ดอกไม้ที่หายไป
ท่ามกลางการจราจรที่วุ่นวายในเมืองใหญ่ ท้องฟ้าในยามเช้าตรู่ยังคงมืดสนิทแต่ชีวิตของผู้คนก็ยังดำเนินต่อไป เมื่อทอดมองผ่านกระจกที่ขุ่นมัวของรถโดยสารประจำทางที่ผ่านการใช้งานมาหลายทศวรรษก็พบว่าผู้คนมากมายต่างเริ่มต้นวันใหม่กันอย่างขะมักเขม้น แกวตาใสกวาดมองไปเรื่อยๆจนพบร่างเล็กของเด็กน้อยตัวขาวใสใส่ชุดนักเรียนขาวสะอาดตากำลงยิ้มร่าดังดอกไม้ที่กำลังค่อยๆผลิบานภายในรถหรูจากยุโรปคันใหญ่ที่กำลังเคลื่อนตัวออกไปแต่กลับกันก็เด็กน้อยอีกคนหนึ่งที่กำลังซ้อท้ายรถจักรยานยนต์ที่เข้าจดเทียบใกล้รถโดยสารคันใหญ่เมื่อพินิจดูแล้วก็เห็นว่ามีมือเล็กๆข้างหนึ่งกำลังถือกล่องข้าวน้อยๆไว้ ที่กำลังถูกปกป้องไม่ให้โดนฝุ่นเขม่าควันพิษจากยานพาหนะที่รายล้อมรอบตัวเด็กน้อยผู้นี้พอเห็นดังนั้นก็อดคิดไม่ได้ว่าช่างแตกต่างจากเมื่อครู่นี้เหลือเกิน เมื่อเวลาดำเนินไปในระหว่างการจราจรที่ติดขัด รถบัสคันเก่าก็จอดเทียบลง ณ ป้ายรถเมย์ใกล้โรงเรียนชื่อดังที่เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางซึ่งใครๆก็ใฝ่ฝันที่จะขวนขวายหาโอกาสที่จะได้เข้ามาเรียนที่โรงเรียนนี้ ซึ่งนี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สถาบันการกวดวิชาต่างๆเป็นที่นิยมมากในสังคมไทย น้องๆเด็กนักเรียนที่โดยสารมาก็ลงไปยังจุดหมายที่มีนักเรียนมัธยมมากหน้าหลายตากำลังเดินขวักไขว่อยู่เต็มไปหมด บ้างก็พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน บ้างก็พูดคุยเกี่ยวกับหนังสือและเอกสารแผ่นสีขาวปึกใหญ่ที่อยู่ในมือ เสร็จแล้วล้อทั้งสิบก็เคลื่อนตัวต่อไปยังจุดหมายใหม่ และไม่นานรถก็เคลื่อนที่ผ่าน ณ สถานที่หนึ่งที่เป็นมหาวิทยาลัยที่คนส่วนมากนั้นเชื่อว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในผืนแผ่นดินนี้ที่นิสิตต่างก็ภูมิใจและแข่งขันกันสอบเข้าอย่างทรหด โดยตั้งอยู่ใจกลางความเจริญทางเศรษฐกิจและสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายให้เลือกสรร ไม่นานรถโดยสารก็มาหยุดยังที่หมายที่ผมรอคอย ผมยืดตัวและก้าวขาเดินลงมายังพื้นคอนกรีตที่ขรุขระจากการใช้งานมาหลายปี และเหยียบย่ำก้าวไปยังจุดหมายอย่างเร่งรีบ จนเข้ามายังตึกระฟ้าสูงใหญ่ใจกลางเมือง และเริ่มกิจวัตการทำงานเฉกเช่นในทุกๆวัน จนเวลาล่วงเลยผ่านไป ท้องเจ้ากรรมก็เริ่มแสบขึ้นเพื่อเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเวลานี้นั้นถึงเวลาที่ต้องหยุดพักและไปหาอะไรกินได้สักที ผมใช้ขายาวก้าวออกไปจากคอกแสน(ไม่)สุข เดินตรงไปยังร้านค้าขาประจำที่ผมชอบฝากท้องไว้เกือบทุกวันและเป็นมิตรกับเงินในกระเป๋ามนุษย์เงินเดือนอย่างผม...ระหว่างทาง สายตาผมก็ไปสะดุดกับเด็กชายตัวผอมแห้ง แต่งกายมอมแมมที่ทั้งตัวมีเพียงเสื้อและกางเกงขาดๆ และมีขันเงินใบเล็กวางไว้ใกล้ๆกับกระดาษลังใบเก่าที่ขาดวิ่นไปเหลือเพียงให้นั่งได้พอดีเท่านั้น และข้างๆก็มีแผ่นป้ายใบเล็กที่ถูกเขียนด้วยลายมือมีใจความว่า “ขอเงินบริจาคเพื่อการศึกษา...” พอเห็นดังนั้นก็ทำให้ผมครุ่นคิดว่านี่ใช่พวกหลอกลวงกดขี่หรือเปล่าหรือว่าเค้าเดือดร้อนๆจริงๆ แต่ด้วยความเป็นมนุษย์ก็อดไม่ได้ที่จะต้องควักเอาธนบัตรสีแดงที่เตรียมไว้หย่อนใส่ขันใบเล็กนั้นไปและก็เดินจากไปโดยไม่ได้หันหลังมองร่างที่ก้มขอบคุณอย่างอ่อนน้อมอีกเลย พออิ่มท้องแล้วก็จึงเดินกลับไปทำหน้าที่ๆตนพึงต้องทำจนเวลาล่วงเลยไปจนท้องฟ้าที่เคยสว่างสดใสเริ่มมืดมนลงช้าๆ พอถึงเวลาเลิกงานผมจึงบอกลาเพื่อนๆพี่ๆและพาตัวเองมาหยุดที่สถานที่ๆคุ้นเคยคือป้ายรถโดยสารประจำทางนั่นเอง ใช้เวลาไม่นานรถโดยสารก็มาถึงผมก้าวขึ้นไปยังรถสิบล้อขาประจำและมุ่งไปยังที่นั่งติดหน้าต่างที่เหลือว่างหนึ่งที่พอดี (นี่ถือว่าโชคดีใช่ไหมนะ?) บานกระจกโปร่งแสงถูกดันขึ้นส่งผลให้ให้ลมพัดมาปะทะกับหน้าของผมเข้าอย่างจังแต่ก็ทำให้รู้สึกเย็นขึ้นมาบ้าง รถโดยสารเคลื่อนไปจนมาหยุดที่ป้ายใกล้กับมหาวิทยาลัยที่เราได้ผ่านในตอนเช้า ซึ่งเต็มไปด้วยตึกที่มีสถาบันกวดวิชามากหลากหลายสาขาวิชา เด็กนักเรียนมากหน้าหลายตาต่างเดินเข้าออกอยู่อย่างไม่ขาดสายทั้งๆที่เวลาก็ผ่านมาจนเกือบจะสองทุ่มแล้ว เมื่อรดจอดเทียบเด็กนักเรียนส่วนหนึ่งที่นั่งรออยู่ก่อนแล้วก็ก้าวเท้าขึ้นมาพร้อมใบหน้าที่อดโรยและร่างกายที่เหนื่อยล้าผิดกับที่เห็นในตอนเช้าพร้อมกระเป๋าใบใหญ่ที่ดูแล้วคงจะหนักมากไปจนทำให้ใหญ่เล็กนั้นลู่ลงอย่างเห็นได้ชัด พอเห็นดังนั้นก็อดสงสารไม่ได้เพราะมันเป็นสังคมการแข่งขันซึ่งยากจะหลีกเลี่ยงที่พึงต้องทำเพื่อการศึกษาและอนาคตของตนและพอรถเริ่มเคลื่อนตัวต่อไปผ่านมหาวิทยาลัยดังผ่านมาจนถึงแหล่งของห้างสรรพสินค้าชื่อดังก็เห็นได้ว่าเหล่าหนุ่มสาวนั่งอ่านหนังสือกันอย่างขะมักเขม้นตามร้านคาเฟ่ที่มองเห็นได้ผ่านกระจกใสภายนอกร้าน แล้วผมก็มาถึงยังคอนโดแสนสุขที่ๆผมใช้เป็นแหล่งพักกายพักใจในทุกๆวัน พอมาถึงห้องผมก็จัดแจงอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ชื้นเหงื่อและเอื้อมมือหยิบรีโมทมาเปิดทีวี และเดินตรงไปยังระเบียงเพื่อไปสูดอากาศและแล้วก็ได้ยินเสียงทีวีรายงานข่าวแว่วมาว่ามีนิสิตจากมหาวิทยาลัยดังกระโดดตึกฆ่าตัวตายดังเช่นที่ผ่านๆมา เมื่อได้ยินเช่นนั้นผมก็ทอดมองไปยังแสงสีของความศรีวิไลพรางหลับตาแล้วได้แต่คิดในใจว่า “การศึกษาให้อะไรกับเด็กไทยนอกจากการพรากเอาดอกไม้ที่เคยสดใสจนหลุดร่วงหายไปโดยไม่เหลือซึ่งสิ่งใดเลย.....”