอจะพยุงตัวขึ้นความรู้สึกเจ็บระบมที่แผ่นหลังก็ทำให้ต้องเปลี่ยนเป็นนอนนิ่งๆ เหมือนเดิม
แม้จะนอนนิ่งแบบนั้นแต่สายตาของนางก็สอดส่ายมองไปรอบตัวก็เห็นว่ามีสายน้ำเกลือโยงอยู่กับเสา เลยออกไปก็มีคนไข้หญิงอีกหลายรายนอนเรียงรายอยู่ในห้องพักคนไข้ ไกลอีกไปนิดมีเคาน์เตอร์ที่มีพยาบาลหลายคนนั่งทำงานอยู่ดูไม่ต่างจากสถานพยาบาลบนสวรรค์นัก
“อ้าว...อีหนู ฟื้นแล้วรึ” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังอยู่ไม่ห่างนักทำให้มณิสร์ฐิตาเทวีหันมามอง
“...”
“เออ ท่าทางจะเจ็บหนักสินะ นอนสลบไสลไปตั้งนาน อยากได้อะไรไหมล่ะ...ป้าจะเอาให้” หญิงคนเดิมถามอย่างเอ็นดู คงเพราะเห็นว่าผู้หญิงคนนี้นอนป่วยอยู่เพียงลำพังไร้ญาติมาเยี่ยมดูแล
มณิสร์ฐิตาเทวีได้แต่มองหน้าของหญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างเตียงด้วยความสงสัย ใบหน้ามีริ้วรอยแห่งความชราแต่แววตาเปี่ยมด้วยความเมตตา แม้เธอจะไม่ใช่ญาติมิตรแต่ก็ยินดีจะดูแลหญิงสาวที่ไม่รู้จักมักจี่กันแม้แต่น้อย
“ไม่...เจ้าค่ะ” นางตอบตะกุกตะกัก
“จะมาเจ้าคงเจ้าค่ะอะไรกัน เป็นลิเกมาก่อนรึ ไม่เอาก็ไม่เป็นไร มีอะไรก็เรียกป้าล่ะ” เธอบอกแบบนั้นแล้วก็หันไปหายายแก่ที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ข้างๆ สภาพของหญิงชรานั้นผอมแห้งจนเหลือแต่กระดูกและไร้เรี่ยวแรง ยังดีที่มีผู้หญิงคนนั้นซึ่งพอจะเดาออกว่าเป็นลูกสาวหรือไม่ก็ญาติใกล้ชิดคอยดูแลป้อนข้าวป้อนน้ำ
บนสวรรค์นั้นมณิสร์ฐิตาเทวีไม่เคยได้เห็นความทุกข์จากความเจ็บและตาย แต่ที่นี่รอบกายของนางนั้นรายล้อมไปด้วยคนเจ็บป่วย บางคนเจ็บหนักมีสายระโยงระยางเต็มไปหมดแถมยังนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงคนไข้ เสียงเครื่องช่วยหายใจดังอยู่ตลอดวันตลอดคืนราวกับว่าชีวิตของเธอคนนั้นฝากไว้กับเครื่องมือชิ้นนี้เสียแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นญาติพี่น้องก็ยังมาเยี่ยมหาคนไข้ไม่ได้ขาด แม้หมอจะบอกว่าต้องทำใจไว้บ้างหากว่าเธอคนนั้นต้องจากไปตลอดกาล หรือว่า...นางหลงมายังโลกมนุษย์เข้าเสียแล้ว
“คนไข้เป็นยังไงบ้างคะ” พยาบาลสาวร่างท้วมเดินเข้ามาที่เตียงของมณิสร์ฐิตาเทวีพร้อมกับชาร์ทคนไข้ในมือ
“เป็น...ยังไง” นางทวนคำอีกครั้ง
“ค่ะ เป็นยังไงบ้าง ยังเจ็บแผลอยู่ไหม” พยาบาลคนเดิมเดินมาหยุดที่ข้างเตียงพร้อมกับยิ้มหวาน
“แผล?” นางขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกงุนงง
“ใช่ค่ะ แผลที่กลางหลังนี่ไง ไหน...ขอพยาบาลดูหน่อยนะ”
ตั้งแต่เป็นนางฟ้ามามณิสร์ฐิตาเทวีไม่เคยได้รับบาดเจ็บเป็นแผลใหญ่ๆ แต่ถึงว่าจะเจ็บเนื้อตัวบ้างก็แค่ฟกช้ำหรือเป็นแผลเล็กน้อย และด้วยยาวิเศษบนสวรรค์ไม่ว่าแผลเล็กหรือแผลใหญ่ก็จะหายได้ทันตาเห็น แต่ที่นี่เมืองมนุษย์...คงจะไม่มียาวิเศษใช้เยียวยาบาดแผลเสียแล้ว นางมณิสร์ฐิตาเทวีจึงพลิกตัวหันหลังให้พยาบาลได้ดูแผลชัดๆ อย่างยากเย็น จากนั้นนางก็นอนนิ่งเกร็งไปทั้งตัว
“อืม ดีที่โดนแค่ถากๆ แผลเลยไม่ลึกมาก เออ...ว่าแต่ คนไข้ชื่ออะไรคะ จำได้ไหม” เธอถามต่อเพราะตั้งแต่รับตัวผู้หญิงคนนี้มาจากห้องฉุกเฉินก็รู้เพียงว่าเป็นคนไข้นิรนามเท่านั้น
“ข้าชื่อมณิสร์ฐิตาเทวี”
“เออ....อีหนู บอกชื่อหมอเขาไปดีๆ สิ ใครเขาจะตั้งเป็นชื่อลูกชื่อหลานแบบนั้น อย่างกับลิเก” หญิงวัยกลางคนที่เป็นญาติอยู่เตียงข้างๆ ปรามเบาๆ
“แต่...ข้าชื่อนี้จริงๆ นี่เจ้าคะ”
“เอาล่ะๆ ชื่อนี้ก็ชื่อนี้ จำได้ไหมว่าบ้านอยู่ไหน”
“บ้าน...บ้านของข้าอยู่บนสวรรค์”
“อ๋อ อยู่นครสวรรค์เหรอคะ”
“ไม่ใช่ๆ สวรรค์เฉยๆ สวรรค์น่ะ ข้าน่ะ...เป็นนางฟ้ารู้ไหม”