นวนิยายเล่มนี้ เกิดขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียนทั้งสิ้น เป็นเพียงเหตุการณ์สมมุติ ไม่ได้เกิดขึ้นในชีวิตจริง ตัวละครทุกตัวในเรื่องไม่มีอยู่จริง สร้างขึ้นเพื่อความบันเทิง อาจมีการเอ่ยถึงสถานที่จริงในประเทศไทยในบางตอน แต่มิได้มีเจตนาลบหลู่ หรือพาดพิงบุคคลใด อาจมีเนื้อหาบางตอนที่ใช้คำไม่สุภาพ ทั้งนี้เพื่อให้สมจริงและมีอรรถรสในการอ่าน โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชมผลงาน
...............................................................................................................................................................................................
บทนำ
“…ข้าพระพุทธเจ้า จักรักษามรดกของพระองค์ท่าน ไว้ด้วยชีวิต…”
นครนายก
12.00น.
หน้าจอคอมพิวเตอร์หลายเครื่องถูกปิดลงทันทีที่สิ้นเสียงหัวหน้าตอนนำเอ่ยเคารพอาจารย์ประจำวิชาผู้สอน บรรดานักเรียนเตรียมทหารในตอนเรียนแต่ละนายต่างพากันเก็บอุปกรณ์การเรียนและกวาดลงกระเป๋าอย่างเร่งรีบ ด้วยต้องเร่งทำเวลาในการเดินรวมแถวไปยังโรงเลี้ยงเพื่อรับประทานอาหารในตอนกลางวัน
“เร็วสิวะพวกมึง ชักช้าเดี๋ยวค่ำนี้โดนแดกขึ้นมาจะพากันซวยซะเปล่า” เจ้าของเสียงในชุดศึกษาของโรงเรียนเตรียมทหารเอ่ยขึ้นอย่างเร่งเร้า ในขณะที่กลุ่มเพื่อนสนิทที่นั่งเรียนไม่ห่างกันต่างรีบยัดของบนโต๊ะลงกระเป๋านักเรียนสีดำด้วยความรีบเร่งไม่แพ้กัน
“เออ เสร็จแล้วเนี่ย ไปกันยัง”
“ไวเชียวนะมึง ไอ้เม้ง…ยิ่งกว่าลิงแย่งกันกินกล้วยซะอีก” คนเร่งเพื่อนเป็นคนแรกเอ่ยชมเพื่อนสนิท พลางรวบกระเป๋าเรียนมาถือเตรียมพร้อมไว้ในมือ
“ไม่ได้หรอก สำหรับกู…เรื่องกินเรื่องใหญ่ว่ะไอ้วี” คนถูกเรียกนามย่อ ‘เม้ง’ หันไปเอ่ยตอบยิ้มๆ
“เรียบร้อยกันแล้วใช่มั้ย แล้วนั่น…ไอ้คุณชานนท์ มึงทำห่าชักช้าอะไรวะเนี่ย คนอื่นเค้าจะไปกันอยู่แล้ว” คราวนี้หัวหน้าตอนที่ยืนห่างออกไปเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นบ้าง พลางขยับแขนเสื้อทั้งสองข้างที่มีขีดสีม่วงหนึ่งขีดบ่งบอกถึงตำแหน่งหัวหน้าตอนเรียนให้กระชับขึ้น ในขณะที่คนถูกเร่งกลับส่ายหน้าด้วยความรำคาญเพื่อนทั้งสามนาย ทั้งที่มือยังเก็บของลงกระเป๋าศึกษาไปด้วยแทบเป็นระวิง
“กูอ่านข่าวมาก็เลยช้านิดหน่อย นี่…ไอ้วี ไอ้เม้ง ไอ้ปลาทู พวกมึงน่ะรู้ข่าวสารบ้านเมืองมั่งมั้ย ว่าค่ำนี้มีฝนดาวตกชุดใหญ่ นานเป็นร้อยปีจะมีปรากฏการณ์อย่างนี้สักทีนึงนะ กูอยากออกไปดูว่ะ”
“โห ไอ้เหี้ย” เพื่อนทั้งสามที่ยืนรออยู่ถึงกับส่ายหน้าขำ ในขณะที่เพื่อนนามย่อ ‘เม้ง’หันไปเอ่ยกับหัวหน้าตอนเรียนด้วยความระอา
“ไอ้ปลาทู มึงจัดการไอ้เหี้ยนนท์มันทีซิ ตอนนี้มันใช่เวลามาสนใจดาวตกมั้ยเนี่ย”
“เออดิ กูก็ว่างั้นแหละว่ะ ไอ้เหี้ยนนท์…ตกลงมึงจะแดกข้าวหรือจะดูดาว ไอ้สัด ให้ไวเร็วๆ เข้า เพื่อนรออยู่” อาชว์เจ้าของฉายาปลาทู ผู้มีตำแหน่งหัวหน้าตอนเอ่ยแล้วเร่งเพื่อนอีกรอบ
“ก็…” ชานนท์พยายามจะบอกเล่า แต่เพื่อนทั้งสามที่ยืนล้อมอยู่ต่างพากันโบกไม้โบกมือราวกับไม่ขอฟังต่อ
“พอๆ เรื่องดาวตกของมึงเนี่ยไว้ค่อยว่ากัน แต่ตอนนี้เหลือมึงช้าอยู่คนเดียวเนี่ย รีบๆ เหอะ เดี๋ยวก็โดนแดกหรอก เพื่อนลงไปรวมแถวกันหมดแล้ว”
“เออรู้แล้วน่า ไอ้เวรพวกนี้! ไปโว้ย ช้าแค่นี้ทำบ่นไปได้” ชานนท์รวบกระเป๋านักเรียนสีดำมาถือไว้ในมือ ในขณะที่เพื่อนสนิทคนอื่นบ่นอุบ
“เปลี่ยนจากฉายาควายเป็นเต่าดีมั้ยไอ้สัด”
เสียงแตรนอนในยามค่ำดังขึ้นอันเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการเข้านอนของนักเรียนทุกคน ไฟในห้องนอนแต่ละห้องถูกปิดลงโดยอัตโนมัติราวกับถูกตั้งระบบไว้ โต๊ะฝึกฝนที่ตั้งอยู่บนหัวเเตียงนอนที่มีหนังสือกองเมื่อครู่ ถูกเก็บทำความสะอาดจนไม่มีสิ่งใดหลงเหลืออยู่บนโต๊ะแม้แต่น้อย ส่วนเก้าอี้ถูกเลื่อนเก็บลงชิดโต๊ะแลดูเป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างที่เคยเป็นมาในแต่ละวัน
เตียงนอนเหล็กสำหรับนักเรียนทหารแปดเตียงรายเรียงอย่างเป็นระเบียบต่อห้องนอนหนึ่งห้อง บรรดาเพื่อนนักเรียนร่วมห้องคนอื่นต่างทยอยล้มตัวลงนอนทอดร่างพักกายลงบนเตียงที่ขึงด้วยผ้าปูสีขาวสะอาดตา
ชานนท์นอนมองดูพัดลมเพดานที่หมุนอยู่บนผนังห้อง พยายามข่มตาหลับ อย่างไรก็ไม่เป็นผลจนต้องพลิกร่างไปมาอยู่อย่างนั้นด้วยความกระวนกระวาย ด้วยความที่อยากเห็นปรากฏการณ์ธรรมชาติประกอบกับติดตามข่าวอย่างใกล้ชิดมาตลอด ทำให้ถึงกับอดรนทนไม่ได้อีกต่อไปจนต้องเอื้อมมือไปสะกิดเพื่อนสนิทที่นอนเตียงติดกัน
“ปลาทู ปลาทู ไอ้ปลา มึงหลับรึยัง”
“หลับเหี้ยอะไรล่ะ เสียงแตรนอนเพิ่งจะเงียบ ไฟห้องก็เพิ่งจะดับได้ไม่ถึงห้านาที” อาชว์ว่าทั้งที่นอนหลับตาอยู่บนเตียง
“เสียงดังอะไรกันครับเพื่อน ช่วยเบาๆ หน่อยครับ พวกกูจะนอน” ประโยคตำหนิดังแว่วมาจากเพื่อนนักเรียนร่วมห้องคนอื่นที่นอนสี่เตียงท้ายสุดเอ่ยขึ้น จนชานนท์ต้องหันไปยิ้มแห้งๆ
“ขอโทษครับเพื่อน นอนตามสบายนะครับ พวกกูจะพยายามไม่ส่งเสียงดังรบกวนพวกมึงนะ” อาชว์เอ่ยด้วยความเกรงใจ ในขณะที่ชานนท์ยังเอ่ยต่อทว่าลดเสียงลงจนแทบจะกลายเป็นกระซิบ
“ไอ้ปลา…กูอยากดูฝนดาวตกว่ะ ลองของสักหน่อยมั้ย” เจ้าของต้นคิดในยามเที่ยงยังไม่ละความสนใจ ทำเอาคนถูกชวนที่กำลังนอนหลับตาอยู่ถึงกับเบิกตาโพลง
“ไอ้นนท์ เหี้ยเอ๊ย…มึงนี่จะพากูซวยเปล่าๆ เสือกอยากดูดาวห่าเหวอะไรของมึงตอนนี้วะ” อาชว์อุทานแล้วพลิกร่างนอนตะแคงมาทางชานนท์ทำหน้าจริงจัง
“มึงคิดดูนะ ถ้าเกิดว่าคอมแมนด์มาเห็นเข้า หรือโดนผู้หมวดจับได้นี่อภิมหาซวยเลยนะเว้ย เผลอๆ คอมแมนด์ก็จะพลอยโดนไปด้วยอีกคน มึงนี่ช่างคิดมาได้นะไอ้สัด” อาชว์ท่าทางไม่เล่นด้วยพลางดึงผ้าห่มขึ้นมากระชับร่างคลุมตัวนอน ในขณะที่คนนอนเตียงถัดไปอีกคนแอบยิ้มอย่างสนใจ
“มึงอยากไปดูฝนดาวตกเหรอ ไอ้นนท์”
“เออ สนมั้ย” ชานนท์ตาเป็นประกายขึ้นมาทันที
“ที่ไหนวะ วิวดีป่ะ”
“มึงก็เป็นไปกะไอ้นนท์มันอีกคนเหรอไอ้เม้ง โดนจับได้นี่มีหวังนอนเฝ้าโรงเรียนยาวไปเลยนะมึง” อาชว์หันไปส่งเสียงกับปรินทร์ เจ้าของฉายา ‘เม้ง’ ที่นอนห้องเดียวกันในเตียงถัดไปเป็นเชิงปราม ในขณะที่ชานนท์คนต้นคิดโปรเจครีบลุกนั่ง บนเตียงแล้วหันไปพยักเพยิดกับคนถามด้วยความพออกพอใจเมื่อรู้ว่าจะได้แนวร่วม
“เหล่าตำรวจอย่างกู กลัวที่ไหนกะอีแค่โดนกักเฝ้าโรงเรียน” ปรินทร์เอ่ยขึ้นแล้วยักคิ้วตอบชานนท์ จนเพื่อนอีกคนที่นอนริมสุดที่นอนฟังมาตั้งแต่ต้นถึงกับส่ายหน้า
“ไอ้เวรสองคนนี่ช่างพากันหาเรื่องให้ชาวคณะซวยซะจริง สมแล้วที่ไอ้ปลาทูมันด่าเอาบ่อยๆ”
“หรือมึงป๊อดวะ” ชานนท์กระเซ้าเพื่อน ทำเอารวีวัชร์ถึงกับตาโตเมื่อโดนเพื่อนเหล่าอื่นหยามเหยียดเต็มสองหู
“ใครจะพลังควายแบบทหารบกอย่างมึงล่ะไอ้นนท์ ลูกทัพฟ้าอย่างกูหยามไม่ได้ ถ้ามึงกล้าไป กูก็กล้า…ไปที่ไหนว่ามาเลย” รวีวัชร์เอ่ยขึ้นพลางผุดลุกนั่งบนเตียง สีขาวสะอาดตาด้วยสีหน้าจริงจัง ทำเอาอาชว์ที่นอนอยู่ถัดไปถึงกับอุทาน
“แม่ง!! หาเรื่องซวยนี่ถนัดกันชิบหายนะพวกมึง”
“มึงจะไปกับพวกกูมั้ยล่ะ อย่าบอกนะ…ว่าไม่กล้า” ปรินทร์ยื่นหน้าไปทางเพื่อนพลางล้อเลียนลากเสียง
“ไอ้ปลาทูมันป๊อดว่ะ ปลาทูหรือปลาซิววะมึงอะ” ชานนท์หัวเราะเพื่อน ทำเอาอาชว์ที่ถูกหยามหยันถึงกับสะบัดผ้าห่มที่คลุมร่างออกแล้วพยักหน้า
“เห้ย…ทหารเรืออย่างกู ไม่เคยกลัวอะไร…ไปที่ไหนว่ามาเลย” น้ำเสียงอาชว์เด็ดเดี่ยวไม่แพ้กัน ทำเอาชานนท์หันไปยักไหล่ยิ้มๆ กับปรินทร์
“ดี…ในเมื่อนักรบทุกเหล่าประกาศตัวว่ากล้าหาญนัก งั้นเราจะบุกยึดเป้าหมายพื้นที่หวงห้ามคือชั้นดาดฟ้าโรงนอนพร้อมกัน ตอนตีหนึ่งคืนนี้”
…แล้วเจอกันครับฝนดาวตก
บรรยากาศบนดาดฟ้าตอนตีหนึ่งเหนือผืนฟ้าโรงเรียนแห่งลูกผู้ชายดูเงียบสงบและมืดมิดด้วยเพราะล่วงเข้ายามดึกสงัด จะมีก็เพียงแค่สายลมที่พัดมาเป็นระลอกพอให้กระทบร่างได้รับความเย็นสบายอยู่เป็นระยะ
“อากาศดีชิบหายเลย ตั้งแต่กูอยู่มาจนพ้นนักเรียนใหม่ จนรับแหวนรุ่นแล้ว ก็ยังไม่เคยได้ขึ้นมาสูดอากาศบนชั้นดาดฟ้าตอนตีหนึ่งแบบนี้มาก่อนเลย” ปรินทร์ทำท่ายืดเหยียดบิดร่างไล่ความเมื่อย ในขณะที่แต่ละคนต่างยืนสูดอากาศเข้าปอดอย่างสดชื่น
“โห ดาวตกหลายดวงมากเลย สวยชิบ…พวกมึงดูโน่นดิ เต็มท้องฟ้าเลย” ชานนท์หรี่ตามองท้องฟ้าผ่านกล้องดูดาวอันเล็กที่ถือมาในมือพลางพึมพำอย่างตื่นเต้น
“ไหนวะ” อาชว์แย่งกล้องไปจากมือเพื่อนแล้วส่องดูบ้าง
“เออ…สวยขั้นสุดไปเลยว่ะ ทั้งเนบิวลา กาแลคซี่ ทางช้างเผือกอะไรไม่รู้แม่งมาหมดเลยคืนนี้ อากาศดีด้วย”
“เออดิ เงียบดีว่ะ น่าพาไอ้วีมานั่งสมาธิเชื่อมจิตหาสาวๆ ในสต๊อกของมันบ่อยๆ เนอะ มึงว่ามั้ยไอ้ปลาทูอาชว์” ชานนท์เอ่ยขำๆ ทำเอารวีวัชร์รีบส่ายหน้า
“กูมีที่ไหนกัน ไอ้สัด มึงก็ว่าไป…ไหน ขอดูมั่งดิ” ท้ายประโยคหันไปแย่งกล้องดูดาวจากมืออาชว์อีกทอด แล้วส่องดูดาวบนท้องฟ้าด้วยความสนอกสนใจ
“อย่านะมึง!!...ไอ้วี กูเห็นวันก่อนตอนเรียนวิชาคอมพิวเตอร์ มึงยังแอบนั่งแชทกับสาวๆ อยู่เลย จะบอกไม่มีได้ยังไงกัน” อาชว์รู้ทัน จนรวีวัชร์หัวเราะขำ
“ก็เค้าทักกูมา กูก็แค่ตอบกลับ กลัวเค้าจะหาว่ากูหยิ่ง…มันก็แค่นั้น ไม่มีอะไรหรอกน่า”
“เออ มันไม่มีสาวสิแปลก ออกจะรูปหล่อ พ่อรวย แถมเป็นถึงนายพล ไม่มีสาว ก็บ้าแล้ว ใครมันจะเหมือนลูกเจ๊กต้องช่วยพ่อแม่ขายของอย่างกูวะ” ปรินทร์เอ่ย
“มึงบอกตัวเองลูกเจ๊ก ส่วนกูลูกไต้ก๋ง วันๆ ช่วยพ่อล้างแต่เรือประมง ช่วยยกเข่งปลา มันต่างกันยังไงวะ สาวที่ไหนจะเอา” อาชว์บ่นอีกคน
“พวกมึงลืมกูไม่ได้นะ พ่อแม่กูทำสวนส้ม วันๆ กูช่วยพ่อแม่เก็บแต่ส้มทั้งวัน สาวที่ไหนจะอยากคุยด้วย ชาวสวนชาวไร่น่าตาน่าสงสารอย่างกู” ชานนท์หัวเราะร่า พลางเอ่ยตามเพื่อนไปด้วยอีกคนอย่างสนุกสนาน จนรวีวัชร์ถึงกับลดกล้องส่องดาวในมือลงส่ายหน้าด้วยความระอา
“พวกมึงนี่มันขยันบูลลี่กูกันจังเลยนะ ไอ้เม้งมึงน่ะลูกเจ๊กก็จริง แต่ก็เจ๊กระดับเจ้าสัวธุรกิจใหญ่ในนครปฐม ไอ้ปลามึงก็ไต้ก๋งระดับเจ้าของเรือประมงพาณิชย์ตั้งกี่ลำ ส่วนไอ้สัดนนท์ สวนส้มมึงที่ว่านี่ใหญ่ระดับภาคเหนือ พูดชื่อขึ้นมาไม่มีใครไม่รู้จัก พวกมึงแต่ละคนโปรไฟล์ใหญ่โตกันขนาดนี้ ยังจะกล้าพูดว่าตัวเองไม่มีสาวๆ …พูดมั่วชิบหาย”
“แหม ก็พ่อมึงน่ะใหญ่ระดับผู้ช่วยผบ.ทร.ขนาดนั้น ที่พวกกูได้แดกอาหารหรูบ่อยๆ กันทั้งโรงเรียนก็เพราะบารมีพ่อแม่มึงส่งมาเลี้ยง ถ้าไม่อวยมึงก็คงไม่ได้แล้วว่ะ” ปรินทร์ยิ้มแย้ม
“นี่กูยังจำตอนไปฝึกภาคทะเลได้เลย อาหารในฝันของกูบนเรือมื้อนั้น ถ้าไม่ใช่บารมีพ่อไอ้วี เพื่อนทั้งรุ่นรวมทั้งตัวกูไม่มีทางได้กินดีขนาดนั้นหรอก”
“และถ้าผมติดยศเมื่อไหร่ ผมก็ขอฝากเนื้อฝากตัวกับลูกท่านนายพลด้วยนะครับ จากใจทหารเรือตัวน้อยๆ ” อาชว์ยื่นหน้ามาแซว จนรวีวัชร์หมั่นไส้เพื่อนแทบจะยกเท้าถีบเสียให้ได้
“แหม ฝากเนื้อฝากตัวกับท่านนายพลยังไม่เท่าไหร่ กระผมจะขอฝากหัวใจไว้กับลูกสาวท่านนายพลด้วยได้มั้ยนะครับ” คราวนี้ชานนท์เอ่ยบ้างด้วยความคะนอง ทำเอารวีวัชร์ที่ขึ้นชื่อว่าหวงน้องสาวถึงกับทนฟังไม่ไหวตบกะโหลกเพื่อนรักไปหนึ่งป้าบด้วยความหมั่นไส้
“ไม่ได้เว้ย น้องสาวกูหวงหนักมาก ไอ้พวกนักเรียนเหล่าอย่าได้หวัง ต่อให้ไม่ใช่นักเรียนเหล่ากูก็ไม่อนุญาต” คนอยู่เหล่าทหารอากาศประกาศเสียงดังชัดเจนท่ามกลางความมืด ในขณะที่ชานนท์คลำหัวตัวเองป้อย
“หวงน้องสาวจริงเชียวไอ้นี่ อย่างว่าแหละ น้องเค้าสวยน่ารักของจริง เป็นกู กูก็หวงวะ” ปรินทร์ยื่นหน้ามาใกล้ๆ พลางยิ้มเห็นฟันขาว
“สงสัยท่าจะมีกูคนเดียวที่ไม่เคยเห็นน้องสาวไอ้วี” อาชว์พึมพำ
“มึงจะเห็นได้ไง ก็มึงไม่เคยไปบ้านไอ้วีเหมือนพวกกู” ชานนท์เอ่ย ในขณะที่ปรินทร์เอื้อมมือมากอดคอชานนท์พลางพยักหน้าสนับสนุน
“นั่นสิ จะดูสาวสวย มันต้องมีแหล่งให้ไปแอบดูเว้ย ไม่ใช่เดินมั่วสะเปะสะปะ หลงเข้าวัดเข้าวาบ่อยๆ เป็นอุบาสกทายาทพระธรรมแบบมึง แล้วชาติไหนจะได้เจอล่ะ” เพื่อนทั้งสองหัวเราะพร้อมกัน ในขณะที่เสียงเข้มผิดหูร่วมหัวเราะด้วย จนนักเรียนเตรียมทหารทั้งสี่นายเริ่มผิดสังเกตจนต้องลดระดับเสียงลงพลางมองหน้ากันด้วย ความฉงน
“ไอ้สัด เสียงใครหัวเราะด้วยวะ คุ้นชิบหาย” อาชว์มองหน้าเพื่อนที่นั่งข้างๆ คราวนี้ทุกคนต่างสบตากัน สีหน้าร่าเริงเมื่อสักครู่เริ่มเปลี่ยนเป็นสงสัยระคนไม่แน่ใจ พอกับเสียงหัวเราะที่เงียบลงแทบจะในทันที
“มึงได้ยินมั้ย ไอ้นนท์” รวีวัชร์ถามเพื่อนที่นั่งถัดไป ชานนท์ขมวดคิ้วทำหน้าเคร่งพลางพยักหน้ารับ
“เออ ได้ยิน แล้วมึงล่ะ ไอ้เม้ง ได้ยินเหมือนกูป่าว” ชานนท์หันไปถามต่อจนแทบจะเป็นซุบซิบ ปรินทร์พยักหน้าสบตาทั้งที่หน้าถอดสี ความทะเล้นที่มีอยู่แทบจะหายไปในทันทีเมื่อรู้สึกว่าหายนะใหญ่กำลังมาเยือนในอีกไม่ช้าไม่นานนี้
…ซวยละมึงเอ๊ย ถ้าไม่ใช่เสียงคอมแมนด์นักเรียนบังคับบัญชา ก็คงเป็นผู้หมวดนายทหารประจำกองพันที่ออกเดินตรวจความเรียบร้อยอยู่บ่อยๆ เป็นแน่
“เอาเป็นว่า…ทุกคนได้ยินเหมือนกันหมดใช่มั้ย” เสียงแปลกเอ่ยถามขึ้นทาง ด้านหลัง นักเรียนเตรียมทหารทั้งสี่นายที่เคยส่งเสียงหัวเราะกันคิกคักเมื่อสักครู่ใหญ่ต่างพากันสบตานิ่งและใจหายวาบทันทีที่คนถามเอ่ยจบประโยค ความเงียบเริ่มเข้าปกคลุมพื้นที่ในทันทีโดยอัตโนมัติ
…กูว่าแล้ว งานนี้ทั้งมึงทั้งกู ไส้แตกไม่เหลือแน่นอน
“ทั้งหมด ยืน!!”
ทันทีที่สิ้นเสียงสั่ง ทั้งสี่นายต่างลุกยืนพรึบราวกับติดสปริงเด้งที่ข้อเท้าพลางยืดอกยืนตรง ไม่มีแล้วเสียงพูดคุยและหัวเราะกันดังเช่นเมื่อครู่ ในใจของแต่ละคนเริ่มเต้นโครมครามด้วยความตื่นเต้นเมื่อต่างจำได้ชัดเจนแล้วว่าเป็นเสียงใคร
ทั้งสี่ชิดเท้ายกอกอึ๊บแทบจะในทันทีที่มองเห็นใบหน้าของผู้มาทีหลังโดยพร้อมเพรียงกัน ทุกคนเหงื่อเริ่มแตกพลั่กจนชุ่มไปทั่วแผ่นหลังเมื่อค่อนข้างแน่ใจแล้วว่ามัจจุราชประจำกองพันนักเรียนกำลังรอเด็ดปีกอยู่ในเวลานี้
“เมื่อสักครู่ผมถามว่า ทุกคนได้ยินเสียงผมเหมือนกันหมดใช่มั้ย” เสียงที่ดังมาจากด้านหลังยังคงถามต่อด้วยคำถามเดิม ทั้งสี่แทบจะกลืนน้ำลายไม่ลง แต่ก็จำต้องตอบด้วยความกล้าหาญ
“ได้ยินครับ!!!”
“แล้วจำได้มั้ย ว่าผมเป็นใคร” เสียงปริศนายังคงถามต่อไป ทั้งสี่ต่างยืนตรงแต่ลอบสบตากันราวกับรู้ชะตากรรมของตัวเองดีนับจากนี้
“จำได้ครับ”
“ดี!” เสียงนั้นเย็นเยือกราวกับพึงพอใจ แต่ทว่าคนฟังดูแล้วเหมือนเจือด้วยความอำมหิตพิกล
“ถ้าจำได้ ไหนตอบผมหน่อย ว่าผมชื่ออะไร ตำแหน่งอะไร” คนถามเอ่ยถามต่อไป ในขณะที่คนตอบนึ่งไปชั่วอึดใจก่อนจะประสานเสียงยืดอกตอบพร้อมกัน
“ผู้หมวดสุทธิพงษ์ นายทหารประจำกองพันนักเรียน ครับผม!”
“ดีมาก ขอบใจที่ยังจำกันได้” เสียงนั้นพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง รอยยิ้มชักขึ้นที่ริมฝีปากเล็กน้อย พร้อมกับที่ร่างสูงใหญ่นั้นค่อยๆ ก้าวเข้ามาใกล้ในระยะชัดเจนจนปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัดตรงเบื้องหน้า พลางกวาดสายตาไล่มองนักเรียนเตรียมทหารตรงหน้าทีละนายด้วยรอยยิ้มเยือกเย็นผิดปกติ
“รายงานตัวให้ผู้หมวดทราบและรู้จักหน่อย ว่าแต่ละคนชื่ออะไร เหล่าไหน ผู้หมวดอยากรู้จักนักเรียนทุกคน ว่าเป็นใคร มาจากไหน และทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ ในเวลานี้!!”
คำสั่งนั้นเหมือนสายฟ้าผ่าเปรี้ยงบาดลงกลางใจผู้ฟังทั้งสี่ยิ่งนัก แม้จะรู้ตัวว่าสถานการณ์นับจากนี้อาจลำบากยากเย็นกว่าชีวิตปกติในแต่ละวันที่ผ่านมา แต่สีหน้าก็มิได้แสดงความหวั่นไหวออกมาให้เห็นคล้ายจะยอมรับกับผลแห่งการกระทำที่เกิดขึ้น
“กระผม นักเรียนเตรียมทหารอาชว์ กิจไพศาลสินธุ์ เหล่าทหารเรือ ครับ” อาชว์เอ่ยขึ้นในฐานะผู้ยืนหัวแถวคนแรก แม้เสียงนั้นจะดังฟังชัดเจน แต่หัวใจเต้นระรัวยิ่งกว่าเสียงกลอง
นายทหารที่ยืนตรงหน้ายืนเอามือไพล่หลังมองจ้องอย่างไม่วางตา แม้อีกฝ่ายจะยืนท่าตรงรอฟังคำสั่ง แต่อาการประหม่าก็ยังเล็ดรอดออกมาให้สังเกตได้ไม่ยากเย็นนัก
“ลูกชายไต้ก๋งใหญ่เมืองระนอง ที่เคยมาฝากฝังลูกชายไว้กับผม ตอนเข้ารายงานตัวเมื่อครั้งเป็นนักเรียนใหม่ ใช่มั้ย!” นายทหารเอ่ยขึ้นราวกับจำได้ ทำเอาอาชว์ถึงกับเม้มปากด้วยความรู้สึกผิดอยู่ในใจ
“ครับ”
“ดี ดีจริงๆ …คนต่อไป!”
“กระผม นักเรียนเตรียมทหารชานนท์ แสงธนาทิตย์ เหล่าทหารบก ครับ” นายทหารประจำกองพันนักเรียนขยับกายมายืนตรงหน้าพลางหรี่ตานึกย้อน
“ลูกเจ้าของสวนส้มธนาทิตย์นี่เอง ที่พ่อแม่หอบส้มมาฝากจนทุกคนในโรงเรียนได้มีโอกาสชิมผลไม้ชื่อดังทางเหนือ ผู้หมวดจำได้” คำพูดของนายทหารแม้ราบเรียบ แต่กลับสะท้อนปลาบกระทบจิตใจคนฟังเมื่อนึกถึงพ่อแม่ทางบ้าน
“เชิญคนถัดไป!”
“กระผม นักเรียนเตรียมทหารปรินทร์ เอกมังกรพาณิชย์ เหล่าตำรวจ ครับ”
“เจ้าสัวใหญ่กิจการขนส่งที่นครปฐม ที่เป็นจิตอาสาด้านการขนส่งของโรงเรียนอยู่บ่อยครั้ง นี่ลูกชายท่านสินะ” นายทหารเอ่ยทักจน ปรินทร์แววตาวูบไหว
“คนสุดท้าย!”
“กระผม นักเรียนเตรียมทหารรวีวัชร์ นฤมาศนภดล เหล่าทหารอากาศ ครับ”
“ไม่ต้องบอก ผมก็รู้ว่านามสกุลคุณ ท่านใดเป็นผู้ปกครอง!” นายทหารกวาดสายตามองแต่ละคนตรงหน้าทำเอารวีวัชร์ถึงกับแอบกลืนน้ำลายด้วยความรู้สึกผิดหวังในตัวเอง
“นักเรียนทั้งสี่คน ผู้หมวดจำผู้ปกครองได้ทุกคน เพราะได้ทำการฝากฝังทุกคนไว้กับผู้หมวดในวันรายงานตัวเป็นนักเรียนใหม่ นักเรียนทุกนายต่างเป็นลูกที่สร้างความภาคภูมิใจให้พ่อแม่ ญาติพี่น้อง วงศ์ตระกูล ตั้งแต่วันแรกในวันที่ได้เข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารอันทรงเกียรติ และได้รับการยกย่องเป็นการทั่วไปว่าเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งระเบียบวินัยอย่างดีเยี่ยม”
นายทหารประจำกองพันนิ่งไปชั่วครู่ สายตายังคงจับจ้องนักเรียนที่ยืนตรงหน้าทั้งสี่ด้วยความผิดหวัง
“ผู้หมวดจึงไม่ทราบจริงๆ …ว่าในขณะที่เพื่อนร่วมรุ่น ต่างปฏิบัติตนอยู่ในระเบียบวินัย แต่ผู้หมวดกลับพบนักเรียนสี่นาย ลักลอบอยู่ในสถานที่แห่งนี้ ในเวลานี้ได้อย่างไรกัน นักเรียนทั้งสี่นายละทิ้งแล้วซึ่งระเบียบวินัย อันเป็นเกียรติยศของนักเรียนเตรียมทหารแล้วหรืออย่างไร
คำถามของนายทหารทำเอาทั้งสี่นายถึงกับนิ่งอึ้งราวกับรู้สึกผิดในสิ่งที่ได้ทำลงไปด้วยความคึกคะนอง โดยลืมไปแล้วสิ้นถึงระเบียบวินัย และธรรมเนียมทางทหารที่ต้องยึดถือ
ชานนท์ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงก้าวออกไปด้านหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว ด้วยเพราะต้องการรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งตนเป็นต้นเหตุทำให้เพื่อนต้องเดือดร้อนแต่เพียง ผู้เดียว
“กระผม เป็นคนชักชวนเพื่อนทั้งสามให้ขึ้นมาบนดาดฟ้าเองครับผม”
“ดี” นายทหารมองหน้าเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างพึงพอใจกับความกล้าหาญที่อีกฝ่ายแสดงออกมา ในขณะที่ทั้งสามยังคงยืนนิ่งเงียบ นายทหารหนุ่มยืนมองร่างเด็กหนุ่มวัยรุ่นตรงหน้าที่ยืนตรงยืดอกรับผิดพลางพยักหน้าเล็กน้อย
“เมื่อตัวการรับสารภาพ ก็ไม่ต้องไต่สวนให้มากความ ดันพื้นไปเรื่อยๆ จนกว่า ผู้หมวดจะเหนื่อย ปฏิบัติ!”
ร่างชานนท์ย่อลงไปขนานราบกับพื้นและนับดังๆ ตามที่ถูกฝึกมาพร้อมกับร่างกายที่เคลื่อนไหวขึ้นลงตามกำลังแขน
“หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ด…”
ชานนท์ดันพื้นและนับไปเรื่อยๆ ในขณะที่เพื่อนสนิททั้งสามคนยืนตรงนิ่งเงียบ นายทหารผู้สั่งทำโทษเหลือบมองคนถูกทำโทษและเพื่อนสนิทที่เหลือแวบหนึ่งแล้วไม่พูดอะไรต่อ
“นับอีก…นับให้ดังกว่านี้ นับไป นับให้ดัง” นายทหารสั่ง ชานนท์จำต้องเร่งเสียงให้ดังกว่าเดิมในขณะที่ร่างเริ่มโชกไปด้วยเหงื่อและยังดันพื้นต่อไปไม่หยุด แม้ร่างกายจะได้รับการฝึกให้แข็งแกร่ง แต่เมื่อร่างกายต้องใช้กำลังเป็นเวลาติดต่อกันทำให้เห็นถึงความอ่อนล้าได้อย่างชัดเจน
“ทำต่อไป ทำไปเรื่อยๆ ยังไม่ได้บอกให้หยุด” เสียงนายทหารยังดังขึ้นเป็นระยะ
“สิบแปด สิบเก้า…”
เสียงเพื่อนสนิทตรงหน้าเริ่มสั่นและแผ่วเบา ครั้งแล้วครั้งเล่า จนปรินทร์ต้องแอบขบกรามแน่นด้วยความรู้สึกผิดที่ทิ้งให้เพื่อนสนิทต้องรับโทษแต่เพียงลำพัง แม้ว่าภายนอกจะยืนตรงอย่างไม่สะทกสะท้าน หากใจภายในใจกลับว้าวุ่นและเป็นห่วงเพื่อนจับใจ
“ดังกว่านี้ เพิ่มเสียงหน่อย” นายทหารยังทำหน้าเฉยเมยราวกับไม่สนใจอีกฝ่ายที่เริ่มเหนื่อยหอบ
“สี่สิบเก้า ห้าสิบ ห้าสิบเอ็ด…” เสียงชานนท์เริ่มแหบโหยจนทนแทบไม่ไหว และพลอยทำให้หัวใจของปรินทร์ไม่อาจทนได้อีกต่อไป
“ขออนุญาตครับ…กระผม เป็นผู้สนับสนุนและเอ่ยท้าเพื่อนที่เหลือ ให้ขึ้นมาบนดาดฟ้าด้วยเช่นกัน ขออนุญาตรับโทษพร้อมเพื่อนด้วยครับ” ปรินทร์ก้าวเท้าออกมาบ้างด้วยเพราะต้องการแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
“กระผมด้วยครับ” ทั้งรวีวัชร์และอาชว์ต่างขานรับด้วยกันทั้งคู่ หมวดสุทธิพงษ์แอบกระตุกยิ้มเล็กน้อยที่มุมปากด้วยความพอใจ
“ผู้หมวดไม่อยากฟังการรับสารภาพใดๆ อีก แต่การที่ผู้หมวดเจอนักเรียนที่ไม่อยู่ในระเบียบวินัยในตอนนี้ ก็เป็นปกติที่ต้องมีการซ่อมปรับปรุง และขอให้จดจำเหตุการณ์ในครั้งนี้เอาไว้ ว่าเกียรติของนักเรียนเตรียมทหาร คือการมีระเบียบวินัย” นายทหารเอ่ยด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด แล้วกวาดสายตามองนักเรียนสี่นายตรงหน้า
“ทำต่อไป!”
ร่างชานนท์แม้โชกชุ่มไปด้วยเหงื่อทั่วกาย หากแต่ยังพอได้ไอเย็นจากสายลมพอให้ดับความร้อนได้บ้าง ยังมีความโชคดีที่เขาออกกำลังกายทุกวันและเป็นนักกีฬาตัวหลักของโรงเรียน ในขณะที่อีกสามสหายต่างร่วมชดใช้ในสิ่งที่ตนได้ละเมิดระเบียบวินัยให้สมเกียรตินักเรียนเตรียมทหารด้วยความเต็มใจ
เวลาผ่านไปจนเห็นสมควรแก่สภาพร่างกายที่เริ่มสะบักสบอม นายทหารกอดอกมองนักเรียนตรงหน้าด้วยความพอใจเมื่อเห็นทั้งสี่ได้บทเรียนเพียงพอแล้ว
“ในเมื่อนั่งชมดาวตกอย่างโสภิณแล้ว ต่อไปก็กลับสู่โลกได้ นักเรียน! หาที่ว่างเฉพาะตัว…แล้วแบกโลกขึ้นมา ตาทั้งสองข้างให้ดูดาวตกไปด้วย เตรียม!
ทันทีที่สิ้นเสียงคำสั่ง นักเรียนเตรียมทหารทั้งสี่นายต่างอยู่ในท่าหันหน้าขึ้นฟ้า ใช้มือยันพื้นแล้วดันตัวเองให้พ้นพื้นคล้ายสะพานโค้ง แม้ว่าร่างกายจะอ่อนล้าเพียงใดก็ตามที
“เห็นท้องฟ้ามั้ย นักเรียน”
“เห็นครับ!”
“ดีมาก…” นายทหารยิ้มพอใจ “ตอนนี้ท้องฟ้าเป็นสีอะไร”
“สีเหลืองครับ” ทั้งสี่ตอบพร้อมเพรียงกันด้วยน้ำเสียงที่เริ่มอ่อนล้าเต็มที ทำเอาคนถามชักรอยยิ้มขึ้นที่มุมปากพลางพยักหน้าเล็กน้อยด้วยความพอใจ
…การธำรงวินัยในคืนนี้สาสมมากเพียงพอแล้วสำหรับนักเรียนทั้งสี่คน
“เมื่อสักครู่ ผู้หมวดได้ยินนักเรียนพูดถึงผู้หญิงกันอย่างสนุกสนาน พร้อมกับดูดาวตกกันอย่างมีความสุข” นายทหารเอ่ยแล้วหยุดเว้นวรรคชั่วอึดใจ
“ดังนั้น เมื่อเห็นดาวตกสมใจทุกนายแล้ว ก็ต้องมีคำอธิษฐานขอพรจากดาวตกด้วย ทั้งหมด!! เอ่ยตามผู้หมวด รับทราบ!!!”
แม้จะไร้เรี่ยวแรงในตอนนี้เพียงใด ทั้งสี่ก็จำต้องชดใช้ความผิดที่เกิดขึ้นจากการกระทำอันคึกคนองของตนเอง ต่อให้แทบจะไร้อารมณ์อธิษฐานอย่างไรก็ตาม ทั้งสี่ก็จำใจต้องขานรับคำสั่ง
“ทราบ”
‘…หากปาฏิหาริย์จากดาวตกมีจริง…ขอจงเมตตา ในภายภาคหน้า โปรดได้ประทาน ‘ผู้หญิงจากฟ้า’ ที่ดีพร้อมทุกประการให้เป็นขวัญแก่ชีวิต ของนักรบอย่างพวกกระผมด้วยครับ!!”
สายลมอ่อนพัดมาต้องร่างให้พอคลายความร้อน ดาวตกดวงใหญ่เปล่งประกายรัศมีให้เห็นไกลๆ อยู่บนปลายฟากฟ้าเมื่อสิ้นเสียงประโยคอธิษฐานจากนักเรียนหนุ่มทั้งสี่นายราวกับจะตอบรับและประทานพรตามคำขอ…
“ขอให้สมปรารถนาทั้งสี่คน ทั้งหมดตรง…เลิกแถว!!”
โปรดติดตามตอนที่ 1