เสียงระเบิดดังระงมไปทั่วอาณาบริเวณ ประกอบกับไฟเพลิงแดงฉาน ควันขมุงพลัดปลิวจนปกคลุมท้องฟ้าในยามเย็นแทบจะทำไม่ให้เห็นอะไรเลย มองลงไปยังผืนแผ่นดินนั้น ทั้งคนที่บาดเจ็บทั้งร่างไร้วิญญาณของเหล่าทหาร ต่างกองกันเต็มทั่วบริเวณ เสียงโอดครวญทำให้ชวนขนลุกยิ่งนัก มันช่างเป็นที่น่ากลัวเสียเหลือเกิน
เสียงกลีบม้าดังกระทบแผ่นดินแทบสะเทือนไปทั่ว ดาบกวัดแกว่งพลิ้วไหวฟาดฟันข้าศึกไม่หยุดหย่อน บุรุษทั้งสอง หอบเหือดแทบจะขาดใจแต่ก็มิอาจทำได้ เพราะหากขาดใจแล้ว บ้านเมืองต้องตกไปอยู่ในเงื้อมมือของคนชั่ว พวกเขาต้องปกป้องมันด้วยชีวิต
“เสด็จพี่...พวกมันถอยร่นไปแล้วพะย่ะค่ะ...”
เสียงบุรุษหนุ่มดวงหน้างามราวเทพบุตร เอ่ยบอกผู้เป็นพี่ในตาของเขาสีฟ้าน้ำทะเลคราม ถึงแม้เวลานี้จะเป็นเวลาแห่งศึกสงคราม แต่หากได้มองหน้าชายผู้นี้เชื่อฟ้าหญิงงามทุกคนต่างก็หลงไหลในความอ่อนโยนของเขาเป็นแน่แท้
“ ดีมาก พวกเจ้าทำได่ดีมาก....”
น้ำเสียงกังวาล ปนความเหนื่อยหอบ แต่ยังแฝงความเยือกเย็นบอกผู้เป็นน้อง ทันใดนั้นก็มีทหารนายหนึ่งรีบตรงเข้ามา เขาคุกเข่าลงเบื้องหน้าแล้วรายงานผู้เป็นนาย ในทันที
“ฝ่าบาทพะย่ะค่ะ...ไม่ทราบว่าจะทรงจัดการกับศพของข้าศึกอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ....”
องครักษ์หลวง ทอส เอ่ยถามองค์อคัมมินทร์ผู้เป็นราชาแห่งจักรวรรดิ
“สั่งให้ทหาร ทำพิธีศพให้พวกเขาอย่างสมเกีรยติ เพราะพวกเขาได้ทำหน้าที่ของเขาอย่างดีที่สุด...พวกเขาตายในหน้าที่...”
กษัตริย์ตรัสตอบองครักษ์ทันทีที่ทรงได้ยินคำถาม พระองค์ทรงเป็นชายหนุ่มรูปงาม และมีกิริยานุ่มนวล ใจดี และมีมนุษยธรรม ดวงหน้านั้นดูราวเทพบุตรไม่ต่างกับพระอนุชา ทั้งดวงตาที่มีสีฟ้าครมเช่นเดียวกัน เรียกได้ว่า หากจะมีใครคิดว่าเป็นฝาแฝดก็ไม่หน้าจะผิด แต่หากสิ่งที่ไม่เหมือนพระอนุชานั้นคือ พระองค์ทรงเป็นผู้เด็ดเดี่ยว ดวงหน้าจะชอบทมึงต่อหน้าข้าราชบริวาร อาจจะเป็นเพราะว่า กำลังวางพระองค์ให้เป็นที่เกรงขามของเหล่าผู้พบเห็นอันเป็นไปได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นทหารของฝ่ายตรงข้ามแต่พระองค์ก็มิเคยที่จะละเลย ให้พวกเขาต้องนอนตายกลางสนามรบ ปล่อยให้เป็นเหยื่อแล้งกา
“เสด็จพี่…พรุ่งนี้เราควรเดินทางกลับจักรวรรดิได้ซะทีนะพ่ะยะค่ะ...”
อนุชาผู้มีพระพักตร์หล่อเหลาไม่แพ้กันเอ่ยกับพระเชษฐา พลางแย้มพระโอษฐ์เล็กน้อย
กษัตรย์หนุ่มทรงยิ้ม แล้วเอ่ยตอบอนุชาว่า
“แน่นอนสิน้องข้า...ข้าคิดถึงฮาเร็มและพวกสนมทั้งหลายจนจะคลั่งตายอยู่แล้ว....”
กษัตริย์เอ่ยตรัสตอบพระอนุชาพลางแย้มพระโอษฐ์และทรงพระสรวลอย่างดัง ไม่ต่างกับอนุชาที่ทรงพระสรวลดังไม่แพ้กัน
ใครๆก็รู้ว่าทั้งสองพระองค์เป็นทั้งนักรบและนักรักตัวฉกาจที่หาผู้ใดเปรียบ นั่นอาจจะเป็นวิสัยของบุรุษที่ยังไม่มีนางใดมาครอบครองดวงหทัยได้เลยสักนาง ดังนั้นทั้งกษัตริย์ก็ยังไม่มีราชินีข้างกาย และองค์รัชทยายาทก็ยังไม่มีแม้แต่พระชายา ทำให้สาวๆทั่วจักรวรรดิน้อยใหญ่ ต่างไฝ่ฝันหา และอยากจะมอบกายถวายทั้งใจให้กับทั้งสองพระองค์ ประมาณว่า ไม่ได้พี่ก็จะเอาน้อง
สองวันถัดมากองทหารของจักรวรรดิ ฮาติลาส ก็เดินทางกลับสู่พระมหาราชวังค์ หลังจากที่ชนะศึกอีกครั้งตามเคย ขบวนเสด็จ เสด็จอย่างยิ่งใหญ่ สองข้างทางมีประชาชนต่างหลั่งไหลเข้ามาชมพระบารมีไม่ขาดสาย พวกเขาสรรเสริญกษัตริย์และราชวงค์อย่างจงรักภักดี ดังจะเห็นจากภาพที่หมอบกราบและพลางกล่าวสรรเสริญอยู่ร่ำไป
“ ...ขอพระองค์ทรงพระเจริญ....” "ขอราชวงค์ทรงพระเจริญ...ทุกๆพระองค์"
"องค์อคัมมินทร์!" "องค์อคัมมินทร์!" "องค์อคัมมินทร์!" "องรัชทายาท"
"ทรงพระเจริญ...." เสียงโห่ร้อง สรรเสริญดังระงมราวกับว่าจะไม่มีวันหยุด
เมื่อขบวนทับมาถึงหน้าพระมหาราชวังค์ ประตูเหล็กขนาดใหญ่มหึมาก็ถูกเปิดออกทันทีด้วยกำลังของทหารเวรหน้าประตู ทันใดนั้นก็ปรากฎภาพ ของเหล่าเสนาอามาตย์ นางสนมน้อยใหญ่ นางกำนัลร่างอรชร และแน่นอนที่สำคัญคือ พระราชชนนีเกยีน่า ผู้ที่อายุจะหกสิบแล้ว แต่ก็ยังทรงพระสิริโฉมงดงามไม่เคยเปลี่ยน
พระราชชนีทรงแย้มพระสรวลให้กับโอรสทั้งสอง ในขณะที่ทั้งสองพระองค์ยังประทับอยู่บนหลังม้า พระนางทรงรักและหวงแหนโอรสทั้งสองมาก
เมื่อสองบุรุษลงจากหลังม้าก็รีบตรงดิ่งเข้าไปสวมกอดพระราชมารดา
“เสด็จแม่ลูกคิดถึงเสด็จแม่มาก พะยะค่ะ...”
โอรสผู้น้องประจบ และตรัสเสียงสูงแด่พระราชมารดาเหมือนเด็กอย่างเคย สร้างความน่าเอ็นดูให้กับทุกคนที่พบเห็น
“...แหมๆ เจ้านี่ปากหวานไม่เคยเปลี่ยน" พระนางทรงตรัสตอบพระราชโอรสองค์รอง แล้วก็ใช้มือบีบจมูกโอรสตามไปด้วย ก่อนจะตรัสต่อ
"ดูอย่างพี่เจ้าสิ เขาเคร่งขึมอยู่ตลอดเวลา....” พระนางทรงประชดโอรสองค์โต เพราะองค์อคัมมินทร์เป็นคนที่ยิ้มยากเหลือเกิน โดยเฉพาะหากอยู่ท่ามกลางฝูงชนด้วยแล้ว น้อยครั้งนักที่จะเคยเห็นมหาบุรุษผู้นี้ยิ้มให้กับสิ่งใด แต่พระอนุชาอิสรางค์ย่อมรู้ดี ว่าพระเชษฐานั้นทรงเป็นเช่นไรเพราะทั้งสองพระองค์นั้นรู้พระทัยกันและยังทรงรักกันอย่างมาก แต่กระนั้นก็ถามถึงมหากษัตริย์จะทรงแย้มพระสรวลยาก แต่หากเป็นพระราชมารดาทรงเย้าแหย่แล้วหละก็ พระองค์ก็อดที่จะแย้มพระโอษฐ์น้อยๆไม่ได้
" นี่ลูกดูเคร่งเกินไปหรือพ่ะย่ะค่ะ" โอรสตรัสถามกลับ เชิ่งหยอกล้อพระมารดา และพระนางไม่ทรงตรัสสิ่งใดนอกจากส่งสายพระเนตรที่สื่อความหมายว่าเอ็นดูโอรสกลับคืนมา ทำให้องค์อคัมมินทรงแย้มโอษฐ์งามอีกครั้ง
หลังจากที่เย้าแหย่กันไปมาตามประสาแม่ลูก ทุกพระองค์ และทุกคคนต่างก็แยกย้ายกันกลับ เพราะพรุ่งนี้จะมีการ เรียกประชุมกันตั้งแต่เช้า สองบุรุษมองตากันอย่างรู้ใจเมื่อพวกเขากำลังแยกทางออกไปคนละตำหนัก
“ ถวายบังคม เสด็จพี่...” องค์อนุชาตรัส ก่อนจะรีบวิ่งตั้งหน้าไปยังตำหนักของตน กษัตร์หนุ่มมองตามอนุชาด้วยความเอ็นดู แต่ตอนนี้ เขาช่างเหนื่อยเหลือเกิน และต้องการที่จะสรงน้ำเป็นที่สุด แต่ที่สำคัญ...
“...โอ้...ฮาเร็มของข้า....”กษัตร์หนุ่มแย้มพระสรวลเล็กน้อยก่อนที่จะตรงดิ่งไปยังตำหนัก พร้อมทั้งมีราชองครักษ์ตามท้ายไปด้วย ราตรีนี้ยังอีกยาวใกล
นี่เป็นตอนแรกและเรื่องแรกนะคะ อย่าลืมติชมกันด้วยนะคะ โดยเฉพาะเรื่องภาษา รักรัก เจอกันใหม่ตอนหน้าค้าาา ......