“Tenshi”
นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังคนนึงเคยทำนายเอาไว้ ว่าเรื่องของ ความเชื่อที่งมงายไร้เหตุไร้ผล จะหมดไปในไม่ช้า เพราะเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จะทำให้มนุษย์มีความสามารถในการแก้ปริศนาได้ทุกอย่าง ดังนั้นไม่ว่าจะเกิด ผล อะไรขึ้น เราก็จะสามารถหา เหตุ มารองรับมันได้เสมอ เขามั่นใจในคำทำนายของตัวเองมากจนถึงขั้นโกรธทุกคนที่มาหาว่าคำพูดของเขาเป็นเพียงแค่ ทฤษฎี เท่านั้น ผมเข้าใจว่านักวิทยาศาตร์คนนั้นคง วิเคราะห์ข้อมูลจากอัตราการพัฒนาที่เพิ่มขึ้นเพียงอย่างเดียว จนเผลอลืมไปว่า อะไรที่มันเพิ่มได้ มันก็มีโอกาสที่จะลดลงได้เช่นกัน ผมสงสัยเหลือเกินว่าหากนักวิทยาศาตร์คนนั้นยังมีชีวิตอยู่ในยุคนี้ เขาจะกล้ายืนยันคำพูดเดิมของเขาหรือไม่ ในยุคที่ ผล มากมายเกิดขึ้น แต่มนุษย์กลับไม่มีปัญญาที่จะหา เหตุ มาอธิบาย
เมื่อประมาณสามสิบปีที่แล้ว จู่ ๆก็มีมหันตภัยเกิดขึ้นไปทั่วโลก ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเนื่องจาก พวกเราได้รับคำเตือนจากเหล่า ผู้มีความรู้ มาตั้งแต่เนิ่น ๆแล้วว่าเหตุการณ์ลักษณะนี้จะเกิดขึ้น เพราะนี่เป็น ผล ที่มี เหตุ มาจากการกระทำของพวกเราเอง แต่ดูเหมือนว่าพวก ผู้มีความรู้ จะลืมเตือนพวกเราเพิ่มเติมว่า สิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์ นับพันตัว จะหล่นลงมาจากฟากฟ้าพร้อมกับเหตุการณ์มหันตภัยครั้งนั้นด้วย
สิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์เหล่านี้ มีลักษณะที่คล้ายคลึงกันแทบทุกๆตัว พวกมันตัวสูงประมาณ 4-5 ฟุต มีเส้นผมสีดำยาวจนสามารถปิดส่วนหลังของพวกมันได้ทั้งหมด ปีกสีดำทมิฬของมันใหญ่กว่าขนาดตัวถึงสองเท่า เล็บมันวาวสีขาวที่สามารถยืดหดได้ราวมีดพก มีลำแสงสีแดงก่ำวิ่งล้อมกันเป็นวงกลมลอยอยู่เหนือหัว และที่สำคัญที่สุด พวกมันดุร้ายมาก ๆ โดยเฉพาะกับมนุษย์
ด้วยขนาดตัวค่อนข้างเล็กที่มาพร้อมปีกขนาดใหญ่ทำให้พวกมันเคลื่อนที่ไปมาได้อย่างรวดเร็วบนฟากฟ้า กรงเล็บที่แข็งแรงและแหลมคมเหล่านั้นสามารถคร่าชีวิตมนุษย์ได้อย่างรวดเร็วราวกรงเล็บของเหยี่ยวเพเรกรินที่กำลังโฉบเหยื่อ และสิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้ผมเรียกมันว่า “สิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์” นั่นก็คือ ลำแสงวงกลมสีแดงก่ำเหนือหัวของพวกมันที่สามารถดลบัลดาลสิ่งมหัศจรรย์ต่าง ๆให้เกิดขึ้นได้ พวกมันใช้ลำแสงนี้ รักษาบาดแผลตัวเอง ป้องกันตัวเอง และทำร้ายศัตรู ใช่แล้ว สำหรับผม มีแค่ลำแสงสีแดงก่ำนี่แหละ ที่ผมถือว่า มหัศจรรย์ เพราะมันเป็นสิ่งที่สามารถสร้าง ผล ให้เกิดขึ้นได้โดยที่เราไม่รู้เลยว่า เหตุ ที่มันทำแบบนั้นได้คืออะไร
“ เฮ้ เจฟ เลิกเดินเหม่อลอย แล้วมาช่วยกันตามหาได้แล้ว ”
เสียงตะคอกจากชายร่างใหญ่วัยสามสิบสองดังกังวานจนทำผมหลุดออกจากภวังค์
“เห็นไหมล่ะ คาร์ล เป็นอย่างที่ฉันเตือนแกตั้งแต่ตอนแรกเลย เจ้าหมอนี่มันใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้หรอก ”
“เอาน่า ยังไงฉันก็ไม่คิดจะแบ่งกำไรให้มันเท่ากับคนอื่น ๆในทีมอยู่แล้ว แค่มันช่วยแบกของวิ่งตามพวกเรา นี่ก็ถือเป็นประโยชน์แล้วไม่ใช่หรือไง”
เจมส์ ซึ่งเป็นชายวัยเดียวกับ คาร์ลหัวหน้าทีมของกลุ่ม ยังคงแสดงท่าทางไม่พอใจที่ คาร์ล ตัดสินใจชวนผมเข้าร่วมทีมล่าครั้งนี้ ทั้ง ๆที่ในกลุ่มมีแต่ชายร่างกายกำยำแข็งแรงที่มากด้วยประสบการณ์ เด็กหนุ่มตัวเล็ก อายุ 20 ต้น ๆอย่างผมช่างดูไม่เหมาะที่จะมาเดินร่วมกลุ่มนี้แม้แต่น้อย การมีผมอยู่ในกลุ่มมันทำให้เขารู้สึกว่ากลุ่มของเขาขาดความน่าเกรงขามไปเยอะมาก นี่คงเป็นเหตุที่เขาคอยต่อว่าผมตลอดเวลาด้วยคำว่า ไร้ประโยชน์ ทั้ง ๆที่ผมคิดว่า ณ เวลานี้คนที่ดูจะมีประโยชน์ที่สุดก็คือผมนี่แหละที่กำลังแบกสัมภาระหนักกว่า สามสิบกิโลกรัม วิ่งไล่ตามกลุ่มชายฉกรรจ์หน้าโง่ 8 คนที่กำลังไล่ล่า สิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์ ในย่านตึกร้างแห่งนี้
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
ยามวิกาลที่ไร้ซึ่งเสียงขยับขับเคลื่อนใด ๆรอบอาณาบริเวณซากปรักหักพังของตึกคอนกรีต ที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบฝนกรดจนกลายเป็นสีน้ำตาลคล้ำ แท่งเหล็กเสริมคอนกรีตจำนวนมากบิดเบี้ยวออกมาจากตัวโครงสร้าง เต็มไปด้วยสนิมที่เกาะทับซ้อนกันราวกับก้อนดินธรรมดา ที่นี่เป็นแค่หนึ่งในตึกร้างมากมายที่กลุ่ม นักล่าของคาร์ล ตัดสินใจปิดล้อมเพื่อสำรวจภายในเพราะเชื่อว่า สิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์ ที่พวกเขากำลังตามล่านั้นหลบซ่อนอยู่ในที่แห่งนี้
“ เจฟ แกวางสัมภาระนั่นลงตรงมุมตึกนั่นก่อน ฉันจะให้แกเข้าไปพร้อมกับกลุ่มสำรวจ”
ผมทำตามที่คาร์ลสั่งอย่างรวดเร็วแม้จะไม่ค่อยชอบใจสักเท่าไรที่ต้องเข้าไปสำรวจภายในตัวตึกพร้อมกับกลุ่มของ เจมส์ แต่เนื่องจากรู้ดีว่า คาร์ลไม่ใช่ผู้นำที่ไร้เหตุไร้ผล เขารู้ดีว่าผมเป็นคนช่างสังเกตแค่ไหน ถ้าเป็นงานที่ต้องตามหาอะไรสักอย่าง ไม่มีใครในกลุ่มนี้สู้ผมได้สักคน
“ฉันจะแนะนำให้นะ ไอ้ลูกกะจ๊อก ถ้าเจอเทนชิเมื่อไร แกก็แค่แหกปากกรี๊ดดังๆเหมือนสาวน้อยเจอแมลงสาบอย่างที่แกทำเป็นประจำ เดี๋ยวพวกฉันจะมาช่วยแกเอง”็jjkkm
“ฮ่า ๆ ฮ่า ๆ ฮ่า ๆ”
เจมส์ยังคงพูดจากวนประสาทผมอย่างที่เคย ในขณะที่คนอื่น ๆก็ได้แต่ขำตามมุกเห่ย ๆของเขาเพราะไม่มีความสามารถมากพอที่จะคิดอะไรด้วยตัวเอง กลุ่มนักล่ากลุ่มนี้มีเพียงคาร์ลเท่านั้นที่ผมรู้สึกว่าพอจะราศีของความฉลาดจับอยู่บ้าง นอกนั้นก็มีแต่พวกตาลุงตัวใหญ่หัวรุนแรงที่คิดอะไรไม่เป็นนอกจากใช้กำลังอย่างเดียว แต่นี่อาจเป็นเหตุผลให้กลุ่มนักล่ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ประสบความสำเร็จที่สุดในการล่า เทนชิ ก็เป็นได้ เพราะมีคนสั่งการหลักแค่คนเดียว สมาชิกที่เหลือก็แค่ทำตามอย่างบ้าคลั่งราวกับคนโง่ที่ไม่กลัวความตาย
ผมใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะทำให้คาร์ลยอมรับผมเข้ากลุ่ม แม้คนอื่น ๆในกลุ่มจะไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่มีใครกล้าที่จะขัดใจคาร์ลเลยสักคน ด้วยความที่ผมมีน้องให้ต้องดูแลแถมยังมีแม่ที่แก่มากแล้ว ทำให้คาร์ลรู้สึกเห็นใจผมมาก เขาให้บททดสอบกับผมหลายอย่างก่อนจะรับเข้ากลุ่มจริงๆ ในฐานะ คนแบกสัมภาระ
“ นี่ แกแน่ใจเหรอว่ามันหลบมาอยู่ทีนี่ เท่าที่ดูมันไม่มีร่องรอยอะไรอยู่เลยไม่ใช่หรือยังไง”
“เอาน่า แกก็น่าจะรู้ไม่ใช่เหรอว่าพวก เทนชิ มันหลบซ่อนเก่งแค่ไหน ปกติพวกมันก็ไม่ค่อยทิ้งร่องรอยอะไรให้ตามอยู่แล้ว”
“ของแบบนี้มันต้องรับรู้ด้วยสัญชาติญาณสิวะ”
“แต่ว่า พวกเราทำร้ายมันจนบาดเจ็บหนักขนาดนั้น อย่างน้อย ๆก็น่าจะมีรอยเลือดอะไรตกอยู่บ้างสิ”
ระหว่างที่เจมส์และคนอื่น ๆกำลังเริ่มถกเถียงกันเพราะไม่สามารถตามหา เทนชิ ตัวที่พวกเขาไล่ล่าเจอ ผมก็ค่อย ๆเดินช้าลงเรื่อย ๆเพราะไม่อยากเดินใกล้ตาลุงอ้วนทุยที่ร่างกายเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ กลิ่นของพวกเขานั้นมันเหม็นยิ่งกว่ากลิ่นหนูตายซะอีก และเพราะการเดินช้าลงจนทำให้ผมแยกออกจากกลุ่มนี่แหละ ที่ทำให้ผมบังเอิญเจออะไรบางอย่าง
ขนนกสีดำยาวที่แข็งประดุจเหล็กกล้าแต่กลับเบาเหมือนขนนกพิราบที่ผมบังเอิญเก็บได้เป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ จาก เทนชิ หรือ สิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์ ที่ผมพูดถึง ทั้ง ๆที่ของแข็งทั่วไปมักจะมีความหนาแน่นที่สูง ส่งผลให้มันมีมวลน้ำหนักที่มากตามไปด้วย แต่เจ้าสิ่งนี้กลับเบาหวิวแถมยังแข็งชนิดที่สามารถใช้ตัดเหล็กได้อย่างสบาย ไม่ว่าจะคิดอย่างไร มันก็ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย
ผมเก็บขนนกใส่กระเป๋าเสื้อตัวเองก่อนจะเดินเข้าทางแยกเล็ก ๆซึ่งเป็นจุดที่ผมเก็บขนนกได้ ตึกร้างแห่งนี้คงเคยเป็นโรงแรมหรูหราที่ประดับประดาไปด้วยข้าวของเครื่องใช้ที่สวยงามและทันสมัย ถึงแม้ตอนนี้หยักใย้ ที่เกาะอยู่จะทำให้พวกมันดูไม่ทันสมัยอีกต่อไป แต่ผมเชื่อว่าข้าวของหลายอย่างในตึกแห่งนี้ยังคงใช้การได้ดีอยู่ ผมใช้ไฟฉายส่องไปทุกๆมุมของทางเดินจนในที่สุดผมก็เจอมันจนได้ เจ้าสิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์ที่คนทั่วไปเรียกกันในชื่อ เทนชิ
ใบหน้าขาวซีดกับดวงตากลมโตกำลังมองมาที่ผมอย่างสิ้นหวัง ริมฝีปากสีทับทิมของมันมีเลือดไหลออกมาตลอดเวลา แขนและขาที่ดูบอบบางของมันเต็มไปด้วยแผลเหวอะหวะ ถึงแม้ผู้คนมากมายจะเกรงกลัวมันนักหนา แต่ตอนนี้ผมไม่ได้รู้สึกว่ามันมีพิษมีภัยอะไรกับผมเลย ภาพผมที่เห็น มันก็แค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่โดนทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสและคงกำลังจะตายในไม่ช้า
..............................................................................................................................................................
เทนชิ เป็นภาษาญี่ปุ่นที่มีความหมายว่า เทพธิดาหรือนางฟ้า เนื่องจากรูปลักษณ์ของสิ่งมีชีวิต มหัศจรรย์ที่ผมพูดถึงนั้นเป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาสระสวยร่างกายบอบบาง ผิวขาวผ่องใส มีปีกและออร่าสว่างอยู่เหนือหัวไม่ต่างอะไรกับ นางฟ้า ในเทพนิยายที่พวกเรารู้จัก จะแตกต่างก็แค่สีของปีกที่ดำทมิฬแทนที่จะเป็นสีขาวสว่างดังที่พวกเราจินตนาการเอาไว้ อีกทั้งพฤติกรรมของพวกมันนั้นก็ไม่ได้ต่างอะไรกับสัตว์ร้ายที่ดูจงเกลียดจงชังมนุษย์เอามาก ๆ ครั้งแรกที่พวกมันปรากฏตัวพร้อมกัน ก็ได้สังหารมนุษย์ไปกว่าหลายพันคนในไม่กี่ชั่วโมง ก่อนที่พวกมนุษย์จะพากันตั้งหลักได้และรวมตัวกันต่อสู้กับพวกมัน แต่เนื่องจากผลกระทบของมหันตภัยทางธรรมขาติที่เกิดขึ้นพร้อมกันก่อนหน้านี้ทำให้ต้องใช้เวลานานหลายปีก่อนที่จะจัดการกับพวกมันได้ทั้ง ๆที่พวก เทนชิ มีจำนวนเพียงไม่กี่พันตัวจากทั่วโลก ด้วยพิษสงที่ร้ายกาจของพวกมันทำให้รัฐบาลของแต่ละประเทศตั้งค่าหัว เทนชิ ไว้ที่ประมาณ 100,000 ปอนด์ต่อตัวเพราะถือว่าพวกมันเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรงจนต้องพึ่งความร่วมมือของประชาชนทุกคนในการจัดการกับเหล่า เทนชิ ที่ยังหลงเหลือและหลบซ่อนอยู่ในโลกนี้ นอกจากนี้ ปีกที่แสนวิเศษของพวกมันก็ยังเป็นวัตถุดิบที่มีค่ามาก ๆทำให้ยุคนี้มีเหล่านักล่าเกิดขึ้นมากมายเพื่อล่า เทนชิ โดยเฉพาะ
“เฮ้อ สุดท้ายก็ไม่เจออะไรเลย”
เจมส์ เดินบ่นพึมพำด้วยท่าทีที่ผิดหวังจนไม่มีกะจิตกะใจจะมาพูดจาดูถูกเหยียดหยามผมอย่างที่เขาเคยทำเป็นประจำ ในขณะที่คนอื่น ๆก็เดินคอตกกันราวกับสุนัขตัวน้อยที่หาทางกลับบ้านไม่เจอ เป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้วที่กลุ่มของคาร์ลล่า เทนชิ ไม่สำเร็จทั้ง ๆที่โดยปกติพวกมันก็ปรากฏตัวให้เห็นน้อยครั้งอยู่แล้ว ครั้งนี้พวกเขาดันพลาดปล่อยมันหนีไปได้อีกต่างหาก ถึงแม้ผมจะไม่ถือเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มจริงๆ แต่ผมก็เข้าใจความรู้สึกของพวกเขาตอนนี้ได้เป็นอย่างดีเลย
“เฮ้ ทุกคนอย่าทำท่าทางสิ้นหวังขนาดนั้นสิ เงินรางวัลจากการล่าเทนชิตัวที่แล้วยังเหลือพอให้พวกเราใช้ชีวิตอย่างสบาย ๆไปได้อีกหลายเดือน เลิกหัวเสียแล้วไปพักผ่อนกันได้แล้ว”
คาร์ลยังคงเป็นผู้นำที่ดีอย่างที่ผมคิดไว้ เขาพูดปลอบใจลูกทีมก่อนที่จะสั่งให้ทุกคนแยกย้ายกันไปพักผ่อน ในซุ้มนักล่าที่ถือเป็นบ้านของพวกเขา ที่แห่งนี้เป็นโดมเก็บของขนาดใหญ่ที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้หนาทึบ และกระท่อมไม้ที่พวกนักล่าสร้างขึ้นมารอบ ๆเพื่อใช้เป็นที่พักผ่อน เป็นอาณาเขตที่พวกเขายึดมาจากชาวนาคนนึงที่ตายจากน้ำมือของ เทนชิ ตัวผมซึ่งเป็นเด็กใหม่ยังไม่มีกระท่อมเป็นของตัวเองทำให้จำต้องเข้าไปพักผ่อนในโดมเก็บของที่ซึ่ง คาร์ล พักอาศัยและใช้เก็บอาวุธรวมถึงของมีค่าต่าง ๆ
ก่อนหน้านี้ผมเคยพยายามหาเหตุในการปรากฏตัวของเหล่า เทนชิ มานานหลายปี แต่ส่วนมากกลับได้แต่ข้อมูลที่เป็น ความเชื่อที่งมงายไร้เหตุไร้ผล บ้างก็ว่าพวกมันเป็นธิดาของ เทพเฮร่า ที่ทำความผิดจนถูกลงโทษด้วยการส่งมายังโลกมนุษย์ บ้างก็ว่าพวกมันถูกเสกสรรค์ขึ้นโดยพระเจ้าผู้สร้างโลกเพื่อมาลงทัณฑ์เหล่ามนุษย์ที่บาปหนาทั้งหลาย บ้างก็ว่าพวกมันเป็นมนุษย์ต่างดาวมาจากนอกโลก คำบอกกล่าวทั้งหมดที่ผมได้ยินมานี้ล้วนเป็นอะไรที่พิสูจน์ไม่ได้เลยสักอย่าง มันช่างก็ฟังดูไร้สาระสิ้นดี และเมื่อไม่นานมานี้ผมก็ได้ฟังคำบอกเล่าเกี่ยวกับพวกเทนชิอีกครั้ง จากชาวตะวันออกที่เดินทางมาเพื่อซื้อ ปีกเทนชิ จากคาร์ล
“ในบรรดาเทนชิที่ดุร้ายจะมีบางตัวที่เป็นนางฟ้าจริงๆแฝงอยู่ แม้รูปลักษณ์ของนางฟ้าจะไม่ได้แตกต่างจากเทนชิตัวอื่น ๆ แต่หากผู้ใดโชคดีได้พบกับนางฟ้าและทำดีต่อเธอ เธอจะดลบัลดาลทุกๆอย่างเพื่อทำให้เรามีความสุข ตลอดกาล”
เป็นคำบอกเล่าที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน นี่คงเป็น ความเชื่อที่งมงายไร้เหตุผล ของคนที่อยู่อีกฝั่งของซีกโลก โดยปกติชาวตะวันออกก็มีความเชื่อเกี่ยวกับการบูชาสิ่งศักสิทธิ์อยู่มากมายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหากพวกเขาจะมีคำบอกเล่าในทำนองที่เข้าข้างพวกเทนชิแบบนี้ แต่ถึงคำบอกเล่านี่บังเอิญเป็นจริงขึ้นมา ก็คงไม่มีใครกล้าพอที่จะเสี่ยงไปทำดีกับพวกมันหรอก เพราะถ้าเผลอแค่พริบตาเดียวพวกมันอาจบินโฉบมาเด็ดหัวเราแล้วบินหายไปเฉยๆ ก็ได้
หลังจากที่ผมจัดวางสัมภาระทั้งหมดให้อยู่ในที่ของมันเรียบร้อยแล้ว ผมก็หยิบอาหารที่เป็นส่วนแบ่งของผมมานั่งกินอยู่หน้าหลอดไฟดวงเล็ก ๆคนเดียว ในขณะที่คนอื่น ๆก็พากันสุมกองไฟขนาดใหญ่นั่งกินอาหารร่วมกันอย่างเอร็ดอร่อย แม้เมื่อครู่คนพวกนี้จะดูซึมเศร้าเหงาหงอยจากความล้มเหลวในการล่า แต่ทันทีที่พวกเขาได้ดื่มสุราที่แสนจะโปรดปราน ความทุกข์เศร้าบนใบหน้าพวกเขาก็หายไปหมดสิ้น เหลือแต่ความสนุกสนานเฮฮา ราวกับว่ากำลังฉลองความสำเร็จอะไรบางอย่าง
“ฮ่า ๆ ไอ้เจ้าลูกกระจ๊อกมันไปหลบอยู่ไหนวะเนี่ย ตอนเข้าไปสำรวจในตึกร้างด้วยกัน มันกลัวจนตัวสั่น เดินย่อง ๆ อย่างกับหนูโสโครกที่กำลังจะขโมยเศษเนยเลย ฉันว่าจะปลอบขวัญมันสักหน่อย”
“ฮ่า ๆ ฮ่า ๆ ฮ่า ๆ”
หลังจากที่เหล้าเข้าปาก เจมส์ ก็กลับมาเป็นคนเดิมทันที พร้อมกับคำพูดเย้ยหยันที่เขาขยันคิดขึ้นมาทุก ๆวันเพื่อเหยียดหยามผม ความจริงผมไม่ใช่คนที่ใส่ใจอะไรกับคำพูดพวกนี้อยู่แล้ว แต่ก็มีบางครั้งที่ เจมส์ พูดจี้ตรงจุดซะจนผมอยากจะฟาดเขาด้วยแท่งเหล็กที่ผมถือไว้เป็นประจำทุกครั้งที่ออกล่า แต่ด้วยความที่ผมไม่ใช่คนที่โง่ขนาดนั้น ผมจึงยับยั้งชั่งใจตัวเองอยู่ตลอด ทำตัวเหมือนทองไม่รู้ร้อน เดินนิ่งเงียบแบกอย่างที่เคยทำต่อไป
...................................................................................................................................................
“ติ๊ด ... ติ๊ด... ติ๊ด...”
เสียงเตือนอันแสนแผ่วเบาของนาฬิกาข้อมือผมดังขึ้นกลางดึก ในช่วงเวลาประมาณตี 3 ผมปิดเสียงเตือนและตื่นขึ้นมาโดยไม่เปิดไฟ ก่อนจะค่อยๆหยิบกระเป๋าขนาดกลางที่เตรียมไว้ เดินย่องออกมาจากโดมเก็บของ ในเวลานี้พวกคนอื่น ๆในซุ้มต่างกำลังหลับใหลบวกกับฤทธิ์ของสุราที่พวกเขาเพิ่งดื่มไป ทำให้ผมมั่นใจว่าตอนนี้ทุกคนหลับสนิท ไม่เว้นแม้แต่คาร์ล ผู้เป็นดั่งมันสมองของกลุ่ม
แม้อาณาเขตของซุ้มนักล่าจะรายล้อมไปด้วยป่าทึบ แต่ทางเข้าซุ้มกลับเป็นถนนขนาดใหญ่ ทำให้ผมสามารถวิ่งออกจากป่าได้แม้จะไม่เปิดไฟส่องทางเลยก็ตาม หวังอย่างเดียวว่าผมคงไม่โชคร้ายไปเจอะเข้ากับสัตว์ป่าที่กำลังออกล่าในเวลานี้ เพราะผมจะเสียเวลาไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว
“ แฮก แฮก แฮก”
หลังจากวิ่งมานานกว่าครึ่งชั่วโมงผมก็มาถึงตึกร้างตึกเดิมที่ผมกับกลุ่มนักล่า เข้ามาสำรวจเมื่อหัวค่ำ เวลานี้ทุกๆอย่างยังคงเงียบสนิทเหมือนอย่างที่เคย ผมตัดสินใจเปิดไฟฉายและค่อยๆเดินเข้าสู่ตัวตึกอย่างระมัดระวัง มือข้างซ้ายถือไฟฉาย มือข้างขวากำแท่งเหล็กที่ผมคุ้นเคย ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกกลัวจนตัวสั่นอย่างที่ เจมส์ เคยล้อผมเอาไว้ แต่ก็ยังทำใจดีสู้เสือเดินหน้าต่อไป
รอยช็อคสีขาวจางรูปไม้กางเขน เป็นรอยที่ผมแอบทำไว้ก่อนจะออกจากตัวตึกไปพร้อมกับกลุ่มนักล่าแม้ตัวตึกจะไม่ได้มีโครงสร้างที่สลับซับซ้อนถึงขึ้นทำให้ใครหลงทิศหลงทาง แต่ผมต้องการที่จะไปถึงจุด ๆนั้นให้เร็วที่สุดโดยไม่เสียเวลากับอะไรเลยเพราะผมเองก็ไม่แน่ใจว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง สิ่งที่ผมกำลังทำอยู่เต็มไปด้วยความเสี่ยง ผมจึงต้องรอบคอบให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ รอยช็อครอยสุดท้ายสิ้นสุดลงตรงทางเข้าซอกเล็ก ๆซึ่งเป็นจุดที่ผมเจอขนปีกของเทนชิเมื่อหัวค่ำ ผมเดินเข้าไปตามซอกที่ผมเคยเดินผ่าน ภาพรอบ ๆที่คุ้นสายตาทำให้ผมมั่นใจว่า ผมไม่ได้มาผิดจุดแน่นอน ที่ซอกนี้คือที่ที่ผมเพิ่งเจอเทนชิที่กำลังใกล้ตาย
กองผ้าเปื้อนเลือดและเศษพลาสติกที่มีชิ้นส่วนของอาหารตกอยู่รอบ ๆแสดงให้เห็นว่า เทนชิ ได้ใช้สิ่งที่ผมมอบให้มันเมื่อหัวค่ำไปเรียบร้อยแล้ว ผมรู้ดีว่าแม้พวกเทนชิจะมีความสามารถในการรักษาตัวเอง แต่หากไม่มีอาหารและสิ่งที่ใช้ปิดแผล พวกมันก็จะรักษาตัวเองไม่ทันและตายไปในที่สุด เพราะฉะนั้น ผ้าปิดแผลผืนหนากับเสบียงอาหารสำรองที่ผมมอบให้ ก็คือสิ่งที่มันต้องการมากที่สุด ณ เวลานั้น
“แกรก แกรก แกรก”
ทันทีที่มีเสียงขยับเขยื้อนผมก็รีบหันไปที่จุดกำเนิดเสียงอย่างรวดเร็ว แต่มันก็ยังเร็วไม่พอที่จะมองเห็นอะไรนอกจากอุ้งมือและกรงเล็บยาวที่กำลังสยายกว้างราวกับงูเห่าที่กำลังแผ่แม่เบี้ย ห่างจากใบหน้าของผมไม่กี่เซนติเมตร ปฏิกิริยาสะท้อนจากจิตใต้สำนึกของผมมันสั่งให้ผมกลั้นหายใจทันที ตัวผมหยุดนิ่งเหมือนหุ่นไม้ที่มีไว้ตั้งโชว์ สิ่งเดียวที่ขยับอยู่คือลูกตาดำของผมที่กำลังเปลี่ยนจุดโฟกัสไปเรื่อย ๆเพื่อหาข้อมูลว่า ตอนนี้สถานการณ์ที่ผมกำลังเผชิญคืออะไร
แววตาสีดำวาวคู่ที่กำลังจับจ้องผมตอนนี้เป็นของ เทนชิ ตัวเดียวกับที่ผมเพิ่งเจอเมื่อหัวค่ำ แม้ตอนนี้บาดแผลของเธอจะดูดีขึ้นมากแล้ว แต่สภาพของเธอก็ยังคงอ่อนแอ แขนข้างที่ยกขึ้นมาขู่ผมตรงหน้ากำลังสั่นรัวและแขนอีกข้างของเธอก็ยังคงห้อยแน่นิ่งอยู่ข้างลำตัวของเธอ ผมเริ่มที่จะขยับตัวอย่างช้า ๆโดยพยายามไม่ให้เธอตกใจ จากนั้นจึงถอดกระเป๋าที่ผมสะพายมาด้วย ยื่นให้เธออย่างระมัดระวัง
ผมยื่นกระเป๋าออกไปอย่างนั้นและใช้เวลาสักพักเธอจึงลดกรงเล็บของเธอลงและคว้าเอากระเป๋าที่ผมยื่นให้อย่างรวดเร็ว ข้าวของข้างในกระเป๋าเป็นสิ่งที่ผมขโมยมาจากกลุ่มนักล่า ทั้งอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ ทั้งเสื้อผ้าหนาๆ ทั้งน้ำผึ้งซึ่งเป็นสิ่งที่โปรดปรานของเหล่าเทนชิ ทันทีที่เธอเห็นขวดน้ำผึ้ง เธอก็รีบแทะผาขวดออกและดื่มมันอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะหยิบเอาเนื้อมากินด้วยอย่างเร่งรีบโดยไม่สนใจผมที่ยืนอยู่ตรงหน้าแม้แต่น้อย แต่ทันทีที่ผมเริ่มขยับตัวเข้าใกล้เธอ เธอก็หยุดการกินและยกกรงเล็บขึ้นมาขู่ผมทันที
ตามที่ผมเข้าใจ พวกเทนชินั้นไม่ใช่สัตว์ พวกมันมีสติปัญญาเทียบเท่าหรืออาจจะมากกว่ามนุษย์ด้วยซ้ำ แม้พวกมันจะไม่รู้ภาษาพูดแต่ก็คงสามารถเข้าใจการกระทำต่าง ๆของมนุษย์ได้ สิ่งที่ผมอยากให้เธอเข้าใจที่สุดตอนนี้ก็คือ ผมพยายามที่จะช่วยชีวิตเธอ และไม่ได้มีวัตถุประสงค์ร้ายอะไรเลย
หลังจากที่ผมยืนอยู่นิ่ง ๆให้เธอกินอาหารได้สักพักจนหมด ผมก็เอามือทั้งสองข้างดึงที่เสื้อของตัวเองเพื่อให้เธอเข้าใจว่า ควรเอาชุดที่อยู่ในกระเป๋าใบนั้นมาใส่ ซึ่งเธอก็ดูเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่ผมพยายามจะสื่อ เธอหยับเสื้อตัวยาวขึ้นมาและเอามันมาหุ้มใส่ตนเอง จากนั้นเธอจึงถอยไปหลบอยู่ที่มุมแคบเหมือนอย่างเคย และทิ้งผมให้ยืนอยู่ตรงนั้น
เมื่อผมรู้สึกว่าเธอเลิกระแวงผมแล้ว ผมจึงถอยออกจากจุดที่ยืนอยู่และไปนั่งอยู่อีกมุมของห้องนั้น ณ เวลาที่ เทนชิ กำลังหลับใหล ภาพที่ผมเห็นก็เป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ร่างกายบอบบางที่กำลังนอนกอดตัวเองและสั่วรัวอย่างน่าสงสาร ลำแสงวงแหวนบนหัวของเธอกำลังแผ่รัศมีเปล่งประกายมากขึ้นเรื่อยๆ นั่นเป็นสัญญาณแสดงให้เห็นว่า อาหารที่เธอกินเข้าไปก็มีส่วนช่วยให้เธอได้รับพลังงานในการซ่อมแซมตัวเองได้ดียิ่งขึ้น ผมคิดว่าอีกไม่นานบาดแผลทั้งหมดคงจะหายไปทำให้เธอกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง
“ตุบ ตุบ ตุบ”
จู่ๆ เสียงบางอย่างก็ดังขึ้นมาขัดกับเสียงของสายลม แม้มันจะเบาบางแค่ไหนแต่ในเขตที่เงียบสงัดเช่นนี้ ไม่มีเสียงใดลอดผ่านโสตประสาทของผมไปได้ นี่เป็นเสียงฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังวิ่งตรงมาทางนี้ แม้จะรู้สึกว่าพวกเขายังอยู่ห่างจากตัวตึกมาก แต่ลักษณะเสียงย่ำฝีเท้าที่หนักแน่นและรุนแรงนี้ ทำให้ผมรับรู้ได้ในทันทีว่า กลุ่มนักล่าของคาร์ล กำลังมุ่งตรงมาทางนี้ อย่างเอาเป็นเอาตาย
“เคร้ง!”
ทันทีทันใด ผมรีบลุกขึ้นแล้วใช้แท่งเหล็กตีเข้าที่ขอบคอนกรีตทำให้ เทนชิ สะดุ้งลืมตาทันที จากนั้นตัวผมก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรต่อเพราะตัวเทนชิเองก็ดูท่าจะรู้แล้วว่า มีกลุ่มคนกำลังวิ่งเข้ามา เธอพยายามสยายปีกและกระพือขึ้นแต่ทว่าบาดแผลที่เธอมีมันยังไม่ได้รับการฟื้นฟูอย่างเต็มที่ ทำให้ปีกคู่นั้นสะบัดไปมาคนละทิศคนละทางราวกับใบพัดสองใบที่ไม่สมดุลกัน ทันทีที่ผมรู้ว่าตอนนี้เธอยังบินไม่ได้ ผมจึงชี้ไปที่ตู้เก็บของเก่าๆที่นอนเอียงอยู่ข้างเธอ สิ่งที่เธอทำทำให้ผมตกใจเล็กน้อย เธอเชื่อผมและเข้าไปในตู้เหล็กนั้น ผมจึงรีบเดินเข้าไปและใช้แรงทั้งหมดที่มี กลับตู้เหล็กให้ด้านที่เป็นประตูเปิดคว่ำติดกับพื้น จากนั้นผมก็ทำการจัดการกับร่องรอยทุกๆอย่างในห้อง เพื่อไม่ให้ใครรู้ว่ามีเคยมี เทนชิ อยู่ในที่แห่งนี้
“หนอย ไอ้เจ้าเจฟ คิดไว้แล้วไม่มีผิด ไอ้หมอนั่นมันเลี้ยงไม่เชื่องจริงๆ”
“ฉันมองคนผิดไป ขอโทษทุกคนด้วย ฉันไม่คิดว่าคนแบบนั้นจะกล้าหักหลังเรา”
“ไม่เป็นไรหรอก คาร์ล ฉันเองก็คิดเหมือนกันว่าคนขี้ขลาดแบบนั้นคงไม่กล้าทำอะไรเสี่ยงตายแบบนี้”
“แล้วพวกเราจะเอายังไงกับมันดี”
“ตามหามันให้เจอ แล้วจับมันมาให้ฉัน ฉันมีเรื่องสำคัญหลายอย่างจะคุยกับมัน”
.................................................................................................................................................