เรื่องย่อ “ไอ้คุณ(ผี) พี่เลี้ยง”
เป็นเรื่องของเด็กหนุ่มกันดั้ม วัย 18 ปี นิสัยค่อนข้างเข้มงวดกับชีวิต นอนดึกเป็นงานอดิเรก เรียนเก่งทุกวิชา ยกเว้นศิลปะ ที่ดับอนาถทุกครั้งที่เรียน นอนตื่นสายเป็นงานหลัก ปกติจะอยู่คนเดียว แม่เสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุจากลูกกระสุนที่พลาดเป้าเลยสอยเอาชีวิตของแม่ไป แต่ก่อนตายแม่ฝากฝังเขาเอาไว้กับเพื่อนรุ่นน้องที่สนิทกัน ให้ดูแลเขาด้วย
แต่มันพีค ตรงที่ว่า วิญญาณแม่ดันไปไหนไม่ถูกกลับมาที่บ้าน และอยู่กับรุ่นน้องตลอดเวลานี่ดิ สำคัญไปกว่านั้นนางทำทุกวิถีทางให้ไอ้รุ่นน้องมาดูแลเขานี่แหละ ประเด็น!!!
เรื่องมันจะไม่ยุ่งยากเลยถ้าแม่ยังทำงานตามปกติ ไม่ฝากเขาเอาไว้กับคนที่แม่สนิท แต่มันไม่ได้สนิทกับเขาด้วย กันดั้มอยู่กับแม่ซึ่งเป็น คุณแม่ใบเลี้ยงเดี่ยว ที่เข้มแข็งมากกกกกกกถึงมากที่สุดใช้ชีวิตสุดคุ้ม ทำงานทุกวันไม่เคยมีหยุด ขึ้นเหนือล่องใต้ตลอดเวลา แต่เขาก็เข้าใจแม่ทุกอย่างขอแค่แม่บอกว่าจะไปทำงานที่ไหน กลับบ้านกี่โมงแค่นั้นพอแต่วันนั้น วันที่ 24 กุมภาพันธ์ เขาจำได้ดีเมื่อรุ่นนน้องคนสนิทของแม่ได้ใช้เบอร์โทรของแม่โทรมาหาเขา บอกให้เขาใจเย็นๆ แล้วฟัง คำบอกเล่าเหล่านั้นมันทำให้เด็กหนุ่มใจกระตุกวูบลงไปกองที่ตาตุ่ม แม่! มันไม่จริง แม่ต้องไม่เป็นอะไร แม่ของกันเก่งจะตาย ผมไม่เชื่อ พี่เป็นบ้าหรอ มาล้อเล่นแบบนี้ห๊ะ! ไอ้รุ่นน้องของแม่สาธยายอะไรมาบ้างก็ไม่รู้ หูของเขาอื้ออึงไปหมด โทรศัพท์ค่อยๆ ล่วงจากมือ
ต่อไปนี้จะอยู่อย่างไร จะทำอย่างไร แต่ไม่ทันข้ามวันศพแม่ก็มาถึงพร้อมกับหน้าไอ้รุ่นน้องคนนั้นของแม่ ทันทีที่เขามาถึงกันดั้มก็ถลันเข้าไปหาพร้อมกับขยุ้มคอเสื้อเอาไว้แน่น
“นายช่วยเล่าอีกทีซิ แม่ตายยังไง” เขายืนมองกันดั้มด้วยสายตาที่สำนึกผิด
“แม่นายวิ่งมารับลูกปืนแทนฉัน” นายนั่นตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“นายจะชกฉันก็ได้นะ แต่ช่วยฟังฉันก่อนได้มั้ย” กันดั้มยังกำคอเสื้อเอาไว้แน่นไม่ปล่อย
“ว่ามา…” ไอ้รุ่นน้องของแม่ค่อยๆ เล่าด้วยเสียงที่สั่นเครือ ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ในขณะที่ไปถึงงานแต่เช้านั้น มีเหตุชุลมุนกันขึ้นวัยรุ่นยกพวกตีกันอีกฝ่ายชักปืนขึ้นมายิงมั่วๆ แต่แม่เห็นว่าวัยรุ่นคนนั้นหันปากกระบอกปืนมาทางรุ่นน้องคนสนิท จึงขวางเอาไว้ผลก็เลยโดนกระสุนนัดนั้นเต็มๆ ร่างของแม่กันดั้มอ่อนยวบลงกับอ้อมกอดของไอ้รุ่นน้องคนสนิทที่ตกใจ เขาเขย่าร่างนั้นไปมา
“พี่รันๆ พี่รันลืมตาดิ พี่รัน” เลือดสดๆ ไหลนองแผ่นหลังบอบบางที่สั่นน้อยๆ
“ไอ้เก่ง ฉันคงไม่ได้อยู่เลี้ยงกันดั้มจนโตแล้ว นายรับปากฉันได้มั้ย ช่วยดูกันดั้มให้ฉันด้วย” แล้วร่างนั้นก็ทรุดลงในอ้อมกอดของเก่งกล้านั่นเอง
“พี่รัน!” กลุ่มวัยรุ่นที่ตีกันตามกระเจิงหนีหายไปจนหมด
=br=
ยังดีที่มีพลเมืองดีเรียกรถพยาบาลให้ แต่มันก็สายเกินไป เพราะรัญษิตาได้หมดลมไปแล้ว หมอพยายามยื้อชีวิตของเธอ อย่างสุดความสามารถแต่ก็ไม่อาจนำชีวิตของเธอกลับมาได้ เก่งกล้าขอร้องให้หมอลองครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่เป็นผล เขาทำงานกับเธอมานานจนสนิทรู้ใจกัน บ่อยครั้งเธอจะมีความโก๊ะให้เก่งกล้าอดขำไม่ได้เสมอ คือเรื่องของการหลงทาง เธอไม่ชอบใช้โซเชี่ยล บ่อยครั้งที่หลงทางเธอมักที่จะโทรหาเขาเป็นประจำ
=br=
“ผมไม่รับปากพี่นะ ลูกพี่ พี่ก็ต้องดูแลเองดิ พี่รัน” เก่งกล้าคร่ำครวญอยู่อย่างนั้น
จนในที่สุดหมอก็นำร่างที่ไร้วิญญาณของรัญษิตาขึ้นรถไป โดยมีเขานั่งไปด้วย ถึงแม้จะเสียใจแต่เขาก็ไม่ลืมที่จะโทรบอกข่าวนี้กับกันดั้มหนุ่มน้อยยอดดวงใจของรัญษิตา ช่วงสายๆ เก่งกล้าตั้งสติคุยกับต้นสังกัดของงานเช้านี้ให้ประสานเรื่องรถให้เพื่อนำร่างของรัญษิตากลับมาบำเพ็ญกุศลที่บ้าน เมื่อมาถึงบ้านของรัญษิตาก็ถูกกันดั้มขย้ำคอทันที เขาเข้าใจดีว่า กันดั้มรู้สึกอย่างไร ก็แน่ละแม่ทั้งคนนี่นะ แล้วต้องมาสูญเสียแม่ที่เป็นทุกอย่างไปนี่น่า
“เรื่องทั้งหมดก็เป็นแบบนี้” เก่งกล้าพูดเสียงเบาหวิว แล้วหลับตาลงคิดว่า กันดั้มต้องซัดโครมให้แน่ๆ แต่กันดั้มกลับคลายมือออก
“แม่อยู่ไหน” หนุ่มน้อยถามเสียงเรียบ เก่งกล้าลืมตาแล้วรีบพาหนุ่มน้อยตรงหน้าไปที่วัดทันที เมื่อถึงวัดกันดั้มก้าวลงพร้อมกับสายลมที่พัดวูบปะทะผิวกาย มันเย็นสะท้านยังไงพิกล เขาชะงักหยุดยืนลูบแขนตัวเองเบาๆ เก่งกล้าหันมามอง
“แม่นายอยู่ข้างใน” กันดั้มพยักหน้าเดินตามอย่างว่าง่าย เก่งกล้าพาเขาเข้าไปไหว้ศพแม่ ที่นอนแน่นิ่งมีผ้าคลุมเอาไว้ถึงอก มีเพียงมือที่ยื่นออกมาให้ผู้คนได้รดน้ำกัน กันดั้มแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ได้แต่พึมพำเบาๆ
“แม่… แม่รู้ตัวป่ะ แม่โคตรใจร้ายอ่ะ ทิ้งหนูได้ไง ไหนแม่บอกว่ารักหนู ห่วงหนูไง” เหมือนมีการตอบรับจากแม่กันดั้มรู้สึกเย็นยะเยือกที่ต้นแขนอีกครั้ง เขามองรอบๆ พบเพียงความว่างเปล่า จึงค่อยๆ นำธูปไปปักที่กระถางแล้วก้มลงกราบ เก่งกล้าพาเขามานั่งที่เก้าอี้สำหรับแขก
“นาย OK ใช่มั้ย” กันดั้มทำหน้านิ่งๆ ก่อนตอบ
“ถ้าฉันบอกไม่ OK นายจะเอาแม่มาคืนฉันมั้ยละ” เก่งกล้าถึงกับสะอึกกับคำถามนั้น
“ฉันขอโทษนายนะ กันดั้ม” แต่กันดั้มกลับวางสีหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่อยากฟัง เก่งกล้าจึงทำได้เพียงเก็บก้อนคำพูดให้กลืนลงคอไป
รัญษิตา คุณแม่ใบเลี้ยงเดี่ยวเธอเป็นผู้หญิงทำงานมาดมั่น มีเพื่อนรุ่นน้องที่สนิทมากคือ เก่งกล้า เธอไว้ใจเพื่อนรุ่นน้องมาก ยามทำงานก็มักจะทำร่วมกันเสมอ หลายคนมองเธอและรุ่นน้องแบบอคติ แต่เธอก็ไม่สนใจ บางคนก็ว่าเธอเป็นทอมด้วยซ้ำไป
“ไอ้เก่ง ฉันเหมือนทอมตรงไหนวะ” เก่งกล้าหรี่ตามองคนถามที่ยืนหน้าหงิกอยู่ตรงหน้า
“ก็ไม่นิ ทอมห่าอะไรมุ้งมิ้งจะตาย” รัญษิตายังบ่นกระปอดแปดไม่เลิก
“เนี่ยไอ้ลูกค้า เมื่อกี้มันว่าฉัน มันไม่ให้ผู้หญิงที่เป็นแฟนมันมาถ่ายแบบกับฉันเว้ย” เก่งกล้าหัวเราะขำ ในความหัวเสียของเธอ
“แค่เนี่ย เจ้เลยหัวร้อน 55555” รัญษิตาหน้าหงิกไม่หาย
“เอาน่าเจ้ เจ้ไม่ได้เป็นจะโมโหทำไม” เก่งกล้าพยายามชวนคุยให้เธอคลายหัวร้อนลง
เก่งกล้ารู้ดีว่ารุ่นพี่ มีลูกชายหัวแก้วหัวแหวนอยู่คนหนึ่ง ชื่อว่า กันดั้มหรือธรรธรา บุลาไชย ซึ่งกำลังอยู่ในวัยรุ่นแต่กันดั้มกลับมีความคิดความอ่านที่เกินวัยนัก บ่อยครั้งที่เป็นที่ปรึกษาอย่างดีให้ผู้เป็นแม่ด้วยซ้ำไป ด้วยความที่เธอทำงานเป็นฟรีแลนซ์มันทำให้เธอไม่ค่อยได้อยู่บ้านนัก นานๆ ครั้งจึงจะได้พักผ่อนหาของกินนอกบ้านนั่งเล่นชิลด์ๆ ที่ร้านสเต๊กที่มีสไตล์โมเดิร์นกันดั้มชอบร้านนี้มาก ด้วยเหตุผลที่ว่า ถูกและได้เยอะ เขาเข้าใจว่าแม่ต้องทำงานหนักเพราะเลี้ยงเขาคนเดียวญาติทางพ่อไม่ได้ช่วยเหลือแม่ของเขาแต่อย่างใด มันทำให้เขาต้องเข้มแข็งเพื่อคอยปกป้องแม่ กันดั้มจำได้ว่า เย็นนั้นแม่เข้าบ้านมาเก็บของตอนเย็นๆ เป็นช่วงที่เขากลับมาจากโรงเรียนพอดี แม่เก็บเฉพาะของใช้ส่วนตัวไม่กี่อย่างใส่เป้ใบโปรดจากนั้นก็สั่งเขาว่า
“เสาร์นี้อยู่บ้านคนเดียวไปก่อนนะ ถ้าทำงานเสร็จเร็วจะรีบกลับมานะไม่ต้องคิดถึงแม่นะ” พร้อมกับยิ้มแฉ่งที่ประตูไม่นานนักไอ้รุ่นน้องคนสนิทของแม่ก็ขับรถมาจอดที่หน้าบ้าน กันดั้มชะโงกมองเห็นนายนั่นลงรถมารับกระเป๋าเป้แม่ไปเก็บให้ กันดั้มตัดสินใจเดินออกมาที่หน้าบ้าน แม่ลดกระจกลงมามองแล้วยิ้มให้เขาจึงพูดออกไปว่า
“เดินทางดีๆ นะแม่” ไม่นึกเลยว่านั่นมันจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้เห็นรอยยิ้มของแม่
รัญษิตาเมื่อวิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง เธอพยายามกลับเข้าร่างหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ทำไม่ได้พยายามตะโกนบอกเก่งกล้าจนเจ็บคอไปหมด เขาก็ไม่ได้ยิน ทำได้แค่วิ่งตามจนเหนื่อยหอบ นี่เราตายแล้วจริงๆ เหรอ บ้าจริง! กันดั้มละ กันดั้มจะอยู่ยังไง น้ำตาของคนเป็นแม่เริ่มไหลริน ยิ่งได้ยินคำต่อว่าของกันดั้ม เธอถลันเข้าไปจับแขนของลูกชายอย่างเป็นห่วง เขาแค่รู้สึกแต่ไม่สามารถมองเห็นเธอได้อีกแล้ว รัญษิตาร่ำไห้กระวนกระวายใจสงสารลูกชายคนเดียวเหลือกำลัง เธอนั่งลงข้างๆ ลูก พยายามบอกว่า แม่อยู่นี่ แม่ไม่ได้ทิ้งหนู แม่ไม่ได้ใจร้าย แต่มีเพียงความเงียบงัน ไม่รู้ละ ไอ้เก่งงานนี้แกต้องช่วยฉันเธอฮึดมุ่งมั่นขึ้น แค่แวบเดียว เธอก็มานั่งอยู่บนรถของเขา เฮ้ย! มาตรงนี้ได้ไงวะ รัญษิตามองรอบๆ พลันคิดได้ว่า เคยเห็นในละครหลังข่าว ผีจะหายตัวไปไหนก็ได้ตามใจนึก แต่เอ? มันต้องยังไงหว่า? รัญษิตาลองทำอีกครั้งแต่ไม่เป็นผลเธอยังคงนั่งที่เดิม เธอลองตั้งจิตกำหนดสมาธิให้แน่วแน่ลองอีกครั้ง แต่พอลืมตาขึ้นมาก็ยังอยู่ที่เดิม จู่ๆ ประตูรถก็เปิดผั๊วะออก เธอตกใจร้องอุทานดังลั่น กันดั้มกวาดสายตามองในรถเหมือนหาใคร เธอปิดปากตัวเองแน่น นัยน์ตาเหลือกลาน คิ้วของกันดั้มขมวดมุ่นอย่างสงสัย เสียงแม่แน่ๆ แม่ขี้ตกใจจะตาย นิดหน่อยก็อุทานลั่นละ แม่ต้องอยู่ในนี้ บนรถนี้แน่ๆ แต่มันติดตรงที่ว่าเขาไม่สามารถมองเห็นนี่ซิ กันดั้มชะเง้ออยู่นานจนเก่งกล้าต้องถาม
“มีอะไรรึเปล่า” กันดั้มไม่ตอบแต่ก้าวขึ้นรถเงียบๆ แล้วมีคำถามหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า
“นายได้ยินเสียงแม่มั้ย” เก่งกล้าสะดุ้งหน้าเหวอ
“พี่รัญ!” กันดั้มพยักหน้า
“อืม…เมื่อกี้ฉันว่า ฉันได้ยินเสียงแม่ร้อง เหมือนตกใจอะไร แม่ขี้ตกใจ ไม่แน่นะ แม่ฉันอาจจะตามนายมาก็ได้” กันดั้มพูดแค่นั้นแล้วเอามือประสานที่ท้ายทอยพร้อมกับปรับเบาะเอนหลังหลับตาลง แต่คนฟังหันมองรอบตัวขนลุกเกลียวอย่างไม่ทันตั้งตัว
“ฉันก็พูดไปเรื่อย นายคงไม่กลัวใช่มั้ย” กันดั้มพูดทั้งที่ยังหลับตานิ่ง
“ไม่กลับรึไง!” เก่งกล้าถึงได้สติรีบสตาร์ทรถทันที แต่ไม่วายเหลือบมองกระจกรออย่างหวาดๆ
“ฮึ! นี่ขนาดมองไม่เห็นฉันกันเนี่ยนะ” รัญษิตาบ่นเบาๆ กับตัวเองราวกับว่ากลัวใครจะได้ยิน แต่พอนึกได้ก็นั่งยืดคอจนตั้งตรง เรื่องนี้มันต้องมีทางออกซินะ
เมื่อคิดได้ดังนั้นเธอก็พยายามคิดว่า ผีเขาทำอะไรกันบ้าง ในละครหลังข่าวเขาทำยังไงกันนะ โอ้ย! นี่ละนะที่เขาเรียกว่า “ผีมือใหม่” รัญษิตานั่งเงียบๆ อย่างใช้ความคิดมันต้องมีสักทางซิน่า ที่จะทำให้เธอสื่อสารกับไอ้รุ่นน้องได้ ไม่รู้ละก็ดันสนิทกับฉันนี่น่า แกก็ต้องช่วยฉันแหละ ไม่นานนักเก่งกล้าก็เลี้ยวรถเข้าบ้านของนาง นางชะเง้อคอมองทางเข้าบ้าน
“วันนี้นายนอนคนเดียวได้มั้ย หรือจะไปนอนที่บ้านพี่ก็ได้นะ” เขาหันไปถามเด็กหนุ่มที่นั่งข้างๆ ซึ่งตอนนี้ปรับเบาะนั่งเป็นท่านั่งสบายๆ ใบหน้าเรียบเฉยนั่น ไม่ตอบอะไรออกมา เก่งกล้าส่ายหน้าอย่างระอานี่เขาต้องดูแลเด็กหนุ่มที่แสนเย็นชานี่จริงๆ หรือไงกัน
“พี่รัญนะพี่รัญ ลูกชายพี่นี่มันจริงๆ เลย” เขานึกบ่นเบาๆ แต่เหมือนมีใครเขกที่หัวเข้าให้จนเขาสะดุ้งมารอบๆ เด็กหนุ่มที่นั่งข้างหันมามองอย่างสงสัย
“อะไรกัดรึไง อยู่ๆ ก็สะดุ้ง” เก่งกล้าหันไปยิ้มแหยๆ
“เปล่าๆ” กันดั้มเปิดประตูรถเตรียมเข้าบ้าน
“นายไม่ต้องห่วงหรอก ฉันอยู่ได้ ตอนแม่อยู่ แม่ก็ไม่ค่อยอยู่ ฉันชินละ” พูดจบก็เดินเข้าบ้านไปเลยปล่อยให้เก่งกล้าอ้าปากค้างอยู่คนเดียว
“เด็กบ้าเอ๊ย!” เขาบ่นอีกครั้ง
รัญษิตาง้างมือเตรียมเคาะหัวเก่งกล้าอีกครั้ง แต่ยั้งมือไว้ทัน พลันคิดได้ว่า มันต้องมีวิธีอื่นอีกแน่ๆ เก่งกล้ามองจนกันดั้มปิดประตูบ้านเรียบร้อย จึงเลี้ยวรถออกมา เขาขับรถมุ่งตรงเพื่อกลับบ้าน แต่เมื่อเหลือบตามองไปที่กระจกให้ตามเถอะ รัญษิตา! ทรงผม หน้าตาแบบนี้รัญษิตาชัดๆ เขาแทบช็อคเบรคกึกทันที จนหัวโขกกัยพวงมาลัย พอได้สติก็หันไปมองอีกครั้ง คราวนี้รัญษิตายิ้มแฉ่ง
“เย้! แกเห็นฉันแล้ว” พร้อมทั้งชี้หน้าของเขา
“หยุดไม่ต้องแหกปากนะ” จากนั่นหล่อนก็เคลื่อนตัวมานั่งที่เบาะข้าง ยกมือโบกไปมาที่หน้าของเขาที่ตาเหลือกมองค้างอยู่
“เออ ฉันเอง” อาการติดอ่างของเขามาทันทีเช่นกัน
“พะ…พี่ระ…พี่รัญ” เธอเบะปากใส่
“เออดิ” เขายังคงติดอ่างต่อ
“พะ…พี่ตะ…ตายแล้วนี่” คราวนี้รัญษิตาง้างเตรียมตบกะโหลกของเขาทันที นั่นแหละมันเป็นผลให้เธอตบอากาศไป
“เออ แต่ทำไมฉันมาติดอยู่กับก็ไม่รู้อ่ะ ทีหลังอย่าว่ากันดั้มอีกนะ” เธอคาดโทษรุ่นน้อง และเริ่มตั้งกฎ
“ฟังนะ ไอ้เก่งฉันไม่รู้ว่าฉันมีเวลาเท่าไร แต่ฉันอยากให้แกช่วยฉันดูแลกันดั้ม เขายังเด็ก ถึงแม้เขาจะเหมือนผู้ใหญ่บางครั้งก็เหอะ” เก่งกล้าส่ายหน้าดิก
“ม่ายยยยยยย ลูกพี่อ่ะ พี่ก็ดูเองดิ” เก่งกล้าที่เริ่มจะชินชักจะเริ่มเถียง
“ลูกพี่อย่างกะภูเขาน้ำแข็ง” รัญษิตาง้างมืออีกครั้ง
“ก็ได้แกจะใจร้าย ใจดำ ใจไร้มนุษยธรรม ใจคอป่าเถื่อน ใจจืด ใจ…” เธอพ่นเป็นไฟ
“พอๆๆ ก็ได้ๆ ผมช่วยก็ได้ หยุดว่าผมได้ละ” รัญษิตายิ้มพอใจ เธอรู้จักนิสัยรุ่นน้องคนนี้ดี เขาใจดีชอบช่วยเหลือคนมีน้ำใจมากๆ ด้วย ตอนที่เธอหลงกรุงเทพ ก็ได้มันนี่แหละ ที่แว้นมอเตอร์ไซค์ไปรับ
“พี่จะให้ผมช่วยยังไงอ่ะ ว่ามา” รัญษิตายิ้มจนตาหยี
“นายก็แค่พาฉันไปหากันดั้มบ่อยๆ ไปดูเขาเล่นบาสกีฬาที่เขาชอบ ไปรับเขาตอนที่ไปเรียนภาษาอ่ะ ตอนที่ฉันอยู่ฉันไม่เคยทำเลยอ่ะแก” เก่งกล้ารู้สึกสงสารรัญษิตาขึ้นมาทันที
“อืม…ได้” เท่านั้นแหละ รัญษิตาก็ร้องลั่นรถ
“นายรับปากแล้วนะ” ก่อนที่ร่างของเธอจะหายวับไป เก่งกล้าสะดุ้งอีกรอบเพราะความไม่ชิน
“เฮ้ย! จะไปจะมาก็บอกกันดีๆ ดิพี่” เขาพูดกับลมกับแล้ง
นี่มันเพิ่งเริ่มนะ เก่งกล้า แต่ต่อไปนี้นี่ซิของจริง ไม่อยากจะคิดเลยว่านายจะรับมือยังไงกับกันดั้ม เด็กหนุ่มเย็นชา ที่มีความแตกต่างกับผู้เป็นแม่โดยสิ้นเชิง ตามไปอ่านกันนะค่ะ