“แอ๊!”
“ร้องทำไมลูก?” ยัยนั่นก้มลงคุยกับลูก แขนก็แกว่งเบา ๆ เด็กคนนั้นอายุเท่าไหร่แล้วนะ ผมไม่ได้ติดต่อยัยนี่มากี่ปีกันแล้ว ลูกของใครอย่างนั้นเหรอ? จะว่าไปไม่เห็นมีสามีมาด้วยกันเลย
“ให้ช่วยอุ้มให้ไหม?” ผมส่งเสียงทัก ยัยนั่นหันมามองผมทันที ดวงตา แดงก่ำ ถึงจะร้องไห้แต่ก็ไม่ฟูมฟายอย่างที่คิด บางทียัยนี่อาจจะเตรียมใจไว้แล้ว ไม่แปลกสำหรับคนที่อยากจะเป็นหมอ
“ขอบคุณค่ะ แต่ไม่เป็นไรค่ะ ไม่อยากรบกวนหมอ” ยัยนั่นปฏิเสธ แล้วพยายามเบี่ยงลูกหลบสายตาของผม ดูจากขนาดตัวของเด็กแล้ว ไม่น่าจะใช่ทารกแรกเกิด คลอดลูกมานานเท่าไหร่แล้วล่ะเนี่ย
“เสียใจด้วยนะเรื่องของปู่เธอ ทางเราพยายามช่วยชีวิตคนไข้แล้ว แต่สภาพร่างกายและอายุของคนไข้ ยากที่จะสามารถเรียกชีพจรคนไข้กลับมาได้” ผมพูดจบก็แลบลิ้นเลียริมฝีปาก นี่ไม่ใช่เคสแรกที่มีคนไข้เสียชีวิตบนเตียงระหว่างพยายามช่วยเหลือชีวิต แต่ทุกครั้งผมก็รู้สึกแปลก ๆ เหมือนกัน
“ค่ะ ฉันไม่โทษหมอหรอกค่ะ ฉันเข้าใจ” ยัยนั่นพยักหน้า แขนก็แกว่งกล่อมลูกไปด้วย ผมคิดว่าคงหนักไม่น้อยเพราะยัยนี่อุ้มลูกอยู่คนเดียว
“เธอสอบติด ได้เป็นนักศึกษาแพทย์ไม่ใช่เหรอ? ทำไมเธอถึงไม่ได้เป็นหมอ?” ผมตัดสินใจถามถึงเรื่องที่สงสัย ยัยนั่นเงยหน้าผมด้วยแววตาตกใจ คงจะตกใจที่ผมจำได้แล้ว ใช่! ผมเคยรู้จักยัยนี่มาก่อน
“ท้องก่อนค่ะ” อึดใจต่อมายัยนั่นก็ตอบพึมพำแล้วก้มลงมองลูก
“ท้องเหรอ?” ผมพึมพำเบาหวิว กะพริบตาถี่ ๆ แล้วตัดสินใจทรุดนั่งข้าง ๆ เพราะท้องก็เลยไม่ได้เป็นนักศึกษาแพทย์ต่อ ยัยนี่อาจจะเรียนได้แค่ชั้นปีที่สองเพราะว่าครั้งสุดท้ายที่ยัยนี่จะหายตัวไป ยังเป็นนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่สองอยู่
“ท้องกับใคร?”