อุทกภัย[1]เป็นภัยที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจต้านทานได้ ผู้คนจากหมู่บ้านเต๋อหลินต่างพากันอพยพออกจากพื้นที่เหมือนมดแตกรัง
สามเดือนก่อน ‘อันผิง’ เป็นสาวแก่วัยสิบแปดปีที่ยังไม่ได้ออกเรือนเนื่องจากบิดามารดาล้วนเสียชีวิตในวัยที่เหมาะสมพอดี เมื่อพ้นกำหนดไว้ทุกข์จึงถูกท่านป้าจับคู่แต่งกับ ‘โจวเหิง’ ซึ่งเขายินยอมรับ ‘อันฉิว’ น้องชายของนางมาอยู่ด้วยกัน
อันผิงเข้าใจดีว่าท่านป้าปรารถนาดีหาที่พึ่งให้กับนาง หากยังดื้อด้านไม่ยอมออกเรือนด้วยฐานะของพวกเขาก็มิอาจเลี้ยงนางกับน้องชายเพิ่มอีกสองคนได้
โจวเหิงเป็นบุรุษร่างใหญ่ ไม่ชอบพูดจา แต่อันผิงรู้ว่าเขาเป็นคนใจดีมาก ท่านป้าของนางเห็นเขาเป็นเช่นนี้มานานจึงยอมยกนางให้เขาแต่โดยดี แม้ว่าโจวเหิงจะมีอายุถึงยี่สิบสองปีและฐานะยากจนที่สุดในกลุ่มคนที่มาสู่ขอนางก็ตาม
นั่นเป็นเพราะเขาอยู่ตัวคนเดียวไร้ผู้อาวุโส ท่านป้าของนางจึงคิดว่านอกจากโจวเหิงแล้วหลานสาวอาภัพอย่างนางก็ไม่ต้องปรนนิบัติแม่สามีหรือพี่สาวน้องสาวของสามีเหมือนบ้านอื่น แม้สินสอดของเขามีเพียงหมู่ป่าหนึ่งตัวกับไก่ป่าอีกหนึ่งคู่เท่านั้น
“เจ้าเหนื่อยหรือไม่?” โจวเหิงหันกลับมาถามภรรยาเมื่อรู้สึกได้ว่าฝีเท้าของนางก้าวช้าลง
“ข้าไหว” อันผิงยิ้มให้สามีวางใจ แค่สัมภาระบนหลังของเขาก็หนักมากพอแล้ว จะให้เขาเป็นกังวลเพราะนางอีกไม่ได้ หากเปรียบเทียบกับสามีภรรยาคู่อื่นที่ต้องช่วยกันแบก นางที่สะพายย่ามใบเดียวนับว่าสบายกว่ามาก
“ถ้าไม่ไหวต้องรีบบอกข้า”
น้ำเสียงที่เจือความเป็นห่วงนั้นทำให้อันผิงซาบซึ้งมาก ตลอดทางเขามักจะถามนางเช่นนี้เสมอ มีข้าวก็ให้นางกินก่อน มีน้ำก็ให้นางดื่มก่อน เหรียญเงินเหรียญทองก็ล้วนเก็บไว้ที่นาง
“พี่เขยไม่ต้องกังวล ข้าจะดูแลพี่สาวเอง” อันฉิวที่อายุเพียงแปดขวบบอกกับโหวเหิง ด้านหลังของเขาก็แบกตะกร้าใส่สัมภาระที่เป็นเสื้อผ้าไม่กี่ชุดกับผ้าห่มผืนเล็กของตนเอง
“เช่นนั้นก็ต้องฝากเสี่ยวฉิวดูแลพี่สาวแล้ว” อันผิงลูบศีรษะชื้นเหงื่อของนางชายอย่างเอ็นดู เมื่อหันห้ากลับมาเห็นสามีมองอยู่ก็รู้สึกขวยเขินขึ้นมา
หลายวันมานี้นางรู้สึกถึงความต้องการของสามี แต่ก็ช่วยไม่ได้จริง ๆ เพราะตอนนี้ไม่สะดวกเป็นอย่างยิ่ง นางไม่กล้าเหมือนหนุ่มสาวคู่อื่นที่ตกค่ำก็หามุมลับตา...
เดินตั้งแต่รุ่งสางจนถึงย่ำเย็น หัวหน้าขบวนก็ประกาศหยุดพักแรม โชคดีที่วันนี้ได้พักใกล้ ๆ ลำธารจึงทำให้อันผิงถือโอกาสซักผ้าที่สวมใส่แล้วเสียที
“ข้าจะออกไปล่าสัตว์ เจ้าอยู่ได้หรือไม่”
“อือ...ข้าจะไปซักผ้ากับท่านป้า ท่านไปเถอะ”
โจวเหิงโยกศีรษะภรรยาอย่างรักใคร่ เห็นนางหน้าแดงก่ำเพราะเขินอายก็รู้สึกคันยุบยิบที่หัวใจ ติดแต่ว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่สมควร และสถานที่ก็ไม่ปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง
คล้อยหลังสามีไปแล้ว อันผิงก็ฝากตะกร้าสัมภาระไว้กับน้องชายที่กำลังปูเสื่อเตรียมที่นอนสำหรับสามคนและหอบเสื้อผ้าของทั้งสามคนไปซักที่ริมลำธาร
“อันผิงมาซักผ้าหรือ ประเดี๋ยวป้าจะหุงข้าวให้มากหน่อย เจ้าก็มาแบ่งไปกินกับสามีนะ” ป้าหงบอกหลานสาวด้วยความเมตตา สองมือหยาบกระด้างลูบใบหน้าที่ซูบโทรมของหลานสาวแล้วพลันปวดใจจนเกินจะกล่าว...
ป้าหงมีชื่อว่า หงซือซือ เป็นพี่สาวแท้ ๆ ของมารดาอันผิง เบื้องบนมีแม่สามี ย่าสามี และ อาสะใภ้ เบื้องล่างยังมีน้องสะใภ้ น้องสามี บุตรสาวอีกสองคน และหลานย่าอีกหนึ่ง
เป็นครอบครัวที่อุ่นหนาฝาคั่ง[2] อย่างยิ่ง จึงเป็นเหตุผลที่ท่านป้าเลือกโจวเหิงผู้ไม่มีญาติผู้ใหญ่ใกล้ชิดและมีนิสัยไม่เลว เพราะชีวิตที่ต้องเป็นสะใภ้นั้นไม่มีใครรู้ดีกว่าท่านป้าของนางแล้ว
“ท่านป้า... ข้าสบายดี อาเหิงดีกับข้ามาก”
อันผิงเข้าใจถึงความเป็นห่วงของผู้อาวุโส ท่านป้าของนางเป็นคนใจกว้าง มีเมตตา แต่ลุงเขยของนางนั้นเป็นคนขี้ตระหนี่ ใจแคบ หากเขารู้ว่าท่านป้าจะมอบข้าวให้พวกนางก็คงโมโหร้ายใส่ท่านป้าอีกเป็นแน่
“สบายดีก็ดีแล้ว”
อันผิงเห็นท่าทางเร่งรีบของป้าหงจึงหันกลับไปมองแล้วพบว่าลุงเขยยืนมองพวกนางตาเขม็ง
สองสายตามองตามป้าหงไปก็เห็นว่านางถูกลุงเขยพูดอะไรสักอย่างที่คงไม่น่าฟังเท่าใดนัก แล้วกำมือที่ป้าหงยัดเหรียญไว้เมื่อครู่ ทั้งที่ลำบากเพียงนั้นก็ยังแอบมอบน้ำใจให้นาง...
ผ่านไปไม่นานนักกลุ่มที่ไปล่าสัตว์ป่าก็กลับมา อันผิงมองหาสามีก็เห็นว่าในมือของเขามีไก่ป่าโชกเลือดสามตัว ส่วนคนอื่นก็ช่วยกันหามหมูป่าตัวใหญ่กลับมา
อันผิงไม่ได้สนใจผู้อื่นที่เข้าไปรอซื้อเนื้อหมู แต่รีบวิ่งเข้าไปหาสามีที่ดูเหมือนจะบาดเจ็บทันที เห็นว่าแขนของเขามีรอยเลือดอยู่ก็รีบดึงตัวเขาไปล้างแผลที่ลำธาร
“เจ็บหรือไม่ เหตุใดถึงบาดเจ็บได้เล่า”
“แค่เฉี่ยวกับกิ่งไม้เท่านั้น เลือดก็แห้งแล้วมิใช่หรือ” โจวเหิงตอบอย่างไม่ใส่ใจ เขารีบกระโจนลงน้ำชำระร่างกายโดยมีภรรยาซับผ้าเปื้อนเลือดอยู่ริมฝั่ง หลังจากรับเสื้อผ้าไปสวมแล้วก็ช่วยนางบิดผ้าแล้วจูงมือกันไปยังที่นอนของพวกตนคืนนี้
“อาเหิงมาเอาเนื้อหมูป่าส่วนของเจ้า”
“ได้! เจ้าถอดขนไก่พวกนี้ก่อนนะ เสี่ยวฉิงรีบไปช่วยพี่เขยขนเนื้อเร็ว” โจวเหิงตอบรับสหายแล้วก็หันมาพูดกับภรรยา ก่อนจะดึงเด็กน้อยไปในวงล้อม
ซึ่งส่วนแบ่งที่โจวเหิงได้รับมีขาทั้งสี่ข้าง ตับ และเนื้อสันใน ตอนที่เขาเดินกลับมาก็เห็นว่าภรรยาจัดการถอนขนไก่ทั้งสามตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“มีใครอยากแลกข้าวกับเนื้อของข้าหรือไม่”
ไก่สองตัวและขาหมูสี่ข้างแลกข้าวสารได้เต็มถุงผ้า เนื้อส่วนที่เหลืออันผิงก็จัดการย่างจนแห้งเก็บไว้เป็นเสบียงเมื่อยามหาอาหารไม่ได้ เห็นว่าตนเองมีเสบียงไม่ต้องอาศัยผู้อื่นอีกต่อไปแล้ว ใบหน้าของอันผิงก็ประดับรอยยิ้มกว้าง โจวเหิงที่เห็นรอยยิ้มของภรรยาก็เผลอยิ้มออกมาเช่นกัน
แต่เสบียงแค่นั้นไม่กี่วันก็หมด หนทางยาวไกลเป็นพันลี้กว่าจะถึงเมืองหลวงชาวบ้านก็ล้มป่วยล้มตายกันไปหลายคน ผู้คนเริ่มแย่งอาหารกัน ผู้ใหญ่บ้านเริ่มควบคุมลูกบ้านไม่ไหว ที่โดนขับไล่ออกจากกลุ่มไปก็ไม่น้อย
อดอยากเป็นแรมเดือนในที่สุดกลุ่มของอันผิงก็เดินทางมาถึงเมืองซย่าหลิน เมืองหน้าด่านของแคว้นเหลียง
เมื่อผ่านพ้นประตูเมืองเข้ามา คนที่มีเงินก็ไปพักโรงเตี๊ยม ส่วนคนที่ฐานะยากจนอยู่แล้วก็ไปพักที่ศาลเจ้า
“พวกเราพักที่โรงเตี๊ยมเถอะตอนนี้ศาลเจ้าที่นอนคงเต็มแล้ว จะได้ไม่ต้องไปนอนเบียดกับผู้อื่น” โจวเหิงจูงมือภรรยาโดยมีน้องชายของนางเดินตามเข้าโรงเตี๊ยมไป
แม้จะได้ชื่อว่าเป็นโรงเตี๊ยม แต่ก็เป็นเพียงโรงเตี๊ยมเก่าราคาถูก คืนละสิบอีแปะ[3]เท่านั้น ภายในห้องจึงมีแค่เตียงเก่า ๆ กับพื้นที่อีกเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนห้องอาบน้ำก็ต้องไปใช้รวมกัน
เพื่อความต้องการส่วนตัว โจวเหิงจึงเปิดห้องให้อันฉิวอีกหนึ่งห้อง เพื่อเวลาค่ำคืนเขากับภรรยาจะได้ใช้เวลาร่วมกันอย่างเต็มที่ ไม่ต้องกังวลว่าเด็กน้อยจะตื่นขึ้นมาเจอภาพที่ไม่สมควร...
[1] อุทกภัย คือ ภัยที่เกิดขึ้นเนื่องจากมีน้ำเป็นสาเหตุ อาจจะเป็นน้ำท่วม น้ำป่า หรืออื่น ๆ โดยปกติ อุทกภัยเกิดจากฝนตกหนักต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน
[2] อุ่นหนาฝาคั่ง หมายความว่า หนาแน่น มั่นคง มากมาย คับคั่ง
[3] อีแปะหรือเหวิน 1 อีแปะ มีค่า 1 เหรียญทองแดง 100 อีแปะ(หนึ่งพวงของเหรียญทองแดง) เรียกว่า 1 ก้วน มีค่าเท่ากับ 1 ตำลึงเงิน 10 ตำลังเงิน มีค่าเท่ากับ 1 ตำลึงทอง (ในนิยายเรื่องนี้ 1 อีแปะ สามารถซื้อหมั่นโถวได้สองลูก)
-----------------------------------------------------------
***ใครตามมาจาก คู่ชะตา ฟ้าลิขิต รายงานตัวหน่อยค่ะ ^_^