ครั้งหนึ่ง ฉันเคยถามตัวเองบ่อยครั้งว่า ‘ความรัก’ นั้นเป็นเช่นไร
ทำไมมนุษย์เราถึงต้องคอยไขว่คว้าและโหยหาความรู้สึกนั้นกันนัก
ครั้งหนึ่ง ฉันเคยมองว่าความรัก เป็นสิ่งที่เลือนรางจนยากแลเห็น ไร้สุ้มเสียง ว่างเปล่ายามสัมผัส ซึ่งอาจจะหนักหน่วงราวหินผา หรืออาจจะเบาราวขนนก
และในตอนนี้ความรักในมุมมองของฉันก็เหมือนกับ ‘สายรุ้ง’บนท้องฟ้ากว้างหลังสายฝนพรำ แต่ละสีที่ทอแสงเป็นประกายอยู่นั้น ล้วนแต่สะท้อนให้เกิดมุมมอง ความคิด และความรู้สึกที่แตกต่างกันไปในตัวมันเอง
แม้ว่าสำหรับฉัน ความรักจะเปรียบดั่งสายรุ้ง แต่ฉันก็ไม่อาจบอกได้ว่าความรักของตัวเองเป็นเช่นสีใด เพราะฉัน...ยังไม่เคยพบเจอหรือได้สัมผัสกับความรู้สึกนั้นจริง ๆ สักที
มีคนเคยเล่าให้ฟังว่า สีทั้งเจ็ดอันเกิดจากละอองน้ำกระทบแสงนั้น เปรียบเสมือนเส้นทางสายหนึ่งซึ่งมีไว้ให้ก้าวเดินไป เพื่อค้นหาสิ่งที่หัวใจปรารถนา ไขว่คว้าความฝัน สัมผัสอุปสรรคอย่างท้าทาย และก้าวลงยังพื้นดินอีกฟากหนึ่งด้วยหัวใจที่อิ่มเอม
แต่ทว่า...
บางคนอาจใช้เวลาในการก้าวเดินนานแสนนาน แต่ก็ยังไปไม่ถึง และยังคงค้นหาปลายทางของตัวเองไม่เจอ
บางคนอาจมองเห็นจุดหมายอยู่รำไร แต่ก็ต้องพลัดตกลงมาจนสุดขั้นแรก ทั้งที่ใช้เวลาทุ่มเทให้กับมันนานนักหนา
และบางคนอาจเผลอตัวและเผลอใจ ก้าวหลงเข้าไปยังเส้นทางคดเคี้ยวราวกับเขาวงกต ซึ่งกว่าจะรู้ตัวก็เดินไปไกลเกินถอยกลับ
แต่ถึงจะพูดอย่างนั้น ฉันก็เป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่มีความรู้สึกเหมือนคนทั่วไป ไม่ปฏิเสธหากจะบอกว่าบ่อยครั้ง ฉันยังต้องการใครสักคนคอยเข้าใจและอยู่เคียงข้าง
เพียงแต่ความสุข ความอบอุ่นที่คนรอบข้างมอบให้มา มันมากมายจนฉันไม่จำเป็นต้องรอคอย 'เขาคนนั้น' ที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้พบกัน
แต่หากพรหมลิขิตนำพาให้เขามาเจอฉัน...
ไม่ว่าสุดปลายทางของความรักครั้งนี้จะเป็นอย่างไร ฉันก็คงยินดีและขอบคุณสายรุ้งอันงดงาม ที่ส่งเขามาให้ฉันได้รู้จักกับคำว่า...ความรัก