สายใยแห่งรัก วัสสานะมนตรา
50
ตอน
12.3K
เข้าชม
145
ถูกใจ
13
ความคิดเห็น
17
เพิ่มลงคลัง

 

 

 

เจ้าหญิงวริษฐายวดี องค์รัชทายาทแห่งวัสสานะ ที่ถือกำเนิดมาพร้อมกับความ ‘พิเศษ’ อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยความงามและน้ำพระเมตตา ถูกวางให้เป็นกษัตริยาตั้งแต่พระชนมายุเพียงห้าพรรษา เมื่อพระชนมายุครบยี่สิบสี่พรรษาจะต้องเข้าพิธีอภิเษกสมรสและสถาปนาเป็น ‘กษัตริยา’ ในคราเดียวกัน ตามขนบแห่งวัสสานะที่สืบทอดกันมา พระคู่หมายก็มิใช่ใครอื่นใด ‘ราชองครักษ์แดเนียล’ ผู้งามสง่า บุตรชายคนเดียวของดานังแม่ทัพใหญ่แห่งวัสสานะผู้ภักดี

 

เหตุการณ์กลับพลิกผันเมื่อพระองค์ถูกส่งมาเป็น ‘ราชินีแห่งคิมหันต์’ ด้วยเงื่อนเวลา ‘หนึ่งปี’ แลกกับการเปิดทางให้คิมหันต์มาศึกษาทุกสิ่งที่ต้องการในวัสสานะเพื่อนำไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์แก่คิมหันต์ และสนธิสัญญาเรื่องการสงครามว่าจะไม่รุกล้ำดินแดนซึ่งกันและกัน ครบ ‘หนึ่งปี’ คิมหันต์จะต้องส่งพระองค์คืนสู่วัสสานะ เพื่อเข้าพิธีอภิเษกสมรสและสถาปนาเป็น ‘กษัตริยา’ ตามหมายกำหนดการเดิม

 

อติรุจิราชราชันหรือองค์เหนือหัวคาลัว กษัตริย์แห่งคิมหันต์ พระสวามี ไม่ทรงแตะต้อง ไม่ทรงสัมผัส ไม่ทรงให้ยุ่งกับกิจส่วนพระองค์มเหสีทางการเมืองอย่างวริษฐายวดีจึงได้แต่ยอมรับชะตากรรมว่าไม่เป็นที่ต้องการ เฝ้ารอวันคืนสู่วัสสานะ แต่สิ่งที่ทรงเข้าพระทัยจะจริงแท้แน่หรือ ในเมื่อนับวันพระสวามีกลับทำให้รู้สึกในสิ่งที่ตรงกันข้าม

 

 

 

“เห็นพุ่มไม้พุ่มนั้นหรือไม่” คาลัวชี้ไปที่พุ่มไม้ใหญ่บนไม้ยืนต้น ที่มีรูเป็นช่องกลมมนใหญ่

 

“เห็นเพคะ” วริษฐายวดีมองตามแล้วทูลตอบ

 

“แล้วเห็นพระจันทร์หรือไม่”

 

“เห็นบ้างเพคะ แต่ไม่ชัด” ตอบไปก็พยายามเพ่งตามองไป

 

“มันมีความลับอยู่นิดหน่อย ตรงที่เจ้าจะต้องนอนลงตรงนี้ แล้วมองขึ้นไปตรงนั้น ในตำแหน่งนี้พอดิบพอดี ถึงจะเห็นความงามที่ว่า”

 

“ที่พื้นหญ้าหรือเพคะ” วริษฐายวดีมองตามนิ้วพระหัตถ์เรียวของพระสวามีที่ชี้ไปที่พื้นหญ้าด้านล่าง

 

“ใช่แล้ว แต่เจ้าไม่ต้องกังวล แค่นอนลงที่ตักของเรา เรารับรองว่าเจ้าจะไม่เป็นอะไร” คาลัวรีบประทับลงที่พื้น เอาพระหัตถ์ตบที่พระเพลาของพระองค์ แล้วยื่นหัตถ์ไปรับองค์มเหสีซึ่งกำลังหันไปมองโดยรอบอย่างกังวล

 

“อย่ากังวลเลย ที่นี่มีเพียงเรา โยฮาจะคอยดูแลไม่ให้ใครมายุ่งในเวลาส่วนตัวของเรา” คาลัวทรงปลอบองค์มเหสี ด้วยเข้าพระทัยในสิ่งที่ทรงคิด วริษฐายวดีจึงจับพระหัตถ์เรียวไว้ แล้วค่อยๆ ย่อพระวรกายลง พยายามจะทอดพระเนตรไปในช่องพุ่มไม้ โดยไม่นอนลงบนพระเพลาของพระสวามี

 

“ทำแบบนั้นไม่เห็นหรอก” คาลัวทรงแย้มสรวลแล้วรีบออกแรงดึงองค์มเหสีลงมาที่พระเพลาของพระองค์อย่างรวดเร็วแต่นุ่มนวล

 

ชั่วพริบตา วริษฐายวดีก็นอนหงายอยู่บนพระเพลาขององค์คาลัว คำที่วริษฐายวดีกำลังจะเอื้อนเอ่ยเพื่อตำหนิพระสวามีกลับแปรเปลี่ยนเมื่อได้เห็นความมหัศจรรย์ดังกล่าว

 

“งามจริงๆ เพคะ” รับสั่งของวริษฐายวดีราวกับเพ้อ

 

“ใช่ งามมากจริงๆ”

 

แต่รับสั่งขององค์คาลัวกลับ ‘เพ้อ’ กว่า ก็พระองค์ไม่ได้ทอดพระเนตรไปยังดวงจันทร์ แต่กลับทอดพระเนตรดวงพักตร์งามขององค์มเหสี

 

“พระองค์ทรงประทับอยู่ ทอดพระเนตรเห็นด้วยหรือเพคะ” วริษฐายวดีทูลถามอย่างสงสัย

 

“ก็..เคยเห็นไง” รับสั่งตอบเฉไฉไปเรื่อย

 

“แต่วันนี้งามมากเลยนะเพคะ รัศมีเรืองรอง ใบไม้ที่รอบๆ นั่นคล้ายเป็นสีทองสวยมาก อย่างไรทรงนอนลงดูด้วยก็ได้ หม่อมฉันไม่เป็นไร” วริษฐายวดีเอื้อนเอ่ยอย่างมีไมตรี

 

คาลัวรีบถอดผ้ารัดบั้นพระองค์ออกเพื่อเอามารองพระเศียรให้องค์มเหสี ก่อนจะนอนหงายลงข้างๆ จนพระเศียรแทบจะชิดกัน องค์คาลัวพระทัยเต้นแรง พระหัตถ์ของพระองค์ที่อยู่ติดกับหัตถ์น้อยขององค์มเหสีค่อยๆ ขยับมากุมหัตถ์น้อยไว้

 

“งดงาม งามมาก เรืองรอง ผ่องอำไพ ไป..ทั้งหน้า”

 

วริษฐายวดีเริ่มรู้สึกนิดๆ กับคำรำพันขององค์คาลัว ‘ทำไมทรงเรียกพระจันทร์เป็นหน้า’ พระองค์จึงค่อยๆ หันพระพักตร์มาทางพระสวามี จึงได้เห็นว่าสิ่งที่พระสวามีทอดพระเนตรอยู่ไม่ใช่ดวงจันทราหากแต่เป็นดวงพักตร์ขององค์เอง

 

“อุ๊ย..” วริษฐายวดีอุทานออกมาเบาๆ เมื่อนาสิกโด่งแหลมของพระสวามีชนเข้ากับปรางของพระองค์

 

ใครจะไปรู้ว่าทรงขยับเข้ามาชิดขนาดนี้ แค่หันพระพักตร์ไปก็ทรงได้รับสัมผัสหวามไหวดั่งครั้งจากกัน ณ วสินี แต่ที่นี่เป็นที่สาธารณะ วริษฐายวดีรีบผุดลุกขึ้นนั่ง ทรงรู้สึกว่าหายใจหอบ หทัยก็เต้นรุนแรงจนแทบจะระเบิด พอตั้งสติได้เลยตั้งท่าจะลุกขึ้น แต่โดนพระหัตถ์อันแข็งแรงของคนที่ยังนอนอยู่ดึงไว้

 

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว