เกริ่นนำ : สุภาพบุรุษหน้ากากทองคำ
เตโช สิงหราชา ปลัดอำเภอหนุ่มวัยสามสิบสองปี เขาเป็นนักปกครองน้ำดีของกระทรวงมหาดไทย ถูกสั่งย้ายมารับราชการ ณ พื้นถิ่นดินแดนที่เป็นบ้านเกิดแห่งมาตุภูมิที่เขาจากมากว่ายี่สิบปี ภาพแห่งมโนสำนึกของเตโช สิงหราชาที่ไม่เคยลืมเลือน กับเหตุการณ์ครั้งนั้น พ่อของเขาถูกฆ่า การกลับมาครั้งนี้เขาต้องต่อสู้กับอิทธิพลมืดอำนาจเถื่อน และยังต้องสืบหาตัวฆาตกรที่ฆ่าพ่อ
ภารกิจปฏิบัติการนี้เขาต้องเสี่ยงชีวิตต่อกรกับจอมบงการผู้อยู่เบื้องหลังของการชีวิตของพ่อและแม่ ทำให้เตโช สิงหราชาได้พบกับ สายลับตำรวจสาวที่แฝงตัวเข้ามาทำงานในพื้นที่ฐานะเป็นครูสอนนักเรียน เธอคอยช่วยเหลือเตโช สิงหราชาอย่างลับๆ ซึ่งเธอมีหัวใจรักมอบให้กับปลัดอำเภอหนุ่ม แต่โชคชะตาเล่นตลกกับความรัก เขากลับไปตกหลุมรักลูกสาวของฆาตกรจอมบงการที่พัวพันเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์การชีวิตของพ่อและแม่
และเมื่อปลัดอำเภอเตโช สิงหราชา ถูกตามล่าฆ่าเอาชีวิตและได้หายสาบสูญไร้ร่องรอย จนเกิดข่าวลือว่าเขาเสียชีวิตแล้ว แต่เขาได้รับการช่วยเหลือชีวิตจากพระภิกษุธุดงค์รูปหนึ่งในป่าและได้มอบหน้ากากที่ทำขึ้นจากเนื้อทองคำให้กับเตโช สิงหราชา จึงทำให้เขามีพลังอำนาจศักดิ์สิทธิ์ด้านคงกระพันชาตรีภายในร่างกาย ดังนั้นปลัดอำเภอหนุ่ม จึงกลับมาใหม่อีกครั้งเพื่อต่อสู้กับอธรรมและปฏิบัติภารกิจสำคัญให้ลุล่วงสำเร็จ ภายใต้ในนามของสุภาพบุรุษหน้ากากทองคำ
สุภาพบุรุษหน้ากากทองคำ
ตอนที่ ๑
รถยนต์กระบะปิกอัพยี่ห้อดังสีขาวคันนั้น แล่นออกจากตัวเมืองวังสะพุงเลี้ยวซ้ายตรงทางแยกของถนนมะลิวัลย์ บึ่งด้วยความเร็วคงที่มาตามบนถนนเส้นทางสายวังสะพุง - ภูเรือ กำลังมุ่งหน้าสู่เบื้องทิศตะวันตก ภาพดวงตะวันกลมโตสีแดงเพลิงกำลังเคลื่อนตัวลอยต่ำลับเหลี่ยมภูเขาที่ทอดแนวยาว ทำให้แสงอาทิตย์ยามอัสดง มีสีเหลืองทองสาดแสงผ่านกระจกด้านหน้าของรถกระบะ จึงมองเห็นแสงฉาบฉายบนใบหน้าคมสันของคนขับ เขามีอายุประมาณสี่สิบปีเศษ ด้านข้างเบาะนั่งของเขามีเด็กชายวัยสิบสองปีในชุดนักเรียนนั่งคู่มาด้วย
เขาขับรถด้วยความเร็วสม่ำเสมอโดยปกติและใช้ความระมัดระวังกับการบังคับรถ เนื่องจากเส้นทางสายนี้คดโค้งไปมาสลับกับบางช่วงต้องขับขึ้นลงเนินเขาสูง แม้ว่าเขาจะคุ้นเคยกับเส้นทางนี้เป็นอย่างดี ทั้งสองข้างทางมีต้นไม้ป่าหญ้าขึ้นอยู่หนายาวเป็นทิวตลอดทาง รถแล่นออกมาห่างจากตัวเมืองได้ระยะทางประมาณยี่สิบกิโลเมตร
ท้องฟ้ามืดเร็วของฤดูเหมันต์ แสงไฟหน้ารถสาดส่องเป็นลำยาวไปตามพื้นถนน เขาชำเลืองมองดูเด็กชายที่นั่งคู่มาด้วยแล้วก็หันกลับโดยสายตายังจ้องมองไปข้างหน้าตามเส้นทางที่รถแล่นไป พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงปกติ
“หากมีเหตุการณ์อะไรที่เกิดกับพ่อ” เขาหยุดไม่พูดประโยคต่อ เว้นช่วงคำพูดก่อนกล่าวว่า
“พ่ออยากให้ลูกกับแม่ย้ายออกไปอยู่ที่อื่น และอย่ากลับมาทุ่งคำอีกเป็นอันขาดจำไว้นะ”
“ทำไม พวกเราจะอยู่ที่นี่ไม่ได้ครับพ่อ” เด็กชายถามผู้เป็นพ่อโดยพลันด้วยความสงสัย
เงียบไม่มีเสียงตอบ จากผู้เป็นพ่อที่มีนามว่า เตช สิงหราชา
เตชทราบดีว่าเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับเขานั้นคืออะไร ด้วยเขาเป็นแกนนำของกลุ่มชาวบ้านที่ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านการทำเหมืองแร่ทองคำของพวกนายทุนก่อเกิดผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ ทำลายดิน ป่าไม้ และน้ำในพื้นที่อันเป็นมาตุภูมิบ้านเกิด เขายอมไม่ได้ แม้ว่าจะถูกข่มขู่เอาชีวิตก็ตามเขาไม่เคยกลัวอิทธิพลมืดอำนาจเงิน เขาพร้อมจะอยู่กับกลุ่มชาวบ้านที่ถูกรังแกและจะลุกขึ้นมาปกป้องรักษามรดกทรัพยากรธรรมชาติ ของผืนแผ่นดินนี้ไว้ แต่ทำไมความรู้สึกของเขาช่างขัดแย้งกับแนวคิดอุดมการณ์ของตนเองที่จะไม่ยอมให้ครอบครัวภรรยาและลูกชายคนเดียวของเขาต้องมาเสี่ยงอันตรายร่วมกับเขาในเหตุการณ์ครั้งนี้
บรรยากาศภายนอกรถปกคลุมด้วยความมืดมิดของคืนข้างแรม รถกระบะของนักต่อสู้กับอยุติธรรมต่อต้านการทำเหมืองแร่ทองคำในพื้นถิ่น ยังแล่นด้วยความเร็วคงที่ผ่านขึ้นเนินเขาสูงและบางช่วงแล่นลงเนินเขาลาดชันเป็นโค้งหักศอก เตชต้องชะลอความเร็วและบังคับรถด้วยความระมัดระวัง
ทันใดนั้นเองจังหวะขณะรถแล่นลงเนินทางลาดชัน เขาต้องตกใจเบิกตากว้าง เมื่อลำแสงของไฟหน้ารถเปิดไฟสูงไปกระทบกับท่อนไม้ขนาดใหญ่ล้มขวางทางอยู่ ประสาททุกส่วนตื่นตัวโดยฉับพลันสมองสั่งการทันที
เตชต้องถอนเท้าจากคันเร่งมาเหยียบเบรกอย่างกะทันหัน
เอี๊ยดด!!!…
เสียงล้อรถครูดกับพื้นถนนลาดยางเสียงดังบาดแก้วหู แต่ด้วยระบบห้ามล้อที่มีประสิทธิภาพทำให้รถไม่มีเสียหลักแต่อย่างใด ตัวรถกระบะทั้งคันหยุดจอดนิ่ง ห่างจากสิ่งกีดขวางได้ระยะพอดีประมาณสามสิบเมตร เตชผู้ทำหน้าที่โชเฟอร์ เขาควบคุมสติสัมปชัญญะของตนเองไม่มีอาการตกใจและสามารถบังคับรถให้จอดนิ่ง สองมือกำพวงมาลัยรถแน่น มีเพียงหัวคะมำไปข้างหน้าเล็กน้อย เขารัดเข็มขัดนิรภัยจึงสามารถป้องกันการบาดเจ็บ และเด็กชายผู้โดยสารที่นั่งคู่มาด้วยก็มีการเสียการทรงตัวไม่ต่างจากผู้เป็นพ่อ
“บาดเจ็บตรงไหนไหมลูก” เตชหันมาถามลูกชาย
“ผมไม่เป็นไรพ่อ รู้สึกเจ็บหน้าผากเล็กน้อยครับ..อูยยปวด” เด็กชายตอบ คำวลีหลังร้องครวญลากเสียงยาว
แม้ภายในรถมืดจนแทบจะมองไม่เห็นถนัดตา เตชยื่นมือข้างซ้ายมาคลำบริเวณหน้าผากของเด็กชาย และลูบไปมาอย่างแผ่วเบา ด้วยการค้นหาอาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นของลูกชาย
ทันใดนั้นสายตาของเตชเหลือบมองเห็นกลุ่มคนประมาณหกคนเดินออกมาจากป่าข้างทาง จากแสงไฟหน้ารถที่สาดส่องลำแสงสว่าง จึงมองเห็นพวกเขาสวมใส่เสื้อผ้าลายพรางคล้ายชุดทหารและสวมหมวกโม่งคลุมปกปิดใบหน้าทุกคน ยืนจังกังในมือมีอาวุธเป็นปืนอย่างแน่นอน พวกมันยืนเรียงแถวหน้ากระดานห่างออกไป ระยะเดียวกับท่อนไม้ใหญ่ที่ล้มขวางทางอยู่นั้นเอง
ด้วยสัญชาตญาณ เตชรับรู้ทันทีว่าภัยอันตรายกำลังบังเกิดขึ้น เขาใช้มือข้างขวาล้วงลงไปใต้เบาะของคนขับเพื่อควานหาบางสิ่ง ก็คือปืนพกสั้นขนาด๙ม.ม. มันก็มาอยู่ในมือของนักต่อสู้กับอยุติธรรมแล้วเขากระชับปืนแน่น เตชหันมากระซิบบอกกับลูกชายด้วยน้ำเสียงเครียด
“เตโช..ฟังพ่อนะลูกต้องออกจากรถแล้วรีบหนีไปให้เร็วที่สุดเข้าใจมั้ย”
“มันเกิดอะไรขึ้นครับพ่อ” เตโช สิงหราชา คือนามลูกชายของเตช เด็กชายได้ย้อนคำถามกลับไปยังผู้เป็นบิดา เตโชรู้สึกตกใจและหวาดกลัว เด็กน้อยเริ่มสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“เรากำลังตกอยู่ในอันตราย ลูกรีบหนีไปเมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่แล้วจะเข้าใจเอง..เตโชรีบออกไปเดี๋ยวนี้” คำพูดประโยคหลัง เตชเน้นเสียงหนักออกคำสั่งอย่างเด็ดขาด เมื่อเขามองเห็นกลุ่มคนพวกนั้นมันทุกคนกำลังยกปืนในมือขึ้นประทับบ่าเล็งหันลำกล้องของสื่อมรณะโดยมีเป้าหมายตรงมาที่รถอย่างแน่นอน
เด็กชายเตโช สิงหราชาไม่รีรอ รีบตัดสินใจทำตามคำพูดของบิดา แล้วค่อยๆแง้มเปิดประตูรถอย่างช้าๆ เคลื่อนตัวลงมาบนพื้นถนนท่ามกลางความมืดอย่างเงียบกริบทำให้สังเกตไม่เห็นว่ามีใครบางคนกำลังออกมาจากภายในรถ เด็กน้อยก้มตัวลงต่ำย่องย่างก้าวถอยหลังออกมาห่างทีละก้าวทีละก้าวจากตัวรถอย่างแผ่วเบา และร่างเงาของเตโชก็กลืนหายไปในความมืดของคืนแรม ราวกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
ความรู้สึกของเด็กชายวัยสิบสองปีตอนนั้น เตโชหวาดกลัวขวัญเสียอย่างมาก แต่ทำไมเด็กน้อยจึงกล้าตัดสินใจกระทำตามคำพูดของบิดาได้อย่างกล้าหาญ เตโชไม่รู้หรอกว่าตนเองได้หลบออกมาอย่างรวดเร็ว ห่างจากตัวรถได้ไกลเพียงใดแล้ว และหนทางที่จะเดินไปก็มืดมนไม่รู้จะเดินไปทางไหน เตโชจึงหยุดเดิน เขาได้หมอบก้มหลบอยู่ข้างป่าละเมาะท่ามกลางความมืดที่อยู่รอบกาย
เด็กชายเตโช สิงหราชายังนึกถึงพ่อที่ตนเองเพิ่งจากมา เด็กน้อยหันกลับไปมองทิศทางที่คาดว่าตนเองเดินมาจากจุดนั้น แล้วพลันใดนั้นเอง เตโชก็ต้องสะดุ้งตกใจจนตัวสั่นเทาเมื่อได้ยินเสียงดังกึกก้องกัมปนาทสะท้านสะเทือนไปทั่วบริเวณป่าแถวนั้น ใช่แล้วมันคือเสียงปืน และตามมาด้วยเสียงของระเบิด
ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง!!!
บึ้มมม…บึ้มมม!!!……
พอสิ้นเสียงหลังสุด ด้านทิศทางที่เด็กชายเตโช สิงหราชาหันกลับไปมองนั้น ขณะนี้สว่างจ้า ด้วยมีก้อนไฟขนาดมหึมาลอยตัวพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ราวกับเป็นดอกไม้ยักษ์ที่ถูกจุดขึ้นไปแล้วก็แตกเป็นประกายไฟในอากาศ ภาพต่อหน้าของเด็กน้อยไร้เดียงสา คือรถยนต์กระบะคู่ชีพของพ่อได้เกิดระเบิดขึ้นเปลวไฟสว่างจ้าในบริเวณนั้น
“พ่อ..”เสียงร้องของเตโช แหบสั่นเครืออยู่ในลำคอ
หัวใจของเด็กชายเตโช สิงหราชาแทบจะหยุดเต้นใจสั่นรัว เขาตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เด็กชายนึกถึงภาพของบิดาที่อยู่ภายในรถยนต์ และกลุ่มคนชุดโม่งดำนั้นเป็นใครกัน ทำไมต้องมาฆ่าพ่อ คำถามนี้ฝังแน่นในมโนสำนึกและยังดังก้องอยู่ในโสตของเตโช สิงหราชา เด็กน้อยที่ไร้เดียงสา
X X X X X
ช่วงเวลาเดียวกัน ณ บ้านเรือนไม้สองชั้นที่ปลูกสร้างภายในอาณาเขตหนึ่งไร่ไม่มีรั้วกั้นเขตชัดเจน มีเพียงแนวของต้นไม้ที่ปลูกล้อมรอบเสมือนเป็นกำแพงรั้ว สถานที่แห่งนี้คือบ้านของเตช สิงหราชา ภายในบ้านมีแสงไฟจากหลอดนีออนเปิดสว่างจ้าทั่วบริเวณของบ้าน
ชบา สิงหราชาภรรยาของนักต่อสู้กับอยุติธรรมต่อต้านการทำเหมืองแร่ทองคำในพื้นถิ่นเกิด เธอนั่งอยู่ในห้องรับแขกชั้นล่างของบ้าน เหลือบสายตามองดูนาฬิกาแขวนที่บนฝาผนังบ้าน ขณะนี้มันเป็นเวลาหนึ่งทุ่มสิบห้านาที แม้เป็นเวลาหัวค่ำก็ตาม แต่บรรยากาศของฤดูหนาวนั้นความมืดมาเยือนปกคลุมเร็วกว่าฤดูกาลอื่น
เธออยู่บ้านคนเดียวนั่งคอยสามีและลูกชายกำลังเดินทางกลับบ้าน อาหารเย็นเตรียมเสร็จพร้อมจัดวางอยู่บนโต๊ะอาหาร รอเพียงสามีกับลูกชายที่จะกลับมารับประทานอาหารค่ำพร้อมกันพ่อแม่ลูกเป็นประจำทุกวัน
ภรรยาของเตชผุดลุกผุดนั่ง เธอลุกเดินไปมาหลายๆเทียวรอบชุดรับแขก สีหน้าของเธอดูกับราวกำลังครุ่นคิดด้วยความห่วงใยสองพ่อลูกที่ยังไม่กลับถึงบ้าน เธอรู้สึกว่าผิดปกติจากวันอื่นๆ มันเป็นความรู้สึกมีลางสังหรณ์ในจิตใจบางอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และแล้วความเงียบภายในบ้านก็ถูกทำลายลงเมื่อจู่ๆภาพที่แขวนบนฝาผนังก็หล่นตกสู่พื้นหินอ่อนของบ้านโดยไม่มีวี่แวว
เพล้ง!
เสียงแตกกระจายของกระจกกรอบภาพทำให้ภรรยาของนักสู้ต่อต้านการทำเหมืองแร่ทองคำต้องสะดุ้งสุดตัว เธอหยุดเดินทันที แล้วเดินไปก้มลงหยิบภาพนั้นขึ้นมาอย่างระมัดระวังกลัวเศษกระจกแตกบาด มันเป็นภาพถ่ายของครอบครัวที่ประกอบด้วยตัวเธอ สามีและลูกชาย
ชบา สิงหราชา เธอมองภาพถ่ายนั้นก็ยิ่งทำให้จิตใจหดหู่ ทั้งยังสะท้อนต่อความรู้สึกลางสังหรณ์บางสิ่งของเธอ ว่าต้องมีเหตุการณ์ที่เลวร้ายเกิดขึ้นกับสามีและลูกชายของเธออย่างแน่นอน
เธอลุกขึ้นแล้วเดินกลับไปนั่งที่ชุดรับแขก สังเกตเห็นว่าแววตาและสีหน้าของเธอยิ่งแสดงออกถึงความเป็นห่วงกังวลอย่างทวีคูณ ภาพถ่ายนั้นยังถือไว้ในมือของชบาอยู่ตลอดเวลา
X X X X X
ช่วงเวลายี่สิบปีต่อมา…
ร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มวัยสามสิบสองปีเศษ ด้วยเขามีใบหน้าคมเข้มคิ้วดกดำจมูกโด่งเป็นสันได้รูปงามกลายเป็นจุดเด่นที่ทำให้ใครๆหลายคนในบริเวณสถานีขนส่งรถโดยสารประจำทางอำเภอวังสะพุงที่พานพบเห็นแล้วต้องเหลียวมอง เมื่อเขาพาร่างสูงใหญ่ที่มีกระเป๋าเป้สะพายคล้องอยู่บนไหล่ขวาก้าวลงมาจากรถโดยสารประจำทางปรับอากาศชั้นหนึ่งสายกรุงเทพ-เมืองเลย ภายหลังจากที่รถจอดเทียบท่าเพื่อให้ผู้โดยสารลง รถเทียวนี้มีจุดหมายปลายทางสิ้นสุด ณ ตัวเมืองจังหวัดเลย
เจ้าของร่างสูงใหญ่ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหล่าคนนั้น มีนามว่า เตโช สิงหราชาเขาก้าวเดินออกมาจากบริเวณที่พักของ ผู้โดยสาร หันรีหันขวางราวกับว่ากำลังมองหาใครบางคนอยู่ เขามองดูนาฬิกาบนข้อมือข้างซ้ายมันบอกเวลาขณะนี้เป็นเวลาเที่ยงตรง
“เฮ้ย…เตโชอยู่ทางนี้”เสียงเรียกเขา ดังมาจากด้านหลัง
เตโช สิงหราชา หันหลังกลับไปมองตามหาเจ้าของเสียงเรียกนั้น ภาพที่เห็นคือชายวัยสี่สิบปียืนโบกมืออยู่ห่างออกไปราวสิบเมตร คือ เดช สิงหราชา น้องชายของพ่อ เมื่อเขามองเห็นเจ้าของเสียง ใบหน้าและแววตาของเตโชยิ้มร่าอย่างดีใจ เขารีบเดินก้าวฉับๆตรงเข้าไปสวมกอดแน่น แล้วผละออกยกมือไหว้แนบอกของเดช สิงหราชาผู้เป็นอา น้องชายแท้ๆของพ่อ
นัยน์ตาของเดชดูเป็นประกายใสมีน้ำคลอขอบตาซึมออกมาโดยไม่รู้ตัว ขณะนี้หัวใจของผู้เป็นอามีปีติสุขใจยิ่งนัก หลังจากไม่ได้พบหลานชายคนนี้นานกว่ายี่สิบปี ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ที่เตช สิงหราชา ผู้เป็นพี่ชายถูกลอบฆ่า เขาได้พาเด็กชายเตโช สิงหราชา หนีออกจากพื้นที่อำเภอวังสะพุงไปอาศัยอยู่กับหลวงลุงที่กรุงเทพ จากนั้นก็ไม่ได้พบกันอีกเลย มีเพียงส่งข่าวสารจดหมายสื่อสารถึงกัน จนถึงวันนี้ที่เด็กชายเตโช สิงหราชา เมื่อยี่สิบปีที่แล้วเติบโตมาด้วยข้าวก้นบาตรพระ และร่ำเรียนหนังสือจนสำเร็จรับราชการเป็นปลัดอำเภอ แล้ว ณ วันนี้ เตโช สิงหราชา ก็ได้ย้ายกลับมาทำงานรับราชการประจำอำเภอที่เป็นถิ่นฐานมาตุภูมิบ้านเกิด มันเป็นวันแรกในชีวิตที่เขากลับมาอีกครั้ง นับตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้นยังไม่เคยกลับมาเหยียบดินแดนแห่งนี้เลย
“โอโฮ…หลานของอาดูเป็นหนุ่มใหญ่ตัวสูงจริงๆ” เดชพูดด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับยื่นมือจับไหล่กว้างของเตโช
“อาเดชก็ยังดูหนุ่มมากโขอยู่หนา”
ทั้งสองอาหลานพูดจาหลอกล้อเย้าต่อกัน ใบหน้าและแววตาทั้งสองคนเผยรอยยิ้มแย้มสุขเปี่ยมด้วย ปีติเป็นที่สุดตามประสาคนที่ไม่ได้พบกันมานาน แม้ว่าความรู้สึกลึกๆภายในใจที่ยังจดจำเก็บฝังแน่นเอาไว้ทั้งเดชและเตโชผู้เป็นอากับหลาน ไม่ได้แสดงออก แต่ทั้งสองก็รับรู้ความสึกสิ่งนั้นเมื่อยี่สิบปีก่อนยากที่จะลบจากมโนสำนึกพวกเขาทั้งสองได้
เตโช สิงหราชา หันไปมองรอบๆเพื่อหาใครบางคน
“แม่ไม่ได้มาด้วยหรืออาเดช” เตโชกล่าวถึงมารดาของตนเอง
“แม่..ของหลานกำลังรออยู่ที่..” เดชพูดตะกุกตะกักอย่างลังเล เตโช สิงหราชาจึงพูดสวนขึ้นทันควัน
“อย่างนั้นก็รีบกลับบ้านเร็ว คิดถึงแม่ใจจะขาดแล้วเอ้ยยย…”เตโชพูด ราวกับใส่ทำเพลงลูกทุ่ง
เดช สิงหราชา ยิ้มและหัวเราะร่าเมื่อเห็นท่าทางอาการลิงโลดของหลานชาย แล้วกล่าวต่อ
“พร้อมแล้วรถจอดอยู่ด้านโน้น” เมื่อกล่าวจบเดช สิงหราชาก็เดินนำทาง พาหลานชายปลัดอำเภอหนุ่มไปขึ้นรถยนต์ที่จอดรออยู่แล้วด้านหลังของสถานีขนส่งรถประจำทางแห่งนี้ จากนั้นเดช ก็ขับรถเคลื่อนที่ออกไปโดยมีเตโช สิงหราชาเป็นผู้โดยสารนั่งคู่สารถี รถแล่นเข้าสู่ตัวเมืองวังสะพุง
“ อาจะพาเตโช ทัวร์รอบตัวเมืองวังสะพุงก่อน ว่ามันเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหน จากนั้นก็ไปกินอาหารรสแซบพื้นถิ่นบ้านเฮา เพื่อเรียกความทรงจำของลูกศรีวัง..ตกลงมั้ย” เดชเอ่ยขึ้น เมื่อขับรถแล่นข้ามสะพานสีห์พนม ซึ่งเป็นสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก เบื้องล่างเมื่อมองลงไปจากสะพานก็คือ แม่น้ำเลยเป็นแม่น้ำสายหลักที่คนวังสะพุงใช้บริโภคและอุปโภคมายาวนาน
“ โอเค” เตโช สิงหราชาตอบเสียงสูงด้วยสำเนียงภาษาอังกฤษ แล้วอมยิ้ม ชำเลืองมองใบหน้าน้องชายของพ่อเล็กน้อย
X X X X X
เมืองวังสะพุง ดินแดนแห่งเกจิอาจารย์
ต้นตำนานเมืองเซไล
เสมาหินทรายเลื่องชื่อ
นามระบือศูนย์ศิลป์สิริธร
คำขวัญประจำอำเภอที่กล่าวมาเบื้องต้นนั้น เขียนบนป้ายขนาดใหญ่ ก่อนจะผ่านประตูซุ้มเฉลิมพระเกียรติฯเข้าสูตัวเมือง ในเขตตัวเมืองมีการขยายตัวของพื้นที่ มีความเป็นสังคมเมืองตึกรามบ้านเรือนร้านค้าทั้งสองฟากทางเติบโตเจริญด้านเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม มีรับจ้างตามโรงงานในเมืองใหญ่ และยังมีประชากรประกอบอาชีพขายสลากกินแบ่งรัฐบาลตามต่างจังหวัดมากที่สุดในประเทศไทย
เมืองวังสะพุงผู้ก่อตั้งคือ พระยาศรีสงคราม เป็นเจ้าเมืองคนแรก ตั้งอยู่ทางด้านทิศใต้ของจังหวัดเลย ระยะห่างประมาณยี่สิบกิโลเมตร สภาพพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขามีที่ราบและที่ราบลุ่มเป็นแห่งๆ มีภูเขาล้อมรอบและมีแม่น้ำเลยไหลผ่าน
ภายหลังจากการเที่ยวทัวร์ตัวเมืองวังสะพุงฉบับย่อ แล้วก็รับประทานอาหารกลางวันเสร็จเรียบร้อย ทั้งสองอากับหลาน ก็ออกจากตัวเมือง กำลังมุ่งหน้าสู่บ้านเกิดเมืองนอนของเตโช สิงหราชา คือตำบลเขาภูคำอยู่ห่างออกไปประมาณสามสิบกิโลเมตรจากตัวอำเภอทางทิศตะวันตก ผู้เป็นอาก็ยังทำหน้าที่โชเฟอร์ขับรถบึ่งไปตามถนนสายวังสะพุง-ภูเรือ
บทสนทนาบางตอนที่เกิดขึ้นขณะรถแล่นห่างออกจากตัวเมืองวังสะพุงได้ประมาณยี่สิบนาที
“ช่วงนี้บ้านเราเข้าสู่หน้าหนาวแล้ว” เดชพูดขึ้น ขณะที่สายตาทอดมองไปข้างหน้า ซึ่งเป็นถนนลดเลี้ยว ช่วงขึ้นลงเนินสูงชัน มือกำแน่นบังคับพวงมาลัยรถอย่างชำนาญทาง
“ผมจากบ้านไปนานมาก สงสัยก็ต้องปรับสภาพร่างกายตัวเองให้เข้ากับที่นี่” เตโชพูดเปรยขึ้น โดยที่สายตาหันมองออกไปนอกหน้าต่างรถที่ลดบานกระจกลงทั้งสองด้าน ลมเย็นสบายๆพัดปะทะใบหน้าของเขา เมื่อรถแล่นขึ้นไปเนินสูงภาพวิวระยะไกลๆมองเห็นเป็นทิวเขาสลับสูงต่ำ ป่าไม้เขียวครึ้มปกคลุม เสมือนราวกับเป็นภาพวาดของศิลปิน
“แล้วเตโชจะเริ่มทำงานวันไหนล่ะ” เดชเอ่ยถาม ก็หันชำเลืองมองหลานชายเพียงเล็กน้อย
“ คงอีกสักสองสามวันครับอา จึงจะไปรายงานตัวต่อนายอำเภอ” คนพูดยังทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างรถ ด้วยขณะนี้ห้วงความคิดของเตโช สิงหราชา ปรากฏภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนถนนสายนี้เมื่อยี่สิบปีที่แล้ว มันยังติดตรึงเป็นบาดแผลจิตใจของเขาเรื่อยมา แม้บางคืนเขายังฝันร้ายเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่พ่อถูกทำร้ายจนเสียชีวิตในคืนข้างแรมที่มืดมิดซึ่งเขาไม่เคยลืมเลือน
“อามีเรื่องหนึ่งที่จะต้องบอกเตโช” เมื่อเดชพูดจบ คู่สนทนาของเขาสะดุ้งตื่นจากภวังค์หันขวับกลับมาทันทีจ้องมองใบหน้าผู้เป็นอา สีหน้าของเดชเรียบเฉย แต่ดวงตาคู่นั้นของเตโช สิงหราชาฉายแววบ่งบอกถึงความสงสัย จึงถามกลับไปด้วยความต้องการรู้เรื่อง
“เรื่องอะไรหรือครับอา”
“คือแม่ของหลานตอนนี้บวชชีพราหมณ์ปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดไม่ได้อาศัยอยู่ที่บ้านแล้ว” เดชเล่าด้วยน้ำเสียงปกติ พูดต่อว่า “พี่ชบาไปบวชชีได้แปดปีแล้ว โดยย้ำกับอาว่าไม่ให้บอกเรื่องนี้กับเตโช”
เดชขับรถแล่นไปเรื่อยๆ โดยไม่มองหน้าคู่สนทนา
“ตอนนี้แม่อยู่วัดที่ไหนครับ”เตโชถามด้วยเสียงสั่นเครือ
“วัดถ้ำหลวงสิงห์” เดชตอบ
“ยังงั้นอาเดชพาผมไปหาแม่หน่อยครับ” พูดน้ำเสียงด้วยใจร้อนรุ่ม
เดชหันมามองหน้าหลานชายแวบหนึ่ง ก่อนย้อนถาม “เดี๋ยวนี้เลยเหรอ”
เขาได้รับคำตอบโดยไม่มีเสียงตอบแต่ เตโช สิงหราชา เพียงพยักหน้าเสมือนเป็นคำตอบแทน
“ตกลงยังงั้นเราไปวัดถ้ำหลวงสิงห์กัน” เดชพูด
เขาทำตามความต้องการของเตโช สิงหราชา ด้วยเข้าใจถึงความรู้สึกของหลานชายคนนี้ดีว่าจิตใจนั้นตอนนี้เขาปรารถนาสิ่งใดที่สุด ณ เวลานี้
X X X X X