เชื่อว่าทุกคนมีเรื่องราวในชีวิตเป็นของตัวเอง ช่วงเวลาหนึ่งอาจจะหลงผิดไปบ้างชนิดที่ว่าใครเตือนก็ไม่ฟัง ฉันถูกเสมอฉันคิดดีแล้ว เชื่อมั่นในตัวเองแม้ว่าเรื่องนั้นจะไม่ถูกต้องก็ตาม แต่แล้วยังไงในเมื่อมันถูกใจ
เคยมีคนพูดไว้ว่า “จุดที่อันตรายที่สุดคือจุดที่ใครก็เตือนคุณไม่ได้” ใช่ค่ะฉันเคยเป็นคนคนนั้น กว่าจะรู้ตัวกว่าจะคิดได้ก็เกือบสายไปแล้ว
ช่วงแรกรักอะไรมันก็ดีไปหมด มองข้ามทุกข้อบกพร่องเพียงเพราะรู้สึกรักเขา อยากมีเขาในชีวิตและอยากยัดเยียดตัวเองเข้าไปในชีวิตเขา
“เลิกไปเถอะแม่ว่าคนนี้ไม่ผ่าน”
“อะไรล่ะแม่! คนนี้แหละ”
ฉันไม่เคยเข้าใจประโยคนี้ ไม่เคยแม้แต่จะแปลความหมายมันด้วยซ้ำ จนเวลาล่วงเลยนานนับปีฉันถึงเริ่มเข้าใจแต่มันก็ยังไม่ทั้งหมด ยังคงหลอกตัวเอง ยังคงพยายามประคับประคองความสัมพันธ์ให้มันไปต่อโดยไม่สนว่าตัวเองสาหัสแค่ไหน
“ถ้าไม่ชอบกันแล้วก็แยกย้ายต่างคนต่างไปเถอะ”
“...”
“ตั้งแต่อยู่กันมาไม่เคยเห็นช่วยอะไรสักอย่าง ค่าน้ำ ค่าไฟก็ไม่เห็น เลิกงานมาเล่นแต่เกมส์แบบนี้มันใช้ได้เหรอ”
“แม่เลิกบ่นเหอะ”
“เอ็งไม่ฟังก็แล้วแต่ก็ลองดู เดี๋ยวจะรู้สึก”
ใช่ค่ะ รู้สึกจริง ๆ เป็นความรู้สึกที่ทำเอาฉันเกือบตายทั้งเป็น แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่โทษใครหรอก ฉันทำตัวเอง
“อย่างี่เง่าให้มันมากนักได้ไหม ถ้าเป็นแบบนี้อีกก็พอเหอะ”
“...”
ขึ้นชื่อว่าครอบครัวเป็นธรรมดาที่เราอาจจะทะเลาะกันบ้างเถียงกันบ้าง อันไหนยอมได้ก็ยอมเพื่อที่จะอยู่ด้วยกันแบบนี้ตลอดไป ฉันคิดแบบนั้น แต่นั่นมันก็แค่ช่วงขณะหนึ่งเท่านั้นแหละค่ะ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ฉันจะกอดตัวเองแน่น ๆ แล้วบอกว่าขอโทษนะที่ต้องมาเจออะไรแบบนี้
มีผัวผิดคิดจนตัวตาย วลีนี้คงเหมาะกับฉันที่สุดแล้ว จากวันนั้นจนถึงวันนี้มองย้อนกลับไปแล้วได้แต่ตั้งคำถามกับตัวเองว่าตอนนั้นเราทำอะไรลงไป คนแบบนี้เหรอที่เราเลือกจะฝากชีวิตไว้ ไม่น่าเลยจริง ๆ ...
“คนนี้ใคร?”
“คนที่ทำงาน”
“สนิทกันเหรอ”
“ตั้งคำถามมาแบบนี้นี่คือจะจับผิดใช่ไหม”
“จับไม่ผิดหรอก”
“เป็นอะไรนักหนาวะ ทุกวันนี้แค่ทำงานก็เหนื่อยพอละ กลับบ้านยังมาเจอแบบนี้อีกแม่ง!”
ยิ่งอยู่ด้วยกันนานเท่าไหร่ยิ่งรู้สันดานกันเท่านั้น เชื่อว่าเซนส์ฉันไม่ผิดหรอก คนเราอยู่ด้วยกันมานานเปลี่ยนไปนิดหน่อยทำไมจะดูไม่ออก
ในสายตาคนอื่นเขาเป็นคนดีมีน้ำใจค่ะ ชอบช่วยเหลือสังคม แต่ในสายตาฉันมันไม่ใช่ เขาวันนี้ไม่ใช่ผู้ชายที่ฉันรักเหมือนวันนั้นอีกต่อไปแล้ว
เมื่อความรักเปลี่ยนไปทุกอย่างในชีวิตก็เปลี่ยนตาม จำไม่ได้ว่านานแค่ไหนที่ฉันต้องเผชิญความรู้สึกเฮงซวยนั่นตามลำพัง ขณะเดียวกันมันก็ทำให้ฉันมีความคิดมากขึ้น กล้าที่จะยอมรับความจริงมากขึ้น จนสุดท้ายก็หลุดพ้นได้ในที่สุด
อะไรที่กลับไปแก้ไขไม่ได้ก็ปล่อยมันไว้ตรงนั้นแหละแล้วไปต่อ ชีวิตเราต้องไปต่อ ฉันคิดแบบนั้น
สุดท้ายนี้เรื่องราวของฉันอาจเป็นอุทาหรณ์หรือข้อคิดเตือนใจให้ใครหลาย ๆ คนได้ ยังไงมาร่วมแชร์ประสบการณ์ด้วยกันนะคะ