ณ บ้านพักที่หนึ่งในตัวเมืองแถบโตเกียวผมมินาซากิยูโตะอาศัยอยู่คนเดียวและได้ใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไปวันๆทำแต่งานและไม่เคยมีแฟนกับเขาเลยผมเคยขอพรจากศาลเจ้าแห่งนึงเรื่องความรักแต่ก็ไม่เคยสมหวังจนหมดศรัทธาในเทพแห่งความรักวันหนึ่งผมได้เดินเล่นในสวนสาธารณะผ่านศาลเจ้าแห่งนั้นและได้พูดลอยๆใส่ศาลเจ้า
“เทพแห่งความรักงั้นหรอไร้สาระสิ้นดี”
ผมพูดออกไปด้วยสีหน้าเย็นชาเพราะไม่เคยสมหวังเลยและอยู่ๆก็มีเสียงผู้หญิงจากไหนก็ไม่รู้ดังขึ้นมาในหัวของผม
“ เจ้าผู้เสียศรัทธาในข้าเอ่ยเจ้าบังอาจว่าเทพแห่งความรักไร้สาระงั้นรึข้าจะลงโทษเจ้าให้เจ้าพบกับความรักของเจ้าจงไปสะสิ “
ผมได้ยินก็ตกใจและมองหาว่าเสียงนั้นมาจากไหนทันใดนั้นร่างกายของผมก็เริ่มจางหายไปทีล่ะน้อยผมทำอะไรไม่ถูกจึงวิ่งพยายามหาคนช่วยและตะโกนขอความช่วยเหลือแต่เสียงของผมกลับหายไปและตัวตนของผมก็ได้หายไป...
“ที่นี่...ที่ไหนกันเนี่ย?!”
ผมรู้สึกตัวอีกทีที่ๆผมอยู่ก็เหมือนจะถูกให้ย้อนกลับมาในยุคเซ็งโงคุผมไม่เคยสนใจในประวัติศาสตร์เลยไม่รู้อะไรเกี่ยวกับที่นี่เลยผมได้เดินไปทั่วในแถบเมือง
“ขอโทษนะครับขอรบกวนหน่อยนะครับที่นี่ที่ไหนครับ?”
ผมได้ถามชาวบ้านที่อยู่แถวนั้น
“ที่นี่คือเมืองหลวงโตเกียวเจ้าไม่รู้รึแล้วเจ้าใส่ชุดอะไรอยู่รึข้าไม่เคยเห็นมาก่อน”
ผมไม่รู้จะตอบอะไรเพราะว่าผมถูกทำให้ย้อนกลับมาที่ยุคนี้ผมจึงไม่ตอบอะไรและรีบเดินหนี
“แล้วเราจะเอายังไงต่อดีหล่ะบ้าเอ้ย”
ผมพูดอยู่คนเดียวที่สะพานในแถบเมืองด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“ท่านเป็นชาวต่างแดนรึค่ะมิทราบว่าท่านกำลังทุกข์ใจเรื่องอะไรรึค่ะ? หรือต้องการความช่วยเหลือรึเปล่าค่ะ?”
ผมได้หันไปมองตามเสียงที่ได้ยินและพบผู้หญิงคนหนึ่งยืนมองมาที่ผมผมหลงไหลในความงดงามนั้นราวกับว่าโลกนี้มีเพียงเราสองคนที่ยืนอยู่ด้วยกัน
“ท่านค่ะเป็นอะไรรึเปล่าค่ะ?”
เธอมองที่ผมด้วยความสงสัย
“ อ่อครับผมหลงทางน่ะครับไม่มีที่พักหรือคนรู้จักที่นี่เลยและผมก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับที่นี่ด้วย”
ผมได้ตอบไปและหันหน้ามองที่แม่น้ำ
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะแนะนำที่พักให้ข้ามีเพื่อนที่เปิดร้านอาหารอยู่แต่ท่านต้องทำงานให้กับเขานะท่านจะไปรึไม่ ?”
หญิงสาวถามผมที่กำลังยืนนิ่งๆ
“ขอบคุณมากครับผมจะไปครับ”
หลังจากนั้นเราก็เดินด้วยกันจนมาถึงร้านที่เป็นคนรู้จักของผู้หญิงคนนี้
“ท่านรอข้างนอกนี่ก่อนนะค่ะ”
เธอก็เดินเข้าไปในร้านสักพักเธอก็ออกมาและเรียกผมเข้าไปในร้าน
“สวัสดีครับขอรบกวนด้วยนะครับ”
ผมแสดงความเคารพและเงยหน้า
“คนนี่งั้นหรอที่เจ้าบอกว่าเขาอยากมาทำงานให้ข้านี่เจ้าทำอะไรเป็นบ้างหล่ะ?”
หนุ่มร่างใหญ่คนนี้ทำหน้าตาหน้ากลัวมองมาที่ผม
“ผมทำอาหารเป็นครับถึงจะไม่เก่งแต่ก็ทำเป็นครับ “
ผมได้ตอบและทำสีหน้าอย่างมั่นใจเพราะผมเคยทำงานที่ร้านอาหารมาก่อน
“งั้นเจ้าลองทำให้ข้าชิมสิอาหารของเจ้าน่ะถ้าอร่อยข้าจะรับเจ้าทำงานที่นี่ถ้าไม่อร่อยก็ไสหัวไปสะ!”
เขาตะโกนใส่ผมพร้อมกับสีหน้าที่ดูถูก
ผมได้ใช้ครัวของเขาทำอาหารง่ายๆขึ้นมาเพราะผมคิดว่าที่นี้ไม่น่าจะมีใครทำ
“เสร็จแล้วครับแกงกระหรี่รสชาติอาจจะเผ็ดหน่อยนะครับ”
ผมนำจานแกงกระหรี่วางให้กับหนุ่มร่างใหญ่คนนี้และทันทีที่หนุ่มคนนี้ทานไปก็พบกับรสชาติที่ไม่เคยลองมาก่อน
“อะไรกัน! อาหารจานนี้มันทั้งเผ็ดทั้งร้อนแต่กลับหยุดกินไม่ได้”
หลังจากที่ทานอาหารจนหมด
“ข้าจะให้เจ้าพักก็ได้แต่เจ้าต้องทำงานที่นี่เอออีกอย่างข้ามีชื่อว่าอาชิวาระยาราคิจำไว้ด้วยหล่ะแล้วชื่อเจ้าหล่ะ”
ผมที่กำลังดีใจก็ตอบกลับโดยทันที
“มินาซากิยูโตะขอความกรุณาด้วยครับ”
ผมเคารพด้วยความดีใจอีกครั้งและยิ้มตลอดเวลา
“ท่านยูโตะเจ้าค่ะงั้นข้าขอตัวไปก่อนไว้ข้าจะแวะมาหานะเจ้าค่ะ”
เธอได้พูดเบาๆแล้วเธอก็เดินออกจากร้านไปโดยที่ไม่มีใครสังเกต
จากวันนั้นผมก็ได้ทำงานและพักที่นั้นหลายวันหลายคืนเธอคนนั้นก็ไม่ได้กลับมาที่ร้านอาหารเลยจนวันหนึ่ง
“ท่านยูโตะสบายดีรึไม่เจ้าค่ะ”
เสียงของเธอทำให้ผมหันกลับไปมองผมได้เห็นสีหน้าที่งดงามของเธอ
“ผมสบายดีครับแล้วคุณหายไปไหนมาหรอครับ ?”
ผมถามเพราะความสงสัยเธอก็ได้ทำหน้าเศร้าๆและตอบกลับมา
“ฉันไปทำงานที่บ้านของท่านปู่น่ะค่ะแต่ตอนนี้ท่านเสียไปแล้วค่ะเมื่อไม่นานมานี้”
เธอเหมือนจะน้ำตาคลอและหลบสายตาผม
“นี่~ คุณยาราคิผมขอออกไปข้างนอกสักครู่นะ!”
ผมตะโกนจากหน้าร้านไปหายาราคิ
“รีบกลับมาหล่ะงานยิ่งเยอะอยู่!!”
เขาตะโกนกลับออกมาผมจึงพาผู้หญิงคนนี้ไปที่ต้นซากุระที่อยู่แถวนอกเมืองไม่ห่างไกลนัก
“นี่ก็ครั้งที่สองแล้วที่เราพบกันช่วยบอกชื่อให้ผมรู้จักหน่อยสิครับ”
ผมทำหน้าตาเขินอายเล็กน้อย
“นั่นสินะค่ะตัวข้าเองก็ลืมไปสะสนิทว่ายังมิได้แนะนำตัวเองเลยข้าชื่อมิสึกิฮารุโนะค่ะ”
แล้วเธอก็ยิ้มออกมา
“คุณมิสึกิยังต้องไปไหนอีกไหมครับ”
ผมหันหลังไปมองพระอาทิตย์ที่ใกล้ตกดินและได้ถามเธอไป
“ไม่แล้วเจ้าค่ะพิธีศพของท่านปู่เสร็จสิ้นแล้วค่ะมีอะไรรึเปล่าค่ะ?”
มิสึกิได้มองมาที่ผมด้วยหน้าตาที่สงสัย
“ถ้าอย่างนั้นช่วยมาหากันทุกวันและถ้ามีเวลาว่างเราจะได้ไปเดินเล่นกันด้วยคุณมิสึกิคิดว่ายังไงครับ”
ผมเขินอายและหันหลังไม่กล้าไปมองหน้าเธอรู้สึกหัวใจเต้นรุนแรงมันแปลกๆถึงตัวผมเองจะเคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อนแต่ก็ทำอะไรไม่ถูกอยู่ดี
“ค่ะท่านยูโตะ”
เธอก็ตอบกลับมาและอยู่ๆเธอก็ขอกลับก่อน
ผมก็ตามไปส่งเธอในขนาดที่เราเดินกลับกันผมและเธอไม่ได้คุยอะไรกันเลยสักคำ
หลังจากเหตุกันนั้นเราได้เจอกันเกือบทุกวันทั้งเดินเล่นทานอาหารหรือจะไปไหนก็เหมือนว่าเราทั้งคู่จะตัวติดไปกันแล้ว
หลังจากนั้นก็ผ่านไป 1เดือนผมรู้สึกว่าผมรักคุณมิสึกิเข้าให้แล้วแต่ผมไม่รู้ว่าคุณมิสึกิจะคิดยังไงในวันนี้ผมตั้งใจจะสารภาพรักเธอแต่กลับเกิดสงครามขึ้น
“เอ้ยยูโตะอยู่ไม่ได้แล้วนะเรารีบไปกันเถอะพวกไดเมียวแคว้นข้างๆเริ่มทำสงครามกับทางเราแล้วเราต้องหาที่อยู่ใหม่กันไปกันเถอะ!!”
คุณยาราคิตะโกนบอกผมพร้อมทั้งเก็บของเตรียมย้ายกัน
“แล้วคุณมิสึกิหล่ะ! ผมจะไปพบเธอก่อน”
ผมรีบลงจากห้องและวิ่งออกไปให้เร็วที่สุดพร้อมกับกังวลกลัวเธอจะไม่ปลอดภัย
“เจ้าจะบ้ารึไง!!? ทางบ้านมิสึกิน่ะอยู่ไกลจากนี่มากนะแล้วสงครามมันจะเริ่มแถวนั้นเจ้าจะไปไม่ได้นะยูโตะ!!”
คุณยาราคิตะโกนมาด้วยความเป็นห่วงและทำสีหน้าไม่ดีผมคิดว่าคงอาจจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแน่
“ ขอขอบคุณสำหรับทุกอย่างจริงๆนะครับคุณยาราคิผมคงจะปล่อยเธอไว้แบบนั้นโดยที่ไม่รู้ว่าปลอดภัยรึเปล่าไม่ได้ครับเพราะผมรักคุณมิสึกิครับ “
สิ้นสุดประโยคสุดท้ายผมก็วิ่งไปที่คอกม้าแล้วขึ้นมาไปหาเธอทันทีผมต่อสู้ไม่เป็นแต่ผมก็อยากจะไปหาคุณมิสึกิผมได้เดินทางไปหาคุณมิสึกิแต่ภาพที่ผมเห็นหมู่บ้านข้างหน้าที่ผมกำลังจะไปนั้นเกิดไฟไหม้บ้านเรือนพังทลายทุกอย่างราบเป็นหน้ากอง
“คุณมิสึกิ!!!! คุณมิสึกิอยู่รึเปล่าครับ!!!”
ผมได้แต่ขี่ม้าตะโกนหาเธอจนไปเจอเข้ากลับบ้านชื่อหน้าบ้านที่เขียนว่าตระกลูมิสึกิที่ตกอยู่ส่วนตัวบ้านนั้นเป็นแต่ซากบ้านเท่านั้นผมเริ่มเป็นกังวล
“มิสึกิ!!!! มิสึกิ!!!! “
ผมขี่ม้าวนหาเธอต่อไปเรื่อยๆวนมาอยู่ประมาณ 4-5 ชั่วโมงหลังจากนั้นฝนก็ตกลงมาผมทรมานหัวใจเหลือเกินทันใดนั้น
“ท่านยูโตะ !!! “
คุณมิสึกิได้วิ่งออกมาจากป่าทันทีที่ผมเห็นเธอผมลงจากม้าและวิ่งไปสวมกอดเธอไว้
“มิสึกิผมน่ะผมน่ะรักคุณมิสึกินะครับรักมาตั้งแต่แรกแล้วรักมานานผมคิดว่าจะเสียคุณไปสะแล้ว “
ผมได้พูดออกไปทั้งน้ำตาในขณะที่ฝนกำลังตกผมยังคงกอดเธอไว้ผมดีใจที่เห็นเธอไม่เป็นอะไร
“ท่านยูโตะข้าก็รักท่านมานานแล้วนะค่ะท่านใจดีกับข้าเสมอคอยอยู่เคียงข้างข้าถึงขนาดที่มาถึงที่ๆเป็นสนามรบเยี่ยงนี้เพื่อข้าข้าจะรักท่านเพียงคนเดียว”
เธอพูดพร้อมกับกอดผมให้แน่นขึ้นเรามองหน้ากันลมหายจนกระทบกันด้วยความรักของเราเราจุมพิตกันและกอดกันแน่นท่ามกลางฝนและซากบ้านเมืองล้อมรอบ
“ท่านยูโตะเราไปกันเถอะค่ะอยู่ที่นี่พวกมันอาจจะมาเมื่อไหร่ก็ได้ “
มิสึกิบอกกับผมพร้อมกับมองรอบๆด้วยท่าทีที่กังวล
“ไปกับฉันเถอะมิสึกิเราจะไปอยู่ด้วยกันเถอะนะเธอน่ะถึงแม้จะแลกด้วยชีวิตฉันก็จะปกป้องเอง “
ผมได้พาเธอขึ้นม้าและออกจากที่นั่นโดยเร็วหลังจากวันนั้นก็ผ่านไปกว่าเดือนสงครามก็ได้เริ่มขึ้นอีกครั้งผมกับมิสึกิก็ได้หนีกันต่อไปเรื่อยๆเราฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆไปพร้อมกันเมื่อผมได้ที่พักชั่วคราวกับมิสึกิผมก็ได้นอนฝัน
“เจ้าผู้เสื่อมศรัทธาแห่งข้าได้เวลาที่เจ้าจะต้องชดใช้ที่มาดูหมิ่นข้าได้แล้วเจ้าต้องเศร้าเสียใจและทรมานข้ามิอาจจะให้อภัยเจ้าได้ง่ายๆเจ้าต้องรับบทลงทัณฑ์และจงสำนึกผิดสะ”
เสียงผู้หญิงลึกลับที่เคยได้ยินมาก่อนหน้านี้ทำให้ผมนึกขึ้นว่าเธอคนนั้นอาจจะคนส่งผมมาที่นี่ก็ได้
“ท่านเทพแห่งความรักตอนนี้ผมสำนึกผิดแล้วขออย่าให้เราจากกันเลยเรารักกันจากใจจริงเพราะฉะนั้นได้โปรดอย่าแยกเราเลยนะครับขอร้องหล่ะครับ!!”
ผมได้ตะโกนในความฝันนั้นอย่างสุดเสียงเพื่อให้เทพแห่งความรักโปรดอภัยแต่กลับไม่มีเสียงอะไรตอบมาเลยแล้วในความฝันของผมก็พบกับมิสึกิที่กำลังเดินจากผมไปแม้ว่าผมจะวิ่งตามแต่ผมก็ตามไม่ทันจนเธอได้หายไปผมก็สะดุ้งตื่นทันที
“ท่านยูโตะเป็นอะไรค่ะฝันร้ายหรอค่ะ ?”
เธอถามผมด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นอะไรหรอกมันแค่ความฝันความจริงเรายังมีกันอยู่ “
ผมพูดออกไปและกอดมิสึกิไว้จากนั้นก็นอนต่อจนเช้าและเช้าวันต่อมานั่นเองสงครามก็เริ่มจะหนักขึ้นทุกครั้งผมได้พามิสึกิเข้าเมืองที่ใหญ่พอสมควรและคิดว่าเมืองนี้ไม่น่าจะถูกตีแตกได้ง่ายๆแต่ผมกลับคิดผิดไม่กี่สัปดาห์ต่อมาก็ถูกโจมตีชาวบ้านแต่งแตกตื่นทุกคนก็ถูกไล่ฆ่าผมจึงพามิสึกิขึ้นม้าและรีบออกจากที่นั้นแต่มีทหารฝ่ายที่เข้าโจมตียิงธนูมาในมุมอับสายตาผมไม่ทันตั้งตัวมิสึกิจึงรับลูกธนูนั้นแทนผมจากนั้นเราก็หนีออกไปได้
“ยังไหวรึป่าวมิสึกิเป็นเพราะฉันสินะเธอถึงต้องเจ็บตัวขนาดนี้ฉันขอโทษนะมิสึกิ”
ผมได้พูดไปพร้อมน้ำตาที่หลั่งไหลออกมาและไม่สามารถหยุดมันได้
“ทะท่านยูโตะข้าไม่เป็นไรหรอกค่ะแค่ถูกลูกธนูแค่นี้เองนะค่ะ”
เธอพูดออกมาพร้อมกับเลือดที่กำลังไหลออกมาไม่หยุดผมก็รู้ได้ทันทีเธอพยายามที่จะอยู่กับผมต่อไปแต่ว่าเธอน่ะกำลังฝืนตัวเองอยู่
“ฉันรักเธอนะมิสึกิรักเธอที่สุดเลยนะฉันจะมีเพียงเธอคนเดียวแม้จะไม่มีตัวเธอแล้วแต่เธอจะมีชีวิตอยู่ในใจของฉันเสมอนะมิสึกิ”
ผมพูดออกไปด้วยความรักที่มีและแล้วฝนก็โปรยปรายลงมาราวกับมาชำระล้างทุกสิ่ง
“ทะท่านยูโตะขะข้ารักท่านนะค่ะแม้ว่าตัวข้าจะจากไปข้าจะคอยเฝ้ามองท่านจากบนฟ้าอันแสนไกลไม่ต้องเป็นห่วงข้านะลาก่อนที่รักของข้า ....”
สิ้นสุดประโยคเธอก็สิ้นลมผมได้แต่กอดตัวเธอที่ไร้จิตวิญญาณท่ามกลางฝนที่กระหน่ำตกลงมาผมร้องไห้ด้วยเสียงที่แสนเศร้าน้ำตาที่มิอาจจะหยุดยั้งความรู้สึกอันแสนบีบคันหัวใจดวงนี้มันทำให้เจ็บปวดจนอยากจะตายตามเธอไปผมได้มองขึ้นฟ้าแล้วตะโกนออกไป
“เทพแห่งความรักเอ่ยนี่คงสมใจท่านแล้วสินะความรักอันบริสุทธิ์และงดงามทำไมท่านต้องทำให้มันจบลงอย่างหน้าเศร้าเยี่ยงนี้ “
ผมตะโกนทั้งที่ร้องไห้ผมเข้าใจและรู้ซึ้งแล้วนี่เป็นสิ่งที่ผมควรได้รับสินะถึงจะเจ็บปวดแต่ผมก็ดีใจที่ได้เจอเธอ
“เจ้าคงสำนึกผิดแล้วสินะถ้าอย่างนั้นจงกลับไปที่เจ้าจากมาและขอให้เจ้าได้ใช้ชีวิตที่เหลือให้มีความสุขหล่ะบทลงโทษของเจ้าจบแค่นี้ “
แล้วร่างกายของผมก็ส่องแสงอ่อนๆและค่อยๆจางหายไปผมกอดมิสึกิไว้แบบนั้นจนกว่าผมจะสลายไปต่อมาผมได้กลับไปอยู่ที่ห้องตัวเองในยุคปัจจุบันผมเปิดมือถือดูเวลาแต่ดูเหมือนว่าระหว่างที่ผมไปอยู่ในยุคนั้นเวลาปัจจุบันมันจะหยุดนิ่งมันเป็นเหมือนความฝันที่มียาวนานถึงจะเศร้าที่ต้องจากกันแต่ก็มีความสุขเวลาที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่นั้นมาผมก็ศรัทธาเทพแห่งความรักเพราะครั้งนึงท่านเคยให้ผมพบรักแท้