“ทำไมต้องฝรั่ง / Why Farang ?”
ตอนที่หนึ่ง "เรื่องของพุธรัตน์"
พุธรัตน์ คมขำ ฟังชื่อก็รู้แล้วว่าเธอหรือเขาคนที่มีชื่อและนามสกุลแบบนี้คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากว่าจะเป็นชื่อเด็กบ้านนอก หรือเด็กวัด ไม่น่าจะเป็นชื่อของเด็กสาวรุ่นใหม่ หรือคุณหนูอย่างแน่นอนล้านเปอร์เซ็น ไม่ต้องคิดกันให้ปวดหัวไปคุณ เพราะว่าเธอคนนี้เป็นลูกสาวของตาสีตาสาจริง ๆ และที่สำคัญ คิดไว้ได้เลยว่าเธอคนนี้เป็นเด็กที่เกิดช่วงเมื่อเกือบสามสิบปีที่แล้ว เพราะว่าถ้าเป็นเด็กรุ่นใหม่ สมัยนี้จะต้องมีชื่อที่ยาวจนเรียกหรืออ่านกันไม่ถูกไม่รู้ว่าตัวไหนเป็นพยัญชนะหรือสระกันละ บางคนเห็นชื่อแล้วอยากเห็นหน้ามาก ๆ แต่พอเห็นหน้าแล้วอยากตบกันเลยว่าเข้านั่น ไม่ได้ว่าจะหยาบคายกันนะคุณ คือเห็นหน้าแล้วมันไม่เข้ากับชื่อจริง ๆ นะคะ
ประมาณว่าชื่อนี้พ่อแม่ไม่ได้ตั้งขึ้นให้ มันมาตั้งเอาตอนเข้าเมืองไง หรือตั้งตอนเข้าวงการว่ากันแบบนั้น และย่ิงไปกว่านั้น บางคนก็เปลี่ยนชื่อใหม่ตามที่หมอดูทักก็ว่ากันไปนะคุณนะ เพราะว่าชื่อเก่าที่พ่อแม่ตั้งให้พวกมันมาตอนแรกมันเชยและเก่าเกินไปจนเกิดความละอายว่างั้น แต่เด็กหญิงพุธรัตน์ คนนี้เธอไม่อายกับชื่อที่พ่อตั้งให้หรอกคะ แต่แค่ไม่ค่อยชอบตรงที่คนมักจะคิดว่าเธอเป็นเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิงนั่นเองคะ นามสกุลก็ไม่ติดหู ชื่อก็ไม่ได้วิลิสมาหราเลิศหรูเหมือนคุณหนูในเมืองกรุง หรือเด็กสมัยนี้ที่มีชื่อออกไปทางลูกครึ่ง พ่อฉันเป็นคนตั้งชื่อนี้ให้คะคุณ เมื่อก่อนตอนที่ฉันเป็นเด็ก ๆ สมัยที่ฉันเรียนประถม ฉันขอบอกคุณตรง ๆ เลยคะว่าฉันไม่เคยชอบชื่อของฉันเลย มันฟังดูแปลก ๆ อีกอย่างฟังดูเหมือนชื่อของเด็กผู้ชาย ฉันถามพ่อว่าชื่อของฉันแปลว่าอะไร พ่อบอกว่าฉันเกิดวันพุธ พ่อก็เลยเอาคำว่ารัตน์มาเติมเลยเป็น “พุธรัตน์” ความหมายของชื่อนี้ก็คือ “วันพุธดียอดเยี่ยม” เพราะว่าคำว่า “รัตน์” นั้นแปลว่า “ดียอดเยี่ยม”
ฮะฮะ แต่เดี๋ยวนี้ฉันชอบชื่อของฉันมาก มันเป็นเอกเทศน์ ไม่เหมือนใคร ความหมายดี อีกอย่างเป็นชื่อที่พ่อตั้งให้ด้วยความตั้งใจ เมื่อก่อนฉันอยากมีชื่อแบบว่ามีคำลงท้ายด้วย “พร” หรือ “ภรณ์” เพราะว่าเพื่อนฉันหลาย ๆ คน มีชื่อที่ลงท้ายด้วย “พร” กันหลายคนและฟังดูเป็นผู้หญิง ๆ ดี ฉันมีเพื่อนชื่อ ดวงพร วิลัยพร สมพร หรือจะเป็นลงท้ายด้วยคำว่า “ภรณ์” ฉันก็มีเพื่อนชื่อ สุภาภรณ์ นัดดาภรณ์ วิราภรณ์ มีฉันคนเดียวในห้องตอนสมัยประถม จนถึงระดับมหาวิทยาลัยที่มีชื่อว่า “พุธรัตน์” ฉันหมายถึงเพื่อนร่วมห้องเรียนเดียวกับฉันนะ และยิ่งหลังจากที่ฉันแต่งงานกับสามีฝรั่งและต้องย้ายมาอยู่ต่างประเทศฉันยิ่งดีใจใหญ่ที่ฉันชื่อนี้ ถ้าชื่อของฉันลงท้ายด้วย พร หรือ ภรณ์ ฉันคงอายฝรั่งแย่เลย เพราะว่าคำว่า “พร” มันแปลว่าหนังโป้นะ ตลกดีเนาะ ชื่อไทย ๆ ของเราบางชื่อ ดันไปตรงกับคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่แปลออกมาแล้วไม่ค่อยดี อย่างเพื่อนฉันนามสกุล “ฟักอยู่” แล้วฝรั่งเขาจะเรียกชื่อนามสกุลนำหน้าชื่อตัวนะ ถ้าเป็นผู้ชาย ฝรั่งจะเรียกว่า “มิสเตอร์ฟักยู” คงไม่ต้องให้ฉันแปลนะคะ เป็นไงละพ่อฉันยอดเยี่ยมจริง ๆ ไหมละ
พ่อฉันเล่าให้ฉันฟังว่าตอนที่แม่ตั้งท้องฉันนั้น แม่ฉันแพ้ท้องทรมานและน่าสงสารที่สุด พ่อบอกว่าแม่ฉันกินอะไรไม่ได้เลย กินอะไรเข้าไปก็อาเจียนออกหมด แถมแม่ของฉันยังเหม็นไปซะทุกอย่าง น้ำหนักของแม่ฉันลดลงหลายกิโล แม่ฉันเร่ิมกินได้ก็ตอนตั้งท้องเดือนที่ห้าแล้ว พ่อบอกว่าเขาตั้งใจว่าจะขอมีลูกคนเดียวไม่ว่าฉันในตอนนั้น ตอนที่อยู่ในท้องของแม่ของฉันนั้นจะเป็นเด็กผู้หญิงหรือผู้ชายเขาจะขอมีลูกแค่คนเดียว เพราะว่าเขาสงสารแม่ฉันมาก แม่ฉันแพ้ท้องมากกว่าผู้หญิงคนอื่น ๆ ที่พ่อแม่ฉันรู้จัก ฉันชื่อเล่นว่า “พุธ” คะ ฟังดูเป็นไทย ๆ ดีนะคะ แต่ถ้าฝรั่งเขาฟังเขาก็จะงงนิดหน่อยในตอนแรก
ตอนที่ฉันเป็นเด็ก ๆ ตั้งแต่จำความได้ ฉันก็ต้องถูกทิ้งให้อยู่กับย่าของฉันตั้งแต่เด็ก ส่วนพ่อกับแม่ของฉันไปทำมาหากินอยู่ในกรุงเทพ ฯ พ่อของฉันเป็นคนขับรถให้กับโรงงานผลิตเหล้าแห่งหนึ่งย่านฝั่งธนบุรี หน้าที่ของพ่อฉันคือจะต้องขับรถบรรทุกคันใหญ่ ๆ ที่มีรถพ่วงอยู่ข้างหลัง เพื่อไปส่งขวดเหล้า หรือขวดเบียร์ ที่ทำจากแก้ว เป็นขวดเปล่า ๆ ให้กับโรงงานล้างขวดย่านนนทบุรี ทุก ๆ วันชีวิตของพ่อฉันจะเป็นแบบนี้คือเช้าตื่นขึ้นมาก็จะออกจากบ้านพักคนงานของโรงงานและก็ขับรถไปส่งขวดเปล่าที่ได้ล้างทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยแล้วให้กับโรงงานผลิตเหล้าและเบียร์ และขากลับก็จะรับขวดเปล่าที่ยังไม่ได้ล้างทำความสะอาด เพื่อเอามาส่งให้กับโรงงานที่ฝั่งธนบุรี เพื่อเข้าระบบการล้างทำความสะอาด พ่อจะทำแบบนี้ทุกวัน ยกเว้นวันหยุดคือในวันอาทิตย์
งานของพ่อจะเร่ิมตั้งแต่เช้า กลับบ้านมาถึงตอนหัวค่ำพ่อก็จะจอดรถหน้าโรงงาน และพ่อของฉันก็จะแวะร้านเหล้าหน้าโรงงานและก็นั่งกินเหล้าอยู่หน้าโรงงานกับเพื่อน ๆ ของเขาจนดึก ถ้าไม่เมาพ่อฉันก็จะยังไม่เข้าบ้าน ส่วนแม่ของฉันก็เป็นแม่ค้าขายข้าวราดแกงอยู่ในโรงงานที่พ่อฉันทำงานอยู่กิจการค้าของแม่ฉันทำท่าจะดีเพราะว่าทั้งโรงงานก็มีแม่ฉันคนเดียวที่ขายข้าวราดแกง ส่วนเจ้าอื่น ๆ ก็จะขายพวกหมูปิ้ง และก็ขนมหวานกันไปตามแล้วแต่จะคิดได้ แม่ฉันจะต้องตื่นตั้งแต่ตีสามทุกวันเพื่อเตรียมทำกับข้าว ต้มบ้าง แกงบ้าง และก็ต้องหุ้งข้าวสวย และก็เตรียมของสด หันผักและเนื้อชนิดต่าง ๆ สำหรับลูกค้าที่ไม่ชอบกินข้าวราดแกง
แม่ฉันก็จะมีอาหารตามสั่งขายด้วยเช่นกัน ก็พวกอาหารสิ้นคิดนะ ข้าวราดหน้าผัดกระเพราไข่ดาว หรือข้าวราดไข่เจียวก็ว่ากันไปตามแต่จะสั่ง หรือว่าจะราดหน้าทะเล หรือว่าสุกี้แห้ง สุกี้น้ำ ก็แล้วแต่ว่าวันนั้นแม่ฉันจะมีอะไรให้เลือกบ้าง แม่ฉันจะทำทุกอย่างคนเดียวถ้าฉันไม่ได้ไปอยู่ด้วยตอนปิดเทอมโรงเรียน ครอบครัวของฉันจะเป็นแบบนี้ตั้งแต่ฉันจำความได้ คือว่าแม่ของฉันจะขายของไปจนถึงช่วงเย็นจนกว่าโรงงานจะเลิก หลังจากนั้นแม่ก็จะไปตลาดสดในย่านนั้นไม่ไกลจากโรงงานเท่าไหร่นักเพื่อชื้อผักสด หมู เห็ด เป็ด ไก่ และเครื่องแกงต่าง ๆ ที่ต้องใช้ในแต่ละวัน
โรงงานที่พ่อฉันทำงานอยู่จะได้หยุดหนึ่งวันคือวันอาทิตย์ แม่ฉันก็จะได้หยุดขายของหนึ่งวันด้วยเช่นกันคือวันอาทิตย์ เพราะว่าไม่มีลูกค้าโรงงานปิด ฉันชอบวันอาทิตย์มาก เพราะว่าบางทีพ่อกับแม่ของฉันก็จะพาฉันไปเที่ยวสวนสัตว์บ้าง เดินห้างบ้าง หรือว่าพาฉันไปเดินเล่นนั่งในสวนสาธารณบ้างแล้วแต่ว่าเขาจะคิดได้ พ่อฉันชอบกินเล้าแต่เขาก็ไม่ได้เลวร้ายจนเกินไปนะ พ่อฉันเรียนจบมัธยมต้นเลยนะ สมัยก่อนก็ถือว่าหรูแล้ว
พ่อฉันเป็นคนที่เรียนเก่งเสียด้วยซิคะท่านผู้ชม คือว่าพ่อฉันจะรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษดีมากเลยทีเดียวนะ พ่อชอบให้ฉันท่องคำศัพท์และคำแปลของภาษาอังกฤษให้เขาฟังนะ แต่ว่าพ่อจะพูดภาษาอังกฤษกับฉันเฉพาะเวลาที่พ่อเมาเท่านั้นนะฮะฮะฟังดูก็ตลกดีนะ พ่อฉันจะชอบพูดกับฉันเสมอว่า “พุธเอ้ย หนูนะเป็นลูกสาวคนเดียวของพ่อนะ หนูจะต้องเป็นเด็กดี ตั้งใจเรียนหนังสือนะ พ่อกับแม่จะพยามส่งเสียให้หนูได้เรียนจบปริญญาตรี โตขึ้นหนูพุธของพ่อจะได้ไม่ลำบาก”
บางครั้งเวลาที่พ่อกลับมาบ้านและยังไม่ดึกมากนัก และฉันยังไม่หลับ พ่อฉันก็จะเรียกฉันมาให้ให้นั่งตักและก็บอกกับฉันว่า
“พุธลูกสาวคนสวยของพ่อปิดโทรทัศน์ซะ แล้วเอาคำศัพท์ภาษาอังกฤษมาท่องให้พ่อฟัง” คำศัพท์ภาษาอังกฤษก็เป็นคำศัพท์ที่ฉันได้มาจากโรงเรียนประถมนะและ พ่อจะให้ฉันท่องคำศัพท์ แบบว่าออกเสียงและให้สะกดด้วยว่ามีตัวอะไรบ้าง และให้แปลเป็นภาษาไทยด้วย
ฉันชอบพ่อเวลาที่พ่อเมามากกว่าตอนที่ไม่เมานะ ตลกดีไหมละ เพราะว่าตอนพ่อเมาพ่อจะพูดกับฉันมากกว่าตอนที่พ่อไม่ได้กินเหล้านะ พ่อจะบอกว่ารักฉันและรักแม่ฉันเป็นประจำตอนที่พ่อเมา และก็จะกอดฉัน หอมแก้มฉันพูดเล่นกับฉันมากกว่าเวลาที่ไม่เมาและพ่อจะชอบเรียกฉันว่า “พุธลูกสาวคนสวยของพ่อ” หรือไม่ก็จะพูดว่า “พ่อรักพุธของพ่อและแม่ของพุธมากที่สุดในโลก” นั้นคือประโยคที่พ่อจะพูดทุกครั้งที่เมา หรือเช่นว่า “พุธถ้าหนูโตขึ้นหนูต้องตั้งใจเรียนนะลูก อย่าเพิ่งรีบมีแฟนก่อนเรียนจบปริญญานะ ผัวนะจะหาเมื่อไหร่ก็หาได้ พุธลูกสาวพ่อจะมีผัวร้อยคนพ่อก็ไม่ว่า แต่ต้องตั้งใจเรียนนะ พ่อกับแม่เรียนมาน้อย ถึงต้องเป็นลูกจ้างเขา”
นั้นก็ประโยคที่่พ่อพูดกับฉันเวลาเมา หรือว่าประโยคนี้ที่พ่อพูดเป็นประจำจนฉันท่องได้จนขึ้นใจ “พุธลูกสาวคนสวยของพ่อ ถ้าเมื่อไรหนูเรียนจบปริญญาตรีพ่อจะหาผัวฝรั่งให้ลูกสักคน” ตอนนั้นฉันอยู่แค่ประถมหกเองอายุยังไม่สิบสองเลย ฉันก็บอกว่าพ่อว่า “จ๊ะพ่อหนูจะเรียนให้จบปริญญาตรีและจะได้มีผัวฝรั่งที่พ่อหาให้” ตอนนั้นฉันก็ไม่รู้หรอกว่าไอผัวฝรั่งมันเป็นอย่างไง หลังจากนั้นฉันกับพ่อก็จะท่องคำศัพท์ภาษาอังกฤษกันอย่างน้อยก็สิบคำทุกวัน (วันที่พ่อฉันเมา)
แม่เคยเล่าให้ฉันฟังว่า “ถ้าเจ้านายพ่อไม่ย้ายกลับประเทศอเมริกาไปก่อน ป่านนี้ฉันกับแม่ก็คงสบายไปแล้ว ไม่แน่ฉันอาจจะได้มีเพื่อนเล่นเป็นเด็กฝรั่งไปแล้วด้วย ป่านนี้ฉันคงจะพูดภาษาอังกฤษได้ป๋อ และแม่ของฉันก็ยังก็ชอบบอกอีกว่า “ฉันคงจะได้มีสามีฝรั่งสมใจพ่อ” แม่ของฉันบอกว่าพ่อกับแม่ของฉันรู้จักกับฝรั่งหลายคน ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกเพื่อน ๆ ของเจ้านายพ่อ คือว่าเมื่อก่อนพ่อฉันทำงานเป็นคนขับรถให้ท่านฑูตฝรั่งมาก่อน
ส่วนแม่ก็เป็นแม่บ้านทำงานให้นายของพ่อมาก่อนนะ แต่นั้นมันก็นานมาแล้วนะ ตั้งแต่สมัยฉันยังไม่เกิดนะ พ่อบอกฉันว่า “ถ้าลูกโตขึ้นนะพุธให้หาผัวเป็นฝรั่ง ไม่ว่าฝรั่งคนนั้นจะรวยหรือไม่รวยก็ได้ ขอให้เขารักลูกพุธของพ่อจริงก็พอ” แถมพ่อยังบอกอีกว่า “ถ้าฉันมีแฟนเป็นฝรั่ง ให้พามารู้จักพ่อนะลูก พ่อจะได้คุยกับเขา และถ้าพ่อชอบเขานะ พ่อจะยกลูกสาวพ่อให้ฟรี ๆ ไปเลยไม่คิดค่าสินสอดใด ๆ” ฉันเองก็ไม่ค่อยเข้าใจและไม่รู้หรอกว่าทำไมพ่อต้องการให้ฉันมีผัวเป็นฝรั่ง นอกจากนั้นพ่อฉันก็ยังบอกกับฉันอีกว่า
“พุธรู้ไหมลูกถ้าคนเรานะใช้ชีวิตอย่างฝรั่ง กินอยู่อย่างคนไทย หาเงินเก่งอย่างคนจีนนะลูก รับรองว่าจะสบายไปทั้งชาติ”
ตอนฉันเป็นเด็กฉันก็ฟังที่พ่อพูด เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ฉันก็คิดตามที่พ่อฉันพูดนะ
พ่อฉันจะชอบเรียกฉันว่า”พุธลูกสาวคนสวยของพ่อ" (จริง ๆ แล้วฉันนะไม่สวยเลยนะ คือว่าตัวดำมาก ๆ ตัวผอม ๆ บาง ผมตรงดำ แถมยังตัดหน้าม้าอีกต่างหากเวลาฉันยิ้มออกมานะจะเห็นฟันหน้าซี่ใหญ่มาก ๆ สองซี่) ตอนนั้นฉันก็ไม่รู้หรอกว่า หาผัวฝรั่งมันคืออะไร จะไปรู้ได้อย่างไง ขนาดฝรั่งหน้าตาเป็นไงฉันยังไม่รู้เลย อยู่กับย่าก็ฟังแต่นิยายจากวิทยุ ถ้าดูโทรทัศน์ก็ดูแต่ละครไทย
ฉันก็ได้แต่ตอบพ่อของฉันไปว่า “จ้าพ่อลูกจะหาผัวฝรั่ง พ่อคอยดูนะงานแต่งของหนูจะต้องใหญ่โต จะเอาให้ใหญ่กว่างานวัดบ้านเราอีกดีไหมพ่อ” นั่นคือการสนทนากันระหว่างฉันกับพ่อ (เวลาที่พ่อเมา)
หลังจากนั้นพ่อก็จะเข้านอนแล้วก็จะหลับ ไปในที่สุด พ่อของฉันจะพูดกับแม่ของฉันไพเราะเสนาะหูมาก แต่ว่าก็จะซ้ำซากเช่นว่า “ทองเมียรัก ข้ารักแกที่สุดเลยนะจ๊ะเมียจ้า” หรือไม่ก็ “ทองเมียสุดสวยของฉัน” ฉันนะชอบเวลาที่พ่อเมานะ เพราะว่าบรรยากาศของบ้านพักในห้องสี่เหลี่ยมมันดูดีไปหมดจริง ๆ พ่อจะบอกรักแม่ของฉันทุกครั้งที่พ่อเมา แต่ถ้าพ่อไม่เมาวัน ๆ หนึ่งฉันไม่เคยเห็นพ่อฉันจะพูดกับแม่ของฉันดี ๆ เลยสักครั้ง และฉันก็ไม่เคยเห็นว่าพ่อฉันจะพูดกับแม่ฉันเหมือนคนธรรมดา ๆ ทั่วไปด้วย ฉันหมายถึงที่คนเขาพูดกันนะ คือฉันหมายถึง น้ำเสียง หรือการเรียกสัพนามของแม่ฉันนะ
ในตอนนั้นฉันนะสงสารแม่ฉันมากเวลาที่โดนพ่อของฉันดุนะ ตัวอย่างเช่นว่า เวลาที่พ่อฉันหาอะไรไม่เจอก็จะถามแม่ฉันว่า “ผ้าขนหนูกูอยู่ตรงไหนอีทองดำ” หรือว่า “กางเกงในกูอยู่ไหนวะอีทองดำ” หรือว่า “ชุดทำงานกูวันนี้รีดให้หรือยังวะอีทองดำ” หรือว่า “ถุงเท้ากูละ ร้องเท้ากูละทำไมมันดำ ๆ แบบนี้ว่ะนางทองดำ” หรือจะเป็นว่า “กูบอกมึงหลายครั้งแล้วนะอีแกเอ้ย ว่าร้องเท้ากูต้องซักให้มันสะอาดหน่อย กูอายเขานะอีทองดำ ร้องเท้าดำ ๆ แบบนี้ คนเขาจะหาว่ากูสกปรก” พ่อไม่เคยให้เงินแม่เลยนะเท่าที่ฉันรู้ ถึงแม่ไม่เล่าให้ฟังฉันก็รู้ เพราะว่าฉันจะได้ยินเป็นประจำคือพ่อขอเงินแม่ฉันมากกว่า “อีแกทอง เอาเงินมาให้ข้าไปทำงานหน่อยซิ ค่าบุหรี่นะ”
ส่วนเงินเดือนของพ่อไม่ต้องพูดถึงหรอกฉันก็รู้อีกและ พ่อฉันจะเซ็นเหล้าร้านหน้าโรงงานกินทุกวัน ซึ่งร้านขายเหล้าก็เป็นร้านของเมียหัวหน้าของพ่อนั่นเอง สิ้นเดือนทีพ่อก็จะถูกหักค่าเล้าจนเกือบหมด จะเหลืออยู่ไม่เท่าไร่ แต่พ่อก็ยังดีนะยังจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟให้แม่ แต่ที่พ่อจ่ายไม่ใช่เพราะว่าพ่ออยากจ่ายให้แม่หรอกนะ แต่ว่าพ่อต้องจ่ายเนื่องจากว่าเจ้านายพ่อเขาหักเงินเดือนพ่อไว้ต่างหาก คือว่าเจ้านายพ่อเป็นคนรับผิดชอบค่าน้ำค่าไฟของพนักงานในโรงงานนะ พ่อก็เลยต้องจำยอม แต่พ่อก็มาทวงคืนเอากับแม่อยู่ดี แม่ฉันบอกว่าพวกเราโชคดีที่โรงงานที่พ่อฉันทำอยู่่มีสวัสดิการให้พนักงานและครอบครัวได้อยู่บ้านพักฟรีโดยไม่ต้องเสียค่าเช่า บ้านพักที่พวกเราอยู่ก็เป็นบ้านพักติด ๆ กันแบบห้องแถว แต่ว่าก็กว้างพอที่แม่กับพ่อฉันจะกั้นห้องด้วยตู้เสื้อผ้า และขึงผ้าม่านปิดไว้อีกชั้น
ส่วนอีกครึ่งห้องก็ทำเป็นห้องนั่งดูทีวี และก็เป็นที่นอนของฉันเวลาฉันมาอยู่ในกรุงเทพ ฯ ช่วงปิดเทอม และแม่ฉันก็เปิดร้านขายของตรงหน้าห้องพักของพวกเรานั่นและ เพราะว่าส่วนใหญ่ลูกค้าของแม่ก็จะเป็นคนงานที่ทำงานในโรงงาน ทั้งที่พักอยู่ใกล้ ๆ และ ที่มาจากข้างนอกโรงงานนั่นและ แม่จะตั้งรถเข็นและก็ตู้กระจก กับเตาแก๊สตรงหน้าห้องพักของเรา และก็มีโต๊ะสำหรับให้ลูกค้านั่งกินข้าวหนึ่งโต๊ะ บางทีคนก็เดินมาสั่ง และก็เอาจานที่บ้านเข้ามาใส่อาหารที่สั่ง หรือไม่ก็ใส่ถุงพลาสติกกันไป ส่วนใหญ่แม่ฉันจะขายเงินเชื่อมากกว่าเงินสดนะ คือว่าทุกสองอาทิตย์แม่ก็เรียกเก็บกับพวกที่เปิดปัญชีไว้กับแม่นะ แม่จะเป็นแม่ค้าที่เก็บหนี้ได้เก่งมากนะ ส่วนใหญ่จะเก็บได้หมดเพราะว่าแม่ฉันนะเป็นคนที่ด่าเก่งมาก
แต่ก็แปลกดีนะทีกับพ่อฉันแม่ไม่เคยเถียงสักคำ ฉันเคยถามแม่ว่าทำไมแม่ไม่เคยเถียงพ่อเลย แม่บอกกับฉันว่า “พ่อเขาไม่ได้ทำอะไรให้แม่ต้องด่านี่พุธ จริงอยู่เขากินเหล้าทุกวัน แต่พอเมาก็กลับบ้านไม่เคยไปนอนที่อื่น เช้ามาพ่อเอ็งก็ออกไปทำงานทุกวัน แม่ไม่ต้องปุก พ่อเขาก็ตื่นของเขาเอง ต่อให้พ่อเอ็งเขาเมาแค่ไหนก็ตามพ่อเอ็งไม่เคยขาดงาน” ฉันก็คิดตามที่แม่พูดมันก็จริงของแม่ จริง ๆ แล้วพ่อของฉันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร พ่อฉันไม่เคยตบตีแม่เลยเวลาเมาแถมพ่อยังไม่เคยเจ้าชู้หรือว่ามีเมียน้อยให้แม่ต้องปวดหัวเหมือนกับป้าข้างห้องเลย แม่ฉันยังบอกอีกว่า
“พ่อนะเขาเป็นคนดีนะลูก ตอนแม่เป็นสาวพ่อก็ไปขอแม่กับยายของลูกและก็แต่งงานกับแม่แบบถูกต้อง แม่กับพ่อนะแต่งงานกันด้วยความรักนะ และพ่อเอ็งก็ให้ค่าสินสอดแม่ตั้งหนึ่งหมื่นบาทเงินสด ๆ ใส่ในพานวันงานแต่งแม่กับพ่อนะ ยายเอ็งนะเป็นปลื้มจะตายตอนนั้น สมัยก่อนถ้าลูกสาวบ้านไหนได้แต่งงานและได้เงินสินสอดเป็นหมื่นก็ถือว่ารวยแล้วนะลูก”
ทุกครั้งเวลาที่แม่ฉันเล่าเรื่องนี้ทีไรแม่ฉันจะยิ้มปากบานทุกที ฉันเองก็อดยิ้มไม่ได้ โรงงานที่พ่อฉันทำตั้งอยู่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยาทุกวันหยุดคือวันอาทิตย์ถ้าฉันได้เข้าไปอยู่กับพ่อแม่ฉันในกรุงเทพ ฯ พ่อกับแม่ฉันจะพาฉันออกไปเดินห้างบ้าง ดูหนังบ้าง หรือไม่ก็ไปสวนสัตว์ดุสิต พาไปเดินห้างพาต้า ไปดูละครลิง ไปดูคิงคองตัวเป็น ๆ ทุกอาทิตย์ จริง ๆ แล้วพ่อฉันก็ไม่ได้เลวร้ายจริง ๆ อย่างที่แม่ฉันบอกซะด้วย แม่บอกว่าการที่พ่อเรียกแม่ว่าอีทองดำ ก็เพราะว่าแม่ฉันนะตัวดำนั่นเอง ส่วนแม่ก็เรียกพ่อฉันว่า “ไอ้แก่” ซึ่งพ่อฉันก็ไม่เห็นจะโกรธแม่ฉันเลย
ฉันเองก็เข้าใจและเห็นด้วยกับที่แม่ฉันบอก ฉันเลยกลายเป็นเด็กกรุงเทพ ฯ ไปโดยปริยาย ทุกครั้งที่ฉันกลับจากกรุงเทพ ฯ พอฉันไปโรงเรียนฉันก็จะได้เสื้อผ้าใหม่ ๆ ของเล่นใหม่ ๆ เอาไปอวดเพื่อนที่ต่างจังหวัดประจำ เพื่อน ๆ ฉันทุกคนต่างก็อิจฉาฉันกันทั้งนั้นในขณะนั้นประมาณว่าเด็กประถมไง ใครได้เข้ากรุงเทพ ฯ ก็เจ๋งมากแล้ว ขนาดยาสีฟันสีใสเป็นเจลยังเป็นเรื่องใหญ่โต ขนาดจังหวัดที่ฉันเกิดจะอยู่ห่างจากกรุงเทพ ฯ ไม่ถึงร้อยกิโลเมตรก็จริง ฉันมีเพื่อนไม่มากเพราะฉันเชื่อว่าการมีเพื่อนมาก มันทำให้เกิดความยุ่งยาก ไม่คล่องตัว ฉันคิดของฉันแบบนี้จริง ๆ นะ ตั้งแต่ฉันเป็นเด็ก ๆ แล้ว ฉันจะเล่าเรื่องเพื่อนที่ฉันคบด้วยเป็นช่วง ๆ ของชีวิตแล้วกัน เพื่อนคนแรกที่ฉันนับว่าเป็นเพื่อนและรักมาก ทุกวันนี้เราก็ยังผูกพันติดต่อกันอยู่ถึงแม้ว่าเราจะเรียนจบทำงานกันเรียบร้อยแล้วก็ตาม
เพื่อนสนิทคนแรกของฉันเธอมีชื่อเล่นว่า "กุ้ง"
ชื่อจริงว่าเด็กหญิง"องอร อ่อนย่ิง"
เธอจะอิจฉาฉันเอามาก ๆ ซึ่งต่างกับฉันที่ฉันกับอิจฉายายกุ้งเพื่อนฉันมากกว่า คือต่างคนต่างอิจฉากัน เพราะว่าพ่อแม่ของกุ้งนั้นอยู่บ้านกับกุ้งทุกวัน พ่อกุ้งทำงานโรงไฟฟ้าเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ ส่วนแม่ของกุ้งก็เป็นครูสอนอยู่โรงเรียนประถมที่ฉันเรียนอยู่แต่กุ้งบอกไม่เห็นอยากมีแม่เป็นครูเลยเป็นครูแล้วก็ต้องมาอยู่โรงเรียนเดียวกัน ทำอะไรก็ไม่ได้ กลับบ้านก็ต้องกลับพร้อมแม่ทุกวัน จะเดินหรือขี่จักรยานก็ไม่ได้ เพราะว่าแม่ขี้รถยนต์มาทำงาน ก็ต้องนั่งรถกลับบ้านกลับแม่เธอทุกวัน อีกอย่างที่ฉันอิจฉากุ้งเอามาก ๆ ก็ตรงที่กุ้งจะเป็นคนที่หน้าสวยบ๋องแบ้ว ตัวผอม ๆ เหมือนฉัน ทรงผมก็เหมือนฉัน
แต่ว่ากุ้งนั่นเป็นคนที่มีผิวขาวเหมือนคนจีนเลย เวลามีงานแข็งกีฬาประจำปีของตำบล กุ้งก็จะได้เป็นคนถือป้ายโรงเรียนประจำ ถ้ามีงานรำกุ้งก็จะได้รำอยู่ข้างหน้า เพราะว่าแม่ของเธอเป็นครูและมีเงินจ่ายค่าชุดและอุปกรณ์ต่าง ๆ แต่กุ้งเป็นเพื่อนสนิทคนเดียวของฉันเราคุยกันทุกเรื่องยังดีที่ตอนพักกลางวันในสมัยนั้นกุ้งไม่ต้องกินข้าวกลางวันกับแม่เธอ เธอก็เลยกินข้าวกลางวันกับฉันและเราสองคนก็จะคุยกันทุกเรื่องต่างคนต่างจะพูดแต่คำว่า
“เราอิจฉาเธอจังกุ้งพ่อแม่เธออยู่กับเธอทุกวัน”
“เราก็อิจฉาเธอและพุธเธอได้ไปกรุงเทพ ฯ ก็ได้ไปดูคิงคองด้วย เราเห็นเธอมีแต่เสื้อผ้าใหม่ ๆ ทั้งนั้นเลย”
นั้นเป็นสมัยเด็กที่ฉันกับกุ้งเคยเรียนประถมมาด้วยกัน แต่พอเรียนมัธยมฉันก็ได้เรียนแค่โรงเรียนประจำอำเภอ ส่วนกุ้งเธอได้ไปเรียนที่โรงเรียนมัธยมประจำจังหวัด จริง ๆ ผลการเรียนของฉันก็ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่ากุ้งเลย บางครั้งฉันก็ยังเรียนดีกว่าเธอด้วยซ้ำ แต่ว่าย่าฉันบอกว่าเรียนที่อำเภอที่เราจะอยู่ก็พอ ขี้จักรยานไปเรียน ไม่ต้องเสียค่ารถสองแถว และไม่ต้องเสียค่าเทอมเพราะว่าถ้าฉันเรียนที่นี่ฉันจะได้เรียนฟรีเพราะว่าฉันเป็นเด็กโควต้าเรียนฟรีเนื่องจากว่าฉันเป็นเด็กเรียนดีนั้นดูซิเด็กเรียนดีต้องเรียนโรงเรียนเล็ก ๆ
อนาคตฉันในตอนนั้นมันดับมืดลงทันที เต็มที่ฉันก็คงไม่พ้นเด็กโรงงานที่ตั้งอยู่ไม่ห่างจากบ้านของย่าฉันแน่นอน ก็ย่าฉันนะเป็นคนจีนเอะอะอะไรก็จะให้ขายของออกจากโรงเรียนบ้างละพูดแต่ว่า “อาพุธลื้อจะเรียนไปทำไมวะ ล้ือเรียนแล้วก็ต้องมีผัวอยู่ลี” นั่นเป็นคำที่ย่าฉันพูดกับฉัน ก็แน่ละฉันดันเกิดเป็นเด็กผู้หญิงไง ไม่เหมือนเด็กผู้ชายลูกของลุงฉันนั่นย่าฉันบอกว่าผู้ชายต้องเรียนจะได้ปกครองครอบครัว จะได้เป็นใหญ่เป็นโต ฉันนะส้มน้ำหน้าลูกพี่ลูกน้องของฉันตอนนี้ก็ทำงานโรงงานอยู่ดีและวะ แต่ว่าย่าฉันก็รักเขามากกว่าฉันอยู่ดีเพราะว่าเขาเป็นผู้ชายเป็นหลานชายคนโตของย่า
เป็นหลานที่ย่าบอกว่าได้ดังใจที่สุดในบรรดาหลานทั้งหมด ยิ่งฉันได้แต่งงานกับฝรั่งย่าของฉันย่ิงบอกว่าฉันนะเป็นหลานสาวที่ไม่หลายลังใจที่สุด ฮะฮะ ฉันรักย่าของฉันนะเพราะท่านเลี้ยงฉันมาตอนที่ฉันเป็นเด็ก ๆ ถ้าฉันเชื่อย่าของฉันป่านนี้ฉันก็คงทำงานโรงงานหรือเป็นเมียลูกชายเฒ่าแกโรงน้ำปลา หรือว่าโรงไม้ไปแล้ว อย่าเพิ่งเชื่อไปว่าชีวิตฉันจะจบอยู่แค่นั้นฮะฮะ และแล้วสวรรค์ก็เห็นความดีของฉัน ฉันได้เข้ากรุงเทพ ฯ หลังจากที่ฉันเรียนจบมัธยมต้น แม่ฉันบอกว่าฉันโตพอแล้ว และตอนนี้แม่ฉันก็เก็บเงินซื้อบ้านหลังเล็ก ๆ ในซอยไม่หากจากโรงงานเก่าที่พ่อฉันเคยทำงานมากนัก ถึงแม้ว่าบ้านของฉันจะเป็นบ้านไม้สองชั้นหลังไม่ใหญ่มากนัก และไม่มีพื้นที่กว้างเหมือนกับบ้านของย่าฉัน แต่ฉันก็ภูมิใจในบ้านหลังนี้
บ้านของฉันติดกับคลองอะไรสักครองหนึ่งแถวฝั่งธน คลองที่ผ่านบ้านฉันก็จะไหลไปลงที่แม่น้ำเจ้าพระยา ถึงแม้ว่าน้ำมันจะไม่สะอาดแต่มันก็ทำให้บ้านของฉันน่าอยู่ขึ้นเป็นกอง มันตั้งอยู่ไม่ไกลจากวัดชื่อดังในย่านนั้นเท่าไหร่แต่พวกเราก็มีความสุขกันดีในบ้านหลังนี้ ฉันมีห้องนอนเป็นของตัวเอง พ่อกับแม่ให้ฉันนอนข้างบนบ้านตามธรรมเนียมว่าลูกสาวควรจะอยู่ชั้นบ่น
แม่กับพ่อของฉันก็นอนกันห้องนอนข้างล่าง ซึ่งตอนที่แม่ฉันบอกกับย่าฉันว่าจะเอาตัวฉันไปอยู่กรุงเทพ ฯ ย่าฉันก็ดูเศร้า ๆ ไปเหมือนกันนะจะบอกให้ คงจะเหงาละ เพราะว่าเอาเข้าจริงหลานชายคนโปรดของย่าก็ไม่ค่อยจะว่างมานั่งคุยกับย่าสักเท่าไหร่นัก แม่ฉันบอกว่าเขากับพ่อของฉันจะได้ไม่ต้องไป ๆ มา ๆ ขึ้น ๆ ลง ๆ กรุงเทพ ฯ ประหยัดค่าน้ำมันรถ และจะได้ไม่ต้องหยุดขายของ อีกอย่างฉันก็โตพอที่จะดูแลตัวเองได้แล้ว
แม่บอกว่า ฉันต้องขึ้นรถเมย์ไปเรียนเองนะถ้าอยู่กรุงเทพ ฯ ฉันจำได้ว่าฉันดีใจสุด ๆ ที่จะได้ขึ้นรถเมย์ไปโรงเรียน ฉันรู้สึกตื่นเต้นดีใจเป็นที่สุด เพราะว่าในตอนนั้นฉันคิดว่าฉันอาจจะได้เจอฝรั่งสักคนบนรถเมย์ พอมาถึงตอนนี้ฉันก็อดที่จะหัวเราะกับความคิดโง่ ๆ ของตัวเองไม่ได้ แต่พอมาอยู่กรุงเทพ ฯ จริง ๆ ความฝันฉันของฉันพังทะลายนิดหน่อย เพราะว่าฉันไม่ได้นั่งรถเมย์ไปโรงเรียนหรอก แต่ว่านั่งเรือข้ามฝากแทนนะ เป็นเรือข้ามฝากเจ้าพระยานะและ
คือว่าฉันต้องนั่งเรือข้ามฝากไปเรียนที่ฝั่งบางลำภูโน่น เป็นโรงเรียนมัธยปลายชื่อดังไม่เบาในย่านนั้น การนั่งเรือของฉันนี่เองที่ทำให้คำพูดของพ่อฉันที่ว่าให้หาผัวฝรั่งนั่นเริ่มใกล้เข้ามาอีกหน่อย จะไม่ให้ใกล้ได้ไง ตอนเช้าของทุกวันที่ชั้นขึ้นเรือข้ามฝางฉันจะเห็นฝรั่งทุกวัน เดินไปโรงเรียนก็เห็นฝรั่งทุกวัน หนุ่มบ้างแก่บ้าง ทั้งฝรั่งผู้หญิงผู้ชายแถมที่โรงเรียนที่ฉันเรียนก็ยังมีครูสอนภาษาอังกฤษเป็นฝรั่งอีกด้วยประมาณว่ามาทำการสอนแลกเปลี่ยนโครงการอะไรก็ว่าไป แต่ครูดันเป็นผู้หญิงซะนี่ แต่ก็เอ้านะไม่ใช่ก็ใกล้เคียง อย่างน้อยฉันก็ได้เห็นฝรั่งเดินกันเกลือนกลาดเต็มถนนไปหมด
แม่ฉันเปลี่ยนจากการขายข้าวราดแกงในโรงงาน มาเป็นแม่ค้าขายไข่สด ทั้งไข่เป็ดและไข่ไก่ ส่วนพ่อฉันก็ลาออกจากงานมาขับรถแท็กซี่แทนเรื่องของเรื่องก็คือพ่อของฉันถูกจ้างให้ออกจากงานที่ทำอยู่ในตอนนั้นเพราะว่าเศรษฐกิจมันตกสะเก็ดฉันเองก็ไม่ค่อยเข้าใจอะไรเท่าไรนักหรอกในตอนนั้น พ่อฉันจะขับแท็กซี่กะกลางคืน
ส่วนกลางวันพ่อก็จะนอนหรือไม่ก็ไปอยู่ช่วยแม่ฉันขายของที่แผงขายไข่กับแม่ แต่พ่อฉันดีขึ้นนะ เลิกกินเหล้า แต่ก็ยังเล่นหวยเหมือนเดิม ที่เลิกกินเหล้าเพราะว่าหมอสั่งห้ามนะหมอสั่งห้ามพ่อฉันว่า ห้ามกินเหล้าเด็ดขาดเนื่องจากพ่อฉันเป็นโรคเบาหวานไง แม่ฉันบอกว่า ขอร้องให้พ่อของฉันเลิกกินเหล้าหรือภาษาสุภาพก็เลิกดื่มเหล้ามาเกือบทั้งชีวิตแต่ว่าพ่อของฉันไม่เคยคิดว่าจะเลิก
แต่พอหมอบอกว่าถ้าไม่เลิกก็จะทำให้ตายเร็วขึ้นเท่านั้นเองพ่อฉันเลิกได้ทันทีทันใด ฮะฮะ ถ้าฉันรู้อย่างนี้ให้พ่อเป็นเบาหวานซะตั้งนานก็ดี อ้าวลูกเลวอีกแล้วฉัน บรรยากาศในบ้านดีขึ้นนะ พ่อแก่ตัวลง ไม่ค่อยบ่น พูดกับแม่ก็ดีขึ้นนะจาก อีทองดำ เป็นยายทอง ก็ยังดีกว่าอีขึ้นต้นว่าไหม ส่วนฉันก็ยังเป็นลูกสาวคนสวยของพ่อเหมือนเดิม ชีวิตการเรียนมัธยมปลายในกรุงเทพ ฯ มันก็ มีทั้งดีและไม่ดีปะปนกันไหมคะ คือที่ดีก็คือมีเพื่อนมากขึ้น โรงเรียนเป็นแบบสหะคือมีทั้งชายและหญิง คราวนี้ความสวยเราก็พอมีอยู่บ้าง ก็เคยมีแฟนนะ แต่ว่าก็แบบเพื่อนร่วมกลุ่มทำรายงานกันมากกว่า
แต่ฉันก็ยังอดคิดถึงกุ้งเพื่อนสมัยประถมของฉันไม่ได้ เราสองคนยังติดต่อกันอยู่บ้างเวลาที่ฉันกลับบ้านไปเยี่ยมย่าในวันหยุดยาว ๆ หรือว่าแม่ฉันหยุดขายของ หรือว่าโรงเรียนปิดเทอมอะไรประมาณนั้น ยายกุ้งเธอก็ยังคงเป็นสาวสวยเหมือนเดิม ผมยาวตรงรัดผมตึงผูกโบว์ไปเรียน ส่วนฉันหรือผมก็ยาวนะ แต่ว่าไม่เคยรัดอะไรมากมาย ก็แค่มัดเวลาครูว่าและก็ต่อหน้าครูเท่านั้น ลับหลังครูฉันก็จะปล่อยผมของฉันทันทีคือว่ามันเจ็บหนังหัวนะคุณรัดผมตึง ๆ นะ พอฉันเดินออกจากโรงเรียนฉันก็จะปล่อยผมทันที
ฉันยังอดสงสัไม่ได้ว่ามันจะอะไรกันนักกันหนา ทรงผมมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการเรียนสักหน่อยคุณว่าไหมคะ แต่ก็ยังว่าเนาะเด็กมันเยอะไงกฎเกณฑ์มันก็แยะไปด้วย กุ้งบอกว่าเธอเรียนสายวิทย์คนิตย์ตามที่แม่ของเธอขอเรียน ส่วนฉันเรียนสายศิลป์ภาษาละชอบก็มันชอบไง อยากพูดภาษาอังกฤษได้เพราะว่าต้องการจะพูดกับฝรั่งได้ดี คือว่าถ้าจะหาสามีฝรั่งมันก็ต้องพูดภาษาฝรั่งซิฉันหมายถึงภาษาอังกฤษนะ พ่อฉันก็ว่าดีเรียนภาษาศิลป์ แม่ฉันนะเหรอ จะไปรู้เรื่องอะไร ภาษาอะไรก็เรียนไปเถอะขอให้ลูกสาวคนสวยไปเรียนทุกวัน กลับบ้านมาไม่เย็นค่ำมากก็พอแล้ว คำถาม ถามว่าแล้วฉันเป็นเด็กแบบไหนเกเรไหม ไม่นะฉันเป็นเด็กปกติ เช้าไปเรียน เย็นกลับบ้าน เสาร์อาทิตย์ไปข้างนอกบ้างตามประสา แล้วแต่โอกาส มีแฟนไหมไม่เชิง ก็มีแบบเพื่อน ๆ กันไป ไปไหนไปเป็นกลุ่ม มีทั้งหญิงและชาย
ฉันจำคำพูดของพ่อฉันขึ้นใจถึงแม้ว่าพ่อของฉันจะเลิกพูดกับฉันไปนานแล้ว นานพร้อม ๆ กับโรคเบาหวานที่่พ่อฉันตรวจพบนะและ ทำไมเหรอคะก็พ่อฉันไม่ได้กินเล้าไม่เมากลับบ้านแล้วไง ฉันก็เลยไม่ได้ยินพ่อฉันบอกให้ฉันมีผัวเป็นฝรั่งอีกถ้าโตขึ้น แต่ว่ามันเขาไปในสายเลือดของฉันแล้วไง มันซึ่มเขาไปถึงกระดูกดำของชั้นแล้วด้วย คือว่า “ผัวฝรั่ง มันต้องดี ต้องเลิศ แน่ ๆ ไม่งั้นพ่อของฉันไม่พร่ำบอกกับฉันทุกวันหรอกถึงแม้พ่อเขาจะบอกฉันเวลาเมาก็เถอะ โบราณว่าคนเมามักจะพูดความจริงเสมอ เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่พูดออกมาจากใจ
ฉันได้เพื่อนสนิทมาอีกคนหนึ่งคนหลังจากฉันเรียนจบมัธยมปลาย
เพื่อนสนิทฉันชื่อเล่นว่า "น้อย"
ชื่อจริงว่า "เดือนเพ็ญ มหาสมบัติ"
น้อยเป็นเด็กกรุงเทพ ฯ แต่กำเหนิดเลยละจะบอกให้ ประ มาณว่าความฝันของฉันเป็นความจริงไง ได้มีเพื่อนเป็นเด็กกรุงเทพ ฯ ตัวเป็น ๆ มันเป็นความฝันของเด็กบ้านนอกล ฉันนะมีความฝันหลายอย่างละตอนที่ฉันเป็นเด็ก ประมาณว่าฝันอยากเป็นอะไรที่พอโตขึ้นมาแล้วต้องแอบขำตัวเอง ฉันเคยฝันว่าอยากเป็นแอร์บัส ฮะฮะ เด็กผู้หญิงคนอื่นเข้าคงฝันอยากเป็นนางฟ้า หรือแอร์โฮสเตน ก็ตอนนั้นคิดว่ามันดีไง ขนาดตอนเขียนเรียงความส่งครูในหัวข้อที่ว่า โตขึ้นอยากเป็นอะไร
ฉันยังเขียนในเรียงความว่าโตขึ้นอยากเป็นแอร์บัส แล้วถ้าคุณครูจะขึ้นรถบัสฉันจะให้ขึ้นฟรีละตอนนั้นก็ชุดฟอร์มมันสวยดีเนาะ สีฟ้า ยังกับเนตรนารีสมัยประถม แถมมีหมวกด้วยนะ และก็ที่สำคัญได้ใส่ร้องเท้าส้นสูงด้วยไงฉันชอบมาก ๆ เล่าไปชักจะยาวแล้วคะท่าน มารู้จักน้อยเพื่อนฉันกันต่อ น้อยเธอเป็นสาวคนเดียว และเป็นลูกคนรวยเลยละเพราะว่าพ่อกับแม่เธอเปิดร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดอยู่ย่านคลองเตย ไม่ต้องแปลกใจที่เธอมาเรียนไกลถึงบางลำพู ก็คงเป็นเพราะว่าชื่อเสียงโรงเรียนไงเป็นเรื่องปกติของเด็กกรุงเทพ ที่จะเลือกเรียนที่ไหนก็ได้ถ้าคุณมีเงินและมีปัญญาที่จะเดินทางไปเรียน
ไม่เหมือนเด็กบ้านนอกที่เรียนมันโรงเรียนวัดในหมู่บ้านละอย่างดีหน่อยก็เรียนโรงเรียนอนุบาลประจำจังหวัด หรือว่าโรงเรียนประจำอำเภอ แต่น้อยเธอก็นั่งเรอด่วนเจ้าพระยาไปเรียนนะบางที แต่ส่วนใหญ่เธอจะมีรถมารับมาส่งประจำ ฉันเคยไปบ้านน้อยหลายครั้งไปทำหลายงานบ้าง ไปงานวันเกิดบ้าง ฉันเคยแอบชอบพี่ชายน้อยด้วยนะ พี่ของน้อยชื่อเฮียหนึ่ง แต่ว่าเฮียแกไม่สนใจฉันเลยละ ไม่เลยสักนิด แต่คุณรู้ไหมเฮียหนึ่งเป็นแฟนกับใคร ฉันนะมารู้ตอนหลังว่าเฮียหนึ่งแกเป็นแฟนกับนางกุ้งเพื่อนฉันจากสมัยประถม ดูซินางกุ้งมันไกลขนาดนั้น โลกมันกลมคะคุณ กลมจนฉันเองก็ยังงงว่าสองคนนั้นไปเจอกันตอนไหน น้อยนะเธอมาพร้อมกับความสวย และผิวขาวของเธอก็ขาวอีกแล้วครับคุณ
ทำไมเพื่อนของฉันมันจะต้องขาวกว่าฉันทุกคนซินะ ตอนนั้นฉันยังไม่รู้หรอกว่าผิวสีแทนแบบฉันเนี่ยจะเป็นที่หมายปองของฝรั่ง ตอนนั้นฉันก็ได้แต่คิดว่าเวลาฉันเดินไปไหนกับน้อยส่วนใหญ่เด็กวัยรุ่นหรือเพื่อนร่วมชั้นเรียนก็จะมองแต่น้อย และแซวแต่น้อยทั้งนั้น ส่วนฉันก็จะกลายเป็นแบบเพื่อนรักกับพวกมันนะ ฉันหมายถึงพวกเด็กผู้ชายนะ มันกล้าพูดเล่นกับฉันมันบอกว่าคุยกับฉันแล้วเหมือนคุยกับเพื่อนผู้ชาย พวกมันบอกว่าไม่รู้สึกเขินเหมือนเวลาที่คุยกับน้อย ดูพวกมันพูดเข้าคุณ ฉันนะไม่รู้ว่าจะเสียใจหรือดีใจดีในเวลานั้น
สรุปฉันมีเพื่อนผู้ชายมากกว่านางน้อย แต่นางน้อยมีแฟนเป็นผู้ชายมากกว่าฉันครับคุณเพราะว่าฉันไม่มีแฟนที่เป็นผู้ชายเลยสักคน แต่ฉันดันมีแฟนเป็นผู้หญิงสะมากกว่า คือฉันไม่ได้เป็นทอมดี้นะ แต่พวกเด็ก ๆ รุ่นน้องผู้หญิงมันชอบเอาดอกไม้มาให้ฉันในวันวาเลนไทน์นะ ฉันเองก็งงเหมือนกันกับเรื่องเพศตัวเองในช่วงนั้น เพื่อนผู้ชายทุกคนจะคิดว่าฉันเป็นเด็กผู้ชายที่ไว้ผมยาวเสียมากกว่า ถึงขั้นจะต่อยกันก็ยังมีแบบมันบอกว่า “พุธถ้าเอ็งจะต่อยกับข้า ๆ ข้าก็จะไม่ออมมือหรอกนะ เพราะเองมันเป็นนักกีฬานี่ ผู้หญิงอะไรวะทั้งสูงทั้งดำ” นั่นดูพวกมันคิดกับฉันและพูดกับฉันแบบนั้น ทั้ง ๆ ที่พ่อฉันบอกกับฉันเสมอว่าฉันนะเป็นลูกสาวคนสวยของพ่อกับแม่แท้ ๆ ฉันจะเชื่อใครดีละระหว่างไอพวกเพื่อนปากปีจอ กับพ่อและแม่ของฉัน คำตอบง่าย ๆ
ฉันก็เลือกเชื่อพ่อแม่ฉันนะซิ ใครจะโง่เลือกเชื่อเพื่อนปากปีจอพวกนั้น คิดมากตามปากพวกมันฉันก็ต้องเป็นบ้าตายกันพอดี อย่างไรก็ตามที ทั้งกุ้งและน้อยก็คือเพื่อนสนิทของฉัน ทั้งสองคนที่ฉันยังติดต่อคบหานัดเจอกันบ้างตามโอกาศ สองคนนี้เป็นเพื่อนสนิทของฉันในบรรดาเพื่อนทั้งหมดห้าคนของฉัน และทั้งสองคนก็ยังคงเป็นเพื่อนที่สนิทกับฉันจนถึงปัจจุบันนี้
ฉันจะขอเล่าเรื่องเพื่อนคนต่อไปของฉันดีกว่า
เพื่อนคนต่อไปของฉันชื่อเล่นว่า "ตุ๊กตา"
ชื่อจริงว่า "โสภิดา คงสมบูรณ์" โสภิดากับฉันรู้จักตอนที่ฉันเรียนที่มหา วิทยาลัยแห่งหนึ่งแถว ๆ ท่าพระจันทร์ แต่ว่าตุ๊กตาก็รู้จักน้อยเพื่อนของฉันเช่นกัน เพราะว่าพวกเราเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน แต่ว่าคนละคณะ คือว่าฉันกับน้อยเป็นเพื่อนสมัยมัธยมเอ็นติดมหาวิทยาลัยเดียวกันแต่คนละคณะกับฉัน
ฉันเลือกเรียนอักษร ส่วนน้อยเรียนคณะบริหารการจัดการ เองบัญชีอะไรประมาณนั้น ถามฉันก็ตอบไม่ค่อยจะถูกหรอกเอาเป็นว่าสนิทกันอยู่ก็แล้วกัน ส่วนตุ๊กตาเรียนคณะเดียวกับน้อย ทุกครั้งที่ฉันเจอน้อยฉันก็จะต้องได้เจอตุ๊กตาทุกทีไม่รู้ว่าสองคนนี้ตัวนิดกันหรือไง ฉันก็เลยสนิทกับตุ๊กตา และกับน้อยไปโดยปริยาย บางครั้งพวกเราสามคนก็จะไปเดินชอปปิ้งด้วยกัน ไปทำกิจกรรมของมหาวิทยาลัยด้วยกัน บางทีพวกเราก็ไปดูหนังด้วยกัน และก็ยังเคยไปเที่ยวต่างจังหวัดพวกทะเล หรือภูเขาด้วยกัน โดยมีเพื่อน ๆ คนอื่น ๆ ไปด้วยประมาณว่าท่องเที่ยวตามประสาเด็กวัยรุ่นทั่วไป ตุ๊กตากับน้อยมีแฟนกันหมด เป็นหนุ่มไทยหน้าตาดี ทั้งคู่ ส่วนฉันก็ยังเหมือนเดิมคงยึดคำพูดของพ่อไว้ตลอดว่า “ถ้าจะมีผัวต้องหาผัวฝรั่งนะลูก” ฉันก็เลยยังไม่มีแฟนกับเขาสักทีจนกระทั่งเรียนจบมหาวิทยาลัย
หลังจากที่ฉันเรียนจบจากมหาวิทยาลัยฉันก็มีเพื่อนที่สนิทแบบคุยกันทุกเรื่องเพ่ิมมาอีกหนึ่งคนคะ เพื่อนดี ๆ มันก็หายากนะคุณ ฉันนะไม่ชอบปริมาณละ ชอบคุณภาพมากกว่า
เพื่อนคนนี้ของฉันเธอมีชื่อว่าเล่นว่า "สาว"
ชื่อจริงว่า "จันทร์ฉาย งามขำ"
เธอเป็นสาวที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูงมาก ๆ ฉันว่ามากกว่าฉันอีกมั้งฮะฮะอันนี้ไม่รู้คุณต้องดูกันไปเรื่อย ๆ คะ ผิวพรรณหน้าตา ท่าทาง ของสาวนั้น ฉันแอบคิดในใจนะว่าเธอเหมือนฉันเอามาก ๆ ฉันว่าเธอสวยนะ ประมาณว่าดำขำ และเธอก็ยังไม่มีแฟนด้วยเหมือนฉันอีกแล้วละคุณ ฉันนะเจอสาวที่บริษัทเอกชนที่ฉันทำงานอยู่ ฉันสองคนสนิทกันเนื่องจากว่าสมัครงานที่บริษัทนี้วันเดียวกัน ถูกเรียกสัมภาษณ์งานก็วันเดียวกันอีก ได้เข้าทำงานวันแรกพร้อมกันอีกครับท่าน ถึงแม้ว่าเราสองคนจะรู้สึกว่าเราสองคนเป็นคู่แข่งกันในตอนแรกก็ตาม เพราะว่าเราสมัครงานในตำแหน่งเดียวกัน แผนกเดียวกัน แต่โชคดีที่ว่าเราสองคนได้งานด้วยกันทั้งคู่
พวกเราสองคนต้องเรียนงานด้วยกัน กินข้าวกลางวันด้วยกัน และก็ยังต้องไปประชุมงานที่ต่างจังหวัดด้วยกันบ่อย ๆ ประมาณว่าถ้าบริษัทจัดสัมนา เราสองคนก็จะขอนอนห้องเดียวกันถ้าเป็นไปได้ในเวลานั้น เราสองคนมีอีกอย่างที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือว่า “เราต้องการจะมีสามีเป็นชาวต่างชาติ แต่ด้วยเหตุผลต่างกัน ฉันเดินตามรอยที่พ่อบอกว่ามันดี มีสามีฝรั่งจะสบายและไม่ต้องกลุ้มใจเรื่องระบบเมียน้อย ส่วนสาวเธอบอกว่าเธอชอบอ่านหนังสือ เธอชอบท่องเที่ยว และเธอก็อยากไปท่องเที่ยวต่างประเทศและเธอบอกว่าเธอนะ หน้าจะสวยสำหรับฝรั่ง
ฮะฮะ ขอนี้ฉันไม่เห็นด้วยเพราะว่าเธอนั้นสวยระดับที่เรียกว่าเป็นดาวได้เลยนะ เธอสวยสำหรับทั้งคนไทยและฝรั่ง เพียงแต่ว่าผิวของเธอจะน้ำผึ้งไปหน่อยก็เท่านั้นเอง ตามที่ฉันบอกไปข้างต้นว่าฉันมีเพื่อนที่สนิททั้งหมดห้าคนไม่รวมฉันนะ ถ้ารวมฉันก็หกคนในกลุ่ม
และเพื่อนคนสุดท้ายที่ฉันจะแนะนำให้คุณ ๆ รู้จักเธอมีชื่อเล่นว่า "ดาว" ชื่อจริงว่านิตยา จันทร์ประดับ
เราสองคนรู้จักกันเพราะว่าฉันลาออกจากที่ทำงานเก่าและได้งานใหม่ในบริษัทร่วมทุนชาวต่างชาติและชาวไทยแห่งหนึ่งในย่านธุรกิจแห่งหนึ่ง และโลกมันก็กลมอีกจนได้ เพราะว่าตุ๊กตาเพื่อนของฉันสมัยที่เรียนมหาวิทยาลัย คนที่ฉันเล่าว่าเธอเป็นเพื่อนกับน้อยนะ เธอดันมาทำงานที่บริษัทนี้ก่อนฉัน ดังนั้นพวกเราทั้งหกคนเลยโคจรมาพบกันแบบไม่ได้ตั้งใจ
ตอนแรกพวกเราก็ไม่รู้ว่าจะได้พบเจอกันหลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย ยิ่งกุ้งเพื่อนฉันคนนั้นฉันคิดว่าชีวิตเธอคงจะจบลงที่ต่างจังหวัดคงจะไม่มาเดินแกะกะตามถนนกรุงเทพ ฯ นี้หรอก แต่ทำไปทำมากุ้งเธอเกือบจะได้เป็นพี่สะใภ้ของน้อยเพื่อนสนิทอขงฉันในสมัยที่ฉันเรียนมัธยมปลายและสมัยหาวิทยาลัยอีกด้วย ไม่รู้ว่าโลกมันกลมหรือว่าโชคชะตาทำให้พวกเราต้องผูกพันวนเวียนกันอยู่แบบนี