ก๊อกๆๆ!
“อัศนี่มันอะไรกันลูก” ประตูของเรือนกลีบแก้วที่โดนเปิดเข้ามา ปรากฏร่างของผู้เป็นมารดาและนางนวลจันทร์ผู้เป็นแม่บ้านเก่าแก่ของบ้าน ทำให้ร่างที่เปลือยเปล่าท่อนบนของอัศศิริที่กำลังนอนตระกองกอดร่างอวบอิ่มของพริ้มพราวอยู่นั้นต้องสะดุ้งลุกขึ้นนั่งทันที
“ย่า” หญิงสาวที่รู้สึกตัวขึ้นตามแรงสะดุ้งของอัศศิริเรียกชื่อของผู้เป็นย่าด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เธอมองเห็นสายตาที่ผิดหวังของนางนวลจันทร์ และสายตาที่โกรธเคืองของผู้เป็นคุณหญิงของบ้านที่เธออาศัยกินนอนและทำงานอยู่มาตั้งแต่จำความได้อย่างรู้สึกผิด
“ลูกรีบแต่งตัวแล้วไปคุยกับแม่เดี๋ยวนี้” นางธาราผู้เป็นมารดาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อัศศิริรู้ว่าผู้ให้กำเนิดกำลังโกรธเคืองเขาเพียงใด ชายหนุ่มรีบพาร่างสูงของตัวเองลงจากเตียงที่เขาใช้นอนกกกอดกับร่างอวบที่กำลังนั่งมองเขาอยู่บนเตียงด้วยน้ำตารื้นจนแทบจะหล่นออกมาอยู่รอมร่อ แต่อัศศิริกลับตัดภาพนั้นทิ้งและรีบแต่งตัวเดินตามผู้เป็นมารดาออกจากเรือนหลังเล็กนี้ไปทันที
“ทำไมอัศทำแบบนี้ ทำตัวเป็นสมภารกินไก่วัดได้อย่างไรกันลูก” เมื่อมาถึงโถงกลางบ้านใหญ่นางธาราจึงเปิดประเด็นใส่ลูกชายคนโตทันทีด้วยน้ำเสียงตึงเครียด
“แม่จะกังวลไปทำไมครับ ผมไม่คิดจะเอาคนใช้มาเป็นเมียอยู่แล้ว” อัศศิริพูดบอกมารดาไปทันทีตามความคิดของตนเองในขณะนั้น ไม่เห็นมีอะไรต้องคิดมาก ในเมื่อเขาไม่มีทางที่จะคว้าเอาพริ้มพราวมาเป็นภรรยาตกแต่งออกสื่อในสังคมอยู่แล้ว และเขาเองก็มีคู่หมั้นที่เหมาะสมกับเขาทุกอย่าง พริ้มพราวก็เป็นแค่เพียงทางผ่านที่เขามีไว้เพื่อผ่อนคลายอารมณ์ในบางเวลาก็เท่านั้น
“ลูกพูดแบบนี้ออกมาได้ยังไงอัศ พ่อกับแม่ไม่เคยสอนให้ลูกเอาเปรียบหรือดูถูกผู้หญิง พ่อกลับมาจากดูงานที่อังกฤษเมื่อไหร่เราจะคุยเรื่องแต่งงานกับทางบ้านของหนูรสาทันที” นางธารามองลูกชายด้วยแววตาที่ผิดหวัง เธอและนายอัษฎาผู้เป็นสามีสอนให้ลูกชายทั้งสองคนเป็นผู้เสียสละ และเป็นสุภาพบุรุษอยู่เสมอ แต่คำพูดที่ได้ยินจากอัศศิริในวันนี้ทำให้เธอคิดในใจว่าเธอคงสอนลูกน้อยไปอย่างนั้นสินะ
“แม่ครับ” อัศศิริตั้งท่าจะแย้งและต่อรองกับมารดาในทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขายังไม่พร้อมในเรื่องนี้ เพราะถ้าเขาแต่งงานนั่นหมายความว่าเรื่องของเขาและพริ้มพราวต้องจบลงในทันที เขายังอยากเก็บเธอไว้เชยชม
“และตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปอัศก็ต้องเลิกยุ่งกับพริ้ม ถ้าทำไม่ได้ก็เห็นจะไม่มีอะไรที่เราต้องพูดกันอีก” นางธาราพูดแทรกออกมากก่อนที่บุตรชายจะได้เอื้อนเอ่ยอะไรไปมากกว่านั้น ก่อนที่เธอจะยื่นคำขาดและเดินออกไปจากตรงนั้นทันที
โดยที่คนทั้งสองคนไม่รู้เลยว่าบทสนทนาทั้งหมดมีสองยายหลานผู้เป็นแม่บ้านกำลังยืนฟังอยู่เช่นกัน น้ำตาของพริ้มพราวไหลออกมาอย่างห้ามไว้ไม่ไหว คำพูดดูถูกดูแคลนของผู้ชายที่เธอรักออย่างสุดหัวใจมันราวกับคมมีดที่กรีดเฉือนหัวใจดวงน้อยนี้อย่างไม่เหลือชิ้นดี เธอไร้ค่าขนาดนั้นเชียวหรือ ที่ผ่านมาเป็นเพียงแค่คำหลอกลวงของเขาอย่างนั้นสินะ ไม่มีอะไรจริงเลยสักอย่าง
“ทำใจเถอะพริ้มเอ๊ย เรามันไม่คู่ควรกับเขาหรอกลูก” นางนวลจันทร์ผู้เป็นย่าสงสารหลานสาวจับใจ มือที่เหี่ยวตามวัยเอื้อมไปลูบหัวของหญิงสาวอย่างปลอบโยน ก่อนที่สองย่าหลานจะประคองกันเดินออกไปด้วยหัวใจที่บอบช้ำจนเกินบรรยายของพริ้มพราว
*ตัวละครและเรื่องราวในเรื่องไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ใด และไม่ได้เกิดขึ้นจริง เป็นเรื่องที่นักเขียนจินตนาการมาโดยทั้งสิ้น กรุณาอ่านอย่างมีวิจารณญาณ
พิมพ์ด้วยน้ำค้าง