จบ OASIS
0
ตอน
647
เข้าชม
13
ถูกใจ
1
ความคิดเห็น
1
เพิ่มลงคลัง

[DAY : 1]

สิ่งแรกที่โยนาสเห็นหลังจากลืมตาขึ้น คือแหล่งน้ำเค็มขนาดยักษ์ มันทั้งกว้างและไกลสุดลูกหูลูกตา เลยไปสุดขอบฟ้ามีเกาะเล็ก ๆ กลมกลืนไปกับท้องฟ้าสีคราม ภายใต้ของมันและเท้าของเขาคือทรายเนื้อละเอียด …ทุกสิ่งทุกอย่างที่รากฏอยู่ต่อหน้าในตอนนี้ ชายหนุ่มเคยรู้จักมันผ่านรูปภาพเท่านั้น

เมื่อเริ่มตั้งสติได้ โยนาสก็เริ่มมองไปรอบ ๆ ด้วยความตื่นเต้น เขายกมือขึ้น สัมผัสถึงลมที่โลมเลียนิ้วอย่างนุ่มนวลพลางหลับตาลง สูดลมหายใจลึกเพื่อรับกลิ่นไอทะเลที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนสู่ปอด

“ปกติเวลามาทะเล เขาจะถอดรองเท้าเวลาเดินบนริมหาดนะคะ” เสียงหนึ่งปลุกให้โยนาสตื่นจากภวังค์ เจ้าของเสียงคือหญิงสาวเอเชียวัยไล่เลี่ยกัน เพียงแต่สิ่งที่เธอสวมอยู่นั้นดูแปลกตามากสำหรับเขา เมื่อเห็นท่าทีเก้ ๆ กัง ๆ ของอีกฝ่าย หญิงสาวก็ยิ้มเป็นมิตรให้ “ลองดูสิคะ ถอดรองเท้าเลย”

โยนาสก้มลงมอง พบว่ารองเท้าหุ้มส้นที่สวมอยู่นั้นเปียกไปหมดแล้ว เขาถอดรองเท้าออก แล้วค่อย ๆ วางเท้าลงบนทรายด้วยความไม่คุ้นเคย แต่เมื่อชินกับความรู้สึกแล้วก็เริ่มก้าวเข้าหาคลื่น “มัน…แปลกมาก ขอบคุณครับที่แนะนำ”

“เพิ่งเข้าใช้โอเอซิสครั้งแรกหรือคะ?” หญิงสาวถาม

“เอ่อ…ใช่ครับ มันมองออกง่ายขนาดนั้นเลยสินะ” โยนาสหัวเราะ “ว่าแต่คุณ คงเคยใช้บ่อยแล้วใช่ไหมครับ คุณถึงคุ้นเคยกับ…พวกสถานที่แบบนี้”

“อ๋อ เปล่าหรอกค่ะ นี่เป็นครั้งที่สามของฉันเอง พอดีตอนสมัยยังเด็กมาก ๆ ครอบครัวของฉันเคยอาศัยอยู่ริมทะเลน่ะค่ะ” เธอเว้นวรรค “หลังจากที่เข้ามาอยู่ในเมือง ฉันก็ไม่เคยมาทะเลอีกเลย พอมีโอกาสได้ใช้โอเอซิส ฉันเลยอยากจะมาทะเลเป็นที่แรก”

“จริงหรือครับ ผมไม่เคยเจอใครที่เคยไปทะเลมาก่อนสักคน” เขาพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “คุณยังโชคดีที่เคยมาทะเล ผมรู้จักมันผ่านทางรูปถ่ายกับตอนเรียนหนังสือเท่านั้นเอง”

“ความเป็นจริง น้ำทะเลปัจจุบันนี้คงไม่ใสแบบในโอเอซิสแล้วล่ะค่ะ เพราะปรากฏการณ์ขี้ปลาวาฬทำให้มันกลายเป็นสีแดงไปหมด แล้วตอนดึก ๆ แถวทะเลที่ห่างไกลจากเมืองแบบนี้ คุณรู้ไหมว่าเราจะเห็นดาวเต็มท้องฟ้าเลยนะคะ สมัยเด็ก ๆ ฉันน่ะชอบนั่งดูดาวทุกคืนเลย แต่ในเมโทโปลิส เราก็ไม่ได้เห็นอะไรแบบนี้แล้ว” เธอพูดเสียงเศร้า ทว่าไม่นานก็เปลี่ยนไปยิ้มสดใสดังเดิมให้โยนาส “แต่อุตส่าห์ได้มาทะเลทั้งที คุณจะแต่งตัวชืด ๆ แบบนี้จริง ๆ หรือคะ”

โยนาสก้มมองชุดตัวเอง ตอนนี้เขากำลังสวมเสื้อผ้าสีเทาหม่น ๆ ดังที่ใส่เป็นประจำ ผิดกับเธอลิบลับ เธอสวมชุดเดรสเนื้อบางสีเขียวสดใสอวดผิวสีน้ำผึ้ง ชายหนุ่มได้แต่อ้ำอึ้ง อีกฝ่ายจึงแนะนำต่อ “ลองคิดถึงชุดที่คุณอยากใส่ก็พอค่ะ เจ้าที่คาดหัวนั่นมันจะรับคำสั่ง แล้วเปลี่ยนชุดให้คุณเองทันทีเลย”

ชายหนุ่มยกมือขึ้นสัมผัสที่บริเวณหน้าผาก เขาเพิ่งรู้ตัวว่ากำลังสวมที่คาดหัวสีขาวตลอดเวลา มันคาดกับหน้าผากและสิ้นสุดตรงที่ขมับทั้งสองข้าง โดยที่ปลายของที่คาดมีลักษณะเป็นปุ่มกลม ๆ เป็นตัวควบคุม ซึ่งมีเส้นรูปวงกลมซ้อนอยู่ภายใน มันเปล่งแสงสีเขียวตลอดเวลา –โยนาสหลับตาลงโดยยังแตะที่ที่คาดหัวนั่นไว้ คิดถึงชุดแบบฮาวายที่เขาเคยเห็นในโปสการ์ดเก่า ๆ ไม่กี่วินาทีต่อมา เขาก็สัมผัสได้ถึงเนื้อผ้าที่เปลี่ยนแปลงไป เมื่อลืมตาอีกครั้งก็พบว่าตัวเองกำลังสวมเสื้อฮาวายสีแดง กางเกงสามส่วน เท้าเปลือยเปล่า

“นั่นล่ะค่ะ แต่คราวหลังคุณไม่จำเป็นต้องแตะมันตอนที่คิดก็ได้ แล้วอย่าเผลอดึงมันออกนะคะ ไม่งั้นคุณจะหลุดออกจากโอเอซิสกะทันหัน”

“งั้นแสดงว่าเราก็ต้องใส่ไอ้ที่คาดนี่ตลอดเวลางั้นสิ”

“ใช่ค่ะ ลำบากหน่อย วิธีเดียวที่จะไม่ต้องใส่มันตลอดกาลคือคุณต้องปลดเกษียณตัวเอง แล้วระบบควบคุมจะโอนมาอยู่ในสมองคุณแทน” พริบตาเดียว สาวตรงหน้าก็สวมหมวกปีกกว้าง แว่นตากันแดดอันโตดูโก้เก๋ทีเดียว เส้นผมยาวสีดำขลับของเธอปลิวไปกับสายลมอ่อน ๆ โยนาสเผลอยิ้มโดยไม่รู้ตัว

“อย่างไรก็ตาม เรายังไม่ได้แนะนำตัวกันเลย ฉันชื่อลลินนะคะ มาจากเมโทโปลิสอีเวเล่น” ว่าแล้ว เธอยื่นมือออกมาข้างหน้า “ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”

“ผมชื่อโยนาสครับ มาจากโทโปลิสวัน” ชายหนุ่มยื่นมือไปจับ “ท่าทางในโลกความเป็นจริง เราจะอยู่ห่างกันเกินครึ่งโลกเลยสินะ…ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ คุณลลิน”

*********************

[DAY : 14]

รถแท็กซี่แบบขับอัตโนมัติจอดเทียบท่าอย่างนุ่มนวลแล้วเปิดประตูออก ลลินในชุดเดรสสีเหลืองกำลังมองตรงไปที่จุดหมายปลายทางด้วยความใคร่รู้ขณะก้าวลงจากรถ โดยมีโยนาสในเบลเซอร์สีกรมท่าเข้มตามลงมา เส้นผมสีทองของเขาถูกเซ็ตเป็นทรงเรียบแปล้

“…เมื่อตอนแรก ๆ ที่เรารู้จักกัน คุณเคยพูดว่าสมัยเด็กคุณมักจะชอบนอนดูดาวบ่อย ๆ คุณเคยพูดหลายครั้งว่าชอบดวงดาวมาก” โยนาสกล่าวอย่างเขิน ๆ “ผมหวังว่าจะได้พาคุณมาดูดาวจริง ๆ อีกครั้ง แต่ในเมโทโปลิส ท้องฟ้าก็ขุ่นมัวเกินไป ส่วนเวลาในโอเอซิสก็สวนทางกับเวลาจริง ๆ ดังนั้นผมจึงเห็นว่า โอกาสเดียวที่เราจะได้ดูดาวด้วยกัน” เขาก้าวไปยืนเคียงข้างลลิน “…คือพาคุณมาที่นี่”

ตรงหน้าทั้งคู่ คือตึกรูปโดมทึบขนาดใหญ่ มีตึกย่อย ๆ อีกหลายตึกอยู่ข้าง ๆ ตรงสนามหญ้าสีเขียวมีดาวเทียมและอุปกรณ์ทางดาราศาสตร์ตั้งอยู่หลายชิ้น ด้านหน้า มีป้ายขนาดใหญ่เขียนว่า ‘ท้องฟ้าจำลอง’ - หลังจากนั้นโยนาสก็ไปซื้อตั๋วที่เคาท์เตอร์ขายอัตโนมัติ ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินเข้าไปในโดมซึ่งมีห้องฉายภาพอยู่ภายใน – ภายในตึกนั้น มีคนมากมายที่มาเที่ยวชมท้องฟ้าจำลองเช่นกัน ส่วนใหญ่จะสวมที่คาดหัวเช่นเดียวกับโยนาสและลลิน แต่ก็มีหลายคนที่ไม่ได้สวมมันแล้ว มีคู่รักคู่หนึ่งซึ่งปลดเกษียณแล้วเดินสวนกับทั้งคู่ไป พวกเขาต่างยิ้มอย่างสดใสร่าเริงให้กัน ช่างเป็นภาพที่น่าประทับใจเหลือเกินจนลลินอดยิ้มตามไม่ได้

หญิงชายเดินเข้ามาในห้องฉายภาพ ทั้งคู่นั่งลงบนเก้าอี้กำมะหยี่สีน้ำเงินแบบในโรงภาพยนตร์ ไม่นานนักแสงก็เริ่มหรี่ลงจนมืดสนิท แล้วเครื่องฉายก็เริ่มทำงาน มันฉายภาพดวงดาวนับล้านบนเพดานทรงกลมเหนือศีรษะทุกคน ภาพนั้นดูสมจริงมาก จนเสมือนว่าเรากำลังนั่งดูดาวบนฟากฟ้าในยามค่ำคืนเลยทีเดียว

จากนั้นเสียงก็เริ่มบรรยายถึงความเป็นมาของดวงดาวต่าง ๆ แต่ลลินไม่ได้สนใจฟัง เธอเอาแต่จ้องมองจุดระยิบระยับนับไม่ถ้วนด้วยความตื่นเต้น

โยนาสปล่อยให้ลลินมีความสุขกับการดูดวงดาว จึงเกิดความเงียบระหว่างคนทั้งสองขึ้น กระทั่งหญิงสาวโพล่งขึ้นมาพร้อมกับชี้ไปที่ดาวเคราะห์สีเหลืองนวลบนเพดาน “คุณดูนั่นสิ ดวงจันทร์เต็มดวง มันสวยมากเลยนะ” เธอยิ้มกับตัวเอง โยนาสมองตามพลางเออออไปด้วย “คนสมัยก่อนคงชอบดูดวงจันทร์มาก ๆ เลยสินะ ถึงได้มีกาพย์กลอนและวรรณกรรมมากมายที่กล่าวถึงมัน น่าเสียดายเนอะ เพราะมลพิษ เราถึงไม่มีทางเห็นมันชัดขนาดนี้ในเมโทโปลิสเลย”

ท่อนสุดท้าย น้ำเสียงของหญิงสาวเจือความเศร้าจนสัมผัสได้ โยนาสจึงปั้นเสียงให้ร่าเริงที่สุดแล้วเอ่ยขึ้น “งั้นแบบนี้ เราคงไม่มีทางรู้เลยนะเนี่ย ว่าเราเห็นกระต่ายบนดวงจันทร์อยู่ตลอด”

“คะ?” ลลินเอียงคอเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปมองดวงจันทร์อีกรอบ เธอเพ่งมันอยู่สักพักแล้วคลี่ยิ้มอีกครั้ง “จริงด้วย ฉันเพิ่งสังเกตนะเนี่ยว่ามันหันด้านเดิมตลอดเวลาเลย แบบนี้เจ้ากระต่ายตัวนั้นก็จ้องมองมาที่พวกเราอยู่เสมอเลยสินะ”

“แล้วคุณรู้ไหม ที่มันเป็นแบบนั้น นั่นก็เพราะรอบที่ดวงจันทร์มันโคจรรอบตัวเอง เท่ากับรอบที่มันโคจรรอบโลกของเรา นั่นเป็นเหตุผลที่ดวงจันทร์หันหน้าเดิมเข้าหา­­โลกตลอดเวลา” เมื่อโยนาสพูดจบ ลลินก็มองเขาตาวาว “ฉันไม่เคยรู้มาก่อนว่าคุณสนใจเรื่องดวงจันทร์ขนาดนี้เลยนะเนี่ย”

“เอ่อ ขอสารภาพ ที่ผมรู้ก็เพราะเพิ่งอ่านจากไอ้นี่เมื่อตะกี้เลยต่างหาก” ว่าแล้วชายหนุ่มก็ล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาโชว์ หน้าจอของมันปรากฏชื่อหนังสือรวมเกร็ดความรู้เรื่องดวงจันทร์ เมื่อลลินเห็นดังนั้นก็ทุบไหล่อีกฝ่าย ทั้งคู่หัวเราะคิกคักเบา ๆ เพราะกลัวจะเสียมารยาท จนกระทั่งทั้งคู่หยุดหัวเราะและประสานสายตาซึ่งกันและกัน เงาของภาพฉายดวงดาวนับล้านสะท้อนลงบนใบหน้าของหญิงชาย

ดวงตาสีฟ้าอมเขียวของโยนาสระยิบระยับเนื่องจากภาพสะท้อน แล้วเขาก็เอ่ยขึ้นอีกครั้งอย่างเชื่องช้า “…แต่จริง ๆ แล้ว ที่ผมยอมซื้ออีบุ๊คเล่มนี้มาอ่านน่ะ มันเพราะชื่อคุณน่ะมันแปลว่าดวงจันทร์ไม่ใช่รึไง คุณสำคัญต่อผม ดังนั้นเรื่องดวงจันทร์ก็สำคัญต่อผมเหมือนกันไง ลลิน”

สิ้นเสียงพูด หญิงชายคู่นี้ก็เงียบอีกรอบ ลลินเม้มริมฝีปากเพื่อกลั้นยิ้มขณะมองหน้าอีกฝ่ายที่หยีตาทะเล้นใส่ ก่อนที่เธอจะตัดสินใจทุบไหล่เขาอีกรอบแล้วหันกลับไปสนใจดวงดาวบนเพดานและเสียงบรรยายแทน

โยนาสเห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่ายจึงกลับมาตั้งใจดูภาพฉายอีกครั้งด้วย กระทั่งจังหวะที่ผู้บรรยายเริ่มบรรยายถึงดวงจันทร์ ชายหนุ่มก็สัมผัสได้ถึงมือเล็ก ๆ ของคนที่นั่งข้าง ๆ กำลังเอื้อมมาประสานกับมือของเขาบนที่วางแขน เขาจึงบีบมือข้างนั้นตอบอย่างนุ่มนวลโดยที่ต่างคนต่างยังจดจ้องไปที่ภาพฉายบนเพดานอยู่

*********************

[DAY : 303]

เสียงของท้องปลาแซลมอนสด ๆ ที่ถูกความร้อนดังฉ่าไปทั้งบ้านหลังเล็กซึ่งสร้างจากไม้สีอ่อนทั้งหลัง กลิ่นหอมของเนื้อปลา เลมอน กระเทียมและสมุนไพรหอมฉุย โยนาสยกกระทะออกมาจากครัวแล้วตักมันใส่จานบนโต๊ะอาหารด้วยความประณีต ลลินในชุดลำลองสีส้มพาสเทลนั่งไขว่ห้างรออยู่ พลางส่งยิ้มให้กับชายหนุ่มในผ้ากันเปื้อนขณะที่เขากำลังวางเลมอนฝานลงแซลมอนในจานของเธอ เขายิ้มตอบ

“เนื่องในโอกาสอะไรคะเนี่ย คุณถึงนึกมาลองเข้าครัวดู” ลลินเท้าคางพลางถามแฟนหนุ่มด้วยความเอ็นดู

โยนาสนั่งลงฝั่งตรงข้าม “ไม่ใช่ในโอกาสอะไรหรอก เพียงแต่ผมเห็นว่าในเมโทโปลิส เราเคยได้กินแต่เนื้อสัตว์สังเคราะห์น่ะสิ แล้วในโอเอซิสเราก็เคยกินแค่ในร้านอาหาร เราอุตส่าห์ได้มาลงหลักปักฐานที่ริมทะเลขนาดนี้ อย่างน้อยเราก็น่าจะได้กินเนื้อปลาสด ๆ ที่เพิ่งจับมาสักครั้ง” เขายิ้ม “แล้วมันจะโรแมนติกอะไรล่ะ ถ้าหากผมไม่ได้เป็นคนทำให้คุณกินน่ะ”

ลลินยิ้มตอบด้วยความขวยเขิน “ขอบคุณค่ะ” แล้วลงมือจิ้มเนื้อปลาเข้าปาก

โยนาสไม่ได้ลงมือกินอาหารตรงหน้า เขาเพียงแต่มองแฟนสาวอย่างเงียบ ๆ ในใจเหมือนกำลังลังเลที่จะพูดอะไรบางอย่างจนอีกฝ่ายรู้สึกตัว เธอจึงเงยหน้าขึ้น มองเขาด้วยความแปลกใจ

“มันไม่ได้รสชาติแย่ขนาดนั้นหรอก รีบกินก่อนที่มันจะเย็นเถอะค่ะ” เธอหยอก แต่โยนาสเพียงแค่ส่งยิ้มแห้ง ๆ ให้กับมุกของเธอ ลลินจึงรับรู้ถึงความผิดปกติ เธอวางส้อมและมีดลงแล้วเอื้อมไปกับมือของฝ่ายตรงข้าม “โยนาส มีอะไรหรือเปล่าคะ?”

อึดใจหนึ่ง โยนาสก็เอ่ยขึ้น “…คุณไม่อยากจะเปลี่ยนมากินเนื้อจริง ๆ บ้างหรือ?”

“ก็กินอยู่นี่ไง ฝีมือคุณด้วย” ลลินเหล่ไปที่แซลมอนในจาน “แล้วหลายเดือนมานี้ เราก็ได้กินเนื้อจริง ๆ อยู่ทุกวันแล้วนี่คะ?”

“ไม่…ผมหมายถึง กินเป็น ‘อาหาร’ จริง ๆ น่ะ แบบที่เราไม่ต้องกลับไปกินเนื้อสัตว์สังเคราะห์ปลอม ๆ นั่นอีกแล้ว” ชายหนุ่มจ้องมองหน้าคู่สนทนาอย่างจริงจัง “ไม่ใช่แบบที่เราต้องมารอเข้าใช้โอเอซิสถึงจะได้กินอย่างนี้”

แล้วความเงียบก็เข้ามาแทนที่ มีเพียงเสียงลมพัดและคลื่นกระทบฝั่งอย่างเชื่องช้าเท่านั้น ลลินหรี่ตาลงข้างหนึ่ง เธอพยายามทำความเข้าใจ “คุณหมายความว่าอย่างไรกันแน่?”

“เอาล่ะ…ผมจะพูดตรง ๆ ” โยนาสลอบสูดลมหายใจเข้าเพื่อเรียกกำลังใจ เขามองตาคู่เรียวสวยของลลิน“คุณรู้ใช่ไหมว่าผมรักคุณมาก หนึ่งปีมานี้ที่เราได้ใช้ชีวิตในโอเอซิสด้วยกัน ผมมีความสุขจริง ๆ ที่สำคัญชีวิตในนี้ก็ดีมาก มันเหมือนโลกในอุดมคติ…ไม่สิ โอเอซิสคือโลกในอุดมคติด้วยซ้ำ นั่นคือจุดประสงค์ที่มันถูกสร้างมา” เขาใช้มือซ้ายประกบมือของหญิงสาว “และไม่ใช่ว่าที่เราใช้ชีวิตกันแบบนี้มันจะไม่ดี …แต่พูดตรง ๆ นะลลิน ชีวิตเรามันไม่แน่นอนเหลือเกิน เราทุกคนต่างรู้ไม่ใช่หรือ วันดีคืนดีบริษัทชอบปลดพนักงานแบบกะทันหันด้วยเหตุผลร้อยแปดพันเก้า …เห็นธุรกิจหุ่นยนต์กับเอไอที่กำลังเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อย ๆ ไหม? คุณลองคิดถึงตอนนี้สิ มันทำหน้าที่แทนเราไปได้ตั้งหลายอย่างแล้ว อนาคตพวกเอไอจะทำแทนทุกอย่างแทนมนุษย์ แม้แต่แปรงฟันให้แล้วมั้ง แล้วพวกนายจ้างเองก็ชอบใจ เพราะมันทำงานได้ดีกว่าเรา ค่าแรงก็ถูกกว่า มันกินเชื้อเพลิงและกระแสไฟฟ้าเป็นอาหารที่ถูกกว่าเนื้อสังเคราะห์ร้อยเท่า …ดังนั้นวันใดวันหนึ่ง หุ่นยนต์อาจจะมาแทนที่เราก็ได้ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นจริง ผมก็จะถูกไล่ออกจากงาน อะพาร์ตเมนต์ และผมคงจะไม่มีสิทธิ์ได้เข้าใช้โอเอซิสอีก”

ลลินเริ่มจะเข้าใจสิ่งที่โยนาสจะสื่อ เธอจึงจับมือชายหนุ่มตอบ เอ่ยด้วยเสียงหนักแน่น “แต่มันก็ยังไม่ถึงวันนั้นนี่คะ อย่างน้อยตอนนี้เราก็ยังได้อยู่ด้วยกัน สุขสบายดีไม่ใช่หรือ?”

“ใช่ แต่เราก็รู้อยู่แก่ใจนี่ลลิน” สีหน้าของโยนาสแสดงออกว่ากำลังเป็นกังวลอย่างชัดเจน “และถ้าผมไม่ได้ใช้โอเอซิสแล้ว ก็คงไม่มีโอกาสได้กินอาหารดี ๆ แบบนี้ ไม่ได้ใช้ชีวิตแบบนี้ แต่ที่สำคัญเลย คือผมคงไม่ได้ใช้ชีวิตกับคุณอีก” เขาพยายามเค้นยิ้ม “แต่มันจะไม่เป็นแบบนั้นเลย …ถ้าหากเรา…”

“ยอมปลดเกษียณใช่ไหม” ลลินแทรก “เราเคยคุยกันเรื่องนี้ไปแล้วไม่ใช่หรือไงโยนาส”

“ผมรู้ ผมรู้ว่าคุณไม่อยากใช้ชีวิตแบบนี้ ใช้ชีวิตทั้ง ๆ ที่ร่างกายจริง ๆ ตายไปแล้ว …แต่สิ่งที่พวกเราเป็นอยู่ทุกวันนี้มันก็ไม่ต่างจากการตายทั้งเป็นเลยไม่ใช่หรือไง” บรรยากาศในห้องเริ่มตึงเครียดขึ้น “แล้วการที่เราใช้ชีวิตในนี้ มันก็เหมือนกับการตายแล้วได้ขึ้นสวรรค์แบบแน่นอนด้วยซ้ำ สู้เรายอมปลดเกษียณซะ อย่างน้อยเราก็รู้ว่าบั้นปลายของชีวิต เราจะได้อยู่ในสวรรค์จริง ๆ มันไม่ดีกว่าหรือไง”

“มันไม่ได้เกี่ยวกับว่าดีหรือไม่ดี เพียงแต่ฉันตัดสินใจแล้วว่าไม่อยากใช้ชีวิตถาวรอยู่ในนี้” ลลินดึงมือตัวเองกลับ “ถึงชีวิตในเมโทโปลิสมันจะแย่อย่างไร แต่นั่นมันก็ชีวิตจริง ๆ ของเรานะโยนาส แล้วถ้าคุณคิดว่าจะยอมปลดเกษียณ อย่างน้อยก็เคารพการตัดสินใจของฉันหน่อยเถอะ”

“โธ่ลลิน เข้าใจผมหน่อยเถอะ ที่ผมยอมพูดแบบนี้ก็เพราะอยากให้คุณมาอยู่ด้วยกันนี่ไง!!!!”

สิ้นเสียงตะคอก ต่างฝ่ายก็ต่างเงียบไป ลลินมองหน้าชายหนุ่มด้วยสีหน้ายากจะคาดเดาอารมณ์ ส่วนโยนาสเพิ่งได้สติ เขาจึงตั้งใจจะยื่นมือออกไปสัมผัสนิ้วเรียวของหญิงสาว แต่เธอกลับผุดลุกขึ้น เอ่ยด้วยเสียงแข็งกร้าว “ที่คุณมาคะยั้นคะยอฉันแบบนี้ ก็เพราะคุณมันเห็นแก่ตัว คิดถึงแต่ความสุขสบายของตัวเองต่างหาก” ลลินจับที่คาดหัว “ถ้ายังไม่เลิกบ้า เราก็อย่าเพิ่งมาคุยกันดีกว่าค่ะ”

“เดี๋ยวก่อน ลลิน…!!!” โยนาสรีบคว้ามืออีกฝ่ายไว้ แต่ช้าไป พริบตาเดียวที่ลลินกระชากที่คาดหัวออก ร่างของหญิงสาวก็พลันหายวับไปในทันที สิ่งที่เขาสัมผัสได้ จึงเป็นธาตุอากาศที่ว่างเปล่าเท่านั้น

*********************

เสียงนาฬิกาปลุกดิจิทัลทั้งตึกดังขึ้นพร้อมกัน ปลุกให้ลลินจำต้องลุกจากเตียงอย่างเลี่ยงไม่ได้ เธอมีเวลาที่จะอ้อยอิ่งไม่ถึงนาทีก่อนจะรีบจัดการกิจวัตรส่วนตัวก่อนไปขึ้นรถไฟ …เจ้าของห้องรวบผมยาวสีดำขลับ จังหวะที่เอี้ยวตัวไปหยิบผ้าขนหนู สายตาก็เธอก็มองตรงออกไปนอกหน้าต่างบานเล็ก ๆ พอดี - เมื่อมองไปด้านล่าง ถนน รถรา และผู้คนดูไม่ต่างจากมดเนื่องจากเธอนั้นอยู่บนชั้นที่ร้อยสามสิบเก้า ส่วนตรงหน้าและรอบ ๆ ก็มีแต่ตึกที่ล้วนมีหน้าตาและสภาพเดียวกัน คือทรุดโทรมและแออัด ส่วนด้านบนนั้นถูกปกคลุมไปด้วยมลพิษจนแสงอาทิตย์แทบส่องผ่านไม่ถึงพื้น ทั้งเมโทโปลิสถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นจนกลายเป็นสีเหลืองทั้งเมืองมาหลายสิบปีแล้ว

นาฬิกาประจำตึกส่งเสียงอีกครั้งเป็นสัญญาณเตือน หญิงสาวจึงได้สติ เธอรีบจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้า รับอาหารจากตู้บริการที่ส่งมาจากโรงอาหารของตึก มันเป็นเพียงแซนวิชชืด ๆ และน้ำผลไม้รสชาติปลอม ๆ กล่องหนึ่งเท่านั้น เมื่อทำธุระเรียบร้อย ทุกคนจากแต่ละห้องก็แทบจะเปิดประตูโดยพร้อมเพรียงกัน ทั้งหมดเดินอย่างเป็นระเบียบเพื่อรอลงลิฟต์ขนาดยักษ์อย่างที่ทำเป็นประจำแล้วเดินต่อไปยังจุดหมายปลายทางเดียวกัน คือสถานีรถไฟใกล้ ๆ ตึก ต่างคนต่างสวมชุดหมีสีเทาหม่น ๆ เหมือนกันหมด เช่นเดียวกับสีหน้าที่อิดโรยไม่ต่างกัน

สถานีรถไฟนั้นอยู่ไม่ไกล รถไฟความเร็วสูงนั้นมาเทียบชานชาลาตามเวลากำหนดเช่นทุกวัน ทุกคนเดินเข้าไปในรถไฟที่แสนจะแออัดไม่ต่างจากปลากระป๋อง ไม่กี่นาทีทั้งหมดก็มาถึงที่ทำงาน มันเป็นตึกสูงเกินกว่าจะมองเห็นปลายยอด แต่ยังไม่ทันจะได้เข้าไปในตึก ลลินกลับพบว่ามีกลุ่มคนมุงกันอยู่ตรงป้ายประกาศดิจิทัล เธอจึงเบียดเสียดกับผู้คนเพื่อเข้าไปดู

…มันคือรายชื่อพนักงานที่ถูกปลด มีชื่อทั้งหมดนับไม่ถ้วน ลลินกวาดตามองรายชื่อนั้นอย่างละเอียด และแล้วเธอก็พบชื่อของตัวเองอยู่ในป้ายประกาศนั้นด้วย ทันทีที่เห็น หญิงสาวก็ใจหายวาบ เธอยืนแข็งเป็นหิน รู้สึกสับสนไปหมด – เสียงประหลาดจากลำโพงทุกตัวดังขึ้น มันแจ้งว่าพนักงานที่ถูกปลดต้องย้ายออกจากอะพาร์ตเมนต์ภายในเช้าวันพรุ่งนี้เท่านั้น หญิงสาวมองไปรอบ ๆ มีคนนับร้อยที่ตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน นอกจากเสียงสะอึกสะอื้นแล้ว เธอพอจะจับใจความสิ่งที่เขาพูดกันได้ว่าการปลดพนักงานครั้งนี้เกิดจากปรากฏการณ์การผลิตหุ่นยนต์รุ่นใหม่อะไรสักอย่าง

ลลินตั้งสติ รู้ดีว่าสักวันหนึ่งเหตุการณ์แบบนี้ต้องมาถึง การปลดพนักงานกะทันหันสำหรับโลกปัจจุบันนี้ถือเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว คนนับสิบล้านตกงานเพราะปัญหาประชากรล้นโลกที่มีมานานหลายชั่วอายุคน เพียงแต่เธอนึกไม่ถึงว่ามันจะเกิดขึ้นวันนี้ - หญิงสาวไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป แต่ทันใดนั้น ภาพของใครบางคนก็แทรกขึ้นมาในโสตประสาท เธอรีบแทรกตัวออกจากกลุ่มคนแล้วออกวิ่งสุดฝีเท้า

…โยนาส!?

โชคดีที่รถไฟยังจอดอยู่เทียบชานชาลาตอนที่ไปถึง ไม่ถึงสิบนาทีลลินก็กลับมาอยู่ที่อะพาร์ตเมนต์อีกครั้ง หญิงสาวรีบขึ้นลิฟต์กลับไปยังห้องของตัวเอง และทันทีที่เธอเปิดประตู สายตาก็จับจ้องไปที่ที่คาดหัวซึ่งวางไว้อยู่บนโต๊ะ เธอรีบกดเปิดมันด้วยความรีบเร่งขณะนอนลงบนเตียงทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ถอดรองเท้า เจ้าเครื่องนั่นส่งเสียงกริ๊งเป็นสัญญาณว่าเปิดแล้วพร้อมกับเปล่งแสงสีเขียวรอบวงกลม หญิงสาวจึงหลับตาลง

*********************

[DAY : 458]

เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ลลินก็พบว่าตัวเองอยู่ที่ริมทะเลอันคุ้นเคย เพียงแต่ท้องฟ้านั้นมืดสนิทเนื่องจากกระแสเวลาจะสลับกันกับโลกความเป็นจริง ดาวนับล้านพราวระยับบนฟากฟ้าแต่เธอไม่ได้ให้ความสนใจ ทว่าเริ่มออกวิ่งทันทีที่ควบคุมร่างกายได้พร้อมกับตะโกนเรียกชื่อแฟนหนุ่มสุดเสียง “โยนาส!!!! โยนาส!!!!!!!”

วิ่งไปได้ครู่หนึ่ง ร่าง ๆ หนึ่งก็ปรากฏแก่สายตาลิบ ๆ โดยที่อีกฝ่ายกำลังวิ่งมาหาและตะโกนเรียกชื่อเธอเช่นกัน ทันทีที่ต่างฝ่ายต่างเห็นกัน ทั้งคู่ก็วิ่งสุดฝีเท้า ลลินเข้าโผกอดโยนาสด้วยความคิดถึง

“ฟังนะ…ฉันเพิ่งถูกปลดออกจากบริษัท หลังจากเช้าพรุ่งนี้ ฉันต้องย้ายออกจากอะพาร์ตเมนต์” เธอสะอึกสะอื้น หน้ายังซบอยู่ที่อกของร่างที่แข็งแรงกว่า อีกฝ่ายกอดร่างของเธอตอบเช่นกัน

“ผมก็เหมือนกัน ไอ้หุ่นยนต์นั่นทำให้คนเกือบหมื่นถูกปลดวันนี้ ” โยนาสพยายามเม้มเสียงไม่ให้สั่น “แต่ที่แย่กว่าคือบริษัทสั่งให้ผมย้ายออกภายในวันนี้ทันที ผมมีเวลาแค่ห้านาทีที่มาบอกลาคุณ ผมขอโทษ”

เมื่อได้ยินดังนั้น ลลินก็ผลักอีกฝ่ายออก เธอมองหน้าเขาด้วยความสับสน “หมายความว่าอย่างไร?”

“มันเหมือนที่ผมเคยบอกไว้ หลังจากนี้ผมคงไม่มีโอกาสได้ใช้โอเอซิสอีกแล้ว ดังนั้น…นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้เจอกัน” โยนาสก้มมองนาฬิกาข้อมือดิจิทัลที่จับเวลาอยู่ “ผมเหลือเวลาไม่มากแล้ว ผมขอโทษนะที่บอกอะไรมากไม่ได้ แต่ผมเพียงอยากให้คุณรู้ว่า ผมรักคุณมากนะลลิน” ชายหนุ่มโอบใบหน้าของลลินไว้ด้วยความทะนุถนอม เขาเค้นยิ้ม แล้วพรมจูบอย่างโหยหาบนหน้าผากของอีกฝ่ายที่ยังคงงุนงง

“ทำไมเราต้องพรากจากกันทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้ทำอะไรผิดล่ะ” เสียงของเธอสั่นเครือ น้ำตาไหลท่วมหน้า “ทั้ง ๆ ที่ทุกอย่างมันกำลังไปได้ด้วยดี ทำไมมันถึงต้องเป็นแบบนี้”

โยนาสตาแดงก่ำ “ผมก็ไม่รู้ แต่โลกมันก็เป็นแบบนี้มานานแล้ว…ถือว่าเราทั้งสองนั้นโชคร้ายแล้วกันนะลลิน” เสียงนาฬิการ้องเตือน ชายหนุ่มจึงผละออกจากร่างของคนรักอย่างไม่เต็มใจ “ผมคงต้องไปแล้ว เขาให้เวลาผมมาแค่นี้จริง ๆ ผมขอโทษ” เขายกมือขึ้นจับที่คาดหัว “ผมรักคุณ”

“ไม่!!!!!” ทว่าจังหวะที่โยนาสจะถอดที่คาดหัวออก ลลินกลับรีบคว้าของมือทั้งสองของอีกฝ่ายไว้ คราวนี้เธอจ้องมองไปที่ดวงตาสีฟ้าอมเขียวอย่างแน่วแน่ ราวกับเพิ่งตัดสินใจสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตได้ “ฉันจะไม่ยอมให้ไอ้เรื่องบ้า ๆ นี่มาพรากเราจากกันหรอกโยนาส …ฉันยอมปลดเกษียณแล้ว”

เมื่อได้ยินดังนั้น โยนาสก็เคลื่อนมือลงช้า ๆ เขามองอีกฝ่ายตอบด้วยอย่างไม่เข้าใจ เธอจึงเป็นฝ่ายโอบใบหน้าของเขาไว้ แล้วพูดด้วยเสียงดังชัดเจน “ฉันตัดสินใจดีแล้วโยนาส ฉันอยากใช้ชีวิตอยู่กับคุณ ในโลกความเป็นจริง เราคงไม่มีทางได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแน่ ๆ ดังนั้นอย่างน้อย ฉันก็ยอมที่จะได้อยู่กับคุณในโอเอซิส ดีกว่าพรากจากคุณไปตลอดกาล”

“นี่คุณพูดจริงใช่ไหม!?” เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้ายืนยัน โยนาสก็กอดเธออีกรอบด้วยความดีใจสุดชีวิต “หลังจากนี้ เราก็จะได้ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านริมทะเลแบบที่คุณเคยอยู่ตอนเด็ก ๆ ไปตลอดชีวิต ผมจะทำอาหารให้คุณกินบ่อย ๆ” ลลินหัวเราะ เอ่ยด้วยเสียงยินดี “แล้วเราก็จะได้ดูดาวบนท้องฟ้ากันจริง ๆ แล้วนะโยนาส คุณจะได้ไม่ต้องพาฉันไปที่ท้องฟ้าจำลองอีกแล้ว คุณจะได้เห็นเหมือนที่ฉันเคยเห็น ว่าดวงดาวจริง ๆ มันงดงามขนาดไหน” ทั้งสองมองไปบนฟากฟ้า เนื่องจากเข้าใช้โอเอซิสตอนกลางวัน นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ทั้งคู่ได้อยู่ท่ามกลางค่ำคืนในโอเอซิสเป็นครั้งแรก ดวงดาวของจริงนั้นสวยงามและระยิบระยับว่าภาพฉายในท้องฟ้าจำลองเป็นไหน ๆ

นาฬิกาข้อมือของชายหนุ่มก็ส่งเสียงเตือนอีกครั้ง ทั้งคู่มองไปที่มันซึ่งแจ้งว่าหมดเวลาแล้ว โยนาสกับลลินมองหน้ากันอย่างรู้กัน “พร้อมกันนะ” หญิงสาวพยักหน้า

หญิงชายต่างใช้มือสัมผัสที่ปุ่มกลมข้างซ้ายค้างไว้ ก่อนจะลากผ่านที่คาดตรงหน้าผากไปยังปุ่มอีกครั้ง มีเสียงจากเครื่องนั่นถามว่าคุณยืนยันที่จะปลดเกษียณตัวเองหรือเปล่า คู่รักกล่าวตกลงอย่างพร้อมเพรียงกัน แล้วเส้นสีเขียวที่คาดหัวทั้งสองชิ้นก็เปลี่ยนเป็นสีเหลือง

“ผมรักคุณนะลลิน” โยนาสยื่นมือออกมาพร้อมกับยิ้ม ลลินจึงยื่นมือออกมาจับอีกฝ่ายไว้แน่น

“ฉันก็รักคุณค่ะโยนาส”

แล้วทั้งคู่ก็ถอดที่คาดหัวออกพร้อมกัน

*********************’

ณ ตึกสูงระฟ้าแห่งหนึ่ง

ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้บุด้วยหนังชั้นดีสีดำ เขากำลังตรวจงานผ่านแท็บเล็ตอย่างเงียบเชียบ แต่แล้ว เสียงเคาะประตูก็ทำลายความสงบนั้น เมื่อชายผู้นั้นอนุญาต คนที่เคาะประตูจึงเดินเข้ามาอย่างน้อบน้อม

“ผลสรุปไตรมาสสุดท้ายมาแล้วครับคุณหยาง คราวนี้มีคนยอมปลดเกษียณตัวเองถึงสามหมื่นคนทีเดียว” เลขาหนุ่มกล่าวรายงาน “เมื่อครู่นี้ ผมส่งรายงานทั้งหมดไปให้คุณหยางผ่านแท็บเล็ตแล้วนะครับ”

“อืม…ถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว” คุณหยางกล่าวด้วยเสียงพึงพอใจ “ต้องขอบคุณการปลดพนักงานครั้งใหญ่ที่เป็นผลจากการผลิตหุ่นยนต์รุ่นใหม่นั่นด้วยสินะ”

“เราพบว่าเก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์ของคนที่ปลดเกษียณ เป็นพนักงานที่ถูกปลดออกครับ…ในรายงานนั้นมีรายชื่อขอ งคนทั้งหมดที่ปลดเกษียณในไตรมาสนี้อยู่ด้วย”

คุณหยางก้มลงมองแท็บเล็ตที่แจ้งเตือนว่าเพิ่งได้รับไฟล์มาจากเลขา เขาเปิดรายงานขึ้นมา ที่หน้าปกของมันมีชื่อ OASIS เขียนอยู่ ซึ่งเป็นคำเดียวกันกับที่ปรากฏอยู่ป้ายขนาดยักษ์บนยอดตึกแห่งนี้…ใช่แล้ว ที่นี่คือ โอเอซิส สำนักงานใหญ่ของผู้ให้บริการโลกเสมือนจริงชื่อดัง

“ดูเหมือนทางเบื้องบนจะพอใจกับยอดนี้เป็นอย่างมากเลยล่ะครับ เมื่อเช้านี้ ท่านประธานาธิบดีก็ส่งคำขอบคุณมา ท่านบอกว่าหลังจากมีโอเอซิส เราก็ลดปัญหาประชากรล้นโลกไปได้ถึงหกสิบเจ็ดเปอร์เซ็นต์ทีเดียว”

แล้วเลขาหนุ่มก็เริ่มรายงานเรื่องอื่น ๆ ต่อไป คุณหยางรับฟังพลางมองออกไปนอกกระจกใสบนชั้นที่พันกว่า เบื้องล่างนั้นมีฝุ่นแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งท้องฟ้า มันคือมลพิษที่เกิดจากการทำอุตสาหกรรมจนยากจะแก้ไข มนุษย์จึงต้องใช้วิธีสร้างตึกให้สูงเหนือกลุ่มฝุ่นควันแทน ทำให้ปัจจุบันนี้ตึกระฟ้ายุคใหม่นั้นมีความสูงเกือบพ้นชั้นโทโพสเฟียร์เลยทีเดียว …แต่ผู้บริหารชาวเอเชียรู้ดีว่าด้านล่างนั้นเป็นอย่างไร …ตึกนับล้านปลูกสร้างแทบจะติดกัน ประชากรชั้นล่างและชั้นกลางต้องอาศัยอยู่อย่างแออัด นั่นเพราะหลายทศวรรษที่ผ่านมา โลกของเราประสบปัญหาประชากรล้นโลกจนเกินจะควบคุม ส่งผลให้ทรัพยากรร่อยหรอและเสื่อมโทรม รัฐบาลหลายรัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหานี้มานานนับยี่สิบปีแต่ก็ไม่เป็นผล กระทั่ง…วันที่มีค้นพบว่าจริง ๆ แล้วจิตของมนุษย์เป็นเพียงกระแสไฟฟ้าในสมองเท่านั้น คุณหยางจึงได้ไอเดียในการสร้างโลกเสมือนจริงโดยใช้เครื่องที่เป็นตัวเชื่อมโยงจิตของมนุษย์ไปยังโลกเสมือนจริงที่สร้างขึ้นผ่านคอมพิวเตอร์

ไม่นานหลังจากโครงการนี้ถูกประกาศออกไป เสียงตอบรับก็เป็นบวกอย่างมาก แน่นอนว่าสำหรับคนนับล้านล้านบนโลกปัจจุบันซึ่งเสื่อมโทรมนี้ คงตื่นเต้นและอยากลองใช้ชีวิตอยู่ในโลกในอุดมคติเสียเต็มประดา แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อคุณหยางก็ได้รับการติดต่อจากประธานาธิบดีอย่างลับ ๆ ท่านแสดงความเห็นดีเห็นงามกับโครงการนี้ และพร้อมจะสมทบทุนสนับสนุนอย่างเต็มรูปแบบ เพียงแต่มีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่ง…

…คือให้ใส่ระบบ ‘ปลดเกษียณ’ ลงไปในตัวโลกเสมือนจริงด้วย

ในสายตาของเกือบทุกคนบนโลกใบนี้ เข้าใจว่าระบบปลดเกษียณเป็นระบบที่บริษัทโอเอซิสร่วมมือกับรัฐบาลเพื่อลดปัญหาประชากรอย่างมีมนุษยธรรม กล่าวคือ…คือเมื่อคุณใช้ชีวิตในโอเอซิส คุณจะต้องสวมที่คาดหัวซึ่งเป็นตัวเชื่อมสัญญาณระหว่างกระแสไฟฟ้าในสมองของผู้ใช้กับโลกเสมือนจริงตลอดเวลา แต่ถ้าหากอยากกลายเป็นพลเมืองเต็มรูปแบบจริง ๆ คุณก็จำต้องละทิ้งร่างกายของตัวเองไว้เบื้องหลัง โอนถ่ายจิตเข้าสู่โอเอซิสอย่างถาวร ดังนั้น ก่อนจะเข้าใช้งาน ผู้ใช้ทุกคนจะต้องรับทราบถึงการมีอยู่ของระบบนี้และเซ็นสัญญายอมรับว่าหากคุณเลือกที่จะปลดเกษียณ นั่นถือว่าคุณได้ทำการุณยฆาตร่างกายตัวเองอย่างถูกกฎหมาย และสละทรัพย์สินทั้งหมดให้เป็นของรัฐบาล แต่จิตของคุณยังได้ใช้ชีวิตต่อไปในโลกดิจิทัลที่แสนจะสมบูรณ์แบบ มันจึงถูกโปรโมตว่าเป็นการช่วยลดปัญหาประชากรล้นโลกด้วยตัวเองที่มีแต่ได้กับได้

แต่เบื้องหลังซึ่งมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รับรู้ คือระบบปลดเกษียณนั้น มันคือกระบวนการตัดขาดการเชื่อมต่อระหว่างร่างกายกับจิต และจิตของคุณก็จะถูกลบทิ้งอย่างถาวร  ดังนั้นแท้จริงแล้วสิ่งที่รออยู่หลังการปลดเกษียณนั้นไม่ใช่โลกในอุดมคติ แต่คือความว่างเปล่าต่างหาก สุดท้ายระบบนี่ก็คือการฆ่าตัวตายดี ๆ นี่เอง…เพียงแต่ไม่มีใครรู้ความจริง ส่วนคนที่ปลดเกษียณไปแล้ว ก็ไม่เคยมีใครย้อนกลับมาบอกคนที่ยังอยู่ว่าระบบนั่นมันเป็นแค่เรื่องหลอกลวงที่รัฐบาลกุขึ้นมาเพื่อลดจำนวนประชากร - คุณหยางรู้ดีว่ามันผิดมนุษยธรรมร้ายแรงและไม่ได้ต่างอะไรจากการสังหารหมู่ชาวยิวในหลายศตวรรษก่อนนู้นเลยด้วยซ้ำ…แต่จะทำไงได้ สุดท้ายนี่มันก็คือวิธีแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพที่สุดนี่นะ คิดถึงคนอีกหลายล้านที่ได้ผลประโยชน์จากการปลดเกษียณครั้งนี้สิพวก ทรัพยากรกลับมาสมบูรณ์ ห้องพักนับล้านที่รัฐบาลได้คืนก็ส่งต่อให้คนกลับมามีที่ซุกหัวนอน ในอนาคตอีกไม่นาน เปอร์เซ็นต์ที่โอเอซิสสามารถแก้ปัญหาประชากรล้นโลกจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน แล้วทุกคนก็จะได้กลับมีความสุขในโลกจริง ๆ สักที

คุณหยางเลื่อนนิ้วบนแท็บเล็ตพร้อมกับกวาดตามองรายชื่อคนที่ปลดเกษียณอย่างลวก ๆ ก่อนที่ชื่อสุดท้ายซึ่งเพิ่งบันทึกมา มันจะจบลงที่รูปหญิงชายคู่หนึ่ง ใต้รูปนั้นระบุชื่อต้นของทั้งคู่ว่า ‘ลลิน’ และ‘โยนาส’

*********************

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว