พรานแสน เป็นเด็กหนุ่มที่เพิ่งจะขึ้นมาเป็นพรานแทนพ่อ เขาตัดสินใจเดินทางไปยังพื้นที่ที่พ่อเคยห้ามปรามไม่ให้ไป
ที่นั่นคือ หุบเขาพรหมจรรย์
หุบเขาที่ว่า เป็นพื้นที่ลึกลับ ไม่มีพรานจากข้างนอกเข้าไป สัตว์ป่ายังชุกชุม
ว่ากันว่า ที่นั่น มีตาเฒ่าคนหนึ่งหวงแหนพื้นที่เอาไว้ แต่ตาเฒ่าก็กลายเป็นที่พึ่งของสัตว์ป่า
ไม่มีใครรู้จักตาเฒ่า
มีแต่เรียกขานกันว่า พรานเฒ่า
“ไอ้หนู เอ็งอย่าไปที่นั่นเด็ดขาด ถึงแม้ว่าที่นั่นจะมีสัตว์ป่าให้ล่ามากมายก็เถอะ มันไม่เหมาะกับเอ็ง”
พรานสินผู้พ่อบอกก่อนจะขาดใจตายไป
แต่สำหรับพรานแสน การตายของพ่อ ก็เท่ากับเป็นการเริ่มต้นชีวิตของเขา
มันคือการนับหนึ่งเพื่อจะต้องดำรงชีวิตอยู่ให้ได้ ในหมู่บ้านลึกลับกลางป่าเขา ผู้คนทำอาชีพด้วยการเป็นพรานป่าล่าสัตว์เพียงอย่างเดียว
พวกเขาเป็นชนเผ่าพรานป่าที่ยังหลงเหลืออยู่
แม่ของพรานแสน เสียไปนานหลายปีแล้วละ ตั้งแต่พรานแสนยังแบเบาะ
ตลอดชีวิตของพรานแสน อาจจะเคยติดตามพ่อเข้าป่าเพื่อล่าสัตว์ รู้กลยุทธต่าง ๆ รู้จักวิธีใช้หน้าไม้ ใช้พิษที่ทำขึ้นมาเอง เพื่อประโยชน์ในการล่าสังหาร แต่เอาเข้าจริง เขาก็ยังไม่ได้เป็นคนลงมือทำทุกอย่างด้วยตัวเอง
บัดนี้ ชีวิตเหมือนดั่งภาคบังคับ
ล่าสัตว์ไม่ได้ ก็เท่ากับเป็นการฆ่าตัวตายทางอ้อม ไม่มีใครหยิบยื่นอาหารให้อยู่แล้ว
พรานป่าที่นี่ ล้วนแล้วแต่มีนิสัยเห็นแก่ตัวทั้งสิ้น ที่นี่ไม่มีใครเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้แก่กันหรอก
ผู้อ่อนแอ คือผู้ที่ตายไปแล้ว
ไม่อย่างนั้นก็จะไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางดินแดนอันแสนหฤโหดได้เลย
“ไอ้หนู เอ็งอย่าไปที่นั่นนะ ถือว่าพ่อขอร้อง”
เสียงของพรานสินยังดังก้องอยู่ในห้วงแห่งความทรงจำของพรานแสน
แต่ไม่หรอก เขาจะต้องไป เพราะที่นั่น การล่าสัตว์เป็นเรื่องง่าย พวกมันมีชุกชุม
ความชุกชุมของสัตว์ป่า ย่อมทำให้เขาสามารถล่าสัตว์ป่าได้ง่ายยิ่งขึ้น
ฆ่าเก้งสักตัวแล้วค่อยล่าถอยออกมาก็ยังไม่สาย
พรานเฒ่าที่ว่า อาจจะไม่มีอยู่จริงก็ได้ เป็นเพียงตำนานหลอกลวง เพื่อไม่ให้ใครเข้าไปยังหุบเขาพรหมจรรย์ต่างหากเล่า